(๖) ตำนานมูลศาสนา

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 18 สิงหาคม 2009.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ต่อแต่นี้ไปก็เป็นกัลป์อีกกัลป์หนึ่ง เรียกว่ามัณฑกัลป์ ในมัณฑกัลป์นี้มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๒ พระองค์ มีพระพุทธสิขีและพระเวสสภูพุทธเจ้า ล้ำพระพุทธเจ้าทั้ง ๒ พระองค์นี้ พระพุทธสิขี พระองค์เป็นพระราชโอรสของพระยาอรุณ นางปภาวดีเป็นพระราชมารดา พระองค์เกิดในเมืองอรุณวตีนคร พระอัครสาวกฝ่ายขวาชื่อว่าอภิภู ฝ่ายซ้ายชื่อสัมภวะ ภิกษุผู้เป็นอุปัฏฐากชื่อเขมังกร นางภิกษุณีฝ่ายขวาชื่อเขมา ฝ่ายซ็ายชื่อนางปทุมา ไม้ม่วงขาว ( ในอรรถกถาชาดก ปฐมภาคว่า กุกุธรุกฺโข แปลกันมาว่าไม้กุ่มบก) เป็นไม้มหาโพธิ พระพุทธองค์สูง ๗๐ ศอก พระชนมายุของพระองค์ ๗๐,๐๐๐ ปี

    ครั้งนั้น พระสมณโคดมโพธิสัตว์ บังเกิดเป็นพระยาอรินทมะได้ให้ไตรจีวรเป็นทานแก่พระพุทธเจ้า กับทั้งพระสงฆ์ที่เป็นบริวาร ต่อจากนั้นมาก็กระทำรูปช้างทองคำเท่าตัวช้างประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ และรูปของตนถวายบูชาพระพุทธเจ้า ครั้งนั้นพระพุทธองค์จึงทรงพยากรณ์ว่า พระยาอรินทมะพระองค์นี้ จักได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในภายหน้า ครั้นสิ้นศาสนาพระพุทธสิขีนี้ไปแล้ว พระพุทธเจ้าเวสสภูพระองค์ก็มาบังเกิดขึ้นในโลก พระองค์เป็นพระราชโอรสของพระยาสุปติตถะ นางยศวดีเป็นพระราชมารดา พระองค์เกิดในเมืองอโนมนคร อัครสาวกฝ่ายขวาชื่อ โสณ ฝ่ายซ้ายชื่ออุตตร ภิกษุผู้เป็นอุปัฏฐากชื่อ อุปสันตะ นางภิกษุณีฝ่ายขวาชื่อรามา ฝ่ายซ้ายชื่อนางสุมาลา ไม้รังเป็นไม้มหาโพธิ พระองค์สูง ๖๐ ศอก พระชนมายุของพระองค์ ๖๐,๐๐๐ ปี

    ครั้งนั้น พระสมณโคดมโพธิสัตว์ บังเกิดเป็นพระยาคนหนึ่ง มีนามว่าสุทัศนะ พระยาสุทัศนะพระองค์ประกอบไปด้วยศรัทธา ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ให้มหาทานแก่พระพุทธเจ้ากับทั้งพระสงฆ์ที่เป็นบริวาร แล้วก็ออกบวชในสำนักพระเวสสภู พระองค์ประกอบไปด้วยจารีตอันดี แล้วเรียนเอาปิฎกทั้ง ๓ เพื่อปฏิบัติให้งามในศาสนา ครั้งนั้พระพุทธเจ้าเวสสภู พระองค์จึงทรงพยากรณ์ว่า ภิกษุทัศนะองค์นี้จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในภายหน้า

