(๑๐) ตำนานมูลศาสนา

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 13 กันยายน 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    เริ่มต้นพุทธประวัติ

    ในกาลครั้งนั้น หมื่นโลกจักรวาฬก็กัมปนาทหวั่นไหว พร้อมด้วยปฏิสนธิวิญญาณแห่งพระองค์ผู้มีบุญในวันนั้น ครั้นพระองค์อยู่ในครรภ์ถ้วนทสมาส ๑๐ เดือนแล้ว ในวันที่พระองค์จักประสูติจากท้องแห่งมารดานั้น พระนางผูมารดาก็บังเกิดมีความรักใคร่คิดถึงพระญาติ ซึ่งอยู่ในเมืองเทวทหะเป็นกำลัง จึงเข้าไปกราบทูลแก่พระยาสิริสุทโธทนมหาราช ผู้เป็นพระราชสามี เมื่อพระองค์ได้ทรงทราบดังนั้น จึงรับสั่งให้อำมาตย์จัดการตกแต่งถนนหนทางให้เเป็นที่เรียบร้้้อย ตั้งแต่เมืองกบิลวัตถุต่อเท่าถึงเมืองเทวทหะนคร ประดับประดาไปด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อยและช่อธงตลอดทาง ก็ให้พระนางขึ้นทรงสิวิกาคำ อันกระทำแล้วไปด้วยไหม เสด็จไปกับด้วยหมู่บริวารเป็นอันมาก ครั้นเสด็จไปถึงป่าไม้รับอันชื่อว่าลุมพินีวันนั้น เป็นของควรบริโภคแก่ท้าวพระยาทั้ง ๒ พระนคร อันมีอยู่ในท่ามกลางหนทางแห่งเมืองทั้ง ๒ นั้นแล

    ในวันนั้นไม้ทั้งหลายมีไม้รังเป็นต้น ก็บังเกิดมีดอกออกผลตั้งแต่โคนต้นถึงยอดหอมฟุ้งขจรไปทั่วทั้งบริเวณประเทศที่นั้น เมื่อพระนางไปถึงในที่นั้น ทอดพระเนตรเห็นไม้รังมีดอกหอมตบลไปและมีฝูงนกทั้งหลายเป็นต้นว่า นกกาเหว่าและนกแขกเต้าทั้งหลาย หากขับหากร้อง ด้วยสัททสำเนียงมีเสียงอันไพเราะ บ้างก็บินบ้างก็ร้องอยู่เหนือยอดไม้ ในป่าที่นั้นเป็นที่สนุกเพลิดเพลินใจยิ่งนัก ประดุจดังพระราชอุทยานอันมีอยู่ในฉกามาวจรสวรรค์นั้นทีเดียว พระนางก็มีพระทัยปรารถนาจะใคร่ประพาสในที่นั้น อำมาตย์ทั้งหลายจึงไปกราบทูลนางพระยาให้ทรงทราบ แล้วพระนางก็เสด็จเข้าไปสู่เค้าไม้รังต้นหนึ่ง อันสมมติให้เป็นไม้มงคลนั้นมีลำต้นอันซื่อตรงและงดงามยิ่งนัก พระนางมีพระทัยปรารถนาอยากจะจับกิ่งไม้นั้นๆ ก็อ่อนน้อมลงมาให้พระนางจับ เหมือนดังมีวิญญาณฉะนั้น ในทันใดนั้นลงอันเกิดแต่กรรมของพระนางและพระราชโอรสก็บังเกิดมีขึ้น เมื่อพระนางทรงรู้สึกองค์ดังนั้น จึงตรัสรับสั่งให้บริวารทั้งหลายราบ เมื่อบริวารได้ทราบเหตุดังนั้น จึงเอาผ้ามากั้นกางแวดล้อมให้เรียบร้อยแล้วก็ถอยออกไปเพื่อรอฟังเหตุการณ์อยู่ภายนอก พระนางเจ้าก็ทรงเหนี่ยวกิ่งไม้ยืนอยู่ ณ ที่นั้น กาลนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าก็ประสูติออกมาจากครรภ์แห่งพระรชมารดา ในเดือนวิสาขเพ็ญเวลาเที่ยงวันนั้นแล

