เรื่องเล่ากฏแห่งกรรม ตอน ตาเคลิ้มคนตระหนี่ไปนรก

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 24 ธันวาคม 2009.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เรื่อง ตาเคลิ้ม
    โดย พระราชสุทธิญาณมงคล
    จากหนังสือกฏแห่งกรรม โดย
    หลวงปู่จรัญ วัดอัมพวัน
    [​IMG]

    เรื่องของตาเคลิ้มนี้ เป็นเรื่องจากประสบการณ์ที่อาตมาได้รับรู้มาเป็นเวลานานแล้ว ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ซึ่งในสมัยนั้นอาตมาเพิ่งเริ่มที่จะสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ เรื่องนี้น่าจะเป็น

    อุทาหรณ์เตือนใจพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างดี จึงขอนำมาเล่าในวันนี้ตาเคลิ้มมีบ้านอยู่ที่ฝั่งธนบุรีใกล้ริมฝั่งคลอง จึงต้องอาศัยใช้เรือเป็นพาหนะสัญจรไปมา แกมีภรรยาชื่อยายวาด นิสัยชอบ

    ทำบุญ ทำทาน และช่วยเหลือกิจการงานของวัดอย่าง สม่ำเสมอ ผิดกับตาเคลิ้มซึ่งแม้จะเป็นคนร่ำรวย แต่เรื่องของการทำบุญนั้นกลับไปชอบเลย และมักจะคอยขัดขวางยายวาดในเรื่องการ

    ทำบุญอยู่เสมอ แม้แต่การอนุโมทนาสาธุการแกก็ไม่ยอมทำแต่ประการใดเลย การทำบุญที่แกเคยทำก็มีแค่การร่วมสร้างสังกะสีสำหรับมุงหลังคาศาลาของวัดที่อยู่ใกล้ ๆ บ้านแก จำนวนหนึ่ง

    แผ่นเท่านั้น เพราะมัคทายกวัดนั้นได้มาคะยั้นคะยอให้แก่ช่วยทำบุญ จึงต้องจำใจทำ ในบ้างครั้งที่ตาเคลิ้มยอมไปวัดก็เพราะจะไปเล่นหมากรุกกับพระที่วัด ส่วนลูกหลานของแก ตาเคลิ้มก็ไม่

    ยอมให้เรียนหนังสือ เพราะถือว่ามีทรัพย์สมบัติมากที่จะให้ลูกหลานไว้ใช้
    อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันพระ ยายวาดก็จัดตระเตรียมข้าวปลาอาหารขนมนมเนยสำหรับจะถวายพระ

    ในวัดที่อยู่ทางเหนือของบ้าน แก่เกิดรู้สึกไม่ค่อยสบายเลยขอร้องตาเคลิ้มให้ช่วยนำภัตตาหารไปถวายพระแทน

    ตาเคลิ้มจึงพายเรือไปทำบุญที่วัดคนเดียว เมื่อได้นำของไปถวายพระเสร็จแล้ว จึงได้พายเรือกลับบ้าน พอดีในระหว่างทางที่กำลังพายเรือกลับบ้านอยู่นั้นแกเกิดเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง กำลัง

    จะขึ้นเรือที่มาหยุดจอดรับที่หน้าบ้านโดยมีผู้ชายสองคน นั่งอยู่ที่หัวเรือคนหนึ่ง เป็นคนมารับ ตาเคลิ้มจึงหยุดทักทายผู้หญิงคนนั้นว่า “อ้าว นั่นแกจะไปไหนนะ” ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า “เค้า

    กำลังจะเอาฉันไปส่ง แกจะไปกับฉันด้วยไหมล่ะ” ตาเคลิ้มในขณะนั้นก็รู้สึกตัวเองคล้ายเคลิ้ม ๆ ไป เลยรับปากว่าจะตามไปส่ง จึงพายเรือตามหลังไป ผู้หญิงคนนี้ความจริงได้ตายไปแล้ว แต่ตา

    เคลิ้มไม่ได้นึกอะไร คิดแต่เพียงจะพายเรือตามไปส่งเขาเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อถึงบ้านเลยไม่ได้แวะ พายผ่านบ้านไป ส่วนยายวาดอยู่บนเรือนเห็นตาเคลิ้มพายเรือตามผู้หญิงที่ตายไปแล้วคน

