เรื่องที่ผมอยากจะทราบนี้มันผิดหรือไม่อย่างไรครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ติดบ่วง, 1 พฤษภาคม 2012.

  1. ติดบ่วง

    ติดบ่วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2012
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +771
    คือผมก็กลัวว่าการตั้งคำถามแบบนี้มันจะไปเป็นการไม่เคารพพระศาสดาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่าอ่ะครับ แต่มันเป็นข้อสงสัยอยู่ลึกๆที่อยากหาคำตอบอ่ะครับ (ก็ลองนั่งๆเขียนคำถามใส่เศษกระดาษมาเป็นข้อๆเพื่อจะหาคำตอบในเว็บบอร์ด)อยากรู้ที่มาที่ไป อยากได้คำตอบแบบมีสาระ อ่ะนะครับ (แม้บางคำถามจะดูว่าไร้สาระไปบ้าง จริงๆก็กังวลนะครับว่าจะถูกตำหนิว่าเป็นคำถามไม่สร้างสรรค์)เริ่มถามเลยนะครับ

    1.ภพภูมิ เกิดมาตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นผู้สร้าง แล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดมาพร้อมการกำเนิดโลกหรือก่อนหน้านั้น

    2. วิญญาณ ดวงวิญญาณก่อเกิดมาจากไหน ก่อเกิดพร้อมๆกับกำเนิดโลกหรือไม่

    3.กฏแห่งกรรมนั้นมีเฉพาะผู้ที่เวียนว่ายในโลกเพียงอย่างเดียวหรือไม่ หากมีดวงจิตอื่นนอกโลกในจักรวาล อนันตจักรวาล หรือในที่ที่กว้างขวางกว่านั้น จะต้องอยูภายใต้กฎแห่งกรรมหรือไม่ครับ

    4.เหตุใดการกำเนิดสัตว์โลกจึงต้องมีมนุษย์กำเนิดเกิดขึ้นมา ทั้งๆที่สัตว์เดรัจฉานก็กำเนิดมาก่อนมนุษย์ หรือการเกิดของมนุษย์ก็เพื่อกำเนิดมาค้นหาวิธีการตัดการเวียนว่ายตายเกิด

    5.ในประวัติหรือในพุทธประวัติมีบ้างไหมครับ ข้อมูลเกี่ยวกับการระลึกชาติหรือระลึกย้อนอดีต ไปถึงการก่อกำเนิดของโลก การก่อกำเนิดของวิญญาณ โลกยุคดึกดำบรรพ์(ยุคกำเนิดสัตว์โลกยุคแรกๆจนถึงไดโนเสาร์ประมาณนี้อ่ะครับ) มีพระอรหันต์หรือผู้ปฏิบัติจนได้ญาณบารมีท่านใดกล่าวถึงบ้างไหมครับ ถ้ามีช่วยแนะนำและขอข้อมูลด้วยครับ


    ผมลองsearch อย่างคร่าวๆก็ยังไม่คำตอบที่ชัดเจนอ่ะครับ จึงอยากหาคำตอบที่ชัดเจนมากกว่าเดิม โปรดสงเคราะห์ผู้มีปัญญาน้อยอย่างผมด้วยนะครับ
     
  2. LungKO

    LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    590
    ค่าพลัง:
    +925
    ก็คงได้คำตอบเพียงว่า สิ่งต่าง ๆ เกิดมาแล้วแบบหาต้นปลายสายเหตุไม่เจอ เพราะนานนนนนน นนนนนนนนน นาน เหลือเกิน ภาษาบาลีท่านว่า อะนะมะตัคคะ แปลว่าหาเบื้ิองต้น และที่สุดไม่ได้ (กาล เวลา อันใคร ๆ ไปตามอยู่รู้ไม่ได้แล้ว)ถ้าใครคิดเรื่องนี้มีสิทธิ์เป็นบ้า ฯ

    รู้อย่างอื่นหมื่นแสน ก็ขาดแคลนเขตแดนที่จะเข้าถึงนิพพาน ฯ
    รู้เท่าทันสังขาร ( รู้ทันความคิด และร่างกายของเราเอง) เป็นบทเพลงแห่งพระอรหันต์ )
    มีโสดาบันน์เป็นเบื้องต้น

    อยากทราบรายละเอียด หริอข้อมูงเพิ่มเติม สามารถค้นคว้าได้จาก อัคคัญญสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ 11 (ฉบับ มหาจุฬา ปี 2539 เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเข้าอยู่หัว ฯ เล่มสีเหลือง และ สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ เล่มสีฟ้า ) นะครับ
     