    ในกาลนั้นมหาพรหมทั้ง ๔ องค์อันมีใจบริสุทธิ์ จึงนำเอาข่ายคำทิพย์อันสุขุมาลมารองรับในขณะนั้น แล้วก็นำเอาไปตั้งไว้ในที่เฉพาะพระพักตร์แห่งพระราชมารดา จึงเจรจากับพระราชมารดานั้นว่า ดูกรมหาเทวี พระราชโอรสแห่งพระองค์นี้มียศศักดิ์และมีบุญสมภารนัก จะหามนุษย์ในโลกนี้เสมอด้วยพระราชกุมารพระองค์นี้เป็นอันไม่มี หากมาบังเกิดมีแต่พระราชเทวีพระองค์เดียวนี้แล พระองค์จงยินดีในพระราชบุตรให้จงมากเทอญ พระราชกุมารนี้ใช่โยโสสามานย์เหมือนกุมารทั้งหลายอื่น เป็นต้นว่าไล้ลาทาไปด้วยมลทินแล้วจึงคลอดออกมา แต่ว่าพระโพธิสัตว์เจ้าพระองค์นี้หาเป็นเช่นนั้นไม่ พระองค์มีพระสรีระอันบริสุทธิ์จากมลทินทั้งหลายนั้นๆ มีพระหัตถ์และพระบาทอันเหยียดแล้วยืนประสูติออกมาทีเดียว ในเมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าประสูติออกมาแล้วนั้น ในกาลนั้น ท่อน้ำทั้ง ๒ ก็ไหลลงมาจากอากาศมีน้ำร้อนและน้ำเย็น เพื่อเป็นของสักการบูชาโสรดสรงพระโพธิสัตว์เจ้า กับทั้งพระราชมารดาให้บริสุทธิ์สะอาดนั้นแล ลำดับนั้น ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ก็มารับเอาพระโพธิสัตว์เจ้าแต่เมื่อห้าวมหาพรหม ด้วยผ้าอันชื่อว่าเวนิ (ในปฐมสมโพธิ ฉบับกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ว่าเป็นอชินจัมมาชาติ) มีสัณฐานประดุจดังหนังเสือดาว แล้วนางนมและคนทั้งหลายก็มารับเอาพระโพธิสัตว์เจ้าด้วยผ้าทุกุล จากมือแห่งท้าวจตุโลกบาล พระองค์ก็เสด็จลงจากมือแห่งเขาทั้งหลายยืนอยู่เหนือแผ่นดิน แล้วทอดพระเนตรดูทิศตะวันออกใน ๑,๐๐๐ จักรวาล เห็นเทวดาเป็นอันมากมาประชุมกันอยู่ในลานอันเดียว เทวดาและมนุษย์กระทำสัการบูชาพระโพธิสัตว์เจ้า ด้วยดอกไม้ธูปเทียนอยู่แต่ไกลแล้วกล่าวว่า ข้าแต่มหาปุริสเจ้า บุคคลใดในโลกนี้จักเสมอด้วยพระองค์นี้เป็็นอันไม่มีีแล้ว พระองค์จึงทอดพระเนตรเล็งดูไปยังทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ทั้ง ๔ ทิศ และทิศเบื้องบนทิศเบื้องล่าง เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรดูทิศทั้ง ๖ แล้ว ไม่เห็นว่าใครผู้ใดผู้หนึ่งจักเสมอด้วยพระองค์หามิได้แล้ว ก็เปล่งออกยังพระสุรเสียงอันองอาจบ่มิได้เกรงขามว่า กูนี้ประเสริฐในโลกาทั้ง ๓ นี้แล และมีคำโจทนากันว่าพระโพธิสัตว์เจ้าทรงพระดำเนินไปได้ ๗ ก้าวก็มี พระองค์เสด็จไปเหนือแผ่นดินนั้นหรือๆ ว่าไปทางอากาศนั้น ทรงพระภูษาไปหรือๆ ว่าเปลือยพระวรกายไป พระองค์เป็นเด็กเล็กๆ ทรงดำเนินไปหรือๆ ว่าเป็นผู้ใหญ่มีพระชนมายุประมาณเท่าบุคคลอายุ ๑๖ ขวบนั้น หรือทรงดำเินินไป แก้ว่า พระองค์เสด็จไปในขณะนั้นปรากฎว่า เท่าบุคคลมีอายุย่างเข้า ๑๖ ขวบประดับองค์ด้วยเครื่องประดับ ปรากฎเหมือนดังไปทางอากศนั้นแล

