เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 พฤศจิกายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ อย่างที่บอกเอาไว้วันก่อนว่ามีหลายเรื่องที่ควรจะพูดถึง โดยเฉพาะในส่วนของการถกเถียงกัน เพียงแต่ว่าถ้าเป็นการถกเถียงในทางคณะสงฆ์ ส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นอธิกรณ์ คือเรื่องที่เกิดขึ้น อย่างเช่นว่าอาปัตตาธิกรณ์ เป็นการเถียงกันว่าสิ่งนี้เป็นอาบัติ สิ่งนี้ไม่เป็นอาบัติ วิวาทาธิกรณ์ การถกเถียงกันในลักษณะของการยกวาทะของตนเป็นใหญ่ ก็คือการทะเลาะกันนั่นเอง เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าปล่อยไปก็จะกลายเป็นเชื้อที่จะทำให้แตกความสามัคคีได้ง่าย

    แต่คราวนี้ในส่วนของคณะสงฆ์ของเรา ตั้งแต่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต ป.ธ.๙) วัดญาณเวศกวัน ท่านลากรรมการมหาเถรสมาคมเพื่อรักษาตัวของท่าน เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาในคณะสงฆ์ก็ไม่มีใครออกมาชี้แจง ไม่เช่นนั้นแล้วสมัยที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณยังปฏิบัติงานอยู่ ไม่ว่าจะตอนที่เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ชั้นธรรม หรือว่ารองสมเด็จฯ ก็ตาม ในวาระสำคัญแบบนั้น ท่านก็จะออกมาชี้แจง ให้ความกระจ่างต่อประชาชน

    แต่คราวนี้เมื่อเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้รับการชี้แจง ต่างคนต่างก็เข้าใจว่า ในสิ่งที่ตนเองทำนั้นถูกต้อง แม้กระทั่งในเรื่องของบั้งไฟพญานาค ก็ยังเป็นประเด็นขึ้นมาได้ เรื่องพวกนี้เราต้องเข้าใจว่าเป็นความเชื่อ ขณะเดียวกันสิ่งที่เป็นความเชื่อ ถ้าสามารถทำให้เป็นความจริงได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่ว่าเรื่องบางอย่าง ส่วนใหญ่แล้วโลกอื่นเขาตั้งใจปิดบังกัน ไม่ต้องการให้ความจริงปรากฏ

    ดังนั้น..เรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ก็ไปเอาอุปาทาน มาจากภาพยนตร์เรื่อง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ แล้วก็เพียรพยายามที่จะหาความจริงตามแบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าปล่อยนานไป ก็จะทำให้เกิดความแตกแยก ทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะว่าปัจจุบันนี้เขามีการท้าทายกันแล้วว่า ถ้าหากว่ามีจริง หรือไม่มีจริง ต้องจ่ายกันเป็นล้านบาท..!

    จะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้พระเราไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่ว่าควรที่จะให้สติว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ผู้ที่รู้เห็น สามารถใช้วิจารญาณของตนเองได้ ก็คือไม่ได้มีใครโง่ไปเสียหมด ในเมื่อผู้ที่รู้เห็น ใช้วิจารญาณของตนเอง แล้วมีความเชื่อ ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่เขาสัมผัสได้ด้วยประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็คือประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ส่วน ไม่ได้นับในส่วนของใจเข้าไปด้วย จึงทำให้เกิดความจำกัด โดยเฉพาะคนเรา ยิ่งนานไป ประสาทสัมผัสส่วนสำคัญก็คือใจ ก็จะยิ่งเสื่อมทรามลงไปเรื่อย ๆ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ปัจจุบันนี้เราสามารถสื่อสารกันด้วยภาษาพูด ก็คือเสียง ภาษากาย ส่วนใหญ่ไปเน้นในบรรดาผู้พิการ โดยเฉพาะพิการทางการได้ยิน ชาติที่ใช้ภาษากายได้อย่างชัดเจนที่สุดก็คือชาวอินเดีย เราจะเห็นว่าถึงเวลาเขาแสดง ไม่ว่าจะสีหน้าท่าทาง มือไม้ร่างกาย สามารถที่จะอ่านออกได้หมดว่าเขาหมายถึงอะไร

    ในส่วนของภาษาใจ ส่วนใหญ่แล้วเสื่อมทรามไปหมด ในส่วนของภาษากายก็อยู่ในวงแคบ ก็คือเฉพาะบุคคลที่พิการทางการได้ยิน จึงทำให้การสื่อสารที่ชัดเจน และสามารถสื่อได้กับทุกชาติทุกภาษา แม้กระทั่งทุกภพภูมิของเรา สูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย

    ถ้าหากว่าเราจะดูตัวอย่าง ขอยกบรรดา "ทาสหมา" ก็แล้วกัน เราจะเห็นว่าหมามีภาษาเสียง ก็คือการเห่า การคราง การออกเสียงลักษณะต่าง ๆ มีภาษากาย ไม่ว่าจะเป็นการแยกเขี้ยว การพองขน การยกหาง แกว่งหาง หรือว่าหางตก หมาไม่จำเป็นต้องเรียนภาษา เอาหมาไทยไปโยนอยู่กับหมาฝรั่ง เขาก็คุยกันรู้เรื่อง หรือเอาหมาฝรั่งไปโยนไว้กับหมาจีน เขาก็คุยกันรู้เรื่อง เพราะว่าเขาใช้ภาษากายเป็นหลัก แล้วก็ยังมีภาษาใจ ซึ่งเป็นส่วนที่เราเสียท่าที่สุด ก็คือส่วนใหญ่หมาจะเข้าใจคน แต่คนไม่เข้าใจหมา..!