  3. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    1.ภพภูมิ เกิดมาตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นผู้สร้าง แล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดมาพร้อมการกำเนิดโลกหรือก่อนหน้านั้น

    2.วิญญาณ ดวงวิญญาณก่อเกิดมาจากไหน ก่อเกิดพร้อมๆกับกำเนิดโลกหรือไม่


    <noscript></noscript>พระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องการอุบัติขึ้นมาของสรรพสิ่งในโลก และวิวัฒนาการของสัตว์มนุษย์และสังคม ว่า ในอดีตกาลนานมาแล้ว โลกนี้ได้พินาศ สัตว์ทั้งหลายไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหมกันโดยมาก และเมื่อโลกอุบัติขึ้นมาใหม่ สัตว์เหล่านั้นก็จุติมาสู่โลกนี้ เป็นผู้เกิดขึ้นจากใจ กินปีติเป็นอาหาร (ยังมีอำนาจฌานอยู่) มีแสงสว่างในตัว ไปได้ในอากาศ มีสภาพเหมือนเช่นในชั้นอาภัสสรพรหม ในขณะที่โลกวิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ๆนั้น จักรวาลทั้งจักรวาล มีแต่น้ำ มีแต่ความมืด ไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ไม่มีดาวนักษัตรทุกชนิด ไม่มีกลางวันและกลางคืน ไม่ปรากฏเวลาเป็นเดือน เป็นปี มนุษย์ที่จุติจากอาภัสสรพรหม อาศัยอยู่ในโลกตอนนั้น ไม่ปรากฏเพศชาย และเพศหญิง แต่ก็รู้ตัวว่าเป็นสัตว์มนุษย์
    เมื่อเวลาผ่านพ้นนานไป จึงเกิดมีง้วนดินลอยอยู่บนน้ำ ง้วนดินนั้นมีลักษณะเหมือนนมสดที่เคี่ยวให้งวด มีกลิ่น รส สี คล้ายเนยใสมีรสดุจน้ำผึ้ง สัตว์พวกนี้จึงลองชิมดูก็ชอบใจ เลยหมดแสงสว่างในตัว เมื่อแสงสว่างหายไป ก็มีพระจันทร์พระอาทิตย์ มีดาวนักษัตร มีคืนวัน มีเดือน มีกึ่งเดือน มีฤดูและปี เมื่อกินง้วนดินเป็นอาหาร กายก็หยาบกระด้าง ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏ พวกมีผิวพรรณดี ก็ดูหมิ่นพวกมีผิวพรรณทราม เพราะดูหมิ่นผู้อื่นผู้อื่นเรื่องผิวพรรณ เพราะความถือตัวและดูหมิ่นผู้อื่น ง้วนดินก็หายไป ต่างก็พากันบ่นเสียดาย



    แล้วก็เกิดกระบิดินที่คล้ายเห็ดสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรสขึ้นแทนใช้เป็นอาหารได้ แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายก็หยาบกระด้างยิ่งขึ้น ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏชัดขึ้น เกิดการดูหมิ่นถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น กระบิดินก็หายไป จึงเกิดเครือดินคล้ายผลมะพร้าวสมบูรณ์ด้วย สี กลิ่น รสขึ้นแทน ใช้กินเป็นอาหารได้ ความหยาบกระด้างของกาย และความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น เกิดการดูหมิ่นถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น
    เครือดินก็หายไป เกิดข้าวสาลีไม่มีเปลือก มีกลิ่นหอมมีเมล็ดเป็นข้าวสุกขึ้นแทน ใช้เป็นอาหารได้ ข้าวนี้เก็บเย็นเช้าก็สุกแทนที่ขึ้นมาอีก เก็บเช้าเย็นก็สุกแทนที่ขึ้นมาอีก ไม่มีพร่อง ความหยาบกระด้างของกาย ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น จึงปรากฏเพศหญิงและเพศชาย เมื่อต่างเพศเพ่งกันและกันก็เกิดความกำหนัดเร่าร้อน เกิดเพศสัมพันธ์กันขึ้น การร่วมเพศเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ จึงพากันเอาสิ่งของขว้างปา เพราะในสมัยนั้นถือว่าเป็นอธรรม เมื่ออยากเสพต้องไปกระทำนอกชุมชน เช่นกับที่สมัยนี้ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง
    ต่อมาจึงรู้จักสร้างบ้านเรือน ปกปิดซ่อนเร้น ต่อมามีผู้เกียจคร้านที่จะนำข้าวสาลีมาตอนเช้าเพื่ออาหารเช้า นำมาตอนเย็นเพื่ออาหารเย็น จึงนำมาครั้งเดียวให้พอทั้งเช้าทั้งเย็น ต่อมาก็นำมาครั้งเดียวให้พอสำหรับ ๒ วัน ๔ วัน ๘ วัน มีการสะสมอาหาร จึงเกิดมีเปลือกห่อหุ้มข้าวสาลี ที่เกี่ยวแล้วก็ไม่งอกขึ้นแทน มีการขาดแคลนเป็นตอนๆ ตั้งแต่นั้นมา ข้าวสาลีจึงมีเฉพาะเป็นบางแห่ง