    พระบรมโพธิสัตว์เจ้าแห่งเรานี้ เมื่อประสูติจากครรภ์แห่งพระราชมารดาแล้ว พระองค์ทรงเจรจากับด้วยพระราชมารดาได้นั้นมีอยู่ ๓ ชาติ คือเมื่อครั้งเป็นมโหสถโพธิสัตว์ เวสสันดรโพธิสัตว์ และในชาติอันเป็นที่สุดนี้ ทรงพระนามว่าสิทธัตถะพระราชกุมารนี้ และในชาติเมื่อเป็นเจ้ามโหสถนั้น ในขณะเมื่อประสูติออกจากครรภ์แห่งพระราชมารดานั้น พระอินทร์นำเอาไม้แก่นจันทน์มาใส่ไว้ในพระหัตถ์ แล้วพระอินทรก็เสด็จหนีไป เจ้ามโหสถกุมารก็ถือยังไม้แก่จันทน์ไว้ในพระหัตถ์ ในทันใดนั้น พระมารดาครั้นได้เห็นแก่นจันทน์ในพระหัตถ์ จึงถามว่า เจ้าเอาชื่อนี้หรือ พระองค์จึงเจรจากับด้วยพระมารดาว่า นี่ยานะพระแม่เจ้า ด้วยเหตุนี้พระญาติทั้งหลาย จึงตั้งพระนามว่าเจ้ามโหสถกุมารเพื่อเหตุนั้นแล

    ในชาติอันเป็นเวสสันดรนั้น เมื่อพระองค์ประสูติออกมานั้น ยื่นพระหัตถ์ไปหาพระมารดาแล้วจึงเจรจาว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ข้าวของสมบัติของเราแ่ม่ลูกยังมีหรือๆ ว่าไม่มีประการใด กูจักใคร่ให้ทานหนา พระมารดาจึงขานคำว่า เจ้าเกิดมาในตระกูลที่มีสมบัติดอกหนา ว่าแล้วพระมารดาจึงหยิบเอายังกหาปณะมีประมาณ ๑,๐๐๐ หนึ่ง มาวางไว้ในที่ใกล้พระหัตถ์ของพระองค์ที่ยื่นมานั้น ด้วคำว่า นี่แน่ะเจ้าจงเอาให้เป็นทานเทอญ

    ครั้นกาลต่อมาในชาติอันเป็นที่สุดนี้ ทรงพระนามว่าสิทธัตถราชกุมาร เมื่อประสูติออกมาจากครรภ์แห่งพระราชมารดานั้น พระองค์ก็เปล่งออกยังพระสุรเสียงอันองอาจด้วยสีหนาทวาจาว่า กูนี้ประเสริฐกว่าโลก ๓ นี้แล พระบรมโพธิสัตว์แห่งเราทั้งหลายนี้ เมื่อพระองค์ประสูติออกมาจากครรภ์แห่งพระราชมารดา พระองค์ทรงเจรจาได้ อาจารย์เจ้าทั้งหลายท่านหากแสดงเฉพาะใน ๓ ชาติเท่านี้ หรือว่ามากไปกว่านี้ก็ยังไม่ปรากฎว่ามีในที่แห่งใด

    สหชาติและขุมคำทั้ง ๔

    ในขณะเมื่อพระองค์ประสูติในลุมพินีวัน วันนั้น มีนางยโสธรา ๑ พระอานนท์ ๑ นายฉันนามาตย์ ๑ กาฬุทายีอำมาตย์ ๑ กัณฐกอัศวราช ๑ ไม้มหาโพธิ ๑ ขุมคำทั้งสี่ ๑ ขุมคำทั้ง ๔ นั้นคือ สังโข เอโล อุปโล ปุณฑริโก สิ่งทั้งหลาย ๗ นี้ ก็บังเกิดขึ้นพร้อมในวันที่พระองค์ประสูติแท้ไซร้

    ขุมคำที่มีชื่อว่า สังโข นั้น วัดโดยรอบประมาณคาวุตหนึ่ง เท่ากับ ๒,๐๐๐ วา เอโลนั้นวัดโดยรอบประมาณครึ่งโยชน์ เท่ากับ ๔,๐๐๐ วา อุปโลนั้นวัดโดยรอบประมาณ ๓ คาวุต เท่ากับ ๖,๐๐๐ วา ปุณฑริโกนั้นวัดโดยรอบประมาณโยชน์หนึ่ง เท่ากับ ๘,๐๐๐ วา โดยลึกตลอดสุดพื้นแผ่นดินดุจกันทั้ง ๔ ขุม ขุมคำทั้ง ๔ นี้บังเกิดมีขึ้นในสวนพระราชอุทยานแห่งพระองค์วันนั้นแล


    สังเขปตำนานศาสนวงศ์ ภายหลังพุทธกาล

    ฝ่ายอำมาตย์ทั้งหลายก็อาราธนาเชิญขา (ขา คือเขา ใช้แทนคนจำนวนมากกว่าสองคนขึ้นไป) ทั้งแม่ลูกคืนเข้าสู่พระนคร พระสิทธัตถราชกุมาร พระองค์อยู่ในฆราวาส ๒๙ ปี แล้วออกทรงผนวช กระทำเพียรอยู่ได้ ๖ พระวัสสา ก็ได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณในเวันเดือนวิสาขเพ็ญเวลาจะใกล้รุ่งวันนั้นแล

