เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 8 กรกฎาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ได้มีเด็กนักเรียนบ้านไกลจากหอพักโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา มาร่วมทำกิจกรรมสวดมนต์ไหว้พระด้วย คราวนี้นักเรียนหอพักของเราไม่ได้มีแต่ชาวพุทธ ของเรามีเด็กคริสต์เด็กอิสลามมาด้วยเป็นปกติ เพียงแต่ว่าเด็ก ๆ ของเรายังปรับตัวไม่เป็น

    คำว่าปรับตัวไม่เป็นก็คือตัวหลวงพ่อเองนั้น ตั้งแต่เด็กก็คบกับเพื่อนอิสลามมามากมายไปหมด พอถึงเวลางานบุญเดือน ๔ ก็ไปร่วมกินบุญกับเขา ทำให้รู้ว่าข้าวหมกไก่ก็ดี ข้าวหมกแพะก็ดี ซุปหางวัวก็ตาม อร่อยกว่าที่เราคิด แล้วงานกินบุญของเพื่อนอิสลามเราไม่ต้องเอาเงินไปช่วย หากแต่ว่าถึงเวลาแล้วเขาจ่ายค่ารถให้เรากลับบ้านด้วย ถึงเวลาเขาดุอาอฺ เราก็ไปดุอาอฺขอพรกับเขา ยังไม่ถึงขนาดนมัส เพราะว่ายังไม่สามารถที่จะสวดอัลกุรอานได้

    ในส่วนของศาสนาคริสต์ ก็ศึกษาศาสนาคริสต์ทางไปรษณีย์จนได้ประกาศนียบัตร ทำให้สามารถเข้าถึงพิธีกรรมต่าง ๆ ของศาสนาคริสต์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ที่เขาเรียกว่าวันสะบาโต หรือถ้าเรียกง่าย ๆ แบบภาษาไทยก็คือวันพระของชาวคริสต์ หรือว่าพิธีรับศีลจุ่ม

    ตลอดจนกระทั่งเข้าใจว่าศาสนาคริสต์เองก็มีหลายนิกาย ไม่ว่าจะเป็นคาทอลิก โปรเตสแตนต์ ออร์ธอดอกซ์ จนกระทั่งตอนหลังมีมอรมอนงอกขึ้นมาด้วย หรือว่าทางประเทศจีน ก็ไปเข้าพิธีจ่อมเต๋า ไปเหนี่ยมเก็ง ไปจ่อเต๋าร่วมกับเขา พูดง่าย ๆ ว่ามึงมาศาสนาไหนกูไปกับมึงได้หมด มีเพื่อนเยอะมาก

    ถ้าหากว่ากันตามหลักวิวัฒนาการของชาลส์ ดาร์วินที่พวกเด็ก ๆ เรียนกันมา สัตว์ที่อยู่รอดได้ไม่ใช่สัตว์ที่แข็งแรงที่สุดแข็งแกร่งที่สุด แต่ว่าเป็นสัตว์ที่รู้จักปรับตัวมากที่สุด คนเราก็แบบเดียวกัน คนที่เรียนเก่งที่สุดไม่แน่ว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต ยกเว้นว่าเป็นคนเรียนเก่งที่รู้จักปรับตัวเข้ากับเพื่อนฝูงได้

    หลวงพ่อเองมีรุ่นพี่อยู่ ๑ คน เรียนจบปริญญาตรีอย่างน้อย ๑๘ สาขา แค่ร้องเพลงสวดไม่ได้ดีในวันสะบาโต มันไปเรียนภาษาลาตินเพื่อที่ให้ร้องเพลงได้ดี จนกระทั่งจบปริญญาตรีภาษาลาตินมา ๑ ใบ อะไรที่ตัวเองคิดว่าทำได้ไม่ดี ไอ้เจ้านี่เรียนหมด แล้วเรียนได้ดีมากด้วย แต่ไม่ประสบความสำเร็จอะไรในชีวิตสักอย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่มีปริญญาตรีอย่างน้อย ๑๘ ใบ เพราะว่าขี้สงสัยเกินไป แล้วปรับตัวเข้ากับสังคมเฉพาะหน้าไม่เป็น

    ดังนั้น...ถ้าหากว่าใครก็ตาม ถ้าเราเรียนอยู่แล้วสังเกตว่าเพื่อนบางคนเรียนก็งั้น ๆ แหละ ได้ B+ สักตัวหนึ่งแทบจะปิดโรงเรียนฉลอง ส่วนใหญ่ไม่ C ก็ D แต่เพื่อนเยอะมาก ปรับตัวเก่ง เข้ากับคนอื่นได้ดี มีมนุษยสัมพันธ์สูง