    สัตว์มนุษย์เหล่านั้นจึงประชุมกันปรารภความเสื่อมลงโดยลำดับ แล้วมีการแบ่งข้าวสาลีและปักปันเขตแดนกัน ต่อมาบางคนรักษาส่วนตน ขโมยของคนอื่นมาบริโภค เมื่อถูกจับได้ ก็เพียงแต่สั่งสอนกันไม่ให้ทำอีก เขาก็รับคำ ต่อมาขโมยอีก ถูกจับได้ถึงครั้งที่ ๓ ก็สั่งสอนเช่นเดิมอีก แต่บางคนก็ลงโทษ ตบด้วยมือ ขว้างด้วยก้อนดิน ตีด้วยไม้



    ต่อมาสัตว์ระดับผู้ใหญ่จึงประชุมกันปรารภว่า การลักทรัพย์ การติเตียน การพูดปด การจับท่อนไม้เกิดขึ้น ควรจะแต่งตั้งสัตว์ผู้หนึ่งขึ้นให้ทำหน้าที่ติผู้ที่ควรติ ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ โดยพวกที่เหลือจะแบ่งส่วนข้าวสาลีให้ จึงเลือกคนที่งดงาม น่าเลื่อมใส น่าเกรงขาม แต่งตั้งเป็นหัวหน้า เพื่อปกครองคนติและขับไล่คนที่ทำผิด คำว่า มหาชนสมมติ (ผู้ที่มหาชนแต่งตั้ง) กษัตริย์ (ผู้ใหญ่ยิ่งแห่งเขต) ราชา (ยังชนอื่นให้สุขใจโดยธรรม) กษัตริย์จึงเกิดขึ้น ซึ่งมาจากสัตว์พวกเดียวกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่โดยอธรรม ธรรมะจึงเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต



    ต่อมามีสัตว์บางกลุ่มออกบวชมุ่งลอยธรรมที่ชั่ว ที่เป็นอกุศล จึงมีนามว่า พราหมณ์ (ผู้ลอยบาป) สร้างกุฎีหญ้าขึ้น เพ่งในกุฎีนั้น จึงมีนามว่า ฌายกะ (ผู้เพ่ง) สัตว์บางคนไปอยู่รอบหมู่บ้านรอบนิคม แต่งคัมภีร์ จึงถูกเรียกว่า อัชฌายกะ (ผู้ไม่เพ่ง) การทรงจำ การสอน การบอกมนต์ เกิดจากการไม่เพ่ง เดิมมีความหมายเลว แต่บัดนี้มีความหมายทางดี
    ยังมีสัตว์บางกลุ่ม ถือการเสพเมถุนธรรม ประกอบการงานเป็นแผนกๆ จึงมีชื่อว่า เวสสะ (ประกอบการค้า) และยังมีสัตว์บางกลุ่ม ประกอบการล่าสัตว์ อาศัยการล่าสัตว์เลี้ยงชีพ จึงมีชื่อว่าศูทร



    ครั้นแล้วตรัสสรุปว่า ทั้งพราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็เกิดจากสัตว์พวกนั้น มิใช่เกิดจากสัตว์พวกอื่น เกิดจากสัตว์ที่เสมอกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่อธรรม แล้วตรัสต่อไปว่า มีสมัยซึ่งบุคคลในพวกทั้ง ๔ มีกษัตริย์เป็นต้น ไม่พอใจธรรมะของตนออกบวช ไม่ครองเรือน จึงเกิด สมณมณฑล ซึ่งมาจากพวกสัตว์ทั้ง ๔ กลุ่มนั่นเอง จะแตกต่างกันเพราะธรรม



    ครั้นแล้วสรุปว่า ทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร และสมณะ ถ้าประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ มีความเห็นผิด ประกอบกรรมซึ่งเกิดจากความเห็นผิด เมื่อตายไปก็จะเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก เหมือนกัน ถ้าตรงกันข้าม คือ ประพฤติสุจริต ทางกาย วาจา ใจ มีความเห็นชอบ ประกอบกรรมซึ่งเกดจากความเห็นชอบ เมื่อตายไป ก็จะเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ เหมือนกัน หรือถ้าทำทั้งสองอย่าง ก็จะได้รับทั้งสุขทั้งทุกข์เหมือนกัน ถ้าทั้ง ๔ พวกนี้สำรวม กาย วาจา ใจ อาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้ง ๗ ก็จะปรินิพพานได้ในปัจจุบันเหมือนกัน และวรรณะทั้ง ๔ เหล่านี้ ผู้ใดเป็นภิกษุ สิ้นอาสวะแล้ว มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว หมดกิจ ปลงภาระ หลุดพ้นเพราะรู้โดยชอบ ผู้นั้นก็นับว่าเป็นยอดแห่งวรรณะเหล่านั้นโดยธรรมมิใช่โดยอธรรม เพราะธรรมเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต



    ในที่สุดตรัสย้ำถึงภาษิตของ สนังกุมารพรหมและของพระองค์ ที่ตรงกันว่า กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่ชนผู้ถือโคตร แต่ผู้ใดมีวิชาและจรณะ (ความรู้และความประพฤติ) ผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐสุดในเทวดาและมนุษย์ ฯ
    วิวัฒนาการของโลก จากคัมภีร์ อัคคัญญสูตร


    จากสาระสำคัญที่ปรากฏในพระไตรปิฎก จะเห็นถึงกระบวนการวิวัฒนาการของการเกิดเป็นมนุษย์ มีจุดเริ่มต้นมาจากอาภัสสรพรหม ซึ่งมาจากพรหมโลกเป็นพวกที่ทรงฌาน มีกายและใจ ที่ละเอียดอ่อน มาเกิดบนโลกซึ่งมีแต่น้ำ มนุษย์ยุคแรกจึงต้องอยู่บนอากาศ และใช้เวลาอันนานแสนนาน กว่าจะเกิดพื้นดิน และที่อยู่อาศัยบนพื้นโลกได้ ในพระไตรปิฎกมิได้บอกระยะเวลาไว้ แต่อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์กลุ่มแรกนี้มีลักษณะคล้ายเทพ และ/หรือ กึ่งเทพ มิได้กล่าวถึงอายุขัย ไม่ต้องกินอาหาร ไม่มีการแยกเพศ ไม่มีการกล่าวถึงจำนวนคนและความสัมพันธ์ภายในชุมชน ดูเหมือนว่ากระบวนการเกิดสังคมจะเริ่มขึ้น เมื่อมนุษย์มีการค้นพบอาหาร(ง้วนดิน)และลองชิมจนติดใจจึงเกิดการทำตามกันต่อๆมา จนเกิดการแบ่งแยกผิวพรรณกันขึ้น เมื่อมนุษย์กินอาหารนั้นทำให้ความเป็นกึ่งเทพหมดไป จึงต้องดิ้นรนแก่งแย่งกัน เกิดการสืบพันธ์ สร้างครอบครัว สะสมอาหาร มีระบบการปกครอง มีการสร้างกฎเกณฑ์ของชุมชน มีการลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎระเบียบของส่วนรวม ในที่สุดความเป็นสังคม และความเป็นรัฐก็วิวัฒนาการมาตามลำดับจนถึงปัจจุบัน จากข้อเขียนของบรรจบ บรรณรุจิ ได้กล่าวถึงวิวัฒนาการของโลกไว้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าหลังพินาศแล้วโลกกลับเจริญขึ้นอีก เรียกยุค นี้ว่า "วิวัฎฎกัปป์" มีวิวัฒนาการ ๒ อย่างคือ



    ๑. วิวัฒนาการทางด้านวัตถุ เริ่มจากน้ำ ต่อมาบนผิวน้ำเกิดง้วนดิน เกิดดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ง้วนดินหายไปเกิดกระบิดิน จากกระบิดินเกิดเครือดินแทน จากเครือดินเกิดข้าวสาลีแทน ต่อมาเกิดรำและแกลบหุ้มข้าวสาลี พระอรรถกถาจารย์รุ่นต่อมาได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อโลกก่อตัวขึ้นอีกมีเมฆใหญ่ปกคลุม เกิดฝนตกหนักท่วม จากนั้นเกิดพายุใต้น้ำผสมกับลมพัดน้ำจนงวดเกือบถึงพื้นดินเดิม แล้วเกิดลมพายุอีกช่วยกักน้ำให้อยู่ในระดับคงที่ไม่ไหลเรื่อยไป ลมอุ้มน้ำไว้และน้ำอุ้มแผ่นดินเอาไว้ ลมทำให้น้ำปั่นป่วน ซึ่งเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหว ทำให้เกิดเป็นแผ่นดินใหญ่ [พื้นผิวโลก] ส่วนน้ำนั้นมีรสอร่อย งวดเข้าเป็นง้วนดิน ซึ่งเป็นอาหารมนุษย์ในยุคแรก