    ครั้นอยู่มาในกาลวันหนึ่ง พระศาสดาเสด็จไปแสดงพระธรรมจักรในเมืองพาราณสี แล้วเสด็จไปเทศนาโปรดสัตว์ในเมืองทั้งหลาย เป็นต้นว่าเมืองราชคฤห์ เมืองกบิลวัตถุ ตัั้งแต่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้สัพพัญญุตญาณ พระศาสดาเป็นครูทรมานสั่งสอนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คณนาสังขยาปีเดือนทั้งหลาย ๔๕ พระวัสสา พระพุทธองค์เจ้าของเราก็เสด็จเข้าสู่พระนิพพานในเมืองกุสินารา ในระหว่างไม้รัง ๒ ต้น ณ วันเดือนวิสาขเพ็ญเวลาใกล้รุ่ง แล้วพระศาสดาทรงไว้พระศาสนา ๕,๐๐๐ วัสสา เพื่อจักใคร่บอกยังคลองอันดีแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย สืบสายมาจนถึงกาลบัดนี้ ธรรมทั้งหลายทั้งมวลที่พระศาสดาได้แสดงแล้วนั้น เป็นอนันตอปริมาณทีเดียว อาการธรรมอันเป็นพระโอวาทของพระศาสด จะตั้งอยู่ถ้วน ๕,๐๐๐ พระวัสสาให้พึงรู้ดังนี้ นับแต่วันพระนิพพานของพระองค์มา คือ ณ วันเดือนวิสาขแรมค่ำหนึ่งมาประมาณ ๔ เดือน พระมหากัสสปเถรเจ้าทรงเป็นประธานแก่ชาวเจ้าหมู่พระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ๕๐๐ พระองค์กระทำปฐมสังคายนามีประมาณ ๗ เดือนจึงสำเร็จ

    ลำดับแต่นี้นมาอีก ๑๐๐ ปี พระมหายสเถรเจ้าเป็นประธานแก่ชาวเจ้าหมู่พระอรหันต์ทั้งหลาย ๗๐๐ พระองค์ กระทำทุติยสังคายนามีประมาณ ๘ เดือนจึงสำเร็จ ลำดับต่อแต่นั้นมาอีก ๒๑๘ ปี พระมหาโมคคลีบุตรติสสเถรเป็นประธานแก่ชาวเจ้าหมู่พระอรหันต์ทั้งหลาย ๑,๐๐๐ พระองค์ กระทำตติยสังคายนามีประมาณ ๙ เดือนจึงสำเร็จ

    เมื่อเจ้าไท (คำว่าเจ้าไท ในที่นี้เป็นคำเรียกพระ) ทั้งหลายกระทำตติยสังคายนาเสร็จแล้ว พระมหาโมคคลีบุตรติสสเถรเจ้าจึงมารำพึงดูในอนาคตกาลว่า ศาสนาพระพุทธองค์เจ้าของเรานี้ จักไปตั้งรุ่งเรืองอยู่ในมัชเิมประเทศหรือๆ ว่าในปัจจันตประเทศหนอ เจ้าไทก็รู้ได้ว่า ศาสนาของพระศาสดาจักไปตั้งรุ่งเรืองอยู่ในปัจจันตประเทศ เจ้าไทจึงใช้ให้ชาวเจ้าทั้งหลายนำเอาลัทธิศาสนาไปเผยแผ่และประดิษฐานตั้งไว้ในประเทศต่างๆ คือ ให้มหาเถรมัชฌันติก นำเอาศาสนาไปตั้งไว้ในเมืองคันธรัฐ (ในมหาวงศ์ เป็นเมืองกัสสมิรนคร) ทิศหนอีสานแห่งชมพูทวีป ให้มหาเถรเทวานัง นำเอาศาสนาไปตั้งไว้ในเมืองมหิสากัณฑระ (ในมหาวงศ์ เป็นมหิศมณฑลประเทศ) ให้มหารักขิตเถร นำเอาศาสนาไปตั้งไว้ในนววาสีประเทศ ให้มหาโยนกเถรนำเอาศาสนาไปตั้งไว้ในเมืองปรันตกชนบท คือในนฦรพุรกาม ( ในมูลศาสนา ฉบับ ๑๖ ผูก ว่า อนารัฐคาม) นี้แล ให้มหาธรรมรักขิตเถรนำเอาศาสนากไปตั้งไว้ในโยนกประเทศเรานี้แล ให้มหาเถรมัชฌิมกนำเอาพระศาสนาไปตั้งไว้ในหิมวันตประเทศโพ้น ให้มหาเถรเจ้า ๒ พระองค์ คือเจ้าโสณและเจ้าอุตตร นำเอาศาสนาไปตั้งไว้ในสุวรรณภูมิ คือเมืองพะโคนี้แล ให้มหาเถรมหินทร นำเอาศาสนาไปตั้งไว้ในลังกาทวีปโพ้นแล มูลศาสนาอธิบายให้รู้ฉะนี้

