เรื่องของ การเอาความรู้ทั้งจักรวาลมาใส่ในหัวแบบที่คนในเว็บพลังจิตบางคนกำลังทำ

อย่าพูดถึง ความรู้ทั้งเอกภพ เพราะมีเพียงอรหันต์ปฏิสัมภิทัปปัตโต เท่านั้นที่เอาอยู่ มีวิธีจัดการกับความรู้พวกนั้น อย่างไม่มีอะไรสังสัย สมองไม่ล้มเหลวด้วย

ความรู้ทุกๆ 1จักร และมีจักรพวกนี้อีกจำนวนมาก พื้นที่ที่ไม่มีขอบเขต
บรรจุอยู่ในอรหันต์ปฏิสัมภิทัปปัตโต
พื้นที่บอกว่าในหรือนอกไม่ได้ เพราะมันไม่มี

ทูต เขียนให้อ่านได้แค่นี้

มาพูดกันถึง จักรวาล เห็นคนมากมายในที่นี้ อยากได้รับความรู้ปริมาณเท่ากับจักรวาล ความโลภเกิดขึ้นมา ความเข้าใจผิดเกิดขึ้นมา
คนที่พยายามฝึกให้ได้ฌาน ต้องระวังความรู้ที่ปริมาณเท่าจักรวาลไหลสู่หัวด้วย
เพราะมันอาจทำให้หลงผิด คิดว่าเป็นพระเจ้า
และยังอาจทำให้ หลงคิดว่าเป็นอรหันต์ หรือเป็นพระศรีอริยะ องค์ไหน
พระศรีอริยะ มีหลายองค์ อันนั้นเป็นเรื่องของชุมชนอีกระดับหนึ่ง
ไม่เกี่ยวกับระดับของเรา
คนจน ไปพูดกับคนรวย คนจนไม่เข้าใจว่าตลาดหุ้น ตลาดน้ำมัน ทำงานยังไง

ถึงจะรู้ แต่ก็ไม่ต้องพูด ถึงจะรู้ก็ต้องไม่ช่วย
เรื่องนี้พูดยากเหมือนกัน
ความรู้พวกนั้น ทิ้งมันไป มันไม่มีความหมายกับเรา. มีแต่ทำให้สมองล้มแหลว ลงทุกๆวัน ถ้าไม่มีวิธีจัดการกับความรู้พวกนั้นมันจะทำให้เราแย่ และจมกับความรู้ หรือ กลายเป็นคนชั่วในที่สุด
สำเร็จอรหันต์ ก็ไม่ต้องไปประกาศให้ใครรู้ ถ้าบรรลุด้วยวิธีปัจเจก จากตำรา
ก็ไม่ต้องประกาศ ไม่มีใครอยากรู้ ไม่ต้องเอานิสัยที่ชอบ เผยแพร่คำสอน นั้น มาใช้ไม่ต้องเผยแพร่ให้ใครทั้งนั้น
ทิ้งนิสัย โง่ๆ นั้นไปด้วย ไม่ต้องพูดถึงคำสอนอะไรก็ตามที่เรา
ไม่ใช่บรรลุ จากการจำ แต่ บรรลุจากการฝึกเท่านั้น
ถึงบรรลุแล้ว เราเองก็ไม่ต้องรู้หรอกว่าบรรลุ
ลบความทรงจำพวกนั้นออกไปให้หมด


หยุดหาสาวก ที่จะมาเติมพลังให้กับคำสอนของเราเอง
บรรลุอรหันต์ ไม่จำเป็นต้องมีคำสอน และ ไม่จำเป็นต้องมีคำสอนใดๆอยู่ในหัวอีก คำสอนที่ทำให้เราบรรลุได้ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้คนอื่นบรรลุได้แบบเรา
ปล่อยวางตัวเราเองได้
แต่ทำไมถึงปล่อยคนอื่นๆไปไม่ได้
ไม่ต้องให้ใครมาเชื่อในสิ่งที่เราเชื่อ
คำสอนที่ทำให้เราบรรลุก็ลบทิ้งไป
ไม่มีความหมายกับคนอื่น

ไม่ต้องทำให้อื่นๆมีความรู้เท่าจักรวาลแบบที่เราทำได้
ถึงมีความรู้ก็ไม่ต้องใช้ ลืมๆไปบาง ไม่ต้องพูด ไม่ต้องเก็บจะได้ไม่อึดอัดใจ
เพราะเราไม่ได้มีฐานะที่จะจัดการกับคนอื่นๆได้
ปล่อยให้คนที่มีฐานะจัดการทำไป และเราคล้อยตามไป
สาวกของพระพุทธเจ้า ต้องการมาเป็นสาวกด้วยตัวเอง ไม่ใช่ไปบังคับให้มาเป็น.

