กลั้นลมหายใจ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ธรรม

คุณมาโชว์ ต้องพุทธวจนะเท่านั้น
คุณอาจจะมีครูของคุณ
แต่คุณข้ามโคตรครูมาอีกมากตามครูของคุณ เขาเรียกอกตัญญู

 

จุติวิญญาณมันต้องปรากฏอยู่แล้ว ลองตายดูซิ
เขากำลังจะบอกว่าทำอย่างไร ไม่ให้มีปฏิสนธิวิญญาณอีก

 

2.สายดับ
อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ
เพราะอวิชชาสำรอกดับไปโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรามรณะจึงดับ ความโศก ความคร่ำครวญ รำพัน ทุกข์ โทมนัสความคับแค้นใจก็ดับ กองทุกข์ทั้งมวลก็ดับลงด้วยประการฉะนี้


ทำไมของคุณวิญญานดับ ทำให้สังขารดับ สังขารดับทำให้อวิชาดับ งง

 

ก็การปฎิบัตินี่ไงที่จะได้อรหันตมรรคไง จะได้ไม่เกิดปฎิสนธิวิญญานอีก

 

นั้นยัดเยียดความอกตัญญูให้อีก ศิษย์เก่งกว่าครูได้ป่าวถามหน่อย

 

เพราะจะสังขารได้ต้องมีวิญญาณเก่าอยู่ก่อน
เมื่อสังขารดับพร้อมวิญญาณนั้น
ย่อมไม่ก่อวิญญาณใหม่


เมื่อวิญญาณดับ สังขารใหม่ซึ่งจะเกิดซึ่ง นาม (เวทนาสัญาสังขารวิญญาณ(ใหม่))รูป อยาตนะ ผัสสะ... ย่อมดับไป...
(จะเข้าใจเรื่องที่ครูบาอาจารย์ว่าปฏิจจฯคร่อมสามชาติด้วย)

อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ(ชรามรณะ)

 

-มีศีลห้าแต่ไม่เคยทำสมาธิเลย ประเภทนี้ยังไม่พ้นนรก
-มีศีลห้าทำสมาธิได้พอประมาณ ประเภทนี้ตายไปเกิดเป็นพรหม แต่หมดบุญไม่แน่ว่าจะได้เกิดเป็นคนหรือเปล่า อาจไปนรกได้ ไม่แน่
-มีศีลห้าบริบูรณ์ ทำสมาธิได้พอประมาณ เลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยเป็นพระโสดาบัน ประเภทนี้พ้นนรกแน่นอน

แต่คุณบอกว่า
บรรลุธรรมโดยไม่ได้ฌาน (สอบตกข้อสมาธิ)
ระงับกายสังขารด้วยการกลั้นลมหายใจ เอาวิญญาณไปรู้สภาวะนิพพาน นิพพานดับหมดเหลือแค่ตัววิญญาน (ทำฌานไม่ได้สามอย่างที่ตามมาผิดหมด)

ดังนั้นคุณอย่าพึ่งไปถามหาพระนิพพานเลย เอาง่ายๆ ศีล สมาธิ... สองอย่างนี้คุณสอบให้ผ่านก่อนครับ

 

10.4.3 ลักษณะการแสดงปฏิจจสมุปบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จากที่ผ่านมา นักศึกษาได้เห็นความเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน คือ อวิชชาเป็นจุดเริ่มต้น และชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เป็นจุดสุดท้าย ที่ยกอวิชชาขึ้นแสดงก่อน เป็นเพียงการอาศัยอวิชชาเป็นจุดเริ่มต้น เพื่ออธิบายกระบวนของปฏิจจสมุปบาท หรืออาจเป็นได้ว่า อวิชชาเป็นกิเลส เป็นตัวเด่นในวัฏฏะ จึงยกขึ้นแสดงเป็นอันดับแรก แต่ในการแสดงปฏิจจสมุปบาทนั้น พระพุทธองค์มีวิธีการแสดงได้หลายวิธี ทรงแสดงเทศนาปฏิจจสมุปบาท เป็น 4 นัย ดังปรากฏในสังยุตตนิกาย คือ

1.อาทิปริโยสานอนุโลมเทศนา เป็นการแสดงองค์ของปฏิจจสมุปบาท ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด คือ ตั้งแต่อวิชชาไปตามลำดับ จนถึงชรามรณะเป็นที่สุด เพื่อชี้แจงถึงการเกิดขึ้นของสัตว์ทั้งหลายว่า การเกิดของสัตว์ทั้งหลายนั้น ย่อมอาศัยเหตุโดยเฉพาะของตนๆ อย่างหนึ่ง และเพื่อให้ทราบถึงการเกิดขึ้นของเหตุต่างๆ เหล่านั้น ว่าจะต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามลำดับ

2.มัชฌปริโยสานอนุโลมเทศนา เป็นการแสดงองค์ปฏิจจสมุปบาทจากตอนกลางไปถึง ที่สุด คือ ตั้งแต่เวทนาไปตามลำดับ จนถึงชรามรณะ เพื่อประโยชน์แก่บุคคลบางพวกที่ไม่เชื่อว่า โลกหน้ามีจริง จะได้ทราบถึงปัจจุบันเหตุ 5 อย่าง คือ ตัณหา อุปาทาน กรรมภพ อวิชชา และสังขาร ที่กำลังเกิดอยู่กับเรา และเมื่อมีปัจจุบันเหตุแล้ว ผลในอนาคตก็จะต้องมีแน่นอน คือ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ที่เรียกว่า รูปนามขันธ์ 5 ของสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง

3.ปริโยสานอาทิปฏิโลมเทศนา เป็นการแสดงองค์ปฏิจจสมุปบาท จากตอนปลายสุด ย้อนทวนไปถึงตอนต้น คือ ตั้งแต่ชรามรณะ ย้อนทวนไปตามลำดับ จนถึงอวิชชาเป็นที่สุด23) เพื่อให้บุคคลทั้งหลายได้เห็นธรรมที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ตามลำดับ ตั้งแต่ชาติจนถึงอวิชชา คือ ให้รู้ว่าความทุกข์ อุปายาส เหล่านี้ ปรากฏขึ้นได้โดยอาศัยชาติเป็นเหตุ ถ้าไม่มีชาติ(ไม่มีการเกิด) ทุกข์เหล่านี้ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อเห็นชาติแล้ว ก็จะทำให้เห็นเหตุที่ทำให้ชาติเกิด คือ กรรมภพ เมื่อ แลเห็นกรรมภพแล้ว ก็ย่อมเห็นเหตุที่ทำให้กรรมภพเกิด คือ อุปาทาน เมื่อเห็นอุปาทานแล้ว ก็ให้เห็นเหตุสืบเนื่องกันตามลำดับไปจนถึงอวิชชา เมื่อเห็นอวิชชาแล้วก็จะได้รู้ว่า อวิชชา นี้แหละ เป็นหัวหน้าแห่งเหตุทั้งปวง

4.มัชฌอาทิปฏิโลมเทศนา เป็นการแสดงองค์ปฏิจจสมุปบาท จากตอนกลางย้อนทวนไป ถึงตอนต้น คือ ตั้งแต่ตัณหา ย้อนทวนไปตามลำดับ จนถึงอวิชชาเป็นที่สุด เช่น ในอาหารสูตร

md408:10 [Dou book online]

 

ต้องกลับไปศึกษาใหม่นะอุรุเวลาเรื่องการเข้าถึงพระนิพพานนั้นอย่างน้อยต้องได้ปฐมฌานก่อนแต่อาจจะเป็นแค่ขณะจิตเดียวก็ได้ หลังจากนั้นอาจจะเข้าฌานไม่ได้อีกก็ได้ ลองถามคุณปุณดูซิแก่รู้เรื่องนี้ดี ส่วนเรื่องที่กลั้นลมหายใจอย่างที่คุณพยามพูดอยู่นี้นั้นเขาเรียกเทคนิคเพื่อทำฌานรู้มั้ย เมื่อได้ฌานแล้วมันง่ายกับทุกอย่างเข้าใจนะ แล้วส่วนเรื่องสภาวะนิพพานนะไม่ตอบคุณแล้วได้ตอบไปหมดแล้ว ดับสังขารทั้งหลายให้ได้จะรู้เอง

 

คำของคุณมันขัดกันเองครับ

 

ย้อนไม่ย้อนแล้วยังไงงง คุณลองดูตรงนี้ดีๆ เมื่อคุณดับรูปนาม(ดับสังขารทั้งหลาย)ทุกอย่างจบหมดมั้ยครับ คุณย้อนขึ้นย้อนลงมันก็จบลงตรงนี้ง่ายจะตายมันอยากตรงดับรูปนามนี่แหล่ะ

 

ก็ผมไม่ได้ฌานมาก่อนหน้านี่ (นี่คือความหมายที่ผมพูดคุณไม่เข้าใจเอง)ผมจึงมั่นใจว่าไม่ใช่ฌานสี่ไงจู่ๆผมจะได้ฌานสี่ได้ไงแล้วลักษณะก็ไม่ใช่ฌานสี่เลย เพียงการนั่งสมาธิครั้งนั้นมันเกิดพร้อมกันที่เดียวเพียงคนละขณะจิต ฌานเกิดขึ้นเพียงขณะจิตเดียวแล้วก็สภาวะนิพพานเกิดขึ้นเลย เพราะผมนั่งจนความทุกข์นั้นมันคงสภาพเดิมไม่ได้ มันก็แสดวทุกอย่างให้ผมเห็นนั้นเอง