    พระศาสดาพระองค์ประสูติออกมามีประชนมายุได้ ๖ พรรษา พระมหาอุบาลีเถรจึงบังเกิด และได้ออกบวชในศาสนาของพระศาสดท ทรงจำพระวินัยปิฎกแต่พระโอษฐแห่งพระศาสดๆ ก็ทรงยกย่องเจ้าไทองค์นี้ ให้ตั้งอยู่ในตำแหน่งเอตทัคคะฝ่ายพระวินัยปิฎก สั่งสอนศิษยานุศิษย์ได้เป็นอันมาก นับแต่ที่ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ๑,๐๐๐ พระองค์ ที่ได้โสดา สกิทาคา อนาคา นั้นไม่อาจคณนานับได้ เจ้าไทพระอุบาลีมหาเถรมีอายุได้ ๗๐ ปี ท่านก็เข้าสู่พระนิพพาน

    ลำดับนั้นมา ยังมีเจ้าไทองค์หนึ่งมีนามว่า ทาสก เป็นสัทธิวิหาริกของพระอุบาลีมหาเถร เรียนเอาพระวินัยปิฎกแต่สำนักของพระเถรพระองค์นั้นได้ชำนิชำนาญดี แ้ล้วสั่งสอนศิษยานุศิษย์สืบต่อมา ศิษย์ทั้งหลายย่อมทรงวินัยปิฎกทุกๆ องค์ แต่ที่ได้สำเร็จพระอรหันต์ได้ประมาณ ๑,๐๐๐ องค์ ที่ได้โสดา สกิทาคา อนาคานั้น มิอาจคณานับได้ เจ้าไททาสกมีอายุยืนได้ ๖๐ ปีก็เข้าสู่นิพพาน ลำดับต่อมาเจ้าไทโสณก ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกของเจ้าไททาสกเถรเรียนเอาพระวินัยปิฎกแต่สำนักพระเถรพระองค์นั้น ได้ชำนิชำนาญดีแล้ว ก็สั่งสอนศิษยานุศิษย์สืบมา สานุศิษย์ที่ได้สำเร็จพระอรหันต์มีประมาณ ๑,๐๐๐ องค์ ที่ได้โสดา สกิทาคา และอนาคานั้น ไม่สามารถจะคณนานับได้ เจ้าไทโสณกเถรมีอายุได้ ๖๖ ปี ท่านก็เข้าสู่นิพพานวันนั้นแล

    ลำดับแต่นั้นมา ยังมีเจ้าไทพระองค์หนึ่งมีนามว่า มหาสิคควะเป็นสัทธิวิหาริกของเจ้าไทโสณกเถร เรียนเอาพระวินัยปิฎกแต่สำนักของพระเถรพระองค์นั้นได้ชำนิชำนาญดีแล้ว ก็สอนสานุศิษย์สืบต่อมา เจ้าไทที่ทรงไว้ยังพระวินัยปิฎก อยู่ในสำนักพระโสณกเถร ๑,๐๐๐ องค์ ล้วแต่ได้สำเร็จพระอรหันต์ทั้งสิ้น นอกจากนั้นที่เรียนได้ชำนิชำนาญดีแล้ว ก็สอนกันสืบๆ มาเป็นอันมากต่อมาก จะนับว่าเป็นพระอรหันต์เท่านั้น โสดาเท่านั้น สิกาทาคาเท่านั้น อนาคาเท่านั้นไวร้ ก็บ่อาคณนานับได้ทีเดียว หมู่เจ้าไททั้งหลายที่ทรงไว้ยังพระวินัยอันกว้างขวางในชมพูทวีปนี้ ก็บังเกิดมีขึ้นในสมัยมหาสิคควเถรเจ้านั้นแท้จริง อายุเจ้าไทมหาสิคควเถร ๗๖ ปี ท่านก็เข้าสู่นิพพานในวันนั้นแล



    อ่านต่อมูลเหตุสังคายนา



     

แชร์หน้านี้

Loading...