    นั้นไป ก็ตะโกนร้องเรียกตาเคลิ้มให้หยุด แต่เรือทั้งสองลำก็พายผ่านบ้านไป จนกระทั่งเรือไปถึงคุ้งน้ำ ยายวาดก็เห็นเรือล่มหายวับไปกับตา

    ส่วนตาเคลิ้มกำลังพายเรือลำนั้นตามหลังไป ก็ไม่ได้ยินเสียงยายวาดเรียกแต่อย่างไร รู้แต่ว่าพอพายเรือผ่านบ้านแกไป ก็รู้สึกสว่างแวบ พอแสงสว่างแวบหายปรากฏว่าเรือได้เกยฝั่งเข้าที่

    เมือง ๆ หนึ่ง คล้ายว่าจะเป็นเมืองลับแล ก็อยู่ใกล้ ๆ บ้านแกนั่นแหละ ตาเคลิ้มเลยลงไปชมดูเมืองนั้น

    ตาเคลิ้มก็ไปเจอหลวงตาองค์หนึ่งซึ่งตายไปก่อนตาเคลิ้ม และเคยไปนั่งเล่นหมากรุกกันที่วัดบ่อย ๆ ในสมัยที่หลวงตายังมีชิวิตอยู่ ตาเคลิ้มเห็นท่านไปนั่งเล่นหมากรุกกลางแดดเลยเข้าไป

    หา พอหลวงตาเห็นตาเคลิ้มก็ทักขึ้น “อ้าว เคลิ้ม ข้ามาอยู่นี่ตั้งนานแล้วไม่มีขาเล่นเลย แกมาพอดีเลย”

    หลวงตาเลยมีตาเคลิ้มเป็นเพื่อนเล่นหมากรุก หากโยมไปเจอพระองค์ไหนนั่งเล่นหมากรุก ก็ช่วยไปบอกท่านนะ ว่าไม่เชื่อเป็นถามหลวงพ่อวัดอัมพวัน มันเป็นบาปและไม่ต้องทำอะไรเลย

    การเล่นหมากรุกไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา มันจะเป็นบาปเป็นกรรม
    ในโอกาสต่อมาตาเคลิ้มก็เล่าว่า เสร็จแล้วก็มีคนมาพาตาเคลิ้มไป พาไปดูหมดเลยหลาย ๆ

    แห่ง ไปดูบางบ้านทะเลาะกัน เอาสากตีวัน อะไรต่อมิอะไรตีกัน แกก็ไปเห็นหมด แล้วเขาก็บอกว่านี่แหละบ้านอันธพาลบ้านนรกทะเลาะกันไม่พัก แล้วเขาก็เล่าว่า “นี่ตาเคลิ้มเอ๊ย บ้านแถว

    นี้มันไม่ยอมเอาลูกเรียนหนังสือ มันถึงได้เป็นเช่นนี้” ตาเคลิ้มนึกเสียใจ ดูไปเหมือนกันทั้งแถวเลย มีแต่ทะเลาะวิวาทด่ากันทุกวัน นี่แหละบ้านอัปมงคล

    พอได้ดูบ้านอีกแถวหนึ่ง เจอบ้านสวยหมดทุกคน เข้าบ้านไหนพูดเพราะหมดทุกบ้าน ต้อนรับพาทีดีเหลือเกิน ลูกก็หิ้วกระเป๋าไปโรงเรียน พอเดินต่อไปได้อีกสักหน่อยเจอมหาวิทยาลัย แล้วคน

    นำเขาก็บอกว่านี่ตาเคลิ้ม แถวนี้เขาอยู่ดีกินดีเพราะเขาลูกเรียนหนังสือ ตาเคลิ้มก็นึกเสียใจ เพราะว่าไม่ได้ให้ลูกเรียนหนังสือเลย เพราะนึกว่าทรัพย์สมบัติเรามีมาก เลยคนที่นำไปก็บอก

    ว่า “แม้แกจะมีสมบัติมาก มีเงินกี่ร้อยล้านก็ไม่เกิดประโยชน์ ดูคนมีเงินสิมันตีกันเห็นไหม เพราะมันไม่ได้เรียนหนังสือ และดูสิหมู่บ้านนี้มีมหาวิทยาลัยสวยงาม มีคนเรียนหนังสือเขาก็ไม่ทะเลาะวิวาทกัน เป็นผู้ดีเต็มขึ้น เขาพูดเพราะกันทั้งบ้าน มีลูกมีหลานก็พูดกันเพราะ ๆ ทั้งนั้น”