    แต่นี้ไปจักกล่าวด้วยเรื่องตั้งภัททกัลป์ เป้นกาลอันบังเกิดแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ มีพระกกุสนธ์เป็นต้น และมีพระศรีอริยเมตไตรยเป็นที่สุด ในพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์นี้ นักปราชญ์ผู้ประกอบไปด้วยคัมภีร์ปัญญา จึงกดหมายว่า ตั้งแต่ไฟไหม้กัลป์ก่อนกัลป์นี้ไป ตั้งแ่ต่ชั้นอาภัสสราลงมาภายต่ำ ว่างเปล่าเป็นอากาศอยู่หาที่สุดมิได้ แล้วก็มีมหาเมฆตั้งขึ้น ฝนก็ตกลงมาเพื่อจักให้บริบูรณ์นี้ไซร้ ตกลงมาทีแรกเป็นเม็ดละเอียด ประดุจน้ำค้างแล้วโตขึ้นๆ เท่าปลายข้าวเท่าเม็ดข้าวสาร และเม็ดถั่วเขียว เท่าลูกพุทราและมะขามป้อม โตเท่าลูกน้ำเต้าและลูกฟักเขียว ทวีขึ้นไปทุกทีๆ โตถึงครึ่งโยชน์ สองโยชน์ตลอดถึงพันโยชน์ ตกเต็มทั่วไปในแสนโกฏิจักรวาฬ ตามเขตที่ไฟไหม้นั้น น้ำก็ท่วมขึ้นไปถึงชั้นอภัสสราโพ้น ฝนนั้นจึงหาย ส่วนใต้น้ำนั้นลมพัดดันไว้ทางด้านขวาง ครั้นลมหายแล้วน้ำก็เป็นแท่งประดุจดังเอาใบบัวห่อน้ำไว้ฉะนั้น เมื่อลมกระทำให้เป็นก้อนเป็นแท่งแล้วก็แตกลงโดยลำดับกัน ถึงที่พรหมอยู่เมื่อก่อนก็บังเป็นเป็นภูมิขึ้น เพื่อให้เป็นที่เกิดแห่งพรหมทั้งหลายที่เกิดมาภายหลังเป็นชั้นๆ ลงมาถึงขั้นกามาวจรภูมิ

    แต่ก่อนนั้นลมมีกำลังยิ่งนัก พัดน้ำให้แขวนอยู่เหมือนดังปกปากธรรมกรกนั้นแล ผิว่าน้ำภายบนนั้นเกิดเป็นรสหวานแล้วก็แห้ง เกิดเป็นแผ่นดินลอยอยู่ภายบนน้ำ ประดุจดังดอกบัวอันลอยอยู่เหนือผิวน้ำ จึงได้เรียกว่าแผ่นดิน และแผ่นดินนั้นมีวรรณและมีรสหอมยิ่งนัก เป็นแผ่นประดุจดังน้ำข้าวต้มอันอยู่ภายบนฉะนั้น

    ในที่ประดิษฐานแห่งไม้มหาโพธิแต่ก่อนนั้น ครั้นมาถึงกาลสมัยที่ไฟไหม้ล้างกัลป์นี้ ในที่นั้นก็ฉิบหายภายหลังที่สุด แม้จะตั้งกัลป์ก็ตั้งขึ้น ณ ที่นั้นก่อนไซร้

