เรื่องเล่าจากอุบาสิกามารีและหลวงปู่

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย บุตรพระแม่อนุตตรธรรม, 31 สิงหาคม 2009.

  1. บุตรพระแม่อนุตตรธรรม

    บุตรพระแม่อนุตตรธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    548
    ค่าพลัง:
    +428
    มหาอุบาสิกามารีคำปา

    เรื่องที่มีอยู่จริงของอุบาสิกานามมารี-คำปา ชาวอังกฤษผู้มาเผยแพร่ศาสนาคริสต์สอนศาสนาที่สหรัฐอเมริกา และได้พบพระลังกาจึงยินดีบวชอยู่ที่ศรีลังกาเป็นภิกษุณี ก่อนจะมาศึก

    ติดตามเรื่องราวของอุบาสิกาท่านนี้ได้ ถ้าต้องการ

    ครั้นหนึ่งสมัยเมื่อพุทธศักราช2475 มารีคำปาได้กลายเป็ยภิกษุณีลังกาทวีป ได้ธุดงค์ด้วยการนั่งสมาธิตลอดจากศรีลังกามายังอินเดีย และได้เดินจงกรมตลอดทางมายังประเทศจีน โดยจะเดินจงกรมวันละ8ชั่วโมงไม่หยุดหย่อน อุบาสิกามารีได้เดินทางมาเรื่อยๆจนถึงประเทศพม่ากินเวลารวม31วัน31คืนโดยประมาณ อุบาสิกามารีเป็นคนลึกลับมากในล้านนจะมีคนรู้จักท่านเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น เนื่องจากท่านจะโปรดคนน้อยมาก เมื่อถึงพม่าได้ไปอยู่กับหลวงปู่ตง เสโภ เกจิบ้านนอกแห่งเมืองพม่า ได้ฝึกฝนวิชาจนได้อภิญญา6อย่างคล่องแคล่ว ท่านได้ไปปราบผีแถวนั้นที่ชาวบ้านกลัวที่แถบบึงจะมีเรื่องพญานาคมารบกวนชาวบ้าน ท่านก็ใช้ฤทธิ์ทำตัวให้เป็นพญานาคระดับสูงต่อสู้ บ้างเจอผีตายโหง ท่านก็จะใช้เทศนาช่วยส่งวิญญาณ อุบาสิกามารีได้ปลงอายุตนเองและมรณะเมื่อปี2545 มีพยานเพียง3คน

    112ปีอุบาสิกามารีคำปา

    อจินไตย

    ธรรมนั้นไม่ล้าหลัง หลักธรรมแห่งพระศาสดาเองก็ไม่ล้าหลัง สามารถใช้ได้ทุกยุคสมัย พระปัญญาของพุทธองค์หาสุดประมาณจบมิได้ เทียบใบไม้ในชมพูทวีปทั้งหมดมิประมาณ กรณียกิจแห่งพุทธองค์จะโปรดใครก็เฉพาะเลย บุคคลยากจะรู้ ฌานสมาธิก็ใช้จะรู้ถ้าไม่ฝึกฝนเอง จะมาบอกให้เห็นตรงเกินไปก็คงไม่ได้ นั้นฝึกให้เป็นเองเถอะ กรรม เองถ้าจะบอกหมดคงเป็นแสนล้าน บางกรรมซ้อนจากอนันตชาติหลายกัลป์ ถ้าจะไปแก้เงื่อนงำคงบ้าตายแน่ นอกจากพุทธองค์ที่ระลึกชาติได้ไม่จำกัด อีกอย่างเรื่องของโลก จักรวาล ถ้าไม่เป็นพระผู้สำเร็จมีปัญญามหาศาล แบบพุทธองค์นี่ ถ้าไปหาคำตอบเรื่องโลก จักรวาล แสนล้านโลกธาตุ ได้นะคงไม่มีหรอก บ้าตายไปเสียก่อนแล้วละมั่ง จำไว้4อย่างนี่เขาเรียกว่า อจินไตย4 คือสิ่งที่ไม่คิดเลย ปุถุชนอย่าไปรู้ เป็นบ้าแน่เลย