    ตาเคลิ้มก็นึกเสียใจว่า “เรามีลูกตั้งเก้าคน ไม่เคยให้ลูกเรียนหนังสือแม้แต่คนเดียว มีทรัพย์สมบัติไปให้ เขาก็คงผลาญหมด” แกก็นึกในใจ แล้วแกก็เดินดูมหาวิทยาลัย ดูแพทย์ศาสตร์ดู

    โรงพยาบาลเยอะแยะ แล้วคนที่นำไปก็อธิบายอีกว่า “นี่ตาเคลิ้ม พวกเขาเหล่านี้ได้สร้างโรงพยาบาลของเขาไว้นะ ที่เขามาอยู่กันนี่” แล้วตาเคลิ้มก็ไปเห็นคนเก่าที่รู้จักกันเป็นส่วนมาก

    พอเดินต่อมาก็เห็นศาลา ตาเคลิ้มก็เกิดหิวข้าวจัง หิวข้าวที่สุด ไปพบคนรู้จัก เขาก็บอกว่า “อ้าวเชิญ ตาเคลิ้มมาอย่างไรละนี่ มา มาทานข้าวกัน” ตาเคลิ้มก็เข้าไปเพราะหิวมากน้ำลายไหลเลย

    ก็ตรงไปนั่งเก้าอี้ที่โต๊ะของเขากับข้าวบริบูรณ์เลย ด้วยความหิวก็เลยเอาช้อนรีบตักขึ้นมากิน เสร็จแล้วก็ต้องรีบคายทิ้ง เพราะร้อนจังเลย เอ๊ะ จักกับข้าวดูก็ไม่ร้อน แต่พอใส่ปากกลับกินไม่

    ได้เลย กันไม่ได้ทั้งหมด ก็เลยต้องขอลาเขาไป แล้วมองดูเขากิน เขาก็กินกันได้ไม่เห็นเป็นไร ตาเคลิ้มก็นึก “โอ้นี่เราไม่ได้ทำบุญเลย พอเดินไปอีกก็มีโต๊ะกับข้าว ก็จำได้ว่านี่กับข้าวบ้านเรา

    นี่ ขนมที่ยายวาดเคยเอาไปทำบุญ ขนมตะโก้ ขนมเปียกปูน ขนมปลากริมไข่เต่า ยายวาดเขาชอบทำ ก็เข้าไปกินแต่กินไม่ได้เลย ปากพองหมดเลย มันร้อนแล้วก็มีอีกคนหนึ่งก็บอกว่านี่ของ

    เมียแก ตอนเมียแกทำบุญ แกเคยสาธุบ้างหรือเปล่า” แกก็ตอบว่า “ผมเป็นคนห้ามเลยว่า เอาไปให้พระฉันทำไม”เลยกินไม่ได้ ตาเคลิ้มแค้นใจมาก

    กลับมาอีกก็ไปเจอเสื่อปูไว้ พวกเขาก็นั่งกันเรียบร้อย ก็เรียกตาเคลิ้มให้นั่ง บอกนั่งลงไปซินี่เสื่อแก่ แกก็จำได้ว่าเป็นเสื่อของยายวาดเขา พอแกนั่งลงไปก็นั่งไม่ได้ ร้อนก้น นี่โยมจำไว้เมีย
    มาสร้างผัวไม่ได้แน่ เพราะผัวไม่ได้อนุโมทนา

    ตาเคลิ้มก็นึกแค้นใจว่า “หนอย ที่ยายวาดมาสร้างก็สตางค์เรานี่นา แล้วทำไมเราไม่ได้นะ หัวหน้าที่นั่งก็เลยย้อนถามว่า “มันสตางค์ของแกอย่างไร เขาก็ค้าขายของเขา” ตาเคลิ้มก็ตอบ

    ว่า “เอ๊ะ ก็ผัวเมียนอนอยู่ด้วยกัน ทำไมไม่ได้ด้วยกันหรือ” เขาก็ตอบว่า “ไม่ได้หรอกของใครของมัน”

