เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 8 ธันวาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ อากาศช่วงนี้ก็ยังหนาวอยู่ สำหรับพวกเราที่เคยชินแล้วก็ไม่กระไรนัก ระดับ ๑๔-๑๕ องศาเซลเซียสเป็นของกำลังดี แต่คนที่มาเจอใหม่ ๆ ผ้าห่ม ๒ ผืนก็เอาไม่อยู่..!

    ตั้งแต่ผมมาทองผาภูมิปี ๒๕๓๒ จนถึงป่านนี้ เคยเจออุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ ๒.๕ องศาเซลเซียส มือไม้แข็งหมด ม้วนจีวรไม่ได้ จะไปไหนได้แต่เอาจีวรคลุมไปเฉย ๆ แล้วช่วงที่เจอนานมากก็คืออยู่ในระดับ ๗-๘ องศาเซลเซียสเป็น ๑๐ ปี ขนาดญาติโยมจากกรุงเทพฯ ตั้งใจจะมาเล่นน้ำสงกรานต์ เจอช่วงสงกรานต์อากาศ ๑๓-๑๔ องศาเซลเซียส แทนที่จะได้เล่นน้ำก็ต้องมาแบกผ้าห่มกันแทน..!

    ระยะนี้แสดงว่าธรรมชาติของเราค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา เหตุสำคัญเลยก็คือทางราชการห้ามตัดไม้ไผ่ ไม้ไผ่กลายเป็นไม้หวงห้าม ไม่อย่างนั้นแล้วก่อนหน้า ๓๐ กว่าปีที่แล้วที่ผมมาทองผาภูมิ พี่น้องมอญพม่าที่เข้ามาเมืองไทย อันดับแรกเลยก็คือมาตัดไม้รวกขาย หน้าแล้งตัดไม้รวก ลำละ ๒ บาท หน้าหนาวหาหน่อไม้ กิโลกรัมละ ๕ บาท สรุปว่าไม้รวกไม้ไผ่โตไม่ทันให้ตัด ขึ้นเป็นหน่อมาก็โดนแซะหมด แก่เป็นต้นขึ้นมาโดนตัดหมด จนกระทั่งทางการเล็งเห็นว่าขืนให้ทำอย่างนี้ต่อไป ธรรมชาติบรรลัยหมดแน่นอน ถึงได้กำหนดห้ามการตัดไม้ไผ่ขึ้นมา

    การตัดไม้ไผ่ ถ้าหากว่าเป็นสมัยที่ผมเด็ก ๆ อยู่ มีโอกาสใช้งานเยอะมาก เอาไปทำเป็นแพบ้าง เครื่องใช้ไม้สอยบ้าง ทำฟาก ทำเสื่อลำแพน สมัยหลังนี่การตัดไม้ไผ่เอาไปทำก้านธูปอย่างเดียว ตะเกียบยังไม่ทำเลย ทำแต่ก้านธูป ก็คือซอยให้เล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้ เพื่อให้ใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด พอทางราชการห้ามขึ้นมา ทุกอย่างก็ค่อย ๆ ดีขึ้น อากาศก็เริ่มเย็นลง ไม่อย่างนั้นแล้ว หน้าหนาวที่ทองผาภูมิช่วงหลายปีที่ผ่านมา อุณหภูมิอย่างเก่งก็ได้แค่ ๑๘-๑๙ องศาเซลเซียส

    คราวนี้การที่อากาศหนาวทำให้เป็นหวัดได้ง่าย เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ก็จะฉวยโอกาสลุกลามไปด้วย โดยเฉพาะเชื้อโอไมครอนเริ่มเข้าเมืองไทยมาแล้ว เข้ามาได้แบบสมควรเข้า เพราะว่าคนที่รับเชื้อมามีหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ ในเมื่อนักท่องเที่ยวติด มัคคุเทศก์ก็ติดไปด้วย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    แต่ก็อย่างที่เคยบอกเอาไว้ก็คือว่า เชื้อไวรัสมาถึงเมืองไทยแล้วน่าสงสารมาก บ้านเรามีแต่ของเผ็ด ของเปรี้ยว ของร้อน กินอะไรลงไปเชื้อก็ตายหมด..! ใครรู้ตัวว่าติดเชื้อ กำลังไออยู่ สั่งแม่ค้าตำส้มตำเผ็ด ๆ กินลงไปสักครกหนึ่งก็หายแล้ว..!