เกิด ตรัสรู้ ปรินิพาน พระพุทธเจ้าไม่ได้ทำให้มันตรงกัน มันเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ
คนที่รู้คือสาวก พระพุทธเจ้าไม่รู้เรื่องการตรงกันของ วันพวกนี้เลย.

ไม่ต้องเอาความรู้ของตัวเรา ไปอัดใส่หัวคนอื่น.

 

จะพูดถึงไครรึปล่่าวครับเนี่ย

 

นั่นซิพูดถึงใครหรือเปล่าครับ

 

มีเหตุผลดีครับ ผมไม่ได้มองว่ามันเสียหายอะไรครับ

ถึงจะว่า หรือ ไม่ว่าใคร

เหมือนเป็นการเตือนสติ คนเสพคนรับข้อมูลกลายๆครับ

ต้องใช้สติกันหน่อยครับ ข้อมูลมันหลากหลายมาก อิสระการให้ข้อมูลก็เยอะ

คงต้องใช้สติ พิจารณาให้มากๆครับ


มันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวรับแล้วแหละครับ ว่าสเป็คจะแรงขนาดไหน วิเคราะห์ได้ดีเพียงใด

"เลือก" ที่จะรับ อย่างมีสติครับ

 

แต่ความ จริง ไม่เคย เห็น พระเจ้า ดาวลูกไก่ ที่ไหน
มาสอน เทวดา และมนุษย์ ให้เข้านิพพานเลย

เคย มี ไหม พระเจ้า จักรวาล มาโปรด พุทธมารดา ยัง สวรรค์ ชั้นดาวดึง

ใคร ที่ คิดว่า ตัวเอง เปน star ซีด .. ทายาท แห่งดวงดาว
ส่วนมาก จะ เปน พวกอาการ โรคจิต ผิดปกติ เล็กน้อย
คือ อยาก เห็น ตัวเองสำคัญ และพิเศษ กว่าชาวโลก ปกติ

หาก อาการ หนัก มาก หน่อย ก็จะ มี พฤติกรรม แปลก ๆ
พวกนี้ ไม่เชื่อ ว่า ตนเอง บ้า ผิด ปกติ
บางที ก็คิดไปเองว่า สามารถ ติดต่อ กับ พระเจ้าจักรวาลได้
ก็เลย ทำตัว เปน เจ้าลัทธิ
แต่ อาจ เปน อาการ ทางโรคจิต ประสาท อย่างหนึ่ง
พูดมาก พูดเก่ง และเถียงเก่งด้วย
ก็เลย มีบาง คน ที่ สติปัญญาไม่ แหลมคม พอ
ก็จะ หลงเชื่อ ยอมเปน สาวก คนบ้า (มีอยู่ไม่น้อยที่เปน มิจฉาชีพ)
ต้องระวังให้มาก ..
สิ่งที่ ไม่ใช่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือ สิ่งที่ อันตราย

 

บางครั้ง ดิฉันก็ได้ประโยชน์นะ เห็นความเหมือนในความต่าง ของการอธิบายความ

ความรู้หรือข้อมูลในทำนองนี้ ในร้านหนังสือเดี๋ยวนี้ก็มีให้เห็นเยอะแยะ
รายการโทรทัศน์เองก็เคยมี จะพบได้ในพวกเคเบิ้ลทีวี

ก็เหมือนคำเตือนในทีวีที่กล่าวว่า "โปรดใช้วิจารณญาณในการชม"
ถ้าเป็นในเว็บบอร์ด ก็คงต้อง "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน"

 

ใช่ครับ ส่วนหนึ่งผมก็ได้ความรู้ และข่าวสารจากบางคนนนี่แหละครับ อยูที่สติของผู้รับรู้มากว่า

 

ปฎิสสารกำลังจะระเบิด เกิดอนุภาคพระเจ้า หุหุ

 

"บุคคลพึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก อันชนชื่นชมไม่ถือเอาคำอันลามกกล่าววาจาอันเป็นที่รักของคนอื่น คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย คำนี้เป็นของเก่า สัตบุรุษทั้งหลายตั้งมั่นแล้วในคำสัตย์ที่เป็นอรรถเป็นธรรม วาจาหยาบเช่นขับขาน เกิดในปากของบุรุษแล้วเป็นเหตุตัดรอนตนเอง"

"บุรุษผู้เป็นพาล ผู้กล่าวคำทุภาษิตได้ฟังวาจามากของสมณะทั้งหลายหรือชนผู้พูดมาก ไม่พึงโต้ตอบด้วยคำหยาบ เพราะสัตบุรุษย่อมไม่สร้างศัตรู"

"บุคคลพึงกล่าวคำอันเป็นที่รัก ไม่พึงกล่าวคำอันไม่เป็นที่รัก" (เล่ม.47)

"บุคคลไม่ชื่อว่าตั้งอยู่ในธรรม เพราะเหตุที่วินิจฉัยคดีโดยความผลุนผลัน ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิต วินิจฉัยคดีอย่างสุขุม ทั้งสองฝ่ายพึงชื่อว่า "อยู่เที่ยงธรรม" (เล่มที่43)

อย่าตีกรอบคนอื่น

 

กระทู้มีหลายอย่าง ใครชอบ หรือสนใจอย่างไหนก็เลือกอ่านตามใจ ไม่ชอบไม่สนใจก็ลากเมาส์ผ่าน เพราะแค่เห็นหัวข้อก็รู้แล้วว่าจะสนใจดีหรือเปล่า

 

อินเตอร์เนต ใช้คลิกเข้ามาอ่านกันเอง ตามความสนใจ
ไม่ได้ยัดเยียดให้ดู เหมือนในโฆษณาทีวี มีปัญหาอะไรกับ
ความสนใจของคนอื่น

อะไรๆ ก็ขวางโลก ขวางหู ขวางตา
ก็ต้องไปอยู่คนเดียวในอวกาศ

ไม่มีความรู้หรือวิชาการใดบนโลกนี้สมบูรณ์ ไม่มีเลย
จะว่าไปเดินออกจากห้องสอบได้ 5 นาที ส่วนใหญ่ก็ลืมหมด จริงไม่จริง
อย่ากลัวว่าสมองจะรับไม่ไหว ในเรื่องมโหฬาร ความจริงมันก็ไม่ไหวอยู่แล้ว
ใครๆก็รู้ มันจึงไม่ต้องกังวลอะไรอีก

"ไม่ต้องไปประกาศให้ใครเขารู้" ชอบประโยคนี่นะ
แต่เจ้าของกระทู้ ทำด้วยหรือเปล่า ยังไงสำรวจตัวเองด้วย

ออกความเห็นเฉยๆนะ อย่ามาโกรธกันล่ะ ไม่ได้ตั้งตนเป็นอริ แต่อย่างใด
โชคดี

 

รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับคนที่อ้างว่านับถือพุทธ

คุณต้องรู้จักมองเห็นตัวเองบ้าง การกระทำที่คุณทำอยู่คุณแน่ใจแล้วเหรอว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

คนเราสามารถคิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ได้เองครับ ว่าควรเข้าถึงข้อมูลในระดับไหน อย่ามาคิดไปเองว่าคนนั้นกำลังคิดแบบนู้นคนนั้นกำลังคิดแบบนี้ เพราะคุณไม่มีทางเข้าใจความคิดของคนอื่นได้หรอก

ถ้าจะเตือนก็เข้ามาเตือนดีๆ ครับ อย่ามาพิมพ์ข้อความชวนตีแบบนี้ ศาสนาพุทธมันจะเสื่อมก็เพราะคนอย่างพวกคุณมากกกว่า

"ไม่ต้องเอาความรู้ของตัวเรา ไปอัดใส่หัวคนอื่น." อื่มๆ จำไว้ด้วยก็ดีนะครับ จขกท อย่าเอาแต่ว่าคนอื่นทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรไปมากกว่าคนที่ตัวเองกำลังว่าเลย ลองกลับไปอ่านสิ่งที่ตัวเองพิมพ์ดีๆ ตรรกะมันแปลกๆ เหมือนว่ามันขัดแย้งในตัวของมันเองอยู่นะ