    ขอให้โยมจำไว้นะ ของใครของมันนะ ไม่ใช่ว่าผัวทำแล้วเมียได้หรือเมียทำแล้วผัวได้ ยกตัวอย่างโยมเป็นภรรยามาทำกรรมฐานอยู่เจ็ดวัน ได้สติสัมปชัญญะ ได้บุญกุศลมากแล้วก็อุทิศ

    ให้ผัว แต่ผัวไม่ได้ทำกรรมฐานมันก็ไม่ได้ มันต้องมาทำเสียด้วยกันแล้วแกก็มาเล่นหมากรุกต่อ เล่นไปเล่นมาแดดเผาหลังลอกเลย แดดแรงอะไรอย่างนี้ หลวงตาก็เลยบอกว่า “นี่ตาเคลิ้ม ที่นี่
    ผิดกับวัดที่บ้านเรานะ แดดที่นี่มันแรงเผาหลังลอกหมด”

    พออีกสักครู่ฝนตกแล้ว ฝนตกลงมาเหมือนเข็ม ทิ่มแทงตัว ก็เลยต้องรีบวิ่ง แต่หลวงตาก็ไม่ได้วิ่ง เพราะไม่ได้สร้างอะไรไว้ ก็ต้องนั่งโดนเข็มทิ่มแทง จับหมากรุกค้าง ตาเคลิ้มอยู่ไม่ได้ก็วิ่ง

    เข้าศาลาหลังใหญ่ แต่ตาเคลิ้มเข้าไม่ได้เสียอีกแล้ว เข้าได้ก็อยู่ไม่ได้ เลยต้องมาหลบอยู่ตรงชายคาซึ่งมีสังกะสีอยู่แผ่นเดียว แล้วแกก็เล่าต่อไปว่าฝนที่นั้นก็แปลก ตกแล้วยังชอนมาข้างใต้
    ได้สาดมาโดนเอาหลังผมแย่เลย มันทิ่มจนเป็นตุ่ม ๆ หมดเลย

    กล่าวถึงทางบ้านของตาเคลิ้ม เป็นระยะเวลาเจ็ดวัน ยายวาดก็ไปหาหมอดูที่กรุงเทพฯ ก็ดูว่าตาเคลิ้มตาย ตายที่ใต้บ้านเพราะเรือล่ม ยายวาดก็เอาคนช่วยกันเอาแหลนไปตักมันก็ไม่มี ก็ล่อง

    ไปถามบ้านเหนือบ้านใต้ก็ไม่มีใครเจอเลย นี่ก็แสดงว่าไอ้เมืองนี่ใกล้บ้านตาเคลิ้มแน่ ๆ สรุปว่าไปหาหมอดูก็บอกว่าตายหมด ก็เลยปรึกษาลูกหลานว่า พรุ่งนี้ทำบุญเจ็ดวันให้ตาเคลิ้ม แม้จะไม่
    ได้ศพก็ช่างมันเถอะ

    พอถึงเวลาเจ็ดวัน เจ้าหน้าที่ที่พาตาเคลิ้มไปก็บอกว่า “ตาเคลิ้ม เจ้ากลับบ้านได้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เห็นหมดแล้ว” แล้วให้มาที่หอประชุมใหญ่ และถามว่า “เป็นอย่างไรตาเคลิ้ม” แกก็

    ตอบว่า “เอาหละ ต่อไปนี้ผมจะไปสร้างวัด ไม่อยากไปเข้าหุ้นกับใครเขาแล้ว เพราะมันลำบากมาก ได้ไปอยู่แค่สังกะสีแผ่นเดียว ต่อไปผมจะไปสร้างมันทั้งหลังเลย” เขาก็ถามว่า “จริงหรือ

    เปล่าตาเคลิ้ม ถ้าแกไม่ทำตาม ไม่ไปสร้าง บ้านแกจะต้องไฟไหม้นะ เพราะเสียสัจจะ ลูกเต้าก็จะซัดเซพเนจร ทรัพย์สมบัติก็จะหมด เอาหละ ตาเคลิ้มแล้วกลับไปสร้างนะ” แกตอบ “ครับ ผม

    จะสร้างครับ เพราะเงินผมเยอะ และต่อไปผมจะให้หลาน ๆ ของผมเรียนหนังสือ ในที่สุดเขาก็ส่งกลับ โดยให้ตาเคลิ้มนั่งเรือแล้วหลับตา ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันทางบ้าน เป็นเวลาตีสี่ กำลังจะทำ