 

ถ้าคุณเชี่ยวปฏิจจฯจริง
ปฏิจจฯ อาจจะดูเป็นแผนผังง่ายๆ
แต่มีความซับซ้อนและซ่อนความจริงต่างๆไว้มากมายในนั้น

...ดังจะพิจารณาได้จากปฏิจจสมุปบาททั้ง ๔ แบบดังนี้ คือ

๑. ปฏิจจสมุปบาทแบบอนุโลมสายเกิด(สมุทัยวาร)
เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย สังขาร จึงมี
เพราะ สังขาร เป็นปัจจัย วิญญาณ จึงมี
เพราะ วิญญาณ เป็นปัจจัย นามรูป จึงมี
เพราะ นามรูป เป็นปัจจัย สฬายตนะ จึงมี
เพราะ สฬายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี
เพราะ ผัสสะ เป็นปัจจัย เวทนา จึงมี
เพราะ เวทนา เป็นปัจจัย ตัณหา จึงมี
เพราะ ตัณหา เป็นปัจจัย อุปาทาน จึงมี
เพราะ อุปาทาน เป็นปัจจัย ภพ จึงมี
เพราะ ภพ เป็นปัจจัย ชาติ จึงมี
เพราะ ชาติ เป็นปัจจัย ชรา มรณะฯ จึงมี

๒. ปฏิจจสมุปบาทแบบปฏิโลมสายเกิด(สมุทัยวาร)
เพราะ ชาติ เป็นปัจจัย ชรา มรณะฯ จึงมี
เพราะ ภพ เป็นปัจจัย ชาติ จึงมี
เพราะ อุปาทาน เป็นปัจจัย ภพ จึงมี
เพราะ ตัณหา เป็นปัจจัย อุปาทาน จึงมี
เพราะ เวทนา เป็นปัจจัย ตัณหา จึงมี
เพราะ ผัสสะ เป็นปัจจัย เวทนา จึงมี
เพราะ สฬายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี
เพราะ นามรูป เป็นปัจจัย สฬายตนะ จึงมี
เพราะ วิญญาณ เป็นปัจจัย นามรูป จึงมี
เพราะ สังขาร เป็นปัจจัย วิญญาณ จึงมี
เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย สังขาร จึงมี

๓. ปฏิจจสมุปบาทแบบอนุโลมสายดับ(นิโรธวาร)
เพราะ อวิชชา ดับ สังขาร จึงดับ
เพราะ สังขารดับ ดับ วิญญาณ จึงดับ
เพราะ วิญญาณ ดับ นามรูป จึงดับ
เพราะ นามรูป ดับ สฬายตนะ จึงดับ
เพราะ สฬายตนะ ดับ ผัสสะ จึงดับ
เพราะ ผัสสะ ดับ เวทนา จึงดับ
เพราะ เวทนา ดับ ตัณหา จึงดับ
เพราะ ตัณหา ดับ อุปาทาน จึงดับ
เพราะ อุปาทาน ดับ ภพ จึงดับ
เพราะ ภพ ดับ ชาติ จึงดับ
เพราะ ชาติ ดับ ชรา มรณะฯ จึงดับ

๔. ปฏิจจสมุปบาทแบบปฏิโลมสายดับ(นิโรธวาร)
เพราะ ชาติ ดับ ชรา มรณะฯ จึงดับ
เพราะ ภพ ดับ ชาติ จึงดับ
เพราะ อุปาทาน ดับ ภพ จึงดับ
เพราะ ตัณหา ดับ อุปาทาน จึงดับ
เพราะ เวทนา ดับ ตัณหา จึงดับ
เพราะ ผัสสะ ดับ เวทนา จึงดับ
เพราะ สฬายตนะ ดับ ผัสสะ จึงดับ
เพราะ นามรูป ดับ สฬายตนะ จึงดับ
เพราะ วิญญาณ ดับ นามรูป จึงดับ
เพราะ สังขาร ดับ วิญญาณ จึงดับ
เพราะ อวิชชา ดับ สังขาร จึงดับ
(ชรา มรณะฯ คือ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส)

 

๑. บรรลุธรรมโดยไม่ได้ฌาน
๒. ระงับกายสังขารด้วยการกลั้นลมหายใจ
๓. เอาวิญญาณไปรู้สภาวะนิพพาน
๔. นิพพานดับหมดเหลือแค่ตัววิญญาน

