ให้เรามีสติสมาธิทรงตัวอยู่กับเรื่องตรงหน้า มองทุกอย่างตามความเป็นจริงว่าไม่มีอะไรเที่ยง

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 พฤษภาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,534
    ค่าพลัง:
    +26,371
    IMG_9108.jpeg

    ปัจจุบันพวกเราที่ทำแล้วไม่ค่อยไปไหน เพราะว่าทำแล้วทิ้ง ลุกแล้วเลิก ต้องลุกไปแล้วรักษาอารมณ์ที่เราทำได้ ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด เรานั่งสมาธิ แหม..ผ่องใสเหลือเกิน สุขเยือกเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก แต่พอลุกแล้วเลิกเลย ไปด่าเขาปาว ๆ แบบนั้นใช้ไม่ได้ ทำอย่างไรเราจะประคับประคองความมีสติ ความสุข ความเย็นกายเย็นใจนั้น ให้อยู่กับเราได้นานที่สุด ?

    ตอนนี้เราเป็นผู้ทวนกระแสโลก ถ้าเราทวนกระแสมาถึงตอนนี้แล้วเราปล่อย ก็จะลอยตามกระแสไป เหมือนกับคนว่ายทวนน้ำ พอรามือก็ลอยตามน้ำไป แล้วเราก็ว่ายใหม่ ถ้าหากเราปล่อยไปวันหนึ่ง ว่ายใหม่หนึ่งวัน อย่างเก่งก็มาได้แค่เดิม ถ้าเหนื่อยมาก ๆ ว่ายหลาย ๆ เที่ยวก็ได้ไม่เท่าเดิม กลายเป็นว่าไม่ได้อะไรเพิ่มเลย ขยันทำงานทุกวัน แต่ผลงานไม่มี แล้วเราก็จะท้อ พอเราท้อเดี๋ยวก็พาเราถอย ถอยเมื่อไรก็ห่างความดีเมื่อนั้น

    นอกจากรักษาอารมณ์ให้อยู่กับปัจจุบันแล้ว เรายังต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องตามกันทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าเราทำถึงจริง ๆ แม้แต่หลับอยู่เราก็ทำได้ สติ สมาธิ ปัญญา จะดำเนินหน้าที่อยู่ตลอด หลับอยู่ก็เหมือนกับตื่น จะรู้ตัวอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นแล้วเราเองสามารถระวังป้องกันได้แต่ตอนตื่นเท่านั้น พอหลับเมื่อไร เดี๋ยวกิเลสก็ตีเราในความฝัน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องคอยวัดตัวของเราเอง

    เวลาฝันมีโอกาสที่จะละเมิดศีล เราละเมิดไหม ? มีโอกาสที่จะทำความดี เราทำไหม ? เพราะว่าในฝันนั้นจะเป็นอารมณ์ที่แท้จริงของเรา ไม่สามารถที่จะปรุงแต่งได้ บอกสภาพจิตที่แท้จริงว่าเรามีต้นทุนแค่ไหน ถ้าเราสามารถรักษาสมาธิของเราให้ทรงตัว หลับกับตื่นมีอารมณ์ใจเท่ากัน สติ สมาธิ ปัญญา ดำเนินไปในการตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ต่อเนื่องตามกันไปเรื่อย ความก้าวหน้าถึงจะมี ที่ท่านบอกว่าพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หลับอยู่ก็เหมือนตื่น สติเท่ากับตื่นอยู่ทุกอย่าง กิเลสเข้ามาตอนไหนก็รู้ ไม่อย่างนั้นแล้ว เวลากลางวันรักษาศีลไว้อย่างดีเยี่ยม เพราะเราตื่นอยู่ แต่กลางคืนฝันว่าฆ่าเขาตายเป็นกองทัพเลย กำลังใจแบบนั้นยังห่วยแตก..ใช้ไม่ได้

    เมื่อเรารักษาอารมณ์ใจให้ตั้งมั่นเฉพาะหน้าอยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน มีการปฏิบัติต่อเนื่องตามกันทุกลมหายใจเข้าออก ก็อย่าเพิ่งคิดว่าจะรอด เพราะมารเขาเก่ง สังเกตดู..พอพวกเรากำลังดีทุกครั้งก็จะพัง กำลังเริ่ม..เออ..วันนี้เราได้อะไรเยอะมากเลย พักเดียวเท่านั้นแหละ พังไม่เป็นท่าเลย เหมือนกับเราเดินไปที่ประตู ถึงประตูแล้ว แค่เอื้อมมือจับลูกบิดเปิดประตู เราก็จะก้าวพ้นไปแล้ว แต่เขารักเรามาก เขาไม่อยากให้เราไป เขาจะหาวิธีใดวิธีหนึ่ง มาหลอกให้เราหลงทางจากประตูนั้นเสีย ไปรับอารมณ์อื่น ๆ เข้ามาแทน กลายเป็นรัก โลภ โกรธ หลง เดินถึงประตูแล้วก็เลี้ยวซ้ายบ้าง เลี้ยวขวาบ้าง เลาะข้างกำแพงต่อไป ไม่ยอมเปิดประตูสักที เพราะว่าเราขาดธัมมวิจยะ ตัวนี้อยู่ในโพชฌงค์ ๗ ธัมมวิจยะ การแยกแยะในธรรม

    เราไม่รู้จักวิเคราะห์ว่า ผลนี้ที่เกิดขึ้นแล้วดี เกิดจากเหตุอะไร ? ผลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ดี เกิดจากเหตุอะไร ? แล้วเราก็เลือกทำเหตุที่ดี เพื่อให้ผลที่ดีเกิดต่อเนื่อง ละเหตุที่ไม่ดี เพื่อไม่ให้ผลที่ไม่ดีเกิด ถ้าเราทำอย่างนี้จะมีความก้าวหน้า แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็จะถอยหลัง ขอยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนมาเป็นไปตามนั้นทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงสอนเรามา พิสูจน์ได้ทั้งหมด ขอให้ทำให้จริง ทำให้ถึงเท่านั้นเอง

    เราต้องใช้ความพยายามมากกว่านี้ ทุกวันนี้เราจะคิดว่าตัวเองขยันยังไม่ได้หรอก วันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง เราทรงความดีไว้ในใจได้กี่ชั่วโมง ? ถามตัวเองแค่นี้ก็รู้แล้ว ถ้าเราทรงความดีเอาไว้ได้ ๖ ชั่วโมง อีก ๑๘ ชั่วโมงเป็นอย่างไร ? ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง จะขาดทุนอยู่ตลอด หา ๖ ชั่วโมง กิน ๑๘ ชั่วโมงนี่ไม่พอ ทำอย่างไรจะได้เรามีความขยันขนาดที่ว่า ทุกวินาทีของเรา ให้สติสมาธิของเราทรงตัวอยู่เฉพาะหน้า มองทุกอย่างให้เห็นตามความเป็นจริง ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...