กลั้นลมหายใจ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ธรรม

อารมณ์ค้างเหรออุรุเวลา ข้ามกระทู้มาเลย ผมบอกไปแล้วข้ามมันให้ได้คุณไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรในขณะนั้น อย่าปรุ่งแต่งกันให้มากนักเลยพอเข้าใจนะ

 

อย่าทิ้งระเบิดตัวเองเลย แถไปได้เรื่อยๆ มาตลอดกระทู้ ของปลอมนะเรา

อย่าคิดมากนะ อย่าปรุงแต่งไป

 

เทคนิคการรู้ความรู้สึกทั่วร่างกายมันเกิดตั้งแต่การหายใจเข้าออกแล้วครับ ส่วนการหยุดลมหายใจ(ทำกายสังขารให้ระงับมีสติหายใจเข้าออก)นั้นก็เป็นความจริงที่เกิดขึ้นได้ การจะบังคับหรือไม่บังคับมันก็เป็นความจริงทั้งนั้นมันมีของปลอมตรงไหน(คนมักเข้าใจอย่างนั้น) มันเป็นเทคนิคเพื่อได้มาซึ่งความจริงก้คือปีติสุขฌาน และฌานก็คือความจริงเมื่อเราพิจารณาตลอดสายฌานที่เกิดนี้ก็เป็นสัมมาฌาน มันไม่ใช่โลกียฌานอย่างที่ท่านคิดหรอกครับ เพราะเราเรียนรู้เรื่องราวทั้งหมดมาแล้ว ทั้งอริยสัจ ฌานที่เป็นโลกียะ นั้นพวกที่ไม่รู้เรื่องอริยสัจหรอกครับเขาถึงเรียกว่าอย่างนั้น

 

ห้ามลอกเรียนแบบ เดี่ยวโดนฟ้องลิขสิืทธิ์นะครับ

 

การควบคุมกายจิต(ให้เป็นหนึ่ง) ทำฌานโลกีย์
หรือการตามรู้กายเวทยาจิตธรรมตามจริง(ไม่แทรกแซง) จนเป็นโลกุตตรฌาน
อธิบายง่ายๆ แค่นี้ ไม่เข้าใจ
ถูกปิดมรรคผลแล้วนะ ของปลอมนี่เรา

 

ถ้าไม่แค่รู้สำนวนตน แต่มองอารมณ์ตนออก
คงดีกว่าให้แต่คนอื่นมองออก

 

พระพุทธเจ้าเป็นบรมครู พ่อแม่ครูอาจารย์รองลงมา ใครจะคิดอะไรผมไม่สน คำกล่าวนั้นก็ไม่ใช่คำของคุณ แค่บอกที่มาทำไมคุณไม่ทำ คุณกล้าข้ามหัวพ่อแม่ครูอาจารย์ ทำแบบนี้มันมีแต่จมอย่าหวังว่าจะเจริญ

 

บนเส้นทางธรรมะไม่มีหรอกไม่แทรกแซง แค่มีสติก็ไปแทรงแซงความจริงของธรรมชาติของโลกแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้าแทรกแซงทั้งนั้นครับแต่แทรกแซงความเคยชินเก่าๆเพื่อสิ่งใหม่คือความหลุดพ้น ท่านอย่าจมอยู่กับความคิดที่ว่าเราเป้นเพียงเฝ้าดูเลยครับ เมื่อมีกิเลส พระองค็บอกให้รีบหาวิธีดับไฟความคิดนั้นให้เรํวที่สุด ไม่ใช่เฝ้าดูไฟไหม้บ้านเฉยๆ

 

เอาตามสบายอุรุเวลา ตื่นเช้าๆใส่บาตรบ้างนะแล้วจะดีขึ้น

 

ผู้มีสติย่อมเห็นจิตใจตนเอง

 

คิดว่ามีสติ แล้วตามรู้ธรรมชาติตามจริงได้ซะอีก oishi_
แต่จะไปแทรกแซงแก้อะไรก็อีกประเด็น

 