    ๒. วิวัฒนาการทางด้านชีวิต ในทรรศนะของนักชีววิทยาซึ่งสรุปได้ว่า สิ่งที่มีชีวิตเกิดมาจากวิวัฒนาการทางด้านเคมีก่อน [สิ่งไร้ชีวิต] ครั้นแล้ววิวัฒนาการทางด้านเคมีนั้นก็แปรสภาพมาเป็นหน่วยชีวิตที่เรียกว่า “เซลล์” [สิ่งมีชีวิต] และเซลล์นั้นเองนับได้ว่าเป็นโครงสร้างขั้นมูลฐานของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด


    ส่วนใน ทรรศนะของพระพุทธเจ้า จากอัคคัญญสูตร ทำให้ทราบว่าชีวิตของพืช และชีวิตของมนุษย์ เกิดมาพร้อมกับการเกิดขึ้นของโลกนั่นเอง เป็นมนุษย์พวกแรกในโลก เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันมีลักษณะพิเศษคือ เกิดจากใจของตนเอง , มีแสงในตัวเอง มีปีติเป็นอาหาร ท่องไปในอากาศได้ อยู่วิมาน ไม่มีผู้หญิงผู้ชาย เป็นอาภัสสรพรหมจุติมาเป็นมนุษย์ ร่างกายของมนุษย์พวกนี้ วิวัฒนาการไปเป็นร่างกายที่หยาบ เนื่องจากอาหารและสภาพจิตที่เปลี่ยนไป บริโภคอาหารหยาบขึ้น ติดใจในรสอาหารนั้น (เกิดตัณหา) สภาพจิตใจก็หยาบขึ้นด้วย ร่างกายที่เคยละเอียดก็หยาบ จนกระทั่งมีลักษณะเพศปรากฏว่า เป็นหญิงหรือชาย สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้เป็นวิวัฒนาการทางด้านเคมีและทางด้านชีวภาพ เมื่อมีเพศจึงเสพเมถุนธรรมกัน จึงถูกสังคมลงโทษ แต่ในเวลาต่อมาถือเป็นเรื่องธรรมดา แล้วกำเนิดของมนุษย์ในแบบใหม่ ต้องอาศัยมารดาบิดาเป็นผู้ให้กำเนิดอย่างในปัจจุบันจึงเริ่มต้นมาด้วยประการฉะนี้


    [​IMG]


    http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-90.htm



    3.กฏแห่งกรรมนั้นมีเฉพาะผู้ที่เวียนว่ายในโลกเพียงอย่างเดียวหรือไม่ หากมีดวงจิตอื่นนอกโลกในจักรวาล อนันตจักรวาล หรือในที่ที่กว้างขวางกว่านั้น จะต้องอยูภายใต้กฎแห่งกรรมหรือไม่ครับ

    จุไร ท่องเที่ยวดวงดาว โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    http://www.palungjit.org/smati/books/jurai/index.htm



    4.เหตุใดการกำเนิดสัตว์โลกจึงต้องมีมนุษย์กำเนิดเกิดขึ้นมา ทั้งๆที่สัตว์เดรัจฉานก็กำเนิดมาก่อนมนุษย์ หรือการเกิดของมนุษย์ก็เพื่อกำเนิดมาค้นหาวิธีการตัดการเวียนว่ายตายเกิด


    สัตว์เดรัจฉานนั้นเกิดที่หลังมนุษย์ครับ




    5.ในประวัติหรือในพุทธประวัติมีบ้างไหมครับ ข้อมูลเกี่ยวกับการระลึกชาติหรือระลึกย้อนอดีต ไปถึงการก่อกำเนิดของโลก การก่อกำเนิดของวิญญาณ โลกยุคดึกดำบรรพ์(ยุคกำเนิดสัตว์โลกยุคแรกๆจนถึงไดโนเสาร์ประมาณนี้อ่ะครับ) มีพระอรหันต์หรือผู้ปฏิบัติจนได้ญาณบารมีท่านใดกล่าวถึงบ้างไหมครับ ถ้ามีช่วยแนะนำและขอข้อมูลด้วยครับ


    อ่านพระไตรปิฎก .. น่าจะได้คำตอบครบ


    ..............................................
     
