ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เรื่องราวของ "เจ้าแม่วัดดุสิต" ขัตติยะนารีผู้เป็นต้นราชวงศ์จักรี

    เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติที่โด่งดังและเป็นที่ถกเถียงเป็นอย่างมากในช่วงเกือบ 3-4 ปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องราวของ "เจ้าแม่วัดดุสิต" ขัตติยะนารีผู้เป็นต้นราชวงศ์จักรี ซึ่งนักวิชาการและผู้สนใจทางด้านประวิติศาสตร์หลาย ๆ คนกว่าวกันว่าเป็นผู้เชื่อมโยงสาแหรกสายพระราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาตอนต้น กับพระราชวงศ์จักรีเข้าไว้ด้วยกัน

    ในช่วงนั้นมีการถกเถียงกันมากถึงความีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ของเจ้าแม่วัดดุสิต ก็ได้ข้อสรุปมาว่าเจ้าแม่วัดดุสิตนั้นมีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เป็นทั้งพระนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งราชวงศ์ปราสาททอง และเป็นทั้งแม่ของพระยาโกษา (เหล็ก) ขุนศึกคนสำคัญแห่งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ราชฑูตคนสำคัญในสมัยนั้น

    ส่วนอีกหัวข้อหนึ่งที่นักวิชาการถกเถียงกันก็คือ เจ้าแม่วัดดุสิตเป็นเจ้าหรือเป็นสามัญชนกันแน่ ??? ข้อนี้ผมคงไม่ขอกล่าวถึง เพราะสิ่งที่ผมจะเรียบเรียงให้อ่านกันนั้นก็เป็นข้อสรุปเกี่ยวกับชีวิตของ "เจ้านายหญิง" หรือ "ขัตติยะนารี" ท่านนี้จากที่ผมได้อ่านมาจากเอกสาร และบทความหลาย ๆ ฉบับ และนำมาสรุปตามที่ผมมีปัญญาพอที่จะเข้าใจ และเข้าถึงได้ ซึ่งผมได้นำมาสรุปไว้ ณ ที่นี้ เพื่อมิให้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าต้องถูกปล่อยให้ผ่านเลยไป

    เอกสารที่ผมนำมาสรุปนั้น เป็นเอกสารและบทความที่เกี่ยวข้องในระดับทุติยภูมิ ทั้งหนังสือ "โครงกระดูกในตู้" ของพล.ต. ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช บทความของปรามินทร์ เครือทอง เรื่อง "ปริศนาเจ้าแม่วัดดุสิต เจ้า หรือสามัญชน" บทความของจุลดา ภักดีภูมินทร์ เรื่อง "พระบัณฑูรใหญ่ พระบัณฑูรน้อย" เป็นหลัก ซึ่งพอจะสรุปเกี่ยวกับชีวิตของเจ้าแม่วัดดุสิตได้ดังนี้

    ในช่วงปฐมวัยของเจ้าแม่วัดดุสิตยังคงเป็นที่คลุมเครืออยู่มาก เนื่องจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่กว่ารัชสมัยรัชกาลที่ 4 มิได้กล่าวถึงประวัติของเจ้าแม่วัดดุสิตไว้เลย จะมีก็ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับเจ้าแม่วัดดุสิตในพงศาวดารของไทยและจดหมายเหตุของชาวต่างชาติในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเท่านั้น หลักฐานที่พอจะศึกษาประวัติของเจ้าแม่วัดดุสิตอย่างละเอียดก็คงมีแต่บันทึกจากคำบอกเล่า หรือหลักฐานในชั้นทุติยภูมิ จึงมีนักประวัติศาสตร์ให้ความเห็นแตกต่างกันไปดังนี้