    จริง ๆ จะว่าไปแล้ว เรื่องของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ถ้าเราไม่ประสาทรับประทานจนเกินไป เป็นแล้วรักษาด้วยสมุนไพรหรืออาหารไทยก็พอแล้ว จะเป็นแกงส้ม ต้มยำ แกงเผ็ดอะไรก็ได้ รักษาได้ทั้งนั้น เชื้อพวกนี้อ่อนแอมาก ช่วงระยะเวลาที่อยู่ในลำคอของเรา เจอของเผ็ดของเปรี้ยวเข้าไปก็ตายหมด แต่ด้วยความที่ว่าทางราชการไปกำหนดกฎเกณฑ์ ให้ฉีดวัคซีนแล้วถึงจะทำอย่างโน้นได้ ฉีดวัคซีนแล้วถึงจะทำอย่างนี้ได้

    แม้กระทั่งการรับปริญญาของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ปีนี้ยังกำหนดว่า นอกจากฉีดวัคซีนอย่างน้อย ๒ เข็มแล้ว ยังต้องมีผลตรวจ ATK ไม่เกิน ๗๒ ชั่วโมง กระผม/อาตภาพก็เลยต้องติดต่อหมอนุ้ย (แพทย์หญิงนวลจันทร์ เวชสุวรรณมณี) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิว่า พรุ่งนี้ให้มาทำการ "สวอบ" พระเณรที่จะไปรับปริญญาให้ด้วย โดยเฉพาะตัวผมเอง ไปในฐานะผู้บริหารก็โดนเหมือนกัน สรุปว่าตรวจแล้วตรวจอีกไม่เคยเจอเชื้อ แต่ก็จะเอาผลตรวจ

    ล่าสุดนี้มีส่วนหนึ่งที่น่าตายมากก็คือ มีโยมท่านหนึ่ง แม่ป่วยเป็นโควิดตาย แล้วไปโพสต์ลงเฟซบุ๊กว่าตัวเองปลอดภัย เพราะมีวัตถุมงคลของวัดท่าขนุนอยู่ ตรวจไป ๓ ครั้งแล้วยังไม่เจอเชื้อ ที่บอกว่าน่าตายมากก็คือ อันดับแรก เอ็งกำลังโฆษณาเกินกว่าเหตุ..! เพราะว่าในเรื่องวาระบุญวาระกรรมของคนแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ถ้าบุญรักษาก็ยังรอดอยู่ กรรมสนองเมื่อไรก็อาจจะตาย..!

    ประการที่สองก็คือ ตัวเองพกวัตถุมงคลแล้วรอด แต่ไม่ให้แม่พกด้วย มึงนี่สมควรตาย..! คือ คนอื่นอาจจะประเภทคิดว่า "เออ...เขาพกวัตถุมงคลแล้วรอด เราจะต้องไปหาวัตถุมงคลวัดท่าขนุนบ้าง" แต่
    กระผม/อาตภาพมองว่า "ไอ้นี่ลูกอกตัญญู มีของดีอยู่ แต่ไม่รู้จักแบ่งให้แม่ใช้"