    ในที่นี้จักกล่าวด้วยนิมิตอันพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จักมาบังเกิดและบ่มิได้มาบังเกิดในกัลป์ทั้งหลาย ให้พึงรู้ดังนี้ว่า ยังมีกอบัวกอหนึ่งบังเกิดขึ้นในที่โพธิบัลลังก์ แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เที่ยงแท้ ผิว่าพระพุทธเจ้าบ่มิได้มาบังเกิดในกัลป์นั้น กอบัวกอนั้นก็หาดอกบ่มิได้ ผิว่าพระพุทธเจ้าจักมาบังเกิดในกัลป์นั้น พระองค์หนึ่ง หรือสอง สาม สี่ ห้า พระองค์ก็ดี บัวกอนั้นก็มีดอกๆ หนึ่ง หรือ สอง สาม สี่ ห้า ดอกตามพระพุทธเจ้า ที่จะลงมาบังเกิดน้อยและมาก อันนี้เป็นธรรมดา และในกัลป์หนึ่งจะมากกว่า ๕ พระองค์ไปก็ยังไม่ปรากฎ ดอกบัวนั้นแม้ว่าจะมีดอกหนึ่ง หรือสอง สาม สี่ ห้า ดอกก็ตาม ย่อมมีก้านๆ เดียวเท่านั้น จะมีหลายๆ ก้าน อย่างดอกบัวะรรมดานี้หามิได้แล เหตุว่าพรหมทั้งหลายที่อยู่ในชั้นสุทธาวาสโพ้น เขาเจรจากันว่า ดูราชาวเราทั้งหลาย ในกัลป์นี้จะมีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดกี่พระองค์ หรือว่าไม่มีมาบังเกิดแม้แต่พระองค์เดียวประการใด มาเราทั้งหลายจงพากันลงไปดูนิมิตแห่งดอกประทุมนั้นก่อน ว่าแล้วก็พากันลงมาสู่ที่อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายจักได้มาตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ ถ้าในกัลป์ใดไม่มีพระพุทธเจ้าลงมาบังเกิด ก็เห็นแต่กอบัวเปล่ามิได้เห็นดอกบัว เมื่อเป็นเช่นนั้นพรหมทั้งหลายก็บังเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก จึงเจรจากันว่า ดูราชาวเราทั้งหลาย มนุษยโลกทั้งหลายอันกเกิดมาในกัลป์นี้ จักมืดมัวหลงจากการทำบุญให้ทาน อันเป็นคลองแห่งพระนิพพาน ครั้นจุติจากชาติอันเป็นมนุษย์นี้แล้ว ก็จักไปจมอยู่ในจตุราบาย ส่วนพรหมโลกนั้นเล่า ก็จักเปล่าเสียจากพรหมทั้งหลาย เมื่อพรหมทั้งหลายมีความน้อยเนื้อต่ำใจฉะนี้ แล้วก็ชวนกันไปสู่ที่อยู่แห่งตนๆ ถ้าในกัลป์ใดเขาเห็นบัวกอนั้นมีดอกหนึ่ง หรือสองดอก พรหมทั้งหลายก็บังเกิดความโสมนัสยิ่งนัก จึงกล่าวด้วยความยินดีซึ่งกันและกันว่า ดูราชาวเราทั้งหลาย ในกัลป์นี้มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิด ชาวเราทั้งหลายที่ได้เห็นพระปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า ในขณะเมื่อพระองค์มาถือเอาปฏิสนธิ ๑ เมื่อประสูติ ๑ เมื่อออกบวช ๑ เมื่อตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ ๑ เมื่อเทศนาธรรมจักร ๑ เืมื่อทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ ๑ เมื่อเสด็จลงจากดาวดึงส์ ๑ ปลงสังขารเมื่อจะสิ้นพระชนมายุ ๑ และในขณะเมื่อปรินิพพาน ๑ อบายทั้ง ๔ จักเปล่าเสีย ฉกามาพจรและพรหมโลกก็จักเต็มไปด้วยหมู่เทวดาทั้งหลายเป็นเที่ยงแท้ พรหมทั้งหลายมีความยินดีด้วยประการฉะนี้ แล้วก็ชวนกันไปสุ่ที่อยู่แห่งตนๆ ทุกๆ กัลป์ที่บังเกิดขึ้นใหม่ พรหมทั้งหลายมีความยินดีด้วยประการฉะนี้ แล้วก็ชวนกันไปสู่ที่อยู่แห่งตนๆ ทุกๆ กัลป์ที่บังเกิดขึ้นใหม่ พรหมทั้งหลายย่อมลงมาดูนิมิตอันจักลงมาบังเกิดและไม่ลงมาบังเกิดแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อันนี้หากเป็นธรรมดา