    ดังนั้น...เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่เด็ก ๆ ควรที่จะตระหนักว่า โลกของเราหมุนไปข้างหน้าเร็วมาก ถ้าเราปรับตัวไม่ทันเราจะตกยุค การศึกษาในยุคปัจจุบันนี้หลัก ๆ เลยก็คือเพื่อให้เรารู้ทฤษฎี แล้วสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้ แต่หลวงพ่อยังไม่เห็นหลักสูตรใดในประเทศไทยที่ทำแบบนี้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    ประเทศจีนที่ปัจจุบันนี้ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับต้น ๆ ของโลก สอนหลักสูตรให้เด็กอนุบาลปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ทำอาหาร วัน ๆ แทบไม่ได้จับตำราเท่าไรเลย เรียนแค่ให้อ่านออกเขียนได้เบื้องต้นเท่านั้น เน้นการทำมาหากินเป็นหลัก เด็กอนุบาล ๓ เริ่มก่อสร้างแล้ว หัดผสมคอนกรีต หัดผสมปูน หัดก่อกำแพง เด็กพวกนี้ต่อให้ไม่ได้เรียนสูง ถ้าจบแค่ประถมปลายหรือมัธยมต้น เขาสามารถที่จะทำงานได้แล้ว

    นี่คือการศึกษาที่ปรับเข้ากับบริบทรอบข้าง ที่วัดท่าขนุนนี้ หลวงพ่อมีเด็กวัดที่จบปริญญาโท แต่กลับบ้านไม่ได้ เพราะว่าทั้งตำบลนั้นไม่มีจบปริญญาตรีสักคนเดียว ตัวเองจบปริญญาโทโด่เด่อยู่คนเดียว แล้วจะไปทำงานอะไรได้ ก็ต้องหาทำงานที่อื่น

    แต่คราวนี้การที่เราจะปรับตัวให้เข้ากับโลกในยุคปัจจุบัน พื้นฐานจิตใจของเราต้องมั่นคงและเข้มแข็งมาก เพราะว่ากระแสโลกดึงเราไปแรงมาก ให้เรารัก โลภ โกรธ หลงไปเรื่อย โดยที่บางทีก็มีมุมมองผิด ๆ เข้ามา อย่างในปัจจุบันนี้แทบจะอยู่ในลักษณะที่ว่าคนรวยทำอะไรก็ไม่ผิด ความจริงผิดตั้งแต่ทำแล้ว เพียงแต่ว่าความผิดเหล่านั้น ถ้าในทางโลกอาจจะแก้ไขได้ด้วยอำนาจเงินของตัวเอง แต่ในทางธรรมเราแก้ไขไม่ได้ ตายแล้วต้องรับโทษตามนั้น

    ถ้านักเรียนรู้จักสังเกตจะเห็นว่าศาสนาพุทธเรามีนรกสวรรค์ ศาสนาคริสต์มีนรกสวรรค์ ศาสนาอิสลามก็มีเหมือนกัน ศาสนาขงจื๊อหรือว่าเต๋าก็มี ถ้าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง ทำไมศาสดาทุกศาสนาถึงได้รู้เหมือน ๆ กัน ว่าถ้าทำดีคุณจะได้ไปสวรรค์ ทำดีคุณจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า แล้วทำไมทำชั่วต้องตกนรก ทำชั่วต้องได้รับการพิพากษาจากพระเจ้า ก็แปลว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้น่าจะมีพื้นฐานจากความจริงเกินครึ่ง คือเกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์

    เด็ก ๆ ทุกคนลองคิดดูว่า ถ้าหากว่าเราทำความชั่วแล้วไม่มีนรกสวรรค์ เราก็เสมอตัว เพราะว่าความชั่วไม่ให้ผลอะไร แต่ถ้าเราทำความชั่วแล้วมีนรกสวรรค์เราขาดทุนยับเยิน เพราะว่ามีโอกาสไปนรกแน่นอน ในขณะเดียวกัน ถ้าเราทำความดีแล้วไม่มีนรกสวรรค์ เราก็เสมอตัว แต่ถ้าเราทำความดีแล้วนรกสวรรค์มี เรากำไรมหาศาล เพราะว่าเราไปอยู่ในที่ดี เราไปอยู่กับพระเจ้าตามศาสนาของเรา ถ้าหากว่าเราลงทุนในทางโลก ๆ ทำกิจกรรมอย่างหนึ่ง มีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ส่วนกิจการอีกอย่างหนึ่งมีแต่เสมอตัวกับกำไร ไม่ต้องใช้ความคิดมาก เราก็รู้ว่าเราควรที่จะเลือกอะไร