    ส่วนวันนี้ก็มีการเตรียมงาน ก็คือไล่นับวัตถุมงคลชุดที่พี่ณพ (พ.ต.อ.อรรณพ กอวัฒนา) ทำมาให้ ไม่ว่าจะเป็นพระพิมพ์หลวงพ่อโต วัดชีปะขาวหายย้อนยุค หรือว่าสมเด็จองค์ปฐมหลังยันต์เกราะเพชร พิมพ์ขุนแผนเคลือบ ปรากฏว่าน้องชายของพี่ณพ ก็คือลูกของอา ขอให้ส่งไปให้บ้าง เพราะว่าตัวเองทำมากับมือแต่ไม่มีสักองค์เดียว เพราะว่าพี่ณพเองแกจ่ายทุนเสร็จก็ลืมนึกถึงคนทำว่าอยากได้เหมือนกัน จึงขนมาให้กระผม/อาตภาพเสียเกลี้ยงเลย..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    คราวนี้บรรดาญาติโยมต้องไปนั่งคัดเลือกกัน องค์ไหนมีรอยถลอกนิดถลอกหน่อยก็คัดออกหมด กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วรำคาญ..ก็เลยจารหลัง แล้วบอกว่า "เอาไปขายให้แพงกว่าเดิม" ก็คือบางทีจมูกมีรอยนิดหนึ่งก็คัดเอาออกแล้ว อะไรจะละเอียดปานนั้น ?? ในเมื่อเอาออกมาก็ดี อะไรที่เหลือเพราะคัดมาถือว่าพิเศษ ยกเว้นบางองค์ที่รอยอุดด้านหลังหลุด หรือว่าไม่ได้บรรจุ ถ้าอย่างนั้นผมก็จาร ๒ จุด ๓ จุดเพิ่มให้เลย

    ในเรื่องของวัตถุมงคล ต่อให้แตกหักอย่างไร ก็สามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่พวกเรามักจะรู้สึกไม่ดี จึงเลยกลายเป็นว่าพอของแตกของหักแล้วก็ไม่นิยมกัน ต้องลองไปนึกถึงสมเด็จวัดระฆัง แตก ๆ หัก ๆ ชิ้นหนึ่งเจ็ดแปดแสนบาทดู


    ตอนที่กระผม/อาตมภาพยังเรียนปริญญาตรีอยู่ ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชปริยัติโมลี (โสภา เขมสรโณ ป.ธ.๙) อดีตรองเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม อดีตเจ้าอาวาสวัดพระงามพระอารามหลวง เดินหน้าเหี่ยวเข้ามา กระผม/อาตภาพถามว่า "เจ้าคุณอาจารย์ เจออะไรเข้าครับ ?" "อ๋อ..มีคนเอาพระสมเด็จแตกชิ้นหนึ่งมาขายให้ ผมก็อยากจะเอาไว้ดูเนื้อเป็นครู" ถามว่า "แล้วอย่างไรครับ ?" "เขาใช้ภาษาเซียนแล้วผมไม่เข้าใจ ก็เลยพยักหน้าตกลงซื้อ โดนไปแปดแสน..!"

    ภาษาเซียนของเขาจะมีเป็นกำปั้น เป็นฝ่ามือ อะไรประมาณนั้น ตัวท่านเองฟังไม่เข้าใจ..ใช่ไหม ? ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงประมาณแปดสิบเค ไม่ได้สิ แปดสิบเคไม่ถึงใช่ไหม ? ต้องแปดร้อยเคถึงจะได้แปดแสนบาท ดังนั้น...วัตถุมงคลต่อให้แตก ต่อให้หัก ถ้าเราไม่ถือสา มีความมั่นใจในตัวเอง ก็สามารถใช้ได้ทั้งหมด

    เรื่องของพุทธานุภาพ วัตถุมงคลองค์เล็กแค่ไหน ก็ไม่มีปัญหา สำคัญตรงที่เคารพและศรัทธา แต่ส่วนใหญ่ก็ไปอยู่ในลักษณะว่า ถ้าไม่ได้องค์สมบูรณ์ ก็ไม่อยากได้ บางทีก็มีการคัดสวยสุด ๆ ที่คัดสวยมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือหวังที่จะขายได้ราคาสูง เพราะศัพท์เซียนเขามีอยู่คำหนึ่งว่า "สวยหูตากระพริบ" ก็คือสวยสมบูรณ์จริง ๆ ถ้าหากว่าเป็นพระผงก็สามารถพิมพ์ติดหู ตา จมูก ปาก มาครบถ้วน


