เผยภาพ “โลกมันฝรั่ง” โชว์รูปร่างตามแรงโน้มถ่วง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สังขารไม่เที่ยง, 8 เมษายน 2011.

  1. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เผยภาพ “โลกมันฝรั่ง” โชว์รูปร่างตามแรงโน้มถ่วง</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>8 เมษายน 2554 00:37 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><IFRAME style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 450px; HEIGHT: 35px; OVERFLOW: hidden; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" src="http://www.facebook.com/plugins/like.php?href=http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000042291&layout=standard&show_faces=false&width=450&action=like&colorscheme=light&height=35" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no></IFRAME></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=12 vAlign=bottom align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=160 align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ภาพโลกรูปมันฝรั่งแสดงให้เห็นแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่างกันไปแต่ละจุด ภาพนี้เป็นโลกในโซนทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา โดยบริเวณที่มีแรงโน้มถ่วงเข้มจะเป็นสีเหลือง ไล่เฉดไปสีแดง และสีน้ำเงินมีแรงโน้มถ่วงต่ำสุด (ภาพทั้งหมดจากบีบีซีนิวส์)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ภาพโลกมันฝรั่งแสดงความเข้มของแรงโน้มถ่วงในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกและแนววงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ภาพนี้สร้างขึ้นจากข้อมูลของดาวเทียมจอซ ทั้งนี้ เพื่อเข้าใจการไหลเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทร เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจต่อเรื่องแรงโน้มถ่วงด้วย </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ดาวเทียมจอซเห็นความแตกต่างของแรงโน้มถ่วงที่เกาะญี่ปุ่นและขอบเปลือกโลก (สีน้ำเงิน) ที่เป็นสาเหตุของแผ่นดินไหว </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ภาพจำลองแสดงดาวเทียมจอซในวงโคจรซึ่งอยู่ต่ำกว่าดาวเทียมดวงอื่นๆ ที่ใช้งานอยู่ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=center width=165 align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=/images/linedot_vert3.gif width=4>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=7 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>เผยรูปร่างคล้ายมันฝรั่ง ที่แสดงลักษณะของโลกตามแรงโน้มถ่วง โชว์ให้เห็นแรงดึงดูดใต้เท้าเรานั้นไม่เท่ากันในแต่ละตำแหน่งทั่วโลก โดยบริเวณที่แรงโน้มถ่วงเข้มสุด แทนด้วยบริเวณสีเหลือง และบริเวณที่แรงโน้มถ่วงอ่อนสุด แทนด้วยสีน้ำเงิน

    ภาพรูปโลกคล้ายมันฝรั่งนี้ เป็นข้อมูลที่ได้จากดาวเทียมจอซ (Gravity Field and Steady-State Ocean Circulation Explorer: Goce) ดาวเทียมสำรวจสนามโน้มถ่วงและการไหลเวียนของมหาสมุทร ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจ ต่อแรงที่ดึงเราลงและวิธีที่แรงโน้มถ่วงมีผลต่อกระบวนการสำคัญบางอย่างบนโลก รวมถึงมุมมองที่ชัดเจนขึ้น ว่ามหาสมุทรนั้นไหลเวียนอย่างไร และมหาสมุทรนั้นกระจายความร้อนที่ได้รับจากดวงอาทิตย์อย่างไร

    ข้อมูลเหล่านี้ มีความสำคัญต่อการศึกษาภูมิอากาศ รวมถึงการศึกษาแผ่นดินไหวด้วย ซึ่งบีบีซีนิวส์ระบุว่า ข้อมูลจากดาวเทียมจอซนั้นจะเผยให้เห็นภาพ 3 มิติ ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นภายในโลก

    แม้ว่าดาวเทียมจอซ จะจับสัญญาณการเคลื่อนย้ายมวลขนาดใหญ่บนโลก ซึ่งทำให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดในญี่ปุ่นเมื่อเร็วๆ นี้ และในชิลีเมื่อปีที่ผ่านมาได้เพียงเล็กน้อย แต่ ดร.โจฮันเนส บัวแมน (Dr.Johannes Bouman) จากสถาบันวิจัยด้านสัณฐานและมิติของโลกแห่งเยอรมนี (German Geodetic Research Institute: DGFI) กล่าวว่า ก็ยังมีโอกาสได้เห็นข้อมูลดังกล่าว

    ในทางเทคนิคแล้ว นักวิจัยเรียกภาพโลกเบี้ยวๆ รูปมันฝรั่งนี้ว่า “จีออยด์” (geoid) ซึ่งไม่ใช่แนวคิดง่ายที่สุดที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถอธิบายระดับพื้นผิวของโลกในอุดมคติได้ ณ ตำแหน่งพื้นผิวบนขอบฟ้าตะปุ่มตะป่ำของโลกรูปมันฝรั่งนั้น มีแรงดึงดูดที่กระทำต่อพื้นผิวในแนวตั้งฉาก

    อธิบายได้อีกทางหนึ่งว่า หากเราวางลูกบอลไว้ที่ตำแหน่งใดก็ตามบนรูปโลกมันฝรั่งนี้ ลูกบอลที่เราวางจะไปไม่กลิ้งไปไหน เพราะ ณ จุดที่ลูกบอลอยู่นั้นไม่มี “ขึ้น” หรือ “ลง” บนพื้นผิวลุ่มๆ ดอนๆ นี้ และยังเป็นสัณฐานที่มหาสมุทรควรจะเป็น หากไม่มีลม ไม่มีกระแสหรือปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง

    จากภาพโลกเบี้ยวๆ นี้ เรือที่ชายฝั่งยุโรป (ในพื้นที่สีเหลืองสว่าง) อยู่ในตำแหน่งที่”สูงกว่า” เรือที่กลางมหาสมุทรอินเดีย (ในพื้นที่สีน้ำเงินเข้ม) 180 เมตร แต่เรือทั้งสองลำยังอยู่ในระนาบเดียวกัน ซึ่งเป็นลักษณะที่แรงดึงดูดกระทำต่อโลก เนื่องจากโลกที่เราอาศัยอยู่นั้นไม่ได้กลมเกลี้ยง และมวลภายในโลกก็ไม่ได้กระจายอย่างสม่ำเสมอ

    ดาวเทียมจอซถูกส่งขึ้นไปเมื่อเดือน มี.ค.2009 โดยโคจรรอบโลกจากในแนวขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต้ ที่ระดับความสูง 254.9 กิโลเมตร ซึ่งเป็นวงโคจรต่ำสุดสำหรับดาวเทียมวิจัยที่ยังทำงานอยู่ในปัจจุบัน โดยดาวเทียมมีกล่องแพลตตินัม 3 กล่องที่ภายในบรรจุเครื่องวัดความลาดเอียง (gradiometer) ที่ไว้ต่ออัตราเร่งแม้เพียงเล็กน้อยได้อย่างน่าทึ่ง

    ด้วคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดานี้ทำให้ดาวเทียมจอซสามารถทำแผนที่ความแตกต่างของแรงดึงดูดเพียงเล็กน้อย บนจุดต่างๆ ของโลก ไปจนถึงความแตกต่างที้ชัดเจนระหว่างแนวเทือกเขาขนาดใหญ่กับร่องลึกที่สุดในมหาสมุทร

    ทั้งนี้ ภาพแผนที่แรงโน้มถ่วงชุดแรกได้รับการเผยแพร่เมื่อเดือน มิ.ย.ปีที่ผ่านมา และชุดล่าสุดนี้เป็นชุดที่สองซึ่งเผยแพร่ในการประชุมของนักวิทยาศาสตร์ประจำโครงการดาวเทียมจอซ และมีการเพิ่มเติมข้อมูลล่าสุดเข้าไป ส่วนแผนที่ชุดถัดไปนั้นจะเผยแพร่อีกครั้งในช่วงฤดูใบไม้ร่องของปีนี้ ซึ่งแต่ละชุดที่เผยแพร่ออกมานั้นจะได้รับการปรับปรุงคุณภาพของข้อมูลให้ดีขึ้น

    ดร.รูน ฟลอเบอร์กฮาเกน (Dr.Rune Floberghagen) ผู้จัดการโครงการในภารกิจจอซ ขององค์การอวกาศยุโรป (อีซา) กล่าวว่า ยิ่งมีข้อมูลมากก็ยิ่งลดสัญญาณรบกวนและความผิดพลาดลงได้มาก และยิ่งเรามีข้อมูลจีออยด์ที่แม่นยำเท่าไร เราก็สามารถนำไปใช้สร้างงานวิทยาศาสตร์ที่ดีได้มากขึ้น

    หนึ่งในเป้าหมายใหญ่ของดาวเทียมจอซ คือการคิดค้นการอ้างอิงสากลเพื่อเปรียบเทียบความสูงที่จุดใดๆ ก็ตามบนโลก ซึ่ง ศ.ไรเนอร์ รัมเมล (Prof.Reiner Rummel) ประธานสมาคมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ของดาวเทียมจอซกล่าวว่า ปัจจุบันความสูงค่ากลางของระดับน้ำทะเลจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งนั้นยังมีความแตกต่างกันอยู่

    สำหรับปฏิบัติการของดาวเทียมจอซนี้ จะได้รับการสนับสนุนงบประมาณไปจนถึงปี 2012 เหมือนปฏิบัติการสำรวจโลกอื่นๆ ขององค์การอวกาศยุโรป จึงจำเป็นต้องหาการสนับสนุนทางการเงินจากประเทศสมาชิกอื่นๆ เพื่อดำเนินการภารกิจนี้ต่อ ซึ่งดาวเทียมดวงนี้ได้ปฏิบัติภารกิจการสำรวจมาก 14 เดือนแล้ว แต่นักวิจัยยังต้องการที่จะเห็นดาวเทียมทำงานต่อไปอีกเท่าที่จะเป็นไปได้

    เนื่องจากดาวเทียมโคจรที่ระดับต่ำเพื่อให้สัมผัสได้ถึงสัญญาณแรงโน้มถ่วงที่อ่อนมาก จึงจำเป็นต้องมีเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนให้ดาวเทียมเคลื่อนไปข้างหน้า โดยยังอยู่ในวงโคจรของตัวเอง หากไม่มีเครื่องยนต์ดังกล่าวแล้ว ดาวเทียมจะตกพื้นโลกอย่างรวดเร็ว แต่จากการประชุมของนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง คาดว่าเครื่องยนต์ขับเคลื่อนของดาวเทียมจะทำงานต่อไปได้ถึงปี 2014


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=10 vAlign=top align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    Science - Manager Online - ����Ҿ ��š�ѹ���觔 �����ٻ��ҧ����ç������ǧ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...