เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 15 กุมภาพันธ์ 2025 at 17:34.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,636
    ค่าพลัง:
    +26,493
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,636
    ค่าพลัง:
    +26,493
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศยามเช้าที่โรงแรมเมืองแทง (Muong Thanh Luxury Vientiane) ซึ่งกระผม/อาตมภาพอ่านว่าเมืองถ่าน ตามภาษาอังกฤษที่เขียนอยู่ เนื่องเพราะว่าไม่ถนัดในการออกเสียงฝรั่งเศสแบบคนลาว แขวงศรีสัตตนาค อยู่ที่ ๒๐ องศาเซลเซียส

    ร้านอาหารดอกจำปาเปิดให้เราเข้าได้ตั้งแต่ตี ๕ ครึ่งตามที่พวกเราขอเอาไว้ เพื่อที่จะได้เดินทางไปยังวัดท่าช้างได้เร็วขึ้น ทางพนักงานดูแลห้องอาหารก็ดีเหลือเกิน จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้อุดมสมบูรณ์มาก ทำให้กินกันกระจาย..! โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นทำกันสด ๆ ตรงนั้นเลย ซ้ำยังมีซุปเห็ดหอมใส่ไก่เส้นให้อีกด้วย ต้องบอกว่าดีเลิศประเสริฐศรีมาก

    เมื่อกระผม/อาตมภาพฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับขึ้นห้องพัก เข้าห้องน้ำเสร็จก็คว้ากระเป๋าลงมาขึ้นรถ ความจริงเราจะกลับมาพักที่นี่อีก ๑ คืน แต่ด้วยความที่ว่ากระผม/อาตมภาพนั้น มีกระเป๋าถือขึ้นเครื่องใบเดียวซึ่งไม่ได้หนัก จึงได้หิ้วขึ้นรถไปด้วย เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต เนื่องเพราะว่านางสาวชุติญาณมณีรัตนา สุวรรณชลากร ซึ่งชื่อยาวจนไม่เกรงใจนายทะเบียน ได้ถวายพระเครื่องของวัดท่าขนุนเลี่ยมทองมาหลายองค์ และใส่อยู่ในกระเป๋า ถ้าทิ้งเอาไว้อาจจะล่อตาล่อใจให้คนเกิดความโลภขึ้นมาได้..!

    พวกเราพร้อมแล้ว ๗ โมงเช้าก็ออกเดินทางตรงไปยังบ้านท่าช้าง เมืองปากงึม แขวงกำแพงนครเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นการวิ่งออกไปตามทางหลวงสายใต้ที่มุ่งไปยังเมืองปากเซของลาวใต้ พูดง่าย ๆ ว่าวิ่งตรง ๆ ไปอย่างเดียวไม่ต้องแยกไปไหน ก็จะลงไปถึงเมืองปากเซ แขวงนครจำปาสักเอง พวกเรายิ่งวิ่งก็ยิ่งห่างความเจริญไปทุกที โดยมีนางไก่พยายามปล่อยลูกเล่นสารพัดให้พวกเราได้ฮากันท้องคัดท้องแข็ง โดยเฉพาะภาษาลาวกับภาษาไทยที่ไม่ค่อยจะตรงกัน แถมบางคำของภาษาลาวยังตรงไปตรงมาจนคนไทยหัวเราะกันกลิ้งทุกครั้งที่ได้ยิน..!