ใครๆ เขาก็คงอยากให้คุณเห็นตามจริง อย่าปรุงแทรกไปเองแล้วกัน

 

คำของคุณมันขัดกันเองคุณอธิบายไม่ได้ คำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่คุณเอามาโพสต์ก็ขัดกับคำกล่าวของคุณ

ครั้งหนึ่งคุณบอกว่าบรรลุธรรมโดยไม่ได้ฌาน
ครั้งหนึ่งคุณบอกว่าทางแห่งอริยมรรคเริ่มจากทาน ศีล ภาวนา
ครั้งหนึ่งคุณจะเอาวิญญาณไปนิพพาน

newamazing ไปฟังใครมา สำนักไหนสอนมา?

 

การมีสติรู้ทันตามความเป็นจริงกระทำได้ในทุกสิ่งไม่ว่าจะบังคับหรือปล่อยตามธรรมชาติมันก้คือไม่มีเราไม่มีตัวตนเป้นไปตามเหตุปัจจัย อยากจะให้มีตัวตนมันก็มีไม่ได้เพราะมันเป็นเพียงเหตุปัจจัยเข้าใจไว้ด้วย จะได้ไม่หลงคิดว่าตัวตนสร้างกันได้

 

ตรงสีแดงไม่เคยพูดเพราะไม่ได้อยู่ในหน่วยความจำผม ไปหามา ส่วนอื่นถูกต้องหมด มันขัดอะไรตรงไหนช่วยอธิบาย

 

อันนี้เพี้ยนอีกแล้วครับ ปีติจัดเป็นสุขเวทนาอย่างนึง ก็ถูกต้อง แต่ทำไมพระพุทธองค์จึงไม่สอนในหมวดเวทนานุปัสสนา? ทำไมพระพุทธองค์ไม่บอกว่าให้ระลึกรู้ถึงปีติ ถึงสุข (ในฌานสมาธิ)?

ก็เพราะ "ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น มีสติรู้อยู่ในปัจจุบัน" นั่นไง

สิ่งใดเกิด ก็มีสติรู้ไปตามนั้น ตามเหตุปัจจัยของธรรมชาติ ตามการทำงานของขันธ์ตามธรรมชาติ

ไม่ใช่ไปตะบี้ตะบัน บังคับให้สภาวะมันเกิด เพื่อจะได้อ้างได้ว่าดูสภาวะ

ต้นตอ มันมาจากกิเลสของตน มันมาจากอยากการบังคับขันธ์ให้เป็นไปตามอำนาจการสั่งการของตน

แล้วมันจะเห็นความจริงไหม?

 

ไม่รู้ว่าขัดกันตรงไหน ลองใช้สติอ่านและพิจารณาด้วยตัวคุณเองเถอะครับ

 

ตามจริงเหรอ ผมตื่นเช้าใส่บาตรทุกวัน เลี้ยงสัตว์จรจัดทุกวัน นั่งสมาธิทุกวัน สอนธรรมะทุกวันแบบตัวต่อตัว เสาร์อาทิตย์ชอบไปวัดเสาร์หน้าไปถวายสร้างห้องน้ำ และจะถวายจัดภูมิทัศน์ที่วัด ชีวิตผมมีเท่านี้ดีพอมั้ย หรือต้องให้เหาะได้ก่อน

 

แล้วผิดตรงไหนที่ผมบอกไปถามหน่อย

 

ตายสนิทแล้วครับแบบนี้...

เข้าใจธรรมะ กลับขั้ว ผิดหมดเลย

ไอ้สิ่งปกติ ของการใช้ชีวิตในโลก ที่ newamazing คิดว่าเป็นการไหลไปเรื่อยๆ ไม่ถูกแทรกแซง นั่น แท้จริงแล้ว คือกระแสการแทรกแซงของจิต โดยชั้นละเอียด ตลอดเวลา ต่างหาก

การดูแบบไม่แทรกแซง ที่แท้จริง เป็นอย่างไร ทำอย่างไร newamazing ทำไม่ถูก จึงได้แสดงธรรมะกลับขั้วแบบนี้ออกมา