    ครั้นมาในภัททกัลป์แห่งเรานี้ พรหมทั้งหลายก็ลงมาดูเห็นดอกบัวมีอยู่ในก้านเดียวกันถึง ๕ ดอก ก็รู้ได้ว่าพระพุทธเจ้าจะมาบังเกิดถึง ๕ พระองค์แท้ไซร้ พรหมทั้งหลายที่อยู่ในชั้นอาภัสสราแต่ก่อนนั้น ครั้นจุติด้วยสามารถสิ้นบุญ ก็ได้ลงถือปฏิสนธิเป็นอุปปาติก มีร่างกายอันสูงใหญ่ ได้ ๑๐๐ โยชน์ และมีรัศมีรุ่งเรืองเช่นเดียวกับเมื่ออยู่ในชั้นอาภัสสรานั้น เมื่อมาได้ลิ้มรสแห่งดินแล้ว แสงสว่างแห่งรัศมีและฌานที่มีอยู่นั้นก็เสื่อมหายไปทั้งสิ้น ภัยแห่งความมืดก็บังเกิดขึ้นเป็นที่น่ากลัวยิ่งนัก ครั้งนั้นพระอาทิตย์มีปริมณฑลอันกว้างใหญ่ถึง ๕๐ โยชน์ก็บังเกิดขึ้น กำจัดอากาศอันน่ากลัวไปเสียให้พ้นแล้ว ก็ยังเกิดอากาศอันกล้าหาญปรากฎออกมา เมื่อพรหมทั้งหลายเห็นปริมณฑลแห่งพระอาทิตย์ปรากฎออกมาดังนั้นก็มีความยินดียิ่งนัก จึงกล่าวว่า เราทั้งหลายได้เห็นรัศมีอันแจ้งคราวนี้ ท่านผู้นี้มากำจัดภัยอันน่ากลัวไปเสียแล้ว ให้บังเกิดความกล้าหาญแก่เราฉะนี้ เหตุนี้ท่านผู้นี้จงมีชื่อว่าสุริโยเถิด พรหมทั้งหลายจึงให้ชื่อพระอาทิตย์ว่าสุริยะนั้นแล ครั้นพระรัศมีแห่งพระสุรยอาทิตย์ลับไปลงไปในทางทิศตะวันตก ดังนั่น พรหมทั้งหลายก็บังเกิดความกลัวขึ้น จึงกล่าวแก่กันว่า รัศมีอันเราได้เห็นนี้หายไปเสียจากเราแล้ว ถ้าหากมีรัศมีอื่นบังเกิดแก่เราไซร็ เราทั้งหลายจักมีความยินดียิ่งนัก ในขณะเมื่อพรหมเจรจากันอยู่นั้น พระจันทร์มีปริมณฑลอันกว้างใหญ่ถึง ๔๙ โยชน์ ก็ปรากฎออกมา พรหมทั้งหลายเมื่อเมื่อได้เห็นปริมณฑลแห่งพระจันทร์ก็มีความยินดียิ่งนัก จึงกล่าวว่า ท่านผู้นี้จงมีชื่อว่าจันทร์นั้นเถิด โวหารคำว่าจันทร์นั้นจึงเรียกกันต่อมาเท่ากาลบัดนี้แล

    ในกาลเมื่อพระอาทิตย์และพระจันทร์บังเกิดมาครั้งนั้น หมู่ดาวทั้งหลายก็บังเกิดมาพร้อมกันด้วยพระจันทร์ ส่วนกลางวันและกลางคืนและฤดูทั้ง ๓ ก็บังเกิดมีแต่กาลนั้นมา เขาสิเนรุและเขาสัตตภัณฑ์ จักรวาล น้ำในมหาสมุทร ทวีปใหญ่ทั้ง ๔ และทวีปน้อย ๒,๐๐๐ ทวีป ป่าหิมพานต์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็บังเกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่มีก่อนมีหลังในวันเดือน ๖ เพ็ญนั้นแล

    แผ่นดินนี้มีสัณฐานประดุจข้าวต้มอันข้น เดือดอยู่ในเวลาที่ยกลงมาไว้ให้เย็นนี้ บางแห่งก็สูงกว่าเพื่อน บางแห่งก็ต่ำๆ สูงๆ บางแห่งก็เป็นบ่อลึกลงไป อันนี้ฉันใด พื้นแห่งแผ่นดินก็มีสัณฐานฉันนั้น ที่สูงกว่าเพื่อนเปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุ ที่ต่ำๆ สูงๆ นั้นเปรียบเหมือนภูเขาน้อยใหญ่ทั้งหลาย ที่ลึกเป็นร่องลงไปนั้นเปรียบเหมือนน้ำมหาสมุทร ที่ราบเสมอนั้นเปรียบเหมือนพื้นแผ่นดินธรรมดาฉะนี้แล

    กำเนิดคน

    ฝ่ายพรหมทั้งหลายที่ได้บริโภครสแห่งแผ่นดินนั้น ก็บังเกิดราคตัณหาเสื่อมจากฌานและรัศมีแสงสว่างอันนั้น ก็ได้ชื่อว่า คน คำที่ว่า พรหมๆ นั้น ก็หายไปจากเขาเหล่านั้นตั้งแต่กาลนั้นมาแล

    คนทั้งหลายที่ได้กินรสแห่งแผ่นดินนั้น บ้างก็มีวรรณผุดผ่องสวยงาม บ้างก็มีวรรณอันไม่สวยงามเป็นธรรมดา หมู่ที่มีวรรณอันสวยงามนั้น ก็ดูหมิ่นดูแคลนหมู่ที่มีวรรณอันไม่สวยไม่งามนั้น เด้วยเหตุอันดูหมิ่นดูแคลนกันนั้นแล ทำให้รสแห่งแผ่นดินนั้นกลับหายไปเสียจากเขาเหล่านั้น รสแห่งแผ่นดินที่เหลืออยู่นั้นเสมอแต่เพียงเป็นเกล็ดๆ ติดอยู่กับแผ่นดินเท่านั้น คนทั้งหลายเหล่านั้นก็บริโภคเกล็ดแห่งแผ่นดินเท่านั้น