    กับข้าวเพื่อทำบุญเจ็ดวันตาเคลิ้ม คนคุมเขาสั่ง “เอ้า ตาเคลิ้มหลบตา จะรีบไปส่ง” พอตาเคลิ้มหลับตาก็ได้ยินเสียงเฟี้ยว แกก็หงายท้อง เรือก็พุ่งเข้าไปที่ใต้ถุนบ้านตาเคลิ้มเลย พอแกหงาย

    ท้อง แกก็ลุกไม่ขึ้นเป็นอัมพาต ส่วนยายวาดก็กำลังจะเอาน้ำไปเทที่ใต้ถุนก็เลยเห็นเข้าก็ตะโกนเรียก “ไอ้หนูไปดูซิ นั้นพ่อ:pหรือใครนะ เลยเอาไฟมาส่องดูก็ร้อง “อ้าว พ่อมาแล้ว” เลยหาม

    ขึ้นมาบนเรือน ส่วนเรือก็ยังอยู่ใต้ถุน ยายวาดก็ถามว่า “อ้าย ไปไหนมาละนี่ ตาเคลิ้มก็อ้าปากจะตอบ แต่พูดไม่ได้ไม่มีเสียง ได้แต่ทำปากพะงาบ พะงาบ แล้วก็พลิกตัวไม่ได้ด้วย เกือบจะตาย

    เนื้อตัวก็ลอกหมดเลยเพราะไปโดนแดดในเมืองนั้นมา แล้วข้างกันเป็นรูโหว่หมดเลยเพราะไปโดนฝนมา พอค่อยยังชั่วพอที่จะลุกนั่งและพูดได้ ก็เลยเล่าให้ยายวาดและคนบ้านเหนือบ้านใต้

    ฟัง พระก็วิจารณ์กันว่าไปนรกมาบ้าง ไปเมืองลับแลมาบ้าง มันเป็นเรื่องแปลกที่ว่าไปส่งยายผู้หญิงคนนั้นมา และยายคนนั้นก็อยู่ที่เมืองนั้น แล้วตอนพายเรือไปส่งก็พายตามเขาไปนั่นแหละ พอไปถึงใต้บ้านเท่านั้นก็แวบเลย หายไปหมดเลย กลายเป็นเมือง ๆ หนึ่งเลย ดังนั้นขอสรุปว่า นรกสวรรค์นั้นอยู่รวมกันแน่นอนที่สุด แต่มันคนละภพไม่สามารถมองเห็น

    จากนั้นตาเคลิ้มก็จะเริ่มสร้างวัด ก็ไปปรึกษายายวาดว่า “เอาหละ ข้าก็ไปเห็นมาหมดแล้วนะ ข้าเสียใจเหลือเกิน ข้าอยากจะสร้างวัด” ยายวาดก็ตกลง เลยไปเรียกลูก ๆ มาตกลงกัน ก็ได้ความ

    ว่า คงจะใช้เงินสักสิบล้านสิบห้าล้านก็คงสร้างวัดย่อม ๆ ได้ ก็เลยไม่นิมนต์พระในกรุงเทพฯ มา ก็มาขอเงินห้าหมื่นว่าจะไปหาที่ให้ แล้วก็หายไปเลยหลายองค์จนชาวบ้านเขาลือว่าแกอยากจะ
    สร้างวัด

    จนในที่สุดเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจ ตาเคลิ้มแกก็ฝันไปว่า มาเจอพระรูปร่างลักษณะอย่างนั้น ๆ พอที่จะช่วยได้ อยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี เลยสเก็ตช์ภาพ แล้วให้ลูกชายมาหาบอกว่าเป็นพระที่เจริญ

    วิปัสสนา ลูกชายก็เที่ยวมา มาเจออาตมาที่วัดแจ้ง จังหวัดสิงห์บุรี อาตมากำลังฉันข้าวก็สังเกตเห็นว่า เอ๊ ใครนะมาดูเราจัง ก็ชักจะฉันข้าวไม่ลงแล้ว จ้องตามายังอาตมาจัง องค์อื่นมีก็ไม่ดู จน