    อีกประเภทหนึ่งเกิดจากราคะจริต ราคะจริตนี่รักสวยรักงาม ละเอียดมาก สมัยก่อนมีครูบาอาจารย์อยู่รูปหนึ่ง คือหลวงปู่ครูบาพรหมจักรสังวร (หลวงปู่พระสุพรหมยานเถระ วัดพระพุทธบาทตากผ้า) หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "ถ้าเอ็งอยากเห็นพระที่เป็นราคะจริต ลองไปดูหลวงปู่วัดพระพุทธบาทตากผ้า"

    พอไปสังเกตดูแล้ว ถึงได้เห็นว่าท่านทำทุกอย่างเรียบร้อยสุด ๆ ไม่ว่าจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าหากว่าท่านเป็นนางแบบ เสื้อผ้าหน้าผมนี่ไม่ได้กระดิกเลย..! ท่านเป็นพระที่เรียบร้อยมาก แม้กระทั่งท่านอน ไม่มีหละไม่มีหลวมเลย ถึงได้เข้าใจว่า แม้ว่าท่านจะเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่วิสัยเดิมที่มาจากราคะจริต รักสวยรักงาม ทำอะไรก็จะเรียบร้อยมาก เมื่อขอถ่ายรูป ขนาดท่านแต่งตัวเรียบร้อยอยู่แล้ว ก็ยังคงจับหน้า ดึงหลัง จับซ้าย จับขวาจนกระทั่งพอใจแล้วถึงนั่งให้ถ่ายรูปได้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    อีกทีหนึ่งก็ตอนเป็นพระใหม่ จำหน่ายวัตถุมงคลอยู่ที่วัดท่าซุง มีโยมผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง หลวงตาวัชรชัยเดินหนีเลย "เล็ก..เอ็งไปดูทีสิ" โยมคนนี้ขอบูชาลูกแก้วมณีรัตนะ แล้วขอดูทุกแบบ แต่ละองค์ที่เอามานี่ จะมากลิ้งกับแสงไฟและนิ้วตัวเอง ดูทีละเหลี่ยม มีบิ่นแม้แต่นิดเดียว ขอเปลี่ยนองค์ใหม่ทันที..!

    กระผม/อาตภาพเองเห็นหลวงตาเริ่ม "ของขึ้น" ก็รู้ท่า "ตั้งอารมณ์" ไปเต็มที่เลย วันนี้ไม่ว่าเขาจะมาลีลาไหน กูต้องรับได้หมด...! ปรากฏว่าอยากได้อะไรให้บอก กระผม/อาตภาพส่งให้หมด ไปนั่งเล็งเอา เล็งไปเล็งมา ท้ายสุดเลือกไปได้กอบหนึ่ง จ่ายเงินมาสี่หมื่นกว่าบาท..! กระผม/อาตภาพหันไปสบตากับหลวงตา ประมาณว่า "คุ้มกับที่รอ" อย่าลืมว่าเงินสี่หมื่นกว่าบาทสมัยนั้น ซื้อทองได้สิบกว่าบาทเลยนะ..!

    ดังนั้น...ในส่วนของจริต ถ้าหากว่าเป็นพุทธิจริต เป็นผู้ที่มีความฉลาดมาก ทำอะไรก็เร็วกว่าคนอื่นเขา ถ้าเรารู้ตัวก็ต้องรู้จักรอคนอื่นเขาบ้าง

    พวกโทสะจริต ก็ตึงตังโครมครามไปตามเรื่อง มักโกรธ ทำอะไรก็ลวก ๆ เร็ว ๆ ถ้าให้กวาดบ้านนี่ต้องบอกคนโทสะจริตว่าไม่ต้องกวาดหรอก ไล่ไปไกล ๆ เลย ถ้าให้กวาดบ้านนี่รกกว่าเดิมอีก ทำอะไรเร็ว แรง แต่ไม่เรียบร้อย ไม่เหมือนกับพุทธิจริตที่ทำอะไรเร็ว แรง แต่เรียบร้อย