    พวกเราค่อย ๆ ออกห่างความเจริญไปเรื่อย ถนนก็เริ่มเป็นขุม ก็คือเป็นหลุมเป็นบ่อเตาขนมครก แล้วท้ายที่สุดก็กลายเป็นทางลูกรัง วิ่งไปฝุ่นขึ้นโขมงยาวเป็นกิโลเมตรตามท้ายรถไปด้วย..! ประมาณเกือบ ๘ โมงครึ่งก็มาถึงวัดโพธิ์ศรีสว่าง ซึ่งกระผม/อาตมภาพเห็นตัวหนังสือที่เขียนไว้ที่ซุ้มประตู ถึงได้รู้ชื่อวัดที่แท้จริง เพราะเรียกว่าวัดท่าช้างมาตลอด เพราะว่าตั้งอยู่ที่บ้านท่าช้าง เมืองปากงึม ก็คือเป็นปากแม่น้ำงึมที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงนั่นเอง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,636
    ค่าพลัง:
    +26,493
    เจ้าอธิการแก้ว สนฺติโก หรือว่าครูบาแก้ว เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรีสว่างมาต้อนรับ พาพวกเราไปกราบพระประธานองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศลาว แล้วกระผม/อาตมภาพก็ขออนุญาตทำบวงสรวง เพื่อหล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินน้ำหนัก ๑๐๘ กิโลกรัมให้กับวัดโพธิ์ศรีสว่างแห่งนี้

    เมื่อบอกกล่าวครูบาอาจารย์ทั้งหมดจนงานลงตัวดีแล้ว ครูบาแก้วก็นิมนต์เข้าไปอธิษฐานจิตสมโภชพระทองคำ ๑ องค์ และพระนาก ๒ องค์ ซึ่งหล่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภายในวิหารหลังหลวงพ่อโตองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศลาว

    งานนี้มีทั้งหลวงพ่อนิล (พระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธมฺโม) ประธานที่พักสงฆ์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร ตำบลพังขว้าง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ซึ่งได้รับคำสั่งจากหลวงพ่อพระราชวชิราทร (วินัย สจฺจวํโส ป.ธ.๕) เจ้าคณะจังหวัดสกลนคร ให้ตามมาดูความปลอดภัยของกระผม/อาตมภาพด้วย เพราะไม่มั่นใจว่าประเทศลาวที่เศรษฐกิจตกสะเก็ดนี้จะเป็นอย่างไร แถมยังมีท่านพระอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) วัดโพธิ์ลังกา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี มาด้วย พอเจอหน้ากระผม/อาตมภาพก็ถามว่า "มาทำอะไร ?" ท่านอาจารย์บ๊ะบอกว่า "มาช่วยเฉลี่ยกรรมให้ครับ" ทำเอาพวกเราเฮกันยกใหญ่

    เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพ เพิ่งจะบรรยายให้กับญาติโยมที่อยู่บนรถบัสเดียวกันได้ทราบว่า งานนี้มายุ่งเกี่ยวกับกรรมที่ไม่ควรจะเป็นของตนเอง ก็คือตั้งใจจะมาปลดผนึก คลายคำสาป เพื่อให้พญานาคที่ท่านโดนผนึกเอาไว้นับพันปีมาแล้ว จะได้พ้นจากกองทุกข์เสียที แล้วการกระทำเช่นนี้จะทำให้ประเทศลาวเจริญขึ้น แต่ในเมื่อไปยุ่งเกี่ยวกับกรรมของคนทั้งประเทศ สิ่งที่จะได้รับก็ต้องหนัก ตอนช่วงเจริญพระกรรมฐานเช้ามืด พระท่านถึงได้บอกว่า "ถ้ากลับไปอาจจะป่วยหนักได้"

    แต่กระผม/อาตมภาพเองก็ยินดีที่จะรับเอาไว้ เพราะว่าสัญญาก็ต้องเป็นสัญญา เนื่องจากรับปากท่านสุวรรณนาคราชและท่านมณิอักขินาคราชเอาไว้แล้วว่า จะต้องมาช่วยคลายผนึกให้กับท่านที่โดนสะกดอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านอาจารย์บ๊ะบอกว่ามาช่วยเฉลี่ยกรรม กระผม/อาตมภาพก็สบายใจว่า งานนี้ไม่ต้องป่วยหนักถึงขนาดล้มหมอนนอนเสื่ออย่างแน่นอน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,636
    ค่าพลัง:
    +26,493
    เมื่อเข้าไปกราบพระ อธิษฐานจิตสมโภช ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราก็คือพิธีเบิกเนตรพระพุทธรูปนั่นเอง ถ้าหากว่าเป็นทางประเทศพม่า ท่านก็จะสวดบทอะเนกะชาติสังสารัง ซึ่งเรียกว่าบทปฐมพุทธะวะจะนะ ก็คือเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ได้เปล่งอุทานออกมาว่า "ด้วยความที่ไม่รู้จักเจ้าตัณหานายช่างเรือน ซึ่งปรุงเรือนก็คือการเกิดให้อยู่ตลอดเวลา จึงต้องทนเวียนว่ายตายเกิดมานับชาติไม่ถ้วน บัดนี้เรารู้จักนายช่างเรือนเจ้าแล้ว เรือนของเจ้าเราได้รื้อทิ้งแล้ว เจ้าไม่มีอำนาจในการที่จะบังคับให้เราเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว" ซึ่งถือว่าเป็นบทที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำเร็จอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทางด้านพม่าจึงได้เอาเป็นบทปลุกเสกพระพุทธรูป

    กระผม/อาตมภาพเมื่อทราบเช่นนั้น ก็ใช้วิธีอาราธนาบารมีพระท่านสงเคราะห์ ภาวนา อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๗ จบ ทำน้ำมนต์แล้วพรมให้ทั่วบริเวณ จากนั้นก็ออกไปนั่งรับศรัทธาญาติโยม ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทองคำ หรือว่าเงินสด เพื่อที่จะร่วมหล่อพระในครั้งนี้ ซึ่งญาติโยมทั้งหลายทำบุญมา น่าจะเป็นเงินประมาณหลายล้านกีบของเงินลาว แต่ว่าที่กระผม/อาตมภาพรับมาในช่วงเช้าสองวันที่ญาติโยมทำบุญมาก็ประมาณ ๓๐,๐๐๐ บาทไทยแล้ว แค่นั้นก็น่าจะตกอยู่ที่ประมาณ ๑๘ ล้านกีบเห็นจะได้..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพจึงแจ้งกับญาติโยมว่า ขอถวายให้ครูบาแก้วเอาไว้ สำหรับจัดการงานที่วัดโพธิ์ศรีสว่างแห่งนี้ แล้วก็นำเอาเงินและทองในส่วนที่สามารถหลอมละลายได้ในเวลาอันรวดเร็ว แบ่งปันให้หลวงพ่อนิลกับท่านอาจารย์บ๊ะช่วยกันใส่ลงไปในกระบวยสำหรับหล่อพระคันยาว แล้วก็เจริญชัยมงคลคาถา ๓ จบ เจริญบทสัพเพพุทธาฯ ๓ จบ จนกระทั่งหล่อพระเสร็จเรียบร้อย

    ครูบาแก้วได้พากระผม/อาตมภาพ ตลอดจนกระทั่งพระอาจารย์นิลเข้าไปพักอยู่ที่เรือนรับรองพระอาคันตุกะ ส่วนท่านอาจารย์บ๊ะและคณะ เมื่อแบกกรรมแล้วก็ขอกลับประเทศไทยเลย นัดเจอกันวันมะรืนนี้

    กระผม/อาตมภาพชี้ให้ดูเรือนรับรองอาคันตุกะที่กรุไม้สักทองอย่างดี และติดเครื่องปรับอากาศด้วย บอกกับครูบาแก้วท่านว่า "เราเป็นพระ อะไรที่พอสมควรแล้วก็อย่าให้มีมากไปกว่านี้ เนื่องเพราะว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราเป็นขอทาน การที่ขอทานจะแสดงฐานะร่ำรวย แล้วต้องไปขอชาวบ้านที่ลำบากยกจนเขากินอยู่ทุกวันนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน" ครูบาแก้วท่านบอกว่า ห้องนี้เอาไว้ต้อนรับพระเถระที่มาวัดท่าช้างแห่งนี้เท่านั้น ส่วนอื่นท่านก็ทำตามนโยบายที่กระผม/อาตมภาพให้ไว้นั่นเอง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,636
    ค่าพลัง:
    +26,493
    เมื่อพูดคุยสอบถามสารพันปัญหาที่ท่านข้องขัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพระวินัย หรือว่าเรื่องของการปฏิบัติแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ออกมารับภัตตาหารเพลจากคณะญาติโยม โดยเฉพาะแม่นางนูนู่ ซึ่งชื่อจริงคือนางพรทิพย์ เป็นมัคคุเทศก์ท้องถิ่นของรถอีกคันหนึ่งซึ่งมาช้า เพราะว่าช่วงลงรถที่ปากประตูวัดโพธิ์ศรีสว่าง กระผม/อาตมภาพก็มอบเงินรางวัลให้กับแม่นางไก่ แม่นางปู และโชเฟอร์ของคันที่กระผม/อาตมภาพนั่งอยู่คนละ ๕๐๐ บาท แล้วก็มอบให้อีกคันหนึ่ง

    แต่ปรากฏว่าแม่นางพรทิพย์เธอพาลูกทัวร์ไปเข้าห้องน้ำ จึงยังไม่ได้รับ เมื่อจะมอบให้ตอนนี้ ก็ปรากฏว่าเงินไทยหมด เพราะกระผม/อาตมภาพเทลงไปร่วมบุญกับครูบาแก้วเสียหมด จึงต้องควักเงิน ๑๐๐ หยวนออกมาให้แทน ซึ่งก็อยู่ที่ประมาณ ๕๐๐ บาทเหมือนกัน ทำเอาแม่นางพรทิพย์ยกเอาข้าวของมาประเคนแล้วประเคนอีก แถมยังบอกด้วยว่าได้รับเงินแล้ว ต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่หน่อย..!

    สักพักสาวสวยอวบอั๋นท่านหนึ่งก็เดินผ่านมา กระผม/อาตมภาพต้องรีบเรียกไว้ เพราะว่านั่นคือน้องปูเป้ งานนี้ไม่ได้มาคนเดียวเสียด้วย เพราะว่าพาเพื่อนคือน้องมีมี่มาด้วย น้องมีมี่นั้นเรียนที่ประเทศเวียดนาม กลับมาทำหน้าที่ประมาณเอ็นจีโอคอยช่วยเหลือผู้ที่ลำบาก โดยที่ได้รับทุนจากต่างประเทศให้มาช่วยเหลือคนลาวที่ลำบากเหล่านั้น ส่วนแม่นางปูเป้ของเราก็คือมัคคุเทศก์ท้องถิ่น ที่ช่วยบริการคณะของกระผม/อาตมภาพตอนที่ไปเมืองฮาร์บินเมื่อเดือนก่อนนั่นเอง ตอนนี้หลงคารมตามมาร่วมทำบุญด้วย

    เมื่อฉันภัตตาหารอิ่มแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกันไป โดยที่กระผม/อาตมภาพมอบพระเครื่อง คือพระคำข้าวรุ่นพิเศษ ติดพระบรมสารีริกธาตุ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เลี่ยมทอง ให้กับแม่นางปูเป้ไป ๑ องค์ตามสัญญา บอกกับแม่นางมีมี่ว่า เนื่องจากไม่รู้ว่ามีเพื่อนมาด้วย ก็เลยติดมาองค์เดียว ทำเอาอีกฝ่ายอายม้วนต้วนลงไปกองอยู่กับพื้น แล้วกระผม/อาตมภาพก็ต้องนั่งเป็นแบบให้คนเขาเข้าคิวกันยาวเหยียดมาถ่ายรูปกันเต็มไปหมด กว่าที่แต่ละคนจะถ่ายจนกระทั่งครบก็นั่งจนตูดด้าน..! แล้วก็ขอตัวขึ้นรถ เดินทางออกจากวัดโพธิ์ศรีสว่าง ย้อนกลับไปยังนครหลวงเวียงจันทน์

    เมื่ออีหลุกขลุกขลักออกมาเป็นระยะทางนับ ๑๐ กิโลเมตรแล้ว ก็ถึงเส้นทางลาดยางเสียที แม้ว่าช่วงต้นจากทางด้านวัดท่าช้าง หรือวัดโพธิ์ศรีสว่างนี้จะเป็นขุมเป็นบ่อมากอยู่ แต่เมื่อใกล้นครหลวงเวียงจันทน์ ก็รู้สึกว่าจะมีถนนหนทางที่ดูดีและเรียบขึ้น พวกเรามาจอดรถกันที่ปั๊มหัวบั่วใหญ่ ซึ่งก็คือปั๊ม ปตท.บ้านเรานั่นเอง ข้ามมาลงทุนฝั่งลาวกันหลายปั๊ม แต่ด้วยความที่ว่าสัญลักษณ์เหมือนกับหอมหัวใหญ่ คนลาวก็เลยเรียกว่าปั๊มหัวบั่วใหญ่ไปเลย
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,636
    ค่าพลัง:
    +26,493
    พวกเรามาเข้าห้องน้ำแล้ว บิ๊กก๊อด ช่องเม็ก ก็นำกระผม/อาตมภาพพร้อมกับน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) และญาติโยมส่วนหนึ่งซึ่งเป็นทีมงานของทางเติมเต็มทราเวล วิ่งออกจากพื้นที่ตรงนี้ตรงไปยังบ้านนา เพื่อที่จะไปชมของใหม่ คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะลาว ซึ่งตามข่าวที่ได้รับมาก็คือสร้างได้ใหญ่โตมโหฬารมาก

    ระยะทางแค่ ๑๒ กิโลเมตรจากกำแพงนครเวียงจันทน์ออกไป เมื่อถึงบ้านนาแล้ว พวกเราก็ต้องเลี้ยวเข้าไปในพื้นที่ ซึ่งเขาเรียกบริเวณนี้ว่าหนองเซือม เพราะว่าเป็นหนองน้ำใหญ่ พิพิธภัณฑ์สร้างอยู่อีกฝั่งหนึ่งของหนองน้ำ

    พวกเราต้องเดินข้ามสะพานทุ่นลอยประมาณ ๔๐๐ เมตรเข้าไป ทางด้านนอกมีร่มให้ยืมด้วย แต่ว่าขากลับต้องเอามาคืน พวกเราเข้าไปซื้อ "ปี้" เพื่อที่จะเช้าไปชมภายใน ปรากฏว่าคนลาวจ่าย ๑๐๐,๐๐๐ กีบ ชาวต่างซาดต้องจ่ายคนละ ๒๓๐,๐๐๐ กีบ ทั้ง ๆ ที่ป้ายเขียนว่า ๒๒๐,๐๐๐ กีบ ก็เลยไม่รู้ว่าส่วนเกิน ๑๐,๐๐๐ กีบนั้นไปไหน ? แต่ว่าพระอาจารย์เข้าฟรี ไม่ต้องจ่ายสตางค์..!

    เมื่อเข้าไปแล้ว ได้เห็นสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมโหฬาร เป็นอาคาร ๓ หลังเรียงกันอยู่ด้านหน้า ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าด้านในยังลึกเข้าไปอีกเท่าไร พวกเราพอเดินเข้าไปก็เจอฉากแกะสลักเป็นรูปนางอัปสราแบบศิลปะเขมรเป็นร้อย ๆ อยู่ทั้งสองฝั่งห้องแรก

    เมื่อเดินผ่านเข้าไปถึงโถงกลาง ก็มีเสาประดับลายอยู่จำนวนมาก ลักษณะเหมือนอย่างกับศูนย์กลางจักรวาล ถ้าตรงไปข้างหน้าจะลงไปสู่ใต้ดิน กระผม/อาตมภาพจึงเลี้ยวไปทางซ้ายก่อน ปรากฏว่าเลี้ยวมาถูก เพราะว่าทางด้านนี้พระพุทธรูปเก่า ๆ งาม ๆ อยู่เป็นร้อยองค์ทั้งใหญ่ทั้งเล็ก สรุปว่าสิ่งที่เราเห็น ไม่ว่าจะที่พิพิธภัณฑ์หอพระแก้วก็ดี ที่วัดศรีสะเกษก็ดี หรือว่าที่พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ก็ตาม นั่นเป็นพระเก่าองค์ชำรุดเกือบทั้งสิ้น ที่สมบูรณ์แบบมาอยู่ในที่นี้เอง

    เมื่อชมและถ่ายรูปกันจนทั่วแล้วก็ออกมา ลงไปยังห้องกลางด้านล่าง ที่ต้องลงไปตามบันไดเลื่อน เมื่อลงไปตรงหน้าก็จะมีไม้แกะเป็นศิลปะที่ดูออกว่าเป็นฝีมือชาวจีน ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นปุ่มไม้ ซึ่งถ้าว่ากันตามความเป็นจริง ก็คือต้นไม้เป็นมะเร็ง..! เนื่องเพราะว่าปุ่มพวกนี้ เมื่อเกิดขึ้นใหญ่บ้างเล็กบ้าง คนเราพอผ่าออกมาเห็นลวดลายสวยงามก็มักจะเอามาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ แต่ว่าปุ่มไม้ที่นี่ต้องบอกว่าใหญ่โตมโหฬารมาก

    ไม่ทราบเหมือนกันว่าต้นไม้นั้นจะใหญ่กี่สิบโอบกันแน่ เขาเอามาแกะสลักเป็นศิลปะอย่างโน้นอย่างนี้ ฝีมือไม่ได้ดีเลิศ จนกระผม/อาตมภาพเสียดายวัสดุมาก เนื่องเพราะว่าฝีมือระดับอยู่ประมาณนักเรียนศิลปะปี ๒ ปี ๓ เท่านั้น เพียงแต่ว่าเจ้าของวัสดุซึ่งหายากขนาดนี้ ยอมสละของแพงมาให้เขาซ้อมมือแกะกัน ต้องบอกว่ากำลังใจสุด ๆ ไปเลย
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,636
    ค่าพลัง:
    +26,493
    เมื่อเดินวนชมไปแล้ว ไม่ว่าจะทางห้องซ้ายและห้องขวา ก็เห็นชัดเจนว่าเป็นการที่ชาวจีนพยายามลอกเลียนศิลปะของชาติอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นอินเดียแดง โรมัน เขมร หรือว่าลาว และท้ายที่สุดก็คือไทย

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราต้องเข้าใจว่า คนจีนนั้นเป็นนักลอกแบบตัวยงทีเดียว แล้วขณะเดียวกัน บุคคลที่คิดจะสร้างผลงานฝากเอาไว้ในแผ่นดิน อย่างของบ้านเราเมืองเรา ก็มีคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ซึ่งสร้างเมืองโบราณ พิพิธภัณฑ์ช้างสามเศียร และปราสาทสัจธรรม เป็นสิ่งที่คนมีเงินอย่างเดียวทำไม่ได้ แต่ว่าต้องมีความรักชาติสุด ๆ ด้วย เพียงแต่ว่าเจ้าของพิพิธภัณฑ์ศิลปะลาวแห่งนี้ น่าจะมีแนวโน้มในการลอกเลียนศิลปะของทั่วโลก

    กระผม/อาตมภาพเองเมื่อจะเดินออกมาจากห้องที่ลอกเรียนศิลปะของเขมร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นพรหมพักตร์ที่ปราสาทบายน ก็เจอแม่นางปูเป้กับแม่นางมีมี่ ซึ่งทำอะไรเชื่องช้าตามแบบของบุคคลที่บารมียังน้อย เพิ่งตามมาถึงตอนนี้เอง จึงบอกว่า "ให้ดูเสียให้คุ้มค่าก่อน ไม่ต้องตามหลวงพ่อก็ได้" แล้วตนเองก็กลับขึ้นมาชั้นบน เลี้ยวไปทางอีกห้องหนึ่ง ซึ่งถ้าขาเข้าก็คือเลี้ยวขวา แต่ในเมื่อออกมาจากทางด้านล่างก็ต้องเลี้ยวซ้าย

    เข้าไปตรงนี้เห็นชัดเลยว่าเป็นการลอกเลียนศิลปะของไทย ไม่ว่าจะเป็นรูปวาดลายไทย ซึ่งที่เห็นอยู่ก็มีทั้งพระจันทร์ พระอังคาร เทวดานพเคราะห์ มีบรรดาพระพุทธรูปแบบไทย มีพญานาคแบบไทย ท้ายที่สุดก็เป็นเรื่องของธรรมาสน์ เรื่องของบุษบกต่าง ๆ แบบไทย เพียงแต่ว่าฝีมือหยาบมาก เพราะว่าไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับศิลปะไทย เป็นการลอกแบบมาเฉย ๆ

    แล้วก็มีแทรกของแปลกเอาไว้ก็คือกลองมโหระทึก หรือที่บางคนเรียกว่ากลองกบ เมื่อถามแม่นางปูเป้และแม่นางมีมี่ว่ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ปรากฏว่าทั้งสองคนไม่รู้ ถามเจ้าหน้าที่ซึ่งเฝ้าอยู่ก็ไม่รู้เช่นกัน..!
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,636
    ค่าพลัง:
    +26,493
    กระผม/อาตมภาพจึงต้องบรรยายเสียยกใหญ่ ให้เขารู้ว่าโลหะที่ทำได้ในยุคนั้นถือว่าเป็นของขลัง ของศักดิ์สิทธิ์ที่ต่างไปจากหินและไม้ แล้วในขณะเดียวกัน เมื่อทำเป็นกลองมโหระทึก ตีแล้วมีเสียงดังเหมือนฟ้าร้อง แสดงออกซึ่งอำนาจ แล้วก็ยังมีตัวกบที่อยู่ข้างบน คล้าย ๆ กับหูของมโหระทึกอยู่ กบเป็นสัตว์ที่ร้องเมื่อฝนตก เขาจึงเชื่อว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากว่ามีกบซ้อนกันมากชั้นเท่าไร ผู้ที่เป็นเจ้าของกลองมโหระทึกนั้น ก็ยิ่งมีอำนาจการปกครองกว้างขวางเท่านั้น

    หลังจากอธิบายแล้วก็ขอตัวเดินออกมาทางด้านนอก เพื่อที่จะไปดู "ตลาดลาว" ตามป้ายที่ชี้ไปทางด้านข้างตัวพิพิธภัณฑ์ แต่ปรากฏว่าเป็นร้านอาหารประมาณฟาสต์ฟู้ดบ้าง ร้านไอศกรีมบ้าง ร้านปิ้งย่างบ้าง หรือไม่ก็พวกผลไม้ดอง มีร้านขายผ้าทออยู่แค่ร้านเดียว

    กระผม/อาตมภาพเห็นแพรวาแล้วก็บอกว่าราคาแพงหูดับ..! เพราะว่ามีการปักแล่งทองเสียด้วย น้องเล็กเข้าไปถามราคาดูแล้ว ปรากฏว่าแพงสุดใจจริง ๆ เมื่อจะกลับออกมา แม่นางปูเป้กับแม่นางมีมี่ไม่เสียดายเงินที่ตัวเองซื้อตั๋วผ่านมา ๑๐๐,๐๐๐ กีบ วิ่งตามออกมาขอทำบุญกับกระผม/อาตมภาพคนละ ๑,๐๐๐ บาทไทย ซึ่งถ้าหากว่าเป็นเงินลาวก็ตก ๖๐๐,๐๐๐ กีบเข้าไปแล้ว..!

    จากนั้นกระผม/อาตมภาพก็ขอตัวเดินทางกลับยังที่พัก ก็คือโรงแรมเมืองถ่าน ขอบคุณบิ๊กก๊อดและคณะที่อุตส่าห์ตามมา ด้วยความหวังว่าจะได้หวยจากพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็ได้แต่อวยพรให้ไป แล้วก็เผ่นขึ้นห้องพักอย่างด่วนจี๋ เนื่องเพราะว่าร้อนเต็มที รีบสรงน้ำแล้วก็มานั่งบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ช่วงเย็นเขามีบายศรีสู่ขวัญ มีการจัดเลี้ยงอย่างไร ก็คงไม่ลงไปยุ่งกับเขาแล้ว กะว่าจะรีบพักผ่อนเลย

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...