  4. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    ผมจะดึงคุณให้พ้นห่วง...
    โลกอุบัติขึ้น14000ล้านปีมาแล้ว...
    สิ่งมีชีวิตอุบัติขึ้น(ในทะเล)4500ล้านปีมาแล้ว(นี่หลักวิจัยทางวิทยาศาสตร์)..
    ...ศาสนาพุทธอธิบายเพียงช่วงหลังเกิดบิ๊กแบง....(เกิดจักรวาล)ว่า...จิต มาจากไหน ทำนองนี้...
    ...แต่วิทยาศาสตร์อธิบายถึงวิวัฒนาการของดินน้ำลมไฟ ทำปฏิกริยาซึ่งกันและกันเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมา แล้ว วิวัฒนาการต่อๆมา สิ้นสายพันธ์ แปรเปลี่ยนสายพันธ์ฯลฯซึ่งมันเป็น
    อัติโนมัติ มีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนั้น... มีหนึ่งจึงมีสองฯลฯ ตามที่พระพุทธเจ้าค้นพบก่อนล่วงหน้า2600ปีง่ายๆมีพ่อ ก็ มีแม่ ก็ต้องมีลูก....นี่หยาบๆ....
    ...ดังนั้น การกระทำของมนุษย์สัตว์เทวดา ทุกวินาทีที่เกิดดับๆเป็นกรรมทั้งสิ้น...
    ..กรรมนี่จึงพาให้คนมาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาตาย..วนเวียนกันไปเรื่อยๆไม่มีสิ้นสุด..
    กรรมนี่แหละที่ทำให้เกิด ชาติ ชรา มรณะ...ของมนุษย์สัตว์เทวดาฯ
    ...กรรมนี่ ถ้าพูดหยาบๆ มันเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ มันเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ แอคชั่นเท่ากับรีแอคชั่น... อิเลคตรอน โปรตอน นิวตรอน ทำงานของมันอัติโนมัติ เป็นไปตามธรรมชาติของมัน....พวกนี้คือ พลังงานที่เป็นตัวการสร้างกรรมขึ้นมาในวิวัฒนาการต่างๆ
    ...กรรมนี่ วิวัฒนาการจนเกิดภพภูมิ31 ภพภูมิขึ้นมา...(ภพมนุษย์ ภพผี ภพเทวดาฯลฯ)..ซึ่งในอนาคต...ภพภูมิอาจลดเหลือ30 ภพ หรือเพิ่ม เป็น 32 ภพ ก็ได้ ตามกรรม
    ..แม้ว่าไอน์สไตน์บอกจักรวาลขยายตัวไปเรื่อยๆ แต่ภพภูมิ อาจลดหรือ เพิ่ม ก็เป็นได้ทั้งสองทาง...
    ...การคิดเรื่องนี้ ไม่บังควร..เพราะแค่ใบไม้ในกำมือ เราก็สมองแตกแล้ว ใบไม้ในป่าใหญ่อีก...
    ..มีวิธีเดียวที่จะรู้ความจริง ความจริงทำให้ตัดกิเลศได้ ไม่มีกิเลศ ก็หลุดพ้นวัฏฏสงสารได้
    ..คือ ลงมือทำเอง ปฏิบัติเอง...ซึ่งพระพุทธเจ้าให้แนวทางไว้แล้ว
    1.ไปบวช(สายพระป่าดีกว่า)
    2.ยึดธุดงควัตร13และขันธวัตร14
    3.วิปัสสนากรรมฐาน(40 แล้วแต่เลือก)
    4.มีวาสนาก็จะรู้ความจริงทั้งหมด ด้วยตนเอง.คือ เป็นพระอรหันต์นั่นเอง...
    ..หรือ อยากรู้ความจริง...ก็ไม่ควรมาถาม"หนอนตำรา"เช่น ผม หรือ ใครๆ
    ..เพราะผมเอาตำรามาตอบ ไม่ได้ปฏิบัติเอง รู้เองทั้งสิ้น...คือ ขี้โม้เหลวไหลนั่นเอง
    ..คุณควรไปขอความเมตตาจากพระป่าสายพระอาจารย์มั่น ลูกศิษย์หลานศิษย์ยังเหลือหลายองค์ ไปสืบเสาะเถิด ถ้าท่านเมตตา ท่านจะบอกคุณให้หายสงสัย....และเป็นความจริงแท้...ท่านเหล่านี้ บริสุทธิ์ เดินป่า เสือยังมาเฝ้า...แต่ผม เดินป่ายังไม่ทันเข้าไป เสือมันกระโดดมาคาบไปกินแล้ว เพราะกิเลศเต็มดวงจิต...ฮา
     
  5. ติดบ่วง

    ติดบ่วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2012
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +771
    ขอบคุณครับสำหรับทุกๆคำตอบ อยากให้มีข้อมูลมากๆยิ่งดีอ่ะครับ ความสงสัยของผมก็คือที่มาอ่ะครับ แต่ที่ไปก็คือต้องนิพพานอย่างเดียว วิธีค้นหาความจริงก็คือต้องปฏิบัติอย่างเดียวครับเรื่องนี้ก็มีคำตอบอยู่ในใจส่วนหนึ่งอ่ะครับ แต่ก็ลองๆหาข้อมูลเชิงอ้างอิงก่อนอ่ะครับ เพราะทางเลือกที่จะหาคำตอบนี้สำหรับคนโง่และกิเลสหนา,บาปหนาอย่างผมคงอีกไกลมากครับ

    เพิ่มเติมนิดนึงนะครับ ถ้ายังไงมีลิงค์เว็บไหนเพิ่มเติม หรือ ข้อมูลจากพระไตรปิฎก ช่วยลงให้ทีนะครับ ขอบพระคุณทุกท่านจากใจจริงครับ

    อนุโมทนาสาธุครับ
     
  6. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    1.ภพภูมิ เกิดมาตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นผู้สร้าง แล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดมาพร้อมการกำเนิดโลกหรือก่อนหน้านั้น
    - ภพภูมิมีไว้สำหรับแบ่งระดับจิต ไม่มีใครสร้าง มันเกิดขึ้นมาเอง

    2.วิญญาณ ดวงวิญญาณก่อเกิดมาจากไหน ก่อเกิดพร้อมๆกับกำเนิดโลกหรือไม่
    - ถ้าหมายถึงดวงจิตละก็ เคยอ่านเจอว่ามันเป็นธาตุรู้นะครับ มันมีอยู่แล้ว
    แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากไหน ( มันเป็นอจิณไตย )


    3.กฏแห่งกรรมนั้นมีเฉพาะผู้ที่เวียนว่ายในโลกเพียงอย่างเดียวหรือไม่ หากมีดวงจิตอื่นนอกโลกในจักรวาล อนันตจักรวาล หรือในที่ที่กว้างขวางกว่านั้น จะต้องอยูภายใต้กฎแห่งกรรมหรือไม่ครับ
    - กฏแห่งกรรม มีผลกับทั้ง 3 โลกครับ กามโลก รูปโลก อรูปโลก ดังนั้นผมคิดว่า
    ในจักรวาลนี้และในอนันตจักรวาล กฏแห่งกรรมก็น่าจะมีผลเหมือนกัน


    4.เหตุใดการกำเนิดสัตว์โลกจึงต้องมีมนุษย์กำเนิดเกิดขึ้นมา ทั้งๆที่สัตว์เดรัจฉานก็กำเนิดมาก่อนมนุษย์ หรือการเกิดของมนุษย์ก็เพื่อกำเนิดมาค้นหาวิธีการตัดการเวียนว่ายตายเกิด
    - เอาง่ายๆผมเองก็เคยสงสัยว่าทำไมมนุษย์ถึงได้มีรูปร่างแบบนี้ หลักจากศึกษาหาอ่านเอา
    ได้ความว่า เพราะอายตนะ 6 ประการ จึกทำให้ได้สัตว์มนุษย์รูปร่างแบบนี้


    5.ในประวัติหรือในพุทธประวัติมีบ้างไหมครับ ข้อมูลเกี่ยวกับการระลึกชาติหรือระลึกย้อนอดีต ไปถึงการก่อกำเนิดของโลก การก่อกำเนิดของวิญญาณ โลกยุคดึกดำบรรพ์(ยุคกำเนิดสัตว์โลกยุคแรกๆจนถึงไดโนเสาร์ประมาณนี้อ่ะครับ) มีพระอรหันต์หรือผู้ปฏิบัติจนได้ญาณบารมีท่านใดกล่าวถึงบ้างไหมครับ ถ้ามีช่วยแนะนำและขอข้อมูลด้วยครับ
    - ถ้าเป็นไปได้ขอแนะนำให้หาอ่าน หรือ ฟัง
    คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ อ่านบ่อยๆ ฟังเยอะๆ จะได้คำตอบเอง
    :cool:
     
  7. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    อจิณไตยแท้ ......................... ถึงรู้ก็ไม่ตอบ เพราะรุ้ไปก็ไม่เห็นมีประโยชน์มีแต่โทษ มัวแต่ติดนั่นติดนี่
     