    คราวนี้การที่เราจะยืนหยัดอยู่ในโลกต้องต้านกระแสได้ สิ่งที่จะช่วยเราต้านกระแสได้ คือศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งทุกศาสนามีเหมือนกันหมด มากน้อยต่างกันเท่านั้น ถ้าใครศึกษาอิสลาม จะเห็นว่าข้อห้ามเกือบทั้งหมดคล้าย ๆ กับศีล ๕ เลย การที่เราระมัดระวังตัวเองไม่ให้ศีลขาด ไม่ให้ละเมิดศีล เป็นการสร้างสมาธิขึ้นมาในตัวอยู่แล้ว เราก็แค่มาฝึกฝนในการนั่งสมาธิแค่นั้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    มนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม ถ้าหากว่าอยู่ในภพของมนุษย์และเดรัจฉาน จะมีลมหายใจทั้งสิ้น วิธีสร้างสมาธิของเราก็คือตามลมหายใจให้ทัน หายใจเข้า..ตามดูตามรู้เข้าไปจนสุด หายใจออก..ตามดูตามรู้ออกมาจนสุด ไม่ต้องทำอะไรมาก..ดูแค่นี้ ทุกศาสนาก็เหมือนกัน

    เมื่อถึงเวลาเราสร้างสมาธิเกิดจากการตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกขึ้นมา สภาพจิตที่สงบนิ่งจะก่อให้เกิดพลัง โดยเฉพาะสร้างความแจ่มใสของใจให้เกิดขึ้นมาก ปกติแล้วใจของเรากระเพื่อมด้วย รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ตลอดเวลา เมื่ออำนาจสมาธิกด รัก โลภ โกรธ หลง ดับลงชั่วคราว จิตนิ่งสงบก็เหมือนกับน้ำนิ่ง สามารถสะท้อนเงาทุกอย่างรอบข้างลงไปได้อย่างชัดเจน

    ถ้าเป็นนักเรียนจะเห็นผลชัดมาก เพราะว่าจิตที่สงบมีกำลัง อ่านหนังสือรอบเดียวก็เข้าใจแล้ว จะเรียนเก่งโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าหากว่าหวังสูงกว่านั้น เราก็ต้องมาพิจารณาในการตัด การละ รัก โลภ โกรธ หลง อื่น ๆ ซึ่งจะว่าไปแล้วนั่นเป็นภาระของอุบาสกอุบาสิกา คือพวกมุ่งเน้นเข้าวัด ที่พวกเราเรียกกันว่า "สายบุญ" หรือว่าเรื่องของนักบวช คือพระภิกษุ สามเณร แม่ชีเขาทำกัน ยกเว้นว่าเราชอบเป็นการส่วนตัว เราก็มุ่งต่อในการใช้ปัญญาตัดกิเลส

    ถ้าหากว่าเป็นในส่วนของศาสนาอิสลาม เราไม่รู้จะภาวนาอย่างไร พี่น้องอิสลามส่วนใหญ่จะมีประคำมืออยู่แล้ว ไอ้ที่เขาใส่ติดมืออยู่ เขาไม่ได้ใส่ไว้เฉย ๆ นะ เขาใส่ไว้ใช้งาน เคยคุยกับญาติโยมอิสลาม เขาถามว่าแล้วถ้าผมภาวนาจะทำอย่างไร ? ก็ภาวนาเหมือนกับคนไทยภาวนาพุทโธ นึกถึงพระนามพระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายก็นึกถึงอัลเลาะห์แทน ถึงเวลาก็ วาเฮ็ด..อัลลา ตินเต็น..อัลลา ทะระทา..อัลลา บาลา..อัลลา ฯลฯ ก็ว่าไป หรือจะเป็น
    ถ้าเป็นศาสนาคริสต์ ก็เจซัส ๑ เจซัส ๒ ว่ากันไป

    ทุกศาสนาสามารถที่จะใช้ได้ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้คือธรรมชาติ เกิดมาต้องหายใจ เพียงแต่รู้ให้ทันลมหายใจแล้วก่อให้เกิดประโยชน์จริงในชีวิตเท่านั้น ถ้าหวังสูงกว่านั้นแล้วค่อยมาศึกษาต่อกันอีกทีหนึ่ง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวกับทุกคนแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2024
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...