    1) สันนิษฐานกันว่า เจ้าแม่วัดดุสิตเป็นราชธิดาของสมเด็จพระเอกาทศรส ผู้ที่มีความเห็นเช่นนี้มีทั้ง ก.ศ.ร.กุหลาบ ที่ได้กล่าวว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้ฟังคำบอกเล่าจากพระวันรัตน์ (ฉิม) เปรียญธรรม 9 ประโยค ว่า เจ้าฟ้าหญิงรัศมี และเจ้าฟ้าจีกเคยเล่าว่า สมเด็จพระเอกาทศรสแห่งราชวงศ์พระร่วง ได้อภิเษกสมรสกับราชธิดาของพระยาเกียรติ์ (ขุนนางชาวมอญที่ติดตามสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) มีราชธิดา คือ เจ้าครอกบัว(หม่อมเจ้าบัว) และเจ้าครอกอำภัย (หม่อมเจ้าอำไพ) แต่ในหนังสือนี้ยังมีข้อความที่คลุมเครือระหว่างเจ้าครอกบัวและเจ้าครอกอำไพอยู่มาก ซึ่งทำให้สับสนว่า เจ้าแม่วัดดุสิตมีชื่อเดิมว่าอย่างไรกันแน่ ?

    หรือในหนังสือ "ราชินิกุล บางช้าง" ตีพิมพ์แจกเมื่องานฉลองพระราชสมภพครบ ๒๐๐ ปี ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2510 และหนังสือ "อิศรางกูร" ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์แจกในงานศพของ ม.ล.ปุย อิศรางกูร เมื่อปี พ.ศ. 2517 ก็ได้กล่าวไว้ในทำนองเดียวกันว่า เจ้าแม่วัดดุสิตเป็นราชธิดาของสมเด็จพระเอกาทศรส แต่จะมีชื่อเดิมว่า หม่อมเจ้าบัว หรือหม่อมเจ้าอำไพ ก็ยังไม่แน่ชัด

    2) สันนิษฐานว่า เจ้าแม่วัดดุสิตเป็นราชธิดาของขุนพิเรนทรเทพ หรือพระมหาธรรมราชาผู้สืบเชื้อสายจากราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย ผู้ที่มีความเห็นในทิศทางนี้ก็คือ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งได้กล่าวไว้ในหนังสือ "โครงกระดูกในตู้" โดยมีเนื้อหาที่เขียนขึ้นตามคำบอกเล่าจากญาติผู้ใหญ่ของพล.ต. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เองโดยไม่มีการบันทึกวัน เดือนและปีที่เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้ว่า "เจ้าพระยาโกษาปานเป็นบุตรเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เจ้าแม่วัดดุสิตมีศักดิ์เป็นหม่อมเจ้าในราชวงศ์พระมหาธรรมราชา ซึ่งสืบเชื้อสายมาแต่ราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัย"

    3) สันนิษฐานกันว่า เจ้าแม่วัดดุสิตเป็นราชธิดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่เกิดแต่พระมเหสีพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง อาจจะเป็นพระสุวัฒน์มณีรัตนา (เจ้าขรัวมณีจันทร์ ) ??? พระเอกกษัตรี (ทรงรับเป็นมเหสีภายหลังยกทัพตีเขมร) ??? หรือพระราชธิดาพระเจ้าเชียงใหม่ (ทรงรับเป็นมเหสีภายหลังศึกเมืองเชียงใหม่) ??? แต่ข้อสันนิษฐานนี้ไม่มีหลักฐานและน้ำหนักมากพอ จึงมิได้รับการกล่าวถึงในยุคหลัง


    (พระเอกกษัตรี เสด็จมาจากกรุงละแวก ปี พ.ศ. 2137 คิดว่าคงจะถวายตัวรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทสมเด็จพระนเรศวรในปีเดียวกัน ส่วนพระราชธิดาพระเจ้าเชียงใหม่ ก็คือ พระนางโยธยามี้พะยา เป็นพระธิดาพระเจ้ามังนรธาช่อ คาดว่าเสด็จมาเมื่อคราวศึกไทยไปตีหงสาครั้งที่สอง ปี พ.ศ. 2141 พระนางโยธยามีพะยาน่าจะเป็นขนิษฐาของพระทุลอง พระโอรสองค์โตของพระเจ้ามังนรธาช่อ พระทุลองประสูติ พ.ศ. 2121 ระหว่างทางขณะที่พระบิดาและพระมารดาเสด็จจากหงสาวดีมาครองเชียงใหม่ คาดว่าพระนางโยธยามี้พะยาจะประสูติในปี พ.ศ. 2123 คาดว่าห่างสักปีกว่าถึงสองปีจากพระโอรสองค์แรก ดังนั้น ในปีที่ถวยตัวเข้ารับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนเรศวร (โดยเสด็จลงมากรุงศรีอยุธยาพร้อมกับสมเด็จพระเอกาทศรถที่ไปยุติข้อพิพาทของเจ้านายฝ่ายเหนือ โดยเอาเมืองลำพูนเป็นสถานที่เจรจาความเมือง) พระนางโยธยามี้พะยาน่าจะสัก 18 ชันษาค่ะ...ทางสายธาตุ)


    เจ้าแม่วัดดุสิตได้รับการแต่งตั้งเป็นพระนมเอก ดำรงพระอิศริยยศ "กรมพระเทพามาตย์" แก่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชไปแล้ว ทั้งพระเพทราชา และขุนหลวงสรศักดิ์(สมเด็จพระพุทธเจ้าเสือ) ต่างนับถือเจ้าแม่วัดดุสิตเหมือนพระราชชนนี เพราะว่าได้กินนมร่วมกับพระยาโกษา (เหล็ก) และพระยาโกษาธิบดี (ปาน) บุตรของเจ้าแม่วัดดุสิต ดังที่ปรากฏในบทความของจุลดา ภักดีภูมินทร์ เรื่อง "พระบัณฑูรใหญ่ - พระบัณฑูรน้อย" เมื่อครั้งแผ่นดินพระพุทธเจ้าเสือ ที่เจ้าแม่วัดดุสิตขอพระราชทานอภัยโทษแก่ราชบุตรทั้งสองของพระพุทธเจ้าเสือ ซึ่งเจ้าแม่วัดดุสิตมีฐานะเสมือนย่าของราชบุตรทั้งสอง คือ พระบัณฑูรใหญ่ (ต่อมาก็คือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ) และพระบัณฑูรน้อย (เจ้าฟ้าอุทุมพร หรือขุนหลวงหาวัด) ที่ถูกพระราชบิดาสั่งเฆี่ยนวันละ 60 ทีเนื่องจากอุบัติเหตุล้อมช้างป่า ซึ่งทำให้ช้างทรงของพระพุทธเจ้าเสือติดหล่ม และทำให้พระพุทธเจ้าเสือเข้าพระทัยว่าเจ้าฟ้าทั้งสองจะทำปิตุฆาตเพื่อแย่งราชสมบัติ ดังนี้

    "พระเจ้าเสือนี้ตามพระราชพงศาวดาร ว่าเป็นพระราชโอรสสมเด็จพระนารายณ์ ฯ แต่ทรงยกให้พระเภทราชา แต่ครั้งยังเป็นขุนนางผู้ใหญ่ รับไว้เลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม พระอัครมเหสีเดิมของพระเพทราชา คือที่เจ้าฟ้าเพชร เจ้าฟ้าพรตรัสเรียกว่า สมด็จพระอัยกี จึงทรงคุณูปการใหญ่หลวงแก่พระเจ้าเสือ ทงเคารพนับถือเป็นอันมาก พระอิสริยยศกรมพระเทพามาตย์ แผ่นดินพระเจ้าเสือ หรือขุนหลวงสรศักดิ์นี้ โดยทั่วไปเรียกกันว่า "เจ้าแม่วัดดุสิต" เพราะเสด็จไปประทับทรงศีล(บวชชี)อยู่ ณ พระตำหนักริมวัดดุสิต

    กรมพระเทพามาตