ไม่มีใครเลยบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้..ที่เป็นมนุษย์โลกจริงๆ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 10 กันยายน 2021.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    **ไม่มีใครเลยบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้..ที่เป็นมนุษย์โลกจริงๆ**

    Fractal-31.jpg
    (Credit the pictures from internet)

    ก่อนอื่น..ต้องขออภัยด้วยนะครับ ที่บทความนี้มาช้ากว่าที่ตั้งใจไว้แต่แรก เพราะว่าผมไม่รู้จะเริ่มต้นเขียนจากตรงไหนดีหนะครับ ฮิฮิ เพราะมันเป็นเรื่องที่อาจจะทำให้ใครหลายๆคนหงายหลังตกเก้าอี้ได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะคน 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ของโลกใบนี้ ที่ยังอยู่ในโหมด Survival Mode อยู่

    แต่ว่า..เพราะมันมีความคิดเด้งขึ้นมาเตือนผมว่า แต่ไหนแต่ไรมา ข้อความหรือบทความแนวนี้ของผม ก็เน้นเพื่อที่จะกระตุ้นการตื่นรู้ให้กับผู้คนที่กำลังอยู่บนเส้นทางแห่งการตื่นรู้อยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนที่ยังไม่ถึงเวลาของเขาเลย

    ดังนั้น แม้มีแค่เพียงคนเดียวที่จะได้ประโยชน์จากบทความเหล่านี้ของผมก็ตาม ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้วหละครับ เพราะว่าคนที่ได้ประโยชน์คนนั้น เขาก็จะไปสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นๆต่อไปในรูปแบบของเขา แบบคลื่นกระทบฝั่ง ที่อาจเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ก็ได้

    *แหล่งกำเนิดของวิญญาณและจิตวิญญาณทั้งปวง*

    ในข้อความจากต่างมิติที่ผมอ่านและแปลมาแล้วมากมายตลอดระยะเวลา 10 ปีมานี้นั้น และรวมถึงในหนังสือของ Dolores Cannon ทุกๆเล่ม ซึ่งได้ข้อมูลมาจากการสะกดจิตบำบัดแบบย้อนระลึกชาติ จนไปถึงภพชาติแรกก่อนที่จะลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ของลูกค้าจำนวนหลายพันคนทั่วโลกด้วยนั้น มันจะมีเนื้อหาหลายๆส่วนที่ตรงกันหมดทั้ง 100% เลยนะครับ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่อง The Prime Creator หรือแหล่งกำเนิดของจิตวิญญาณทั้งปวง

    แน่นอนว่า ในศาสนาบางศาสนาอาจจะไม่มีข้อมูลแบบนี้อยู่นะครับ แต่ว่า..ก็อย่างที่ผมบอกเอาไว้ตั้งแต่ต้นนั่นแหละครับว่า บทความของผมจะมุ่งเน้นไปที่คนอ่านแค่บางคนเท่านั้นนะครับ ไม่ได้เน้นไปที่คนส่วนใหญ่เลยในตอนนี้

    *The Prime Creator*

    ในเอกภพนี้ มันจะมีจักรวาลอยู่มากมายก่ายกอง ที่อยู่ในมิติต่างๆกัน และก็ทับซ้อนกันอยู่ เพราะว่าในความเป็นจริงในระดับเอกภพและในระดับจักรวาลนั้น มันไม่มีช่องว่างและกาลเวลาอยู่จริงๆ ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงสามารถดำรงอยู่ด้วยกันและพร้อมๆกันได้ทั้งหมดเลย

    วิญญาณดวงแรกสุดที่ก่อกำเนิดขึ้นในเอกภพแห่งนี้ เราเรียกว่า The Prime Creator หรือ The Supreme Creator หรือ The Source หรือเต๋า หรืออะไรก็ตามแต่ จะเป็นวิญญาณที่เป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่ในเอกภพแห่งนี้ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

    ซึ่ง The Prime Creator ที่ว่านี้ต่างมิติพูดตรงกันหมดว่า เป็นอะไรที่เราไม่สามารถเข้าใจได้เลย เพราะว่าสมองของมนุษย์นั้น ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เข้าใจอะไรที่สลับซับซ้อนในระดับหลากมิติสูงสุดหยั่งแบบนี้ได้ ดังนั้น อย่างมากเขาก็ได้แค่เทียบเคียงพอให้เราได้เห็นเค้าลางของความเป็นจริงของสิ่งนี้ได้บ้างเท่านั้นเอง

    เช่น พวกเขาบอกประมาณว่าเอกภพทั้งเอกภพนี้ก็เปรียบเหมือนร่างกายของ The Prime Creator นั่นเอง ดังนั้น The Prime Creator จึงเป็นสิ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอกภพ แต่ในขณะเดียวกัน The Prime Creator ก็อยู่ในทุกอณูที่เล็กละเอียดและปราณีตที่สุดของทุกสรรพสิ่งด้วย ดังนั้น จึงเรียกได้ว่า The Prime Creator ก็คือสิ่งที่มีขนาดเล็กที่สุดในเอกภพในขณะเดียวกันด้วย

    มันจะคล้ายๆกับว่า The Prime Creator เป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่ง เป็นทั้งสิ่งที่เล็กที่สุดและใหญ่ที่สุดในขณะเดียวกันด้วย อะไรแบบนั้น

    *กระบวนการสร้างสรรค์ (The Creation Process)*

    จากนั้น The Prime Creator ที่ว่านี้ก็ copy หรือสร้างสรรค์ตัวเองออกมาเป็นวิญญาณย่อยๆลงมาอีกมากมายก่ายกอง ซึ่งแต่ละวิญญาณที่ถูก copy หรือสร้างสรรค์ออกมานี้ ก็จะสามารถ copy หรือสร้างสรรค์ตัวเองออกมาได้อีกจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนกัน และก็จะสืบเนื่องต่อไปเช่นนี้เรื่อยๆ จนมาถึงจิตวิญญาณชั้นล่างๆอย่างพวกเรานี่แหละครับ

    และจิตวิญญาณชั้นล่างๆอย่างพวกเรานี้ ก็ยังสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมาได้เหมือนกัน โดยใช้ความคิด+อารมณ์ความรู้สึกของเราเอง เพราะว่าภายในแก่นแท้ทางพลังงานของเรา ก็มีคุณสมบัติทุกอย่างเหมือนกันกับที่ The Prime Creator มีทุกประการเลย

    แต่ว่า "ขนาด" ของวิญญาณ หรือ จิตวิญญาณ หรือสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาในแต่ละระดับชั้นนั้น ก็จะมีขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆตามลำดับ และก็จะมีความหนาแน่นทึบตันมากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับด้วย เพราะอยู่ในมิติที่มีความสั่นสะเทือนที่ต่างกัน

    ซึ่งคำกล่าวของผมที่บอกว่า เล็กลง และมีระดับชั้นนี้ ขอให้เข้าใจด้วยนะครับว่า ผมแค่พูดในเชิงอุปมาอุปมัย ในแบบที่มนุษย์ที่สื่อสารแบบเป็นเส้นตรงอย่างเราๆจะสามารถเข้าใจได้เท่านั้นนะครับ

    เพราะว่าในความเป็นจริงเกี่ยวกับวิญญาณ (Spirit) และจิตวิญญาณ (Soul) และ The Prime Creator และ The Source และ God แล้ว เราไม่สามารถที่จะเอาความคิดแบบเป็นเส้นตรงของเราไปนิยามได้ และพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ภายใต้ช่องว่างและกาลเวลาแบบเราด้วย

    ดังนั้น ไม่ว่าผมหรือผู้รู้แจ้งแล้วคนไหนก็ตาม ที่อยู่ในร่างมนุษย์นี้ จะพูดถึงสิ่งเหล่านี้ว่ายังไงก็ตาม มันก็จะไม่มีใครสามารถพูดหรืออธิบายได้ถูกต้องตามความเป็นจริงของมันจริงๆได้เลย เพราะว่ามันไม่มีศัพท์คำใดของมนุษย์โลกจะสามารถนำมาใช้เพื่ออธิบายธรรมชาติตามความเป็นจริงของสิ่งเหล่านี้ได้เลย เพราะว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ในมิติที่สูงกว่าเรา และก็เป็นสิ่งที่เราไม่อาจเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้โดยสิ้นเชิงอีกด้วย

    *วัฏจักรของการวิวัฒน์ของจิตวิญญาณ*

    กระบวนการ copy และสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมาในเอกภพและในจักรวาลนี้ มันเป็นกระบวนการที่ไม่มีจุดเริ่มต้น และไม่มีจุดสิ้นสุด และมันก็ไม่มีสิ่งใดที่อยู่นิ่งๆด้วย แม้แต่ในสุญญตา หรือใน The Prime Creator เองก็ตาม เพราะว่ามันก็ยังจะมีบางอย่างที่ไหลเวียนเคลื่อนคล้อยในแบบที่ละเอียดและปราณีตที่สุดอยู่

    แม้ว่าสิ่งเหล่านั้น จะยังไม่ถูกเนรมิตออกมาเป็นอะไรเลยก็ตาม แต่มันก็จะอยู่ในรูปแบบของ "All Possibility" หรือ Infinite Possibility หรือ "ศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด"
    ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงกำลังมีการแผ่ขยายออกไป และหดตัวกลับเข้าไปรวมกับแหล่งกำเนิดของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เป็นชั้นๆไป เหมือนภาพของ Fractals ที่ผมเลือกมาเป็นภาพประกอบในโพสต์นี้นั่นแหละครับ

    คือ..อย่างกรณีของมนุษย์โลกเรา จิตวิญญาณของเรา ที่ถูกแตกแขนงออกมาจาก Higher Self หรือตัวตนรวมของเรานั้น เมื่อผ่านวัฏจักรแห่งการวิวัฒน์มาจนถึงขั้นตื่นรู้ได้อย่างเต็มที่แล้ว ก็จะกลับไปผสานรวมกับ Higher Self ของเราเองใหม่อีกครั้งหนึ่ง

    และ Higher Self ของเราเองก็เช่นกัน เมื่อผ่านวัฏจักรแห่งวิวัฒนาการจนไปถึงขั้นสูงสุดของเขาเองแล้ว เขาก็จะกลับไปผสานรวมเข้ากับ Higher Self ของเขา ซึ่งเราเรียกกันว่า "Oversoul" หรือ "จิตวิญญาณต้นธาตุ" ใหม่อีกครั้งหนึ่ง

    และก็จะเป็นเช่นนี้สืบต่อกันขึ้นไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายคือ การกลับไปผสานรวมกับ God และ The Source และ The Prime Creator ใหม่อีกครั้งหนึ่ง

    แต่ว่า..แต่ว่า..เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว ก็ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดอีกนะครับ เพราะว่าแม้ในระดับนั้นแล้วก็ตาม วิญญาณชั้นสูงทั้งหลาย ก็ยังสามารถที่จะเลือกลงมาทำภารกิจในมิติที่ต่ำๆกว่าได้อีก เมื่อถูกร้องขอมา หรือเมื่อถึงคราวจำเป็นที่ต้องลงมาให้ความช่วยเหลือวิญญาณและจิตวิญญาณที่อยู่ในมิติที่ต่ำๆกว่า อย่างเช่น ในยุคพลังงานใหม่ ที่ดาวเคราะห์โลกของเรากำลังจะเลื่อนระดับขึ้นไปสู่มิติที่ 5 อย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ เป็นต้น

    วัฏจักรแบบนี้ มันจะคล้ายๆกับรูป Fractal เพียงแต่ว่าตรงกลางของ Fractal มันควรจะเป็นวิญญาณดวงใหญ่ที่สุดเท่านั้นเอง จากนั้นก็ถึงจะเป็นวิญาณดวงที่เล็กลงมาอีกหน่อย ที่แตกแขนงออกมาจากวิญญาณดวงใหญ่ที่อยู่ตรงกลางอีกที ในทุกทิศทุกทาง และแตกแขนงออกมาตลอดเวลาอีกด้วย

    จากนั้น วิญญาณระลอกแรก หรือชั้นแรกแต่ละดวง ที่แตกแขนงออกมานั้น ก็จะแตกแขนงวิญญาณระลอกที่ 2 หรือชั้นที่ 2 ออกมาอีกต่อหนึ่ง ในทุกทิศทุกทาง และตลอดเวลาอีกเช่นเดียวกัน แล้วก็จะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป จนเกิดวิญญาณระลอกที่ 3 หรือชั้นที่ 3,4,5,6...อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    และวิญญาณในแต่ละชั้นที่แตกแขนงออกมานั้น ก็จะมีวัฏจักรในการวิวัฒนาการเป็นของตัวเองอีก จนเมื่อใดที่ถึงจุดสูงสุดแล้ว ก็จะย้อนกลับขึ้นไปผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับที่ๆตัวเองแตกแขนงออกมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เป็นเช่นนี้ย้อนกลับขึ้นไปเรื่อยๆจนถึง The Source และ The Prime Creator โน่นเลยหละครับ

    *วัฏจักรของการวิวัฒน์ของจิตวิญญาณมนุษย์โลก*

    ในกรณีของจิตวิญญาณของมนุษย์โลกนั้น เขาจะอยู่ในมิติที่ 5 ซึ่งเป็นมิติที่อยู่เหนือช่องว่างและกาลเวลา และดังนั้น ในการแตกแขนงจิตวิญญาณย่อยๆออกมาเพื่อมาเกิดในมิติที่ต่ำกว่านั้น เขาจึงสามารถแตกแขนงออกมาได้มากมาย และก็กระจายไปอยู่ในมิติต่างๆ และในภพชาติต่างๆ อย่างไม่จำกัดเลยด้วย เพราะว่าเขาต้องการลงมามีประสบการณ์กับรูปแบบชีวิตต่างๆให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    ไม่เพียงเท่านี้ แม้ในภพชาติเดียวกันก็ตาม เขาก็ยังสามารถแตกแขนงออกมาเป็นจิตวิญญาณย่อยๆที่มาอยู่ในร่างกายเนื้อของมนุษย์โลกจำนวนมากมายได้อีกด้วย เช่น ลงมาเกิดพร้อมกันจำนวนหลายพันคน อะไรแบบนั้นเป็นต้น เราเรียกคนที่มาจากจิตวิญญาณดวงเดียวกันนี้ว่า Soul Family หรือ Soul Group

    และยังไม่เพียงเท่านี้ การแตกแขนงของจิตวิญญาณเพื่อลงมาเกิดในมิติที่ต่ำกว่านั้น เขาก็ยังสามารถเลือกที่จะกระจายไปเกิดที่ไหนก็ได้ในเอกภพแห่งนี้อีกด้วย และบนดาวดวงไหนก็ได้ด้วย และจะเลือกที่จะมีกายเนื้อ หรือกายทิพย์หรือไม่ก็ได้ด้วย

    ซึ่งถ้าไม่เลือกที่จะมีกายเนื้อ ก็จะอยู่ในสภาวะของพลังงานล้วนๆเลย แต่ถ้าเลือกที่จะมีกายเนื้อ ก็สามารถที่จะเลือกไปเป็นอะไรก็ได้ด้วย ทั้งอากาศ, ดิน, หิน, น้ำ, ลม, พืช, สัตว์ และมนุษย์
    แต่ถึงแม้ว่าจะเลือกที่จะมีกายเนื้อแบบมนุษย์ ก็ยังสามารถที่จะเลือกมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันได้อีกด้วย ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมของดวงดาวที่ไปเกิด ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องมีรูปร่างหน้าตาอย่างมนุษย์โลกของเราเสมอไป

    เพราะว่าดาวบางดวงที่ไปเกิดก็ไม่ได้หายใจ หรือกินอาหารแบบเรา ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติมากๆถ้าจะมีรูปร่างหน้าตาแบบ Grey ที่เราคุ้นเคยกัน หรือมีรูปร่างเหมือนตั๊กแตน หรือมีรูปร่างเหมือนกิ้งก่า หรือมีรูปร่างแบบปลาโลมา หรืออื่นๆอีกมากมาย

    ดังนั้น เราจึงไม่อาจเหมารวมเอาได้เลยว่า พวก Grey และพวกกิ้งก่าจะต้องเป็นฝ่ายร้ายเสมอไป และพวกที่มีหน้าตาแบบมนุษย์โลกเรา จะต้องเป็นฝ่ายดีเสมอไป เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับว่า มาจากดวงดาวไหน และมีระดับพัฒนาการทางจิตถึงขั้นไหนแล้วต่างหาก

    *การสร้างจักรวาลและดวงดาว*

    ในช่วงเริ่มต้นของการสร้างจักรวาล และกาแล็กซี่ขึ้นมาในแต่ละครั้งนั้น มันก็จะมีดวงดาวต่างๆถูกสร้างขึ้นมาด้วย ซึ่งการสร้างที่ว่านี้ ก็คือการสร้างขึ้นมาด้วยจิต และด้วยวิธีการจินตนาการขึ้นมา ของรูปธรรมชีวิตชั้นสูงในจักรวาล หรือในเอกภพ ซึ่งถ้าดวงดาวดวงไหนถูกเลือกให้เป็นดาวที่จะสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่หละก็ ก็จะมีทีมงานจากจักวาล หรือจากเอกภพคอยทำหน้าที่รับผิดชอบอยู่

    ดังนั้น ในธรรมชาติจริงๆแล้ว เราอาจพูดได้ว่า "ไม่มีสิ่งไหนเลยที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ" ก็ได้ หรือจะบอกว่า "ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นไปตามกฎของธรรมชาติทั้งสิ้น" ก็ได้ ซึ่งถูกต้องทั้งคู่ครับ เพราะเมื่อเราพูดถึงความจริงในระดับจักรวาลและในระดับหลากมิติแบบนี้แล้ว คำพูดที่ตรงข้ามกันหลายๆคำ จึงเป็นคำพูดที่ถูกทั้งคู่

    *วิญญาณอาสาสมัครจากทั่วสารทิศที่มายังดาวเคราะห์โลกในขณะนี้*

    ในยุคพลังงานใหม่นี้ หรือในยุคแห่งการเลื่อนระดับขึ้นของโลกที่เรากำลังเผชิญกันอยู่นี้ จิตวิญญาณของชาวโลกจำนวนนับแสนนับล้านคน ที่กำลังอยู่บนโลกในขณะนี้ ไม่ได้มาจากการแตกแขนงออกมาแบบเป็นทอดๆ ตามสภาวะปกติ อย่างที่ผมได้อธิบายไปแล้วนะครับ

    เพราะว่าพวกเขาเหล่านี้ เป็นวิญญาณชั้นสูงที่ดิ่งตรงลงมาจาก The Prime Creator หรือ The Source หรือ God โน่นเลยก็มีเยอะแยะนะครับ เพราะว่าพวกเขาถูกร้องขอจากดาวเคราะห์โลกเอง ให้ลงมาช่วยหน่อย เพราะว่าโลกไม่ไหวแล้ว เพราะว่ามนุษย์โลกจิตใจตกต่ำกันเหลือเกิน ทำร้ายกันเองและทำร้ายโลกหนักหนาสาหัสเหลือเกิน จนวันสิ้นโลกได้จ่อคิวอยู่ข้างหน้ามะรอมมะร่ออยู่แล้ว

    ดังนั้น สภาต่างๆที่คอยดูแลระบบสุริยะของเราอยู่ และสภาที่คอยดูแลกาแล็กซี่ และจักรวาลนี้อยู่ จึงรับอาสาสมัครจากทั่วทั้งเอกภพแห่งนี้ ให้มาช่วยเหลือโลกหน่อย โดยการลงมาเกิดในร่างมนุษย์ และมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมากอบกู้สถานการณ์ที่เลวร้ายดังกล่าวนี้ เพราะลำพังมนุษย์โลกเอง ถ้าขืนปล่อยให้เป็นแบบนั้นต่อไป ก็มีแต่จะทำลายล้างตัวเองจนถึงวันสิ้นโลกอย่างแน่นอน 100% เลย

    ดังนั้น ก็อย่าแปลกใจนะครับที่วิญญาณชั้นสูงเหล่านี้ บางดวงก็เป็นผู้สร้างจักรวาล บางดวงก็เป็นผู้สร้างกาแล็กซี่ และบางดวงก็เคยมีส่วนร่วมในการสร้างโลกมาแล้วด้วย ดังนั้น คำว่า "ผู้สร้าง" หรือ The Creator นั้น จึงมีอยู่มากมายก่ายกอง

    *การสร้างดาวเคราะห์โลกของเราขึ้นมา*

    ในส่วนของการสร้างดาวเคราะห์โลกขึ้นมานั้น มันก็จะมีวิญญาณอาสาสมัคร ลงมาสร้างดาวเคราะห์โลกเปล่าๆขึ้นมาให้ก่อน ซึ่งจิตวิญญาณของโลกก็คือพระแม่ไกอา หรือพระแม่ธรณีนั่นเอง ซึ่งโลกก็จะเริ่มวิวัฒน์ไปตั้งแต่ตอนยังเป็นกลุ่มแก๊สร้อนๆอยู่ จนกลายมาเป็นของแข็งที่เย็นตัวลง และมีน้ำ มีอากาศ มีพืช มีสัตว์ และมีมนุษย์ในท้ายที่สุด

    และในทุกๆขั้นตอนที่ว่านี้ ก็จะมีวิญญาณอาสาสมัครลงมาทำหน้าที่รับอาสาทำงานให้ตลอดเลยนะครับ เช่น ตอนที่โลกยังร้อนอยู่ ก็จะมีวิญญาณอาสาลงมาเป็นเมฆให้ เพื่อคอยลดอุณหภูมิของโลกลงให้ก่อน จากนั้น ก็จะมีวิญญาณอาสาลงมาเป็นน้ำเพื่อสร้างน้ำขึ้นมาให้อีก อะไรแบบนั้นเป็นต้น

    ซึ่งการลงมาทำงานที่ว่านี้ มันไม่ใช่การลงมาแล้วใช้แค่อำนาจจิตเสก หรือเนรมิตอะไรที่ว่านั้นขึ้นมาให้เฉยๆนะครับ เพราะว่าพวกเขาจะลงมา "เป็น" สิ่งเหล่านั้นให้เลย

    คือ ในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลกนี้ จะมีวิญญาณครองอยู่ทั้งสิ้น แม้แต่น้ำ, อากาศ, ดิน, หิน, แร่ธาตุ, พลังงาน, แสง, สี, เสียง, พืชพันธุ์, และสัตว์ทุกชนิด ฯลฯ ล้วนมาจากการอาสาสมัครและการอุทิศตัวเองของเหล่าวิญญาณทั้งหลาย เพื่อมาเป็นสิ่งเหล่านี้ให้กับพวกเราทั้งสิ้น

    แต่ว่า..แต่ว่า..การ "มาเป็น" ที่ว่านี้ ผมก็อยากขอย้ำว่ามันคือเรื่องของหลากมิตินะครับ คือพวกเขาสามารถดำรงอยู่ในทุกๆสถานที่ และในทุกๆสถานะพร้อมๆกันได้หมด ในทุกหนทุกแห่งทั่วทั้งเอกภพแห่งนี้ ดังนั้น มันก็เลยไม่ใช่การลงมาติดแหง็กอยู่แค่กับการเป็นน้ำในโลกใบนี้ แล้วไม่ได้ไปที่ไหนอีกเลย อะไรแบบนั้น

    และที่พวกเขายอมทำ และยินดีมาทำสิ่งเหล่านี้ก็เพราะว่า "ความรัก" ครับ เพราะว่าภายในแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่งล้วนมีพลังงานแห่งความรักของ The Prime Creator สถิตอยู่ทั้งสิ้น นี่แหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีคำพูดที่กล่าวเอาไว้ว่า "ความรักคือกาวประสานทุกสรรพสิ่ง" หละครับ

    *การนำสิ่งมีชีวิตเข้ามาสู่ดาวเคราะห์ที่เกิดใหม่*

    ขอย้อนกลับไปที่ช่วงต้นๆของการสร้างโลกอีกทีนะครับ คือ เมื่อโลก หรือดาวเคราะห์ดวงใดก็ตามที่มีสภาวะที่พร้อมแล้ว ที่จะเอื้ออำนวยให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้ ก็จะมีทีมงานจากจักรวาลที่มีความถนัดในด้านต่างๆคอยตรวจวัด และตรวจติดตามค่าต่างๆให้อยู่

    แล้วจากนั้น กลุ่มที่ชำนาญด้านพืชพันธุ์ก็จะเป็นกลุ่มแรกที่จะพากันเอาพืชพันธุ์จากห้องทดลองในยานอวกาศของพวกเขาที่ลอยอยู่เหนือดาวเคราะห์ดวงนั้น มาปลูกไว้ในที่ต่างๆของดาวเคราะห์ดวงนั้นให้ แล้วก็คอยติดตามดูการเจริญเติบโตของพวกมันจนเป็นที่พึงพอใจแล้ว กลุ่มที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับการนำสัตว์ต่างๆมา ก็ถึงจะลงมาทำหน้าที่ต่อไป

    แล้วจากนั้น กลุ่มที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการนำ " มนุษย์โลก" มาไว้ ก็ค่อยจะมาทำหน้าที่เป็นกลุ่มที่ 3 ต่อไป ซึ่งในกรณีของดาวเคราะห์โลกของเรานี้ กลุ่มที่ 3 นี้ก็คือชาวดาวลูกไก่นะครับ ดังนั้น ก็อย่าแปลกใจเลยนะครับ ที่แทบจะทั่วทุกมุมโลกเลย จะมีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับดาวลูกไก่กันอยู่ในหลายๆอารยธรรม

    *การนำมนุษย์โลกมาไว้ที่ดาวเคราะห์โลก*

    เดิมทีนั้น ดาวเคราะห์โลก ถูกออกแบบมาให้เป็นดาวเคราะห์ที่ perfect มากที่สุดแห่งหนึ่งในเอกภพแห่งนี้ และดังนั้น มนุษย์โลกเรา จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกออกแบบมาให้มีความพิเศษ ที่พิเศษยิ่งกว่าใครๆที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายๆกับเราในที่อื่นๆของเอกภพอีกด้วย เพราะว่ามันคือ "การทดลอง" ครั้งพิเศษครั้งหนึ่งของจักรวาล

    เพราะว่า DNA ของมนุษย์โลกเรานั้น ถูกคัดสรรค์เอาเฉพาะส่วนที่ดีๆและเด่นๆมาจากรูปธรรมชีวิตชั้นสูงแห่งแสงสว่างจากทั่วทั้งจักรวาลแห่งนี้เลยทีเดียว แล้วเอามาตัดต่อเข้ากับ DNA ของสัตว์ประจำโลกตระกูลลิง โดยที่ลิงกอลิลล่าและซิมแปนซีจะเป็นพวกนิโกร, ลิงอุรังอุตังจะเป็นพวกฝรั่ง ส่วนลิงสีเหลืองจะเป็นพวกเอเซีย

    เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงบอกเอาไว้ว่า นักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีของพวกเรา จะไม่มีวันหา Missing link เจอเลย เพราะว่ามันไม่มีอยู่หนะสิครับ เพราะว่ามนุษย์ไม่ได้ค่อยๆวิวัฒนการขึ้นมาเองตามธรรมชาติ อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งทฤษฎีเอาไว้ เพราะว่าเราก้าวกระโดดจากลิงมาเป็นคนเลย โดยผ่านกระบวนการตัดต่อ DNA

    ดังนั้น หาให้ตายยังไงเราก็จะไม่มีวันพบหลักฐานของสิ่งมีชีวิตกึ่งคนและกึ่งลิงอยู่เลย มีแต่ลิงแล้วกระโดดข้ามมาเป็นคนเลย อะไรแบบนั้น

    แต่จากนั้นไม่นาน ก็มีความผิดพลาดเกิดขึ้น ทั้งอุกาบาตตกลงมาแล้วนำพาเชื้อโรคลงมาด้วย และทั้งมีพวกต่างดาวฝ่ายมืด ที่แหกกฎ free will ของโลก และคิดจะมายึดครองโลก และได้มาเปลี่ยนแปลงรหัส DNA ของมนุษย์ในยุคต้นๆนั้นด้วย เพื่อจะให้มาเป็นทาสของตัวเอง ดังนั้น มนุษย์โลกเราจึงเริ่มเสื่อมทรามลงเรื่อยๆตั้งแต่นั้นมา

    *มนุษย์โลกไม่เคยอยู่อย่างโดดเดี่ยวเลย*

    ในระหว่างที่มนุษย์โลกกำลังค่อยๆวิวัฒน์ขึ้นอยู่นั้น พวกเขาก็จะคอยแอบแวะเวียนลงมาเยี่ยมเยียน และตรวจสอบความเป็นไปของเราตลอดเวลาเลยนะครับ รวมถึง ถ้าจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลืออะไร หรือจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตรงไหนให้ พวกเขาก็จะช่วยทำให้ ดังนั้น มันจึงมียานอวกาศเดินทางมายังโลกอยู่ตลอดเวลา และในทุกยุคทุกสมัยเลยหละครับ แต่อาจอยู่ในโหมดพรางตัวที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้

    แม้แต่ในตอนนี้ และเดี๋ยวนี้เลยนะครับ ก็ยังมียานอวกาศจำนวนมากมาย ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าของเรา และอยู่เหนือโลกของเรา และอยู่ในระบบสุริยะของเรา จำนวนมากมายก่ายกอง หลากหลายขนาด แต่อยู่ในมิติ หรือย่านความถี่อื่นๆ หรือโหมดพรางตัว ที่เราไม่อาจมองเห็นได้

    แต่ว่า..เพราะว่ามันมีกฎของ free will หรือทางเลือกเสรีของจักรวาลอยู่ ดังนั้น พวกเขาจึงจะไม่เข้ามาแทรกแซงวิวัฒนาการของมนุษย์โลก ในแบบที่เราคิด ยกเว้นแต่ว่ามันเป็น Process ที่ต้องทำอยู่แล้ว เช่น การลงมาช่วยสอนให้มนุษย์รู้จักสิ่งต่างๆที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น ไฟ เป็นต้น

    ซึ่งการลงมาสอนมนุษย์ที่ว่านี้ ก็มีหลายรูปแบบนะครับ ทั้งการมาในรูปแบบของรูปร่างมนุษย์เลย แต่ไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ แค่แปลงร่างมาเป็นมายาภาพ 3 มิติที่มนุษย์จะแยกความแตกต่างไม่ออกเลยก็มี หรือแบบที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เลย เพื่อมาสั่งสอนมนุษย์อย่างที่ศาสดาของศาสนาต่างๆทำกันอยู่เป็นระยะๆในแต่ละยุคสมัยก็มี

    เพราะฉะนั้น ในทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา เราจึงอาศัยอยู่กับรูปธรรมชีวิตชั้นสูงจากนอกโลกมาโดยตลอด แม้แต่ในวันนี้เลย เดี๋ยวนี้เลย ก็มีรูปธรรมชีวิตที่ว่านั้นเดินปะปนกับพวกเราอยู่ในที่ต่างๆของโลก ทั้ง 2 รูปแบบเลย เพื่อมาให้ความช่วยเหลือมนุษย์โลก

    ในหนังสือของ Dolores เคยมีพูดถึงมนุษย์ดาวอังคารด้วยนะครับ ที่มายังโลกนานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ดาวอังคารได้รับผลกระทบจากดาวดวงหนึ่งในระบบสุริยะของเรานี่แหละที่แตกสลายเป็นเสี่ยงๆไป ในยุคที่ดาวเคราะห์โลกของเราเพิ่งวิวัฒน์ขึ้นใหม่ๆเพราะผู้คนบนดาวดวงนั้นทำลายตัวเอง จนส่งผลกระทบต่อดาวที่อยู่ใกล้เคียงด้วย เช่นดาวอังคารเป็นต้น

    และหนังสือก็ยังเคยพูดถึงพวกยักษ์ด้วยนะครับ ว่ามีอยู่จริง ในแถบประเทศนอร์เว ซึ่งเป็นพวกที่มาจากต่างดาว หนีภัยมา เพราะทำลายล้างกันเองจนดาวของตัวเองอยู่ไม่ได้แล้ว เลยเร่ร่อนหาดาวอื่นในเอกภพอยู่ แต่พลัดหลงมายังโลก แต่โชคดีที่มีแต่เพศชาย เลยแพร่พันธุ์ไม่ได้ ตอนนี้เลยตายไปหมดแล้ว ไม่เหลือใครรอดอยู่แล้ว

    ในยุคอียิปต์ ซึ่งเป็นหลังยุคแอตแลนติส ก็มีรูปธรรมชีวิตจากต่างมิติ มาอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ด้วย เพื่อคอยให้ความช่วยเหลือและสั่งสอนวิชาความรู้ให้กับมนุษย์ พวกเขาจะอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใกล้ๆกับปิระมิดในตอนนี้ รูปร่างของพวกเขาจะสูงใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไป

    *ทุกสรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณครองทั้งสิ้น*

    ผมขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณครองทั้งสิ้น ดังนั้น ในร่างกายเนื้อของมนุษย์โลกแต่ละคนเอง ก็มีวิญญาณอาสาลงมาสถิตอยู่ทั้งสิ้น แม้ว่าจะมีปัญหา หรือมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม เพราะว่าวิญญาณ และจิตวิญญาณทั้งหลาย มองว่ามันเป็นเรื่องสนุกและน่าตื่นเต้นที่ได้มาเรียนรู้และมีประสบการณ์ในมิติที่หนาแน่นทึบตันแบบนี้

    ดังนั้น แม้ว่าจะมีโอกาสอยู่ในโลกแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม พวกเขาก็ยินดีลงมาให้ คือ เกิดมาแล้วไม่กี่ชั่วโมงก็ตายอะไรแบบนั้น เพราะจิตวิญญาณจะไม่มองว่าผิดหรือถูก ว่าดีหรือร้าย เพราะทั้งสองขั้วนั้น เป็นแต่เพียงประสบการณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น อะไรแบบนั้น

    ส่วนในสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมานั้น ก็เช่นกันครับ มันก็จะมีวิญญาณอาสาสมัครลงมาครองอยู่เช่นกัน เพื่อมามีประสบการณ์กับการเป็นสิ่งนั้นๆ เช่น ในอะตอมก็มีวิญญาณครอง ในอิเล็กตรอน, ในไฟฟ้า, และในพลังงานทุกชนิด ก็มีวิญญาณครองเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว

    แต่พอเราสร้างหรือผลิตเป็นหุ่นยนต์ หรือเป็นรถยนต์ขึ้นมาแล้วนั้น มันก็ยังจะมีวิญญาณอาสาสมัครที่อยากจะมีประสบการณ์ของการเป็นหุ่นยนต์ หรือรถยนต์ลงมาครองให้อีกต่อหนึ่งด้วยนะครับ น่างงดีไหมหละครับ

    ตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนมากๆ และพวกเขาก็สื่อสารมาแบบนี้ตรงกันหมดแทบทุกรูปธรรมก็คือ ยานอวกาศของพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตนะครับ ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับยานอวกาศได้ และสามารถบังคับและควบคุมยานอวกาศได้ด้วยจิตครับ ส่วนเชื้อเพลิงนั้น ก็มาจากแท่งคริสตัลครับ เพราะแท่งคริสตัลมีอานุภาพมากกว่าที่เราจะจินตนาการได้ครับ เพียงแต่ว่าต้องปลุกให้ตื่นขึ้นมาซะก่อน เพราะคริสตัลก็มีชีวิตเหมือนกันครับ

    ดังนั้น นี่แหละคือเหตุผลที่ว่าทำไม รูปธรรมชีวิตจากต่างมิติทั้งหลาย จึงเคยบอกเอาไว้ว่า มันจะมีซักวันหนึ่งที่มนุษย์โลกจะต้องเขียนคำจำกัดความของคำว่า "สิ่งมีชีวิต" ขึ้นมาใหม่หละครับ

    *บทสรุป*

    สรุปว่า..เราจะเริ่มนับตรงไหนว่าใครเป็นมนุษย์โลกบ้าง? และเราจะเริ่มนับตรงไหน ว่าใครไม่ใช่มนุษย์โลกบ้าง? ตอบได้เต็มปากเต็มคำไหมครับ?

    เพราะว่าความจริงนั้น..เราไม่ใช่มนุษย์เลย..ไม่เคยใช่..ตอนนี้ก็ไม่ใช่..และในอนาคตก็จะไม่ใช่มนุษย์ด้วย! เพราะว่าเราคือ "จิตวิญญาณ ที่มาหาประสบการณ์ในร่างของมนุษย์" เท่านั้นเอง!

    ดังนั้น เราจึงไม่ใช่ร่างกายที่มีเนื้อหนังนี้เลย! และเราก็ไม่ใช่คนที่มีชื่อตามบัตรประชาชนนั้นอีกด้วย..เพราะร่างกายเนื้อหนังนี้เป็นแต่เพียงภาชนะ หรือพาหนะ หรือเสื้อผ้าให้เราสวมใส่มาเล่นเกมในมิติที่ 3 แห่งนี้ได้เท่านั้นเอง

    และที่มาที่ไปของเรา ก็ไร้จุดเริ่มต้น และไร้จุดสิ้นสุด และก็..อยู่เหนือช่องว่างและกาลเวลาอีกด้วย ดังนั้น อะไรหละ ที่ทำให้เราหลงเข้าใจผิดไปว่าเราคือมนุษย์โลกหนะ?

    จริงอยู่ว่า..ถ้าสมมุติว่าเราเริ่มมองหรือเริ่มนับกัน ตั้งแต่ภพชาติแรกที่เราลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ใบนี้ ว่านั่นแหละคือ "จุดเริ่มต้นในการเป็นมนุษย์โลก" ของเราหละก็ มันก็จะยังมีข้อขัดแย้งได้อยู่ดีว่านั่นแหละ เพราะว่าเวลาที่เราตายไปในแต่ละภพชาติ เราก็จะลาขาดจากความเป็นมนุษย์อยู่ดี! เพราะความจริงยังไงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำครับ ว่าเราไม่ใช่มนุษย์ เพราะเราคือจิตวิญญาณ!!

    Chayutt Naowarat
    03/07/20
    ..............................

    #Facebook: Chayutt Naowarat https://web.facebook.com/chayutt.deejaroen

    ?temp_hash=5b2a256136d0e513ecac26433db8d45a.jpg
    #เพจขายหินออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย: Alchemistic Power of Stones (https://facebook.com/chayutt.naowarat)
    #ฝากกระทู้เกี่ยวกับหินด้วยนะครับ http://Alchemistic.2.vu/AlchemisticHere
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2021

แชร์หน้านี้

Loading...