    กระทั่งอาตมาฉันข้าวเสร็จก็ลงไป ก็ยังตามมาอีก แล้วมาถามว่า หลวงพ่ออยู่วัดไหนครับ ผมขอตามไปด้วย แล้วก็ลงเรือตามมา มาก็สังเกตในวัดซึ่งตอนนั้นยังไม่มีอะไรเลย พอมาตรวจดูก็

    มาบอกว่า “ใช่แล้วครับ หลวงพ่อนี่เองที่ไปเข้าฝันพ่อผม อาตมาก็ปฏิเสธ แต่เขาก็ยืนยันและนิมนต์อาตมาไปที่บ้าน แล้วลูกชายก็นั่งเล่าเหตุการณ์ให้ฟังโดยตลอด ตั้งแต่ต้นจนจบ อาตมาก็

    นึกอยากจะสืบสาวราวเรื่องความเป็นจริง ไม่ได้นึกอยากได้เงินเขาหรอก ก็เลยรับปากว่าจะไปให้

    พอถึงวันเขาเอารถมารับ วันนั้นฝนตกแต่เช้า โดยมเขาก็นิมนต์ฉันเพลเสียด้วย แต่ดูเวลาเป็นเวลาสี่โมงเช้าแล้ว ก็คิดว่าคงจะไปฉันเพลที่ไชโยนี่ เพราะเขาเอารถแท็กซี่มารับ คนขับก็อายุ

    ราวหกสิบกว่าแล้ว แล้วรถนี่มีสภาพแย่ ข้างรถก็บุบ อาตมาก็นั่งท้าย และรู้สึกง่วงก็เคลิ้ม ๆ ไป รถวิ่งมาก็เสีย วิ่งต่อไปสักพักก็เสียอีก สรุปพอรถถึงกรุงเทพฯ อาตมาไม่ได้ดูนาฬิกา ก็ลงจาก

    รถก็ไปลงเรือต่อ แต่ไม่รู้ที่ไหน เรือก็วิ่งเข้าไปในคลอง สุดทางก็ขึ้นรถต่อไปอีก แล้วเดินผ่านสวนไปจนถึงบ้านตาเคลิ้ม

    พอไปถึงก็เห็นคนมารอกันอยู่เยอะเลย จะมาดูพระที่ไปเข้าฝันตาเคลิ้ม อาตมาก็ขึ้นไปนั่งพักที่ข้างบนบ้านก็ได้ยินเสียงดัง เป๊ง เป๊ง ก็เอะใจก็มองดูนาฬิกาเป็นเวลาเพลพอดี จากวัดสี่โมงเข้า

    ห้าโมงเช้าถึงที่นั่นพอดี มันก็เป็นเรื่องแปลก เลยฉันข้าวไม่ลง มันตื้นตันเลยหยิบนาฬิกาในย่ามดู ก็คิดว่ามันไม่นาเป็นไปได้ แต่มันก็แปลกที่คนขับรถ มีกลิ่นตัวเหม็นสาบเหมือนปัสสาวะฉุน
    มาก

    แล้วแม่วาดก็มาคุยกับอาตมา ถามว่า “พระคุณเจ้าออกจากวัดกี่โมงเจ้าคะ” ก็ตอบไปว่า “สี่โมงเจ้าค่ะ”ยายวาดมอง แล้วบอกว่า “ในเวลาชั่วโมงเดียวมาถึงได้อย่างไร” ตาเคลิ้มกำลังนอนก็ลุก

    นั่งได้เลย แล้วพูดออกมาว่า “จริงแล้ว สี่โมงมาถึงห้าโมงก็ถูกแล้ว” แล้วตาเคลิ้มก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด แล้วยังชี้ให้ดูเรือ เป็นเรือสำปั้น

    สรุปตาเคลิ้มก็หันมาคุยกับอาตมาแล้วถามว่า “หลวงพ่อรับรองได้ไหมเรื่องการสร้างวัด ผมจะมอบเงินให้สิบห้าล้านในวันนี้” อาตมาก็ตอบกลับไปว่า “เป็นโบสถ์หลังเดียวได้ไหมเพราะที่วัด

    อัมพวันกำลังจะสร้างโบสถ์” ตาเคลิ้มก็ตอบ “ไม่ได้หรอกครับ ผมจะสร้างทั้งหมด ผมฝันไปว่ารูปร่างอย่างท่านนี่จะช่วยผมสร้างวัดได้ผมเอาบ้านเหนือบ้านใต้มาเป็นพยาน และจะมอบใบจาก