    ตั้งแต่นั้นมา ผู้ที่มีวรรณผุดผ่องสวยงามก็กลายเป็นคนไม่ดีไม่งาม ผู้ที่มีวรรณอันไม่ดีไม่งามอยู่แล้วก็ซ้ำร้ายหนักยิ่งเข้า คนทั้งหลายเหล่านั้นเขาก็ยิ่งดูหมิ่นดูแคลนกันทวียิ่งขึ้นไปจนเป็นเหตุให้เกล็ดแห่งแผ่นดินนั้นกลับหายไปเสียจากเขาเหล่านั้นเป็นครั้งที่ ๒ ต่อจากนั้นมายังมีเครือเขาอันหนึ่งชื่อว่า พทาวลตา เครือเขาอันนั้นเป็นปล้องๆ เหมือดดังเถาผักบุ้งก็บังเกิดขึ้นมาอีกเล่า คนทั้งหลายก็บริโภคเครือเขาอันนั้นเป็นอาหารต่อมาจนสิ้นกาลนาน คนทั้งหลายเหล่านั้นก็ยิ่งขี้ริ้วขี้เหร่ไปกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก มันก็ยิ่งซ้ำดูหมิ่นดูแคลนกันยิ่งไปกว่าแต่ก่อนเป็นหลายเท่า ทำให้เครือเขา อันนั้นกลับหายไปอีกกเป็นครั้งที่ ๓

    ต่อจากนั้นมาข้าวสาลีอันบริสุทธิยิ่งนัก มีเม็ดอันบ่มิได้หักและหาเปลือกมิได้ เป็นข้าวสารสวยงามบริสุทธิ์ยิ่งนัก มิได้ต้มมิได้หุงด้วยหลัวและฟืนแม้แต่อย่างใด บังเกิดขึ้นสำหรับเป็นอาหารของมนุษย์ เมื่อเขาเอาข้าวใส่ในภาชนะแล้วยกขึ้นตั้งเหนือก้อนเส้าแล้ว เปลวไฟหากบังเกิดขึ้นมาเอง ทำให้ข้าวในภาชนะนั้นสุกเป็นอันดียิ่งทีเดียว ข้าวอันนั้นก็สวยบริสุทธิ์งามยิ่งนัก ประดุจดังดอกทายหานกำลังตูมฉะนั้น แม้กิจอันจักควรหาเป็นต้นว่าแกงน้ำพริกและกับสิ่งอื่นๆ นั้น เป็นอันไม่มีเหมือนคนเราทุกวันนี้ ผู้ใดจักใคร่กินรสอันใด ก็หากสำเร็จความปรารถนาของผู้นั้นๆ แล เหตุจะบังเกิดมีอาจมีขึ้นในสรีระแห่งคนทั้งหลายนี้ก็เนื่องจากเหตุที่ได้บริโภคอาหารอันหยาบแต่นั้นมาจนเท่าถึงกาลทุกวันนี้แล

    คนทั้งหลายในสมัยปฐมกัลป์โพ้น เขาบริโภคแต่รสแห่งแผ่นดินและเกล็ดแผ่นดิน กับเครือเขาพทาวลตา ทั้ง ๓ สิ่งนี้เหมือนอาหารของเทวดาทีเดียว และวัตถุของอาหารนั้นสุขุมละเอียดยิ่งนัก มิได้เป็นอาจมเลยแม้แต่อย่างเดียว ต่อมาบริโภคข้าวสาลีนี้รสก็เจริญ วัตถุก็หยาบจึงบังเกิดเป็นอาจมไปหนักไปเบา เมื่ออาจมจักออกมาคราวแรกนั้น จึงแตกแยกเป็นทวารออกมาทีเดียว และพรหมทั้งหลายเมื่อเขาอยู่ในพรหมโลกนั้น มีรูปร่างสัณฐานเป็นผู้ชายทุกคน เมื่อพรหมทั้งหลายลงถือเอาอุปาติกะในมนุษยภูมิ ตลอดมาถึงสมัยบริโภคข้าวสาลีนี้ ก็ยังมีลักษณะและสัณฐานเป็นผู้ชายอยู่ทุกคน แต่ก่อนกิจอันจักไปหนักไปเบาและทวารจึงเกิดขึ้น เมื่อจะบังเกิดมีทวารนี้ก็อาศัยเหตุแต่ชาติก่อนเป็นเดิมมา ถ้าผู้ใดเคยเป็นชายมาแต่ชาตินั้น องค์แห่งชายจึงบังเกิดมีแก่ผู้นั้น ถ้าผู้ใดเคยเป็นผู้หญิงมาแต่ชาติก่อนแล้ว องค์แห่งหญิงจึงบังเกิดแก่ผู้นั้น ตลอดมาตราบเท่ากาลบัดนี้แล