คำของคุณมันขัดกันเอง ขัดกับพระธรรม ขัดกับคำสอนของครูอาจารย์ คุณต้องแก้สี่ข้อนี้และต้องตอบสี่ข้อนี้ให้ได้ก่อน คุณบอกว่า "ไม่ได้ฌานมาก่อนหน้านี้" โอเคครับตอนนี้คุณได้ฌานแล้วแต่ก็แปลกๆ ไม่ต้องได้ฌานมาได้ฌานที่หลัง แต่ไม่เป็นไรข้อแรกผมให้ผ่าน ส่วนอีกสามข้อที่เหลือคุณจะตอบยังไง ขอคำตอบด้วยครับ

 

ผมว่าผมบอกไปแล้วนะ ทำให้รูปนามดับทุกอย่างมันก็วิ่งลงตรงนี้แหล่ะมันจะไปไหนได้ ท่องได้ก็ไม่เกิดประโยชน์เพราะปฎิจสมุปบาทจะเข้าใจได้อย่างน้อยก็โสดาบัน ถ้าคุณยังเป็ยปุถุชนก็เข้าใจไม่ได้ แต่ถ้าคุณเข้าใจได้ คุณก็ต้องรู้ว่ารูปนามดับนั้นแหล่ะคือการเข้าใจจริงในปฎิจสมุปทาบ

 

ก็ ปฏิจจฯ อธิบายการเกิดและดับของรูปนาม
แล้วคุณพูดอะไร ?? เข้าใจโดยไม่ต้องจำ แล้วไม่จำเป็นต้องอธิบาย..
หรือว่าคุณจะบอกว่าเป็นอริยะ เข้าใจ ไม่ต้องอธิบาย??

ที่จริงถึงจำได้ ก็ยังยากที่จะเข้าใจ
ถ้าเข้าใจได้จริง ยังต้องอธิบายมากกว่าที่เป็นผังอยู่ เพราะความซับซ้อนของปฏิจจฯมีมากเกินจะเข้าใจแบบคิดไปเอง (ปัญญาแต่ละระดับยังแทงปฏิจจฯได้ไม่เท่ากัน)

 

กั๊กๆ

เวลาจะ ออกตัวว่า รู้ธรรมะ สูตรสำเร็จ ที่ อ้างง่ายที่สุด คือ ปฏิจสมปุบาท

คนโง่ๆ เวลาอวดฉลาดว่า บรรลุธรรม ก็จะเอา ธรรมไม่กี่บรรทัด มากล่าว
กลับไป กลับมา กลับไป กลับมา ดูดี ซีแอนอี

จริงๆ จะทำให้ หงายหลังตึง ก็ได้ สำหรับ พวกอวดว่า รู้ปฏิจสมุปบาท
แค่ถามว่า กรรมอะไร ทำให้เกิดเป็น สัตว์อย่างนี้ ขนสีขาวนี้ได้จาก
กรรมชนิดไหน การที่ชาตินี้เกิดมาต้องเล่นว่าวเป็นเพราะอะไร ก็จะต้อง
อธิบายได้หมด ( พระพุทธองค์ ใช้ เรื่องพวกนี้ กำหราบ พระอานนท์
ที่ กำลังสำคัญว่า ปฏิจสมปุบาทเป็นของง่าย )

ถ้าไม่เชื่อ

ปิ๊ดตู่ ลองเอาประโยค สรุปธรรม ชั้นยอด ของตนเองมากางดู

" รู้ว่ารูปนามดับนั้นแหล่ะคือการเข้าใจจริงในปฎิจสมุปทาบ "

จะเห็นเลยว่า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ การรู้เหตุรู้ผลของกรรมชนิดต่างๆ
เลย กลายเป็นว่า มุ่งสู่การไม่รู้เรื่อง ฮา อะไรเลย

แล้วถ้าเอามากางอีก รู้แจ้งปฏิจสมุปบาท คือ การรู้รูปนามดับ

" รูปนามดับ " บ้านใคร มันไปเกี่ยว กับ สิ้นกิเลส สิ้นตัณหา
สิ้นโลภะ สิ้นโทษะ สิ้นโมหะ หรือ รู้ทุกขสัจจ

รู้รูปนามดับ กิเลสไม่สะเทือน ยัง สะดุ้งกับการตีหัวหมา ล่า 'มีนัมมา7 อยู่นี่

 

.... ไม่เพื่อไปเกิดจุติวิญญาณแล้วเหรอ

สงสัยคุณจะเก่งกว่าครูคุณแล้วนะ ทางด้านไหนไม่รู้

 

ผลจากการปรามาสพระรัตนตรัย เริ่มเพี้ยนละ... และจะค่อยๆ เพี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ

 

newamazing หรือ bigtoo เอามะพร้าวห้าว มาขายสวน แล้วยังเถียงผู้อื่นไปทั่ว...