    ธนาคารให้ และจะให้หลวงพ่อเซ็นรับรองและรับรองที่จะสร้างวัดให้ เพราะเข็ดที่เข้าหุ้นกับใครเหมือนสังกะสีแผ่นเดียวที่ทำให้ผมต้องเป็นอย่างนี้” อาตมาก็รับปากไม่ได้ ก็เลยผลัดบอก

    ว่า “งั้นวันหน้าค่อยพบกันใหม่ เลยลากลับเป็นเวลาตอนเย็น ก็นั่งรถมีคนหนุ่ม ๆ ขับรถคันใหม่ ๆ ไป ขับไปได้สักหน่อยรถเกิดเสียขึ้นมาอีกแล้ว ลุกชายตาเคลิ้มก็เลยไปเรียกรถคันใหม่ ไปเจอ

    เอาแท็กซี่คันเดิมที่มีตาแก่ขับเข้าอีกแล้ว ตาแก่บอก “ไปด้วยกัน” ก็เลยต้องไปกับแก แต่ก็กลับมาถึงวัดไม่มืด ทั้งที่ออกมาก็เย็นแล้ว

    แล้วต่อมา อาตมาก็ไปเยี่ยมแกอีกครั้ง ก็บอกให้แก่เฉลี่ยสร้างโรงพยาบาล สร้างอะไรอย่างอื่นเฉลี่ยกันไป แต่สำหรับอาตมาอยากสร้างถนนหนทางมากกว่า แต่แกก็บอกว่า “ไม่ได้เพราะว่า
    ได้ตั้งสัจจะมา หากผมไม่ได้สร้างไฟจะไหม้บ้าน”

    จนผลสุดท้ายอาตมาก็ไม่รับ เพราะรู้แล้วว่าเรื่องมันต้องเป็นอย่างนี้ ในที่สุดตาเคลิ้มก็ไม่สบายใจให้ลูกมาที่วัด แต่อาตมาก็ตกลงไม่ได้ ส่วนยายวาดก็กลัวตาเคลิ้มตกนรกก็ร้อนใจ ก็เฉลี่ยทำ

    บุญไปที่ละเล็ก ๆ แต่ก็สร้างวัดไม่สำเร็จ ตาเคลิ้มก็ตาย ตายก็เอาศพตั้งไว้บนบ้าน ยายวาดก็ตกใจก็เอาเงินออกมาแจกกันไปให้ลูกหลานซื้อที่ซื้อทาง ก็ผลาญกันไปหมดเลยไม่สำเร็จตาม

    เป้าหมาย ส่วนที่เหลือก็เอาไปสร้างโบสถ์ทางบางไทร จังหวัดอยุธยานี่ แต่ก็ไม่มามายจนเกินไป
    ในที่สุดยายวาดก็ตาย ทั้งที่ศพตาเคลิ้มยังตั้งอยู่ที่บ้าน พอยายวาดตายได้สองวันไฟก็ไหม้บ้าน

    หมดเลย ไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือแต่เรือลำที่ตาเคลิ้มนั่งไปลำเดียว ทรัพย์สมบัติที่ให้ลูกหลานก็แหลกลาญไปตามสัจจะที่ได้ให้ไว้ ลูกหลานที่ไม่ได้เรียนหนังสือก็กินเหล้าเมายา ซัดเซพเนจร จนไปเข้ากับแก๊งบางนกแขวกเรื่อยมา

    อันนี้ก็ขอให้โยมทราบไว้ว่า ไม่ใช่ยมบาลมาจดหรอก ไอ้ที่จดมันคือจิตเป็นผู้จดอารมณ์ทุกกระเบียดนิ้วไม่ขาดเลย บาปบุญคุณโทษจดบันทึกเข้าไว้หมด พอเราตายลงวิญญาณออก

    จากร่างไป มันก็ตีแผ่ขยายออกมาเป็นการชดใช้กรรมไป หากเราทำดีก็ไปสวรรค์ ทำชั่วก็ลงนรกไป
    ที่มา http://www.buddhakhun.org/main//index.php?topic=1591.0
     

แชร์หน้านี้

Loading...