  8. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,732
    ค่ะ อนุโมทนากับ เฮียปอ ด้วยคนค่ะ สาธุ เฮียมีแต่ส่ิงดีๆมาฝากเสมอเลย แจ่มแท้
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .....จริงจริง พระพุทธศาสนาสอน ถึง ขันธิ์ทั้ง5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ผมจะไม่ลงรายละเอียด...แต่ อยากให้คุณคิดถึงเรื่องอดีต อย่างตอนเรียนประถม หรือ มัธยม...สิ่งที่เกิดแล้วผ่านไปแล้วทุกอย่าง นั้น ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็เป็นแค่ความจำได้หมายรู้เท่านั้น และ ขันธิ์ทั้ง5 ยังคงทำหน้าที่ประกอบเป็นเราอยู่ตลอดเวลา แม้ปัจจุบันนี้...ทีนี้พอเข้าใจที่ผมยกมาสักนิดนึงก็จะพอทำความเข้าใจต่อได้ว่า ไอ้เรื่องที่เราจะจินตนาการไปถึงการกำเนิดจักรวาล หรือไดโนเสาร์ แท้จริงมันก็เป็นขันธิ์ใดขันธิ์หนึ่งของเรานั่นคือ สังขาร ความคิดปรุงแต่ง มันเองก็จะอยู่เฉพาะเวลาเราคิด แต่เวลาเรากินอาหารหรือดูหนัง เราก็ลืมเรื่องที่เราคิดเรื่องเหล่านี้ไป เท่ากับมันมีการเกิดดับแห่งความคิด เท่านั้นเอง..จริงไม่จริงต้องใคร่ครวญ สมถะช่วยตรงนี้ได้ คุณไม่สามารถดึงคน สัตว์ สิ่งของในอดีตกลับมาที่ปัจจุบันได้ เพราะมันเกิดดับไปแล้ว...ความจริงอันนี้ คือ ขันธิ์5(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน)มันไม่เที่ยง...พอมันไม่เที่ยง มันไม่มีตัวตนที่เที่ยง จึงไม่มีสาระพอที่จะคิดว่ามันเป็นอัตตา...พอเราเริ่มมีปัญญาในส่วนที่เห็นจริงอย่างนี้...ความสงสัยอย่างที่เจ้าของกระทู้ถามมา จะค่อยค่อยคลาย และจะปลูกศรัทธาในการเรียนรู้พระพุทธศาสนาว่า นี่แหละ ของแท้ นี่แหละของจริง...:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2012
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    หรือตามหลักอิทิปัจจัยตา ปฎิจสมุปบาท...อวิชชาปัจจัยสังขาร สังขารปัจจัยวิญญาน วิญญานปัจจัยนามรูป นามรูปปัจจัยสฬายตนะ สฬายตนะปัจจัยผัสสะ ผัสสะปัจจัยเวทนา เวทนาปัจจัยตัณหา ตัณหาปัจจัยอุปาทาน อุปาทานปัจจัยภพ ภพปัจจัยชาติ ชาติปัจจัย ชรามรณะ ทุกข์โทมนัส อุปายาส...หรือที่พระองค์ทรงประกาศจตุราริยสัจ อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.............ขันธิ์ห้า อุปาทานขันธิ์ห้า นั่นแหละเป็นทุกข์ มันเป็นอนิจจัง(ไม่เที่ยง) ทุกขัง(ทนอยู่ไม่ได้) อนัตตา(ไม่มีตัวตนที่เที่ยง)...:cool:
     
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .........หรือ อย่าง ชุดคำถามที่คุณสงสัยมันก็เป็นเพียงขันธิ์หนึ่งของ จขกท...ถ้าคุณจากโลกนี้ไปแล้ว คำถามคำตอบเหล่านี้ไม่ได้แสดงความจริงใดได้เท่ากับ ความจริงแท้ในพระพุทธศาสนาที่สอนเรื่องขันธิ์5และกฎไตรลักษณ์...อันนี้คือคำตอบสุดท้าย..ไม่ว่าคุณจะทบทวนสักกี่พันครั้งก็ตาม:cool:ทำความเข้าใจในขันธิ์5ให้ชัดเจนจะพบคำตอบครับ เพราะผมเชื่อว่าไม่ว่าคุณจะฟังคำตอบใดจากใคร..ไม่มีทางที่คุณจะเข้าใจได้ไม่มีเลยจริงจริง นอกจากการเริ่มต้นที่เข้าใจเรื่องขันธิ์5ก่อน..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2012
  12. พันมณี

    พันมณี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +49
    ອານຸໂມທະນາ ສາທຸເຈົ້າ
     

แชร์หน้านี้

Loading...