    ราคะจริต รักสวยรักงาม ประเภทนี้ต้องการอะไรเรียบร้อย ส่งงานไปให้ ทำออกมาดีกว่าที่เราคิดอีก
    สัทธาจริต ไปทางน้อมใจเชื่ออย่างเดียว ใครบอกว่าอะไรดี..ไปหมด เชื่อโดยแทบจะปราศจากปัญญา เป็นอธิโมกขศรัทธา

    โมหะจริต มักหลง หลงตรงนี้ก็คือหลงลืมแบบขาดสติ ได้หน้าลืมหลัง ต้องแก้ด้วยอานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว อย่างอื่นแก้ไม่ได้เลย

    ดังนั้น...เราจะเห็นว่าในส่วนของจริตนั้น พระพุทธเจ้าได้ประทานกรรมฐานที่เหมาะสมแก่แต่ละจริตมา

    พุทธิจริต ฉลาดมาก ก็ให้กายคตาสติ อสุภกรรมฐาน มรณานุสติไป ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีปัญญา จะเห็นความไม่เที่ยงของร่างกายไปเอง

    สัทธาจริต ให้ยึดในพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เป็นต้น ในเมื่อศรัทธามาก ก็แนะให้ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นหลัก

    ราคะจริต รักสวยรักงาม ต้องแก้ด้วยอสุภกรรมฐานบ้าง กายคตาสติบ้าง

    โทสะจริตนี่ แก้ด้วยกสิณ ๔ คือสีแดง สีเขียว สีเหลือง บวกกับอานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออกและพรหมวิหาร ๔

    โมหะจริต แก้ด้วยอานาปานสติ คือลมหายใจอย่างเดียว
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ตรงส่วนนี้พวกเราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้า แม้ว่าจะแยกคนออกเป็นประเภท แต่ก็ยังประทานกรรมฐานให้เฉพาะ และผู้ที่จะรู้จริตนิสัยผู้อื่นได้ครบถ้วนจริง ๆ ก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ซึ่งตรงจุดนี้กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกกับทุกท่านว่า คนเราทุกคนมีครบทุกจริต แล้วแต่ว่าช่วงเวลาไหน จริตไหนจะปรากฏขึ้นมา

    แต่จริตที่ไม่สมควรมีเลยคือวิตกจริต กังวลล่วงหน้าไปก่อน ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงหรือเปล่า ? อย่างเช่น กังวลว่าเดี๋ยวมะรืนนี้จะต้องไปงานรับปริญญาที่ มจร. วังน้อยจะติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ หรือเปล่า ? คิดเสียจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ อันนี้ก็เหมือนกัน ก็คือแก้ไขด้วยอานาปานสติอย่างเดียว ไม่ต้องทำมาหากินอย่างอื่น นั่งดูลมหายใจเข้าออกไปอย่างเดียวเลย

    ทุกคนมีครบทุกจริต เว้นแต่อันไหนเด่นที่สุด เราก็นับเป็นคนจริตนั้น ต้องหากรรมฐานคู่ศึกที่เหมาะสมมาฝึกฝนถึงจะได้ประโยชน์ ไม่เช่นนั้นถ้าได้กรรมฐานที่ไม่เหมาะกับจริตตนเอง อย่างดีก็ทำได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น

    วันนี้จะคุยเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ? หลุดมายันนี่ได้ ขอให้ทุกท่านหมั่นสังเกตดู แต่อย่าลืมว่ากรรมฐานที่เป็นพื้นฐานใหญ่คืออานาปานสติ ไม่ว่าจริตไหนก็ทิ้งไม่ได้ เพราะว่าถ้าหากว่าทิ้งเมื่อไร กำลังใจจะไม่ทรงตัว อัปปนาสมาธิไม่เกิด เราจะไม่มีกำลังพอที่จะกดกิเลสให้สงบลง ถ้าหากว่ากิเลสไม่สงบ ปัญญาก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้

    จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...