    ในเมื่อตัวเราโดนจำกัดด้วยภาษา ด้วยช่องทางในการสื่อสาร ด้วยประสาทสัมผัส สิ่งที่ควรจะรู้เห็น หรือว่าโบราณเขารู้เห็นกันเป็นปกติ เราก็ไม่รู้ไม่เห็น แล้วก็เกิดความสงสัยขึ้นมา ทั้งยังพยายามที่จะพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่ง
    หลักของทางวิทยาศาสตร์นั้น ยังไม่สามารถที่จะตามจิตศาสตร์ได้ทัน จึงกลายเป็นอะไรที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ

    คราวนี้ถ้าหากว่าเราเข้าไปยุ่งอยู่ตรงนี้ ก็จะกลายเป็นเข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้ง ก็จะทำให้เราเอง ถ้าไม่มั่นคง จะเสียประโยชน์มาก เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า เราไม่ควรกล่าวถึงเรื่องอันเป็นเหตุให้ถกเถียงกัน เพราะว่าเรื่องอันเป็นเหตุให้ถกเถียงกันทำให้จำเป็นต้องพูดมาก บุคคลผู้พูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าไม่ใช่รู้จริง อย่าไปยืนยันกับคนอื่น อย่าไปอ้างว่าคนโน้นบอก คนนี้กล่าวถึง ครูบาอาจารย์ท่านนั้นว่าไว้ เนื่องเพราะว่าบางท่านก็มรณภาพไปแล้ว เราไม่สามารถที่จะเอาท่านมายืนยันได้ จึงเป็นเรื่องที่พระภิกษุสามเณรของเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางตัวเป็นกลาง จะเชื่อหรือว่าไม่เชื่อ แล้วแต่ญาติโยมเขา ถ้าใช้ศัพท์วัยรุ่นก็บอกว่า "เอาที่สบายใจ"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะกล่าวถึงก็คือช่วงตักบาตรเทโว มีผู้รู้ที่กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า "แสนรู้" ออกมาให้คำแนะนำอีกตามเคย ว่าไม่ควรที่จะใส่บาตรด้วยข้าวสารอาหารแห้ง เพราะว่าจะทำให้พระตกนรก..! เนื่องเพราะว่าพระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้พระเก็บอาหาร เป็นเรื่องที่พูดได้ถูกต้อง แต่โง่มาก..! เนื่องเพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้พระเก็บด้วยตนเอง

    เรื่องนี้ถ้าท่านทั้งหลายจะดู ต้องไปดูในวินัยมุข เล่มที่ ๒ ที่กล่าวเอาไว้ถึงเรื่องอันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ ก็คือห้ามเก็บอาหารไว้เอง ห้ามหุงต้มอาหารเอง ห้ามเก็บอาหารไว้ในที่อยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กำหนดขึ้นหลังจากทุพภิกขภัย คือความอดอยากยากแค้นผ่านไปแล้ว เพราะว่าช่วงอดอยากนั้น แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังต้องเสวยข้าวแดง ที่เกิดจากการเอาข้าวเปลือกมาตำ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงประมาณข้าวกล้อง แต่คุณภาพก็คงไม่ดีเท่าข้าวกล้องสมัยนี้

    แม้ว่าบรรดาพระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรีเป็นจำนวนมากที่ได้อภิญญา อาสาว่าจะพลิกแผ่นดิน เอา "ง้วนดิน" ขึ้นมาถวายเป็นภัตตาหาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่อนุญาตให้ทำ เพราะว่าพระองค์ท่านหวังมรรคผลของบุคคล ที่เข้าในพระพุทธศาสนาด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริง ไม่ใช่เลื่อมใสศรัทธาเพราะพระภิกษุสามเณรมีฤทธิ์

    ดังนั้น..การที่บุคคลผู้นั้นกล่าว เป็นการตีความกฎหมายแบบตรงเป๊ะ โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงการปฏิบัติ ก็คือมาแนวนิติศาสตร์ล้วน ๆ ไม่ได้ยืดหยุ่นในลักษณะของรัฐศาสตร์ เนื่องเพราะว่าห้ามพระเก็บเอาไว้ ก็ยังมีญาติโยม ศิษย์วัด หรือว่าแม่ชีคอยเก็บคอยดูแลให้

    กระผม/อาตมภาพก็ไม่คิดว่าบุคคลที่มีการศึกษาขนาดนั้นจะพูดอะไรโง่ ๆ ออกมาอยู่เรื่อย แต่ก็ต้องปล่อยเขาต่อไป เพราะว่าเรื่องพวกนี้เป็นทิฏฐิของใครของมัน ไม่สามารถที่จะบอกกล่าวกันได้ เนื่องเพราะว่าบอกไป เขารู้สึกว่าไม่ตรงกับกำลังใจของเขา เขาก็จะไม่ฟังเราอยู่ดี

    ความจริงยังมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกจะกล่าว แต่เวลาดูท่าจะไม่พอ วันนี้จึงขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเราและบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...