    กำลังราคตัณหาจักเกิดมีแ่ก่คนทั้งหลายเหล่านั้น ก็เนื่องมาแต่เหตุอันเสื่อมเสียจากเดชแห่งฌานนั้น และคนทั้งหลายก็เจริญด้วยการบริโภคข้าวสาลีนั้นทุกๆ วัน กำลังราคตัณหาก็เจริญขึ้นตามโอกาสทางใจ เป็นต้นว่าผู้ชายเพ่งเล็งมองดูผู้หญิง ฝ่ายผู้หญิงเล่าก็เพ่งเล็งมองชาย ทั้งสองนั้นแลเป็นเหตุ จึงให้บังเกิดกามราคะขึ้น เมื่อกามราคบังเกิดขึ้น คนทั้งหลายเหล่านั้น ไม่สามารถจะต้านทานกำลังกามราคได้ ก็กระทำเมถุนธรรมกันขึ้น ทีแรกก็เพียงแต่ ๒ คนเท่านั้น เมื่อคติอันชั่วช้าบังเกิดขึ้นแ่กคนเหล่านั้นแล้ว มันก็ไม่อาจอดกลั้นกำลังกามราคนั้นได้ ก็ประพฤติการเมถุนธรรมทวีมากขึ้น การกระทำของคนเหล่านั้นก็ปราศจากความอายและสิ่งปกปิดกำบัง นักปราชญ์ผู้มีปัญญาจึงว่ากล่าวติเตียนในการกระทำของเขานั้นเป็นอันมาก ต่อแต่นั้นมา พวกที่กระทำเมถุนธรรมก็เพิ่มจำนวนยิ่งขึ้นโดยลำดับ แล้วคนทั้งหลายเหล่านั้นก็คิดอ่านกระทำเครื่องปกปิดกำลังกิจอันเขาจะกระทำนั้น

    ครั้งนั้นข้าวน้ำโภชนสาลีก็บังเกิดมีอยู่ทั่วไปในแผ่นดิน ใครผู้ปรารถนาอยากได้เท่าใด ก็ไปเก็บเกี่ยวเอาตามความพอใจแห่งตนๆ ไม่มีเจ้าของหวงแหน ครั้นอยู่ต่อมาคนทั้งหลายเหล่านั้น ก็คิดอ่านกระทำการปลูกสร้างที่อยู่อาศัย เพื่อปกปิดกำับังความละอายตั้งแต่กาลนั้นเป็นต้นมา

    อยู่มาในกาลวันหนึ่ง คนในจำพวกนั้นคนหนึ่ง มันก็มาคำนึงแต่ในใจของมันว่า ในการที่ไปเก็บเกี่ยวข้าวมาบริโภคทุกๆ วันนั้นเป็นการลำบากนัก เราควรไปเก็บเกี่ยวเอามาไว้ให้มากๆ กันได้หลายๆ วันเถิด เมื่อมันคิดตกลงแล้ว มันก็กระทำตามความคิดของมัน คนทั้งหลายเหล่านั้นก็เอาอย่าง ต่างคนต่างเก็บหอมรอมริบเอาไว้ดังนี้

    ในกาลนั้นข้าวสาลีนั้นมีเม็ดโตเท่าลูกน้ำเต้าและลูกฟ้กเขียว แล้วก็ย่อยลงมาเป็นเม็ดเล็กๆ มีเปลือกหุ้มห่อไว้ ครั้นเขาเกี่ยวไปแล้วก็ไม่งอกออกมาเหมือนอย่างแต่ก่อน แต่ก่อนนั้นเมื่อเขาเกี่ยวเอาไปแล้วย่อมงอกออกมาแทนที่อยู่เสมอไม่รู้สิ้น

    อ่านต่อ กำเนิดประมุขแห่งชุมชน
     

แชร์หน้านี้

Loading...