    ธรรมโนยานภิกขุ เจ้าอาวาสวัดในพุกาม ปัจจุบันมรณะภาพไปแล้ว (2326-2435)พระอาจารย์องค์ที่9ของหลวงปู่ตง(2378-2475)


    สวัสดีมีชัย พุทธอวยชัย ธรรมอวยชัย สังฆังอวยชัย ขอรัตนตรัยดวงแก้วธรรมอันประเสริญเลิศล้ำสุดในโลก โปรดประทานความเป็นมงคล เสนียดหมดสิ้น ให้ข้าพระพุทธเจ้ามีใจ มีธรรมในกาย มีความสมบูรณ์ บริบูรณ์ชีวิต ด้วยเดชแห่งคุณพระรัตนตรัย โปรดดลบันดาลตามที่ข้าเจ้าขอ........และจะประพฤติอยู่ในธรรมแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตราบสิ้นชีวิต จนถึงพระนิพพาน นะโมพุทธายะ เดชะพระรัตนตรัย
    คาถาอธิษฐานจิตให้ประสบความสำเร็จ เป็นภาษาไทย
    ของ ภิกษุนิรนามที่หลวงปู่เจอ และได้คาถาเป็นมา ตอนหลวงปู่ท่านยังไม่บวช (2288-2369)
    อาจารย์องค์แรกของหลวงปู่ตง

    หลวงปู่ตง คือใคร

    หลวงปู่ท่านเป็นเรื่องที่อุบาสิกามารีเล่าให้ฟัง ว่าท่านมีชีวิตจริงและเป็นผู้สอนกรรมฐานท่านจนได้สมาบัติ และได้บวชเป็นภิกษุณีในที่สุด หลวงปู่ตงเกิดปี2378เกิดที่ประเทศจีน สมัยราชวงศ์ชิง และได้มาพม่าเมื่ออายุ30ได้เป็นข้าราชบริพารในพระเจ้ามินดง เมื่ออายุ48ปีเจอภิกษุนิรนามและได้คาถาดี เมื่ออายุ50ปีเข้าบวชในบวรศาสนา ศึกษาพระสุปฏิปันโน18รูปจนได้สำเร็จบุคคลชั้นสูง เป็นนักพัฒนาวัด และได้สอนกรรมฐานโดยมีศิษย์รวม15คนเป็นภิกษุ12รูป มรณะภาพไปหมดแล้ว ภิกษุณี2รูป มรณะภาพไปหมดแล้ว อุบาสก1ท่าน เสียชีวิตแล้วเช่นกัน หลวงปู่ส่วนใหญ่จะอยู่บนเขาจึงมีผู้รู้จักไม่มากนัก ท่านถึงแก่มรณะภาพปี2475 อายุ98ปี48พรรษาขณะนั่งสมาธิ ซึ่งก็ผ่านมาแล้ว77ปี

    เล่าประวัติโดยหลวงปู่ตง เสโภ

    ย้อนไปเมื่อ7ปีก่อนก่อนที่ฉันจะจดบันทึกเรื่องราวสำคัญ ตอนนั้นฉันพึ่งจะเกิดเป็นลูกคนที่5คนจาก7คน ตอนฉันอายุ6ปีแม่ก็หนีไปอยู่คนละจังหวัดกัน ส่วนพ่อก็ทำนางกๆไปมา ตอนนี้อายุ7ปีก็ได้รับการศึกษามาบ้าง เจอพระก็ไหว้ เจอบาทหลวงก็ไหว้ คนที่บ้านก็เลยไม่ค่อยศรัทธาอะไรนัก แผ่นดินก็ไม่ได้สงบสงครามก็มีพวกฝรั่งเมื่อเด็ๆไม่มี เดี่ยวนี่มีให้พล่าน ทำนาก็เลิกทำกันตั้งหลายคนแล้ว จนวันหนึ่งที่ได้เลิกบันทึกมากว่า3ปีพึ่งบันทึกต่อก็หนีเที่ยวขึ้นภูเขาใหญ่ ไปเจอวัดนาม เส้าหลิน ก็ได้เจอหลวงปู่ท่านหนึ่งคือ ฮงไต้ซือนี่เอง ท่านก็สอนธรรมโดยให้ฉันมาอยู่บนเขาตอนเย็นๆทุกวันแถมอาหารเย็นให้1มื้อก็โชคดีได้สองต่อไป และก็เรียนกังฟูกับหลวงพ่อหลี่ไต้ซือ และยังได้เรียนกับอาจารย์ลุงเฉินไต้ซือ เรียนกันอยู่8เดือนอาจารย์ปู่ก็มรณะภาพ เรียนอีก1ปีกว่าหลวงพ่อก็มรณะภาพ เรียนอีก1ปีหลวงลุงก็มรณะภาพ พระอาจารย์รูปอื่นเกียจขี้หน้าเบลยไม่ให้มาวัด ขณะอายุได้12ปีก็หนีจากบ้านเนื่องจากตอนนั้นประเทศตกในภาวะไม่เจริญ ก็เลยหนีมาด้วยความขลาดอยู่มณฑลกวางตุ้ง ไปถึงเงินไม่เหลือตอนนั้นเจอพระใจดีนั้นคือ ฉวนไต้ซือ แห่งกวางตุ้ง ท่านสอนภาษาถิ่นให้และสมาธิ และให้อุปสมบทในพุทธศาสนาเป็นเณร บวชอยู่กับท่าน3เดือนเข้าปี2390ฉันอายุ13ปี หลวงใจดีท่านก็มรณะภาพไปอีกองค์ พระที่นั่นก็เกียจฉันหลายรูปโชคดีมีเจ๊กิมกับเฮียเตีย ช่วยเหลือมอบเงินให้50ตำลึง ซึ่งก็มาก ก็เดินทางลงทางใต้มายังประเทศพม่า ก็ไม่ค่อยดีมากนักการเมืองไม่ค่อยดี โชคดีอีกไปอาศัยวัดด้วยการบวชเป็นเณร ก็เป็นเณรสนิทของพระครูวินัยธรเดบานันท่านก็ได้สอนวิชาต่างๆให้ขณะนั้นท่านเป็นพระครูก็สอนอาคมให้อีก และยังได้พบอาจารย์ดีๆท่านหนึ่งก็คือพระครูใบฎีกาเบนัง(ยศขณะนั้น)ท่านได้สอนธรรมเสริมอีกนิดหน่อย จนเมื่อข้าพเจ้าบวชอุปสมบทครั้งแรกเมื่อปี2398 สมเด็จเบียงก็ได้เป็นพระอุปัชฌาจารย์ให้และพระอาจารย์อีก2รูปจำไม่ได้ เมื่อายุได้30ปีได้ลาสิกขาไปทำงานเป็นข้าราชบริพารก็ยังมาเยี่ยมวัดเสมอ หลายๆปีหลวงท่านก็อยากให้บวชแต่ฉันก็ยังไม่พร้อม ต่อมาไม่นานน่าจะปี2410พระครูวินัยธรเดบานันของฉันก็ได้เลื่อนสมณศักดิ์มาเสมอตั้งแต่(เทียบยศเป็นไทยไม่ตรงกับคำพม่า)ครูวินัยธร--ราชา ชั้นสามัญ--ราชา ชั้นธรรม--รองพระสังฆราช---สังฆราชเดบานันทมุนี ส่วนท่านพระใบเบนังอาจารย์เราก็ยังได้เป็นถึงพระราชาคณะ ชั้นธรรม ส่วนฉันก็พลอยมีดีไปด้วยเลยได้รับยศเป็น มหาดเล็ก ผ่านมา8ปีพระเบนังมุนี อาจารย์ฉันก็มรณะภาพ ท่านยังห่วงฉันให้ศิษย์เอาเงินมาให้หวังว่าจะไปต่างประเทศ เผยแพร่ศาสนา แต่ฉันยังตัดราชการไม่ได้ จนปี2428 ฉันอายุได้50ปีราชวงศ์ถูกถล่มลงมา ฉันก็ต้องหนีเลยไปขออุปสมบทอีกครั้งครั้งนี้ ต่อมาบวชไม่นานพระราชมุนีเดบานัน อาจารย์ก็มรณภาพ พระครูปลัดเลยรับตำแหน่ง ส่วนฉันเรียนธรรมเร็วก็ได้เป็นพระธรรมธร แต่ก็หยุดไม่ได้เพราะรู้ว่าตนยังไม่พ้นทุกข์จึงไปยังลังกาเรียนบาลีเพิ่มเติมกับพระครูอานันทเถระ3เดือนก็แวะไปยังแต้จิ๋วสร้างวัดขึ้นมาและก็กลับไปเยี่ยมพี่น้องที่เหอหนาน ทุกคนยังอยู่ครบส่วนพี่ใหญ่ก็แต่งงานมีหลานไปแล้วอายุ70แล้ว ทุกคนก้มีครอบครัวกันหมดแล้ว เออฉันลืมลูกไปเลยฉันก็มีลูกกับหญิงในวัง13คนตั้งนานแล้วกลับไปเจอท่านพ่อ อยู่สอนธรรมที่นั่นไปในที่สุดพ่อก็เสียชีวิตปี2434อายุ90กว่าตอนนั้นฉันบวชได้5พรรษาเกือบ6พรรษาแล้วจากนั้นก้เรียนวิปัสนาจนเรียกว่าเห็นจริงเลยก้ว่าได้กับไต้ซือนิรนามสือ แล้วจากนั้นได้ใช้เวลาไปเรียนวิปัสนาที่ประเทศไทยปี2452อีกโดยได้คาถามาเพิ่มมีอภิญญาวิชชาเรียบร้อยแต่ยังไม่หยุดแสวงเพราะ70กว่าปีเอง บวชช้ามากต้องรีบเร่ง ฉันก้รีบศึกษาวิชากับหลวงปู่เมื่อน แล้วกลับประเทศพม่า เจอหลวงปู่ตื้อของไทยที่มาพม่าด้วยฉันก็มีอาคมเหมือนกัน ตอนนั้นฝรั่งครองเมืองก็ว่าได้แล้วทหารก็อำนาจเยอะ กลับไปก็ได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสเลยแต่ฉันไม่อยากรับ เลยหนีไปทางเหนือบูรณะวัดเก่าๆสมัยราชวงศ์ก่อนนู้นขึ้น แต่ก็ไม่พ้นทางสงฆ์ก็ให้ตำแหน่งฉันอีกเป็นพระราชาคณะจนเป็นชั้นเทพ ตอนนี้ฉันก็แก่มากแล้วบวชมา47พรรษาก็พอแล้ว ครั้งนี้ไม่เกิดแล้วไปนิพพานเลย ฉันเองก็ขอบอกทุกๆคนว่าเมื่ออายุได้20ปีก็บวชเถอะบวชตลอดไปเลย จะได้มีเวลามากกว่าคนแก่อย่างฉัน
    มาที่นี่ไม่ได้มาเพื่อบวชกายนะ มาที่นี่ต้องบวชใจและกายด้วยจึงจะเรียกว่าบวช ไอ้บวชแต่กายนี้ไม่ใช่บวช
    พจน์--มารี--2477

    สงสัยอะไรข้านักหนาเอ็งอย่าเอาแต่สงสัยพระสงฆ์องค์เจ้า เลียนแบบให้ได้ซิ เลียนแบบจำธรรมและปฏิบัติด้วย จะได้รู้ว่านี้คืออะไร
    พจน์--ตง เสโภ--2450
    สนทนากับ ปู่เตี๋ยว
    ----------------------------
    คัดมาจากบันทึกหนังสือของอ.โหเซี๊ยง สาธุๆ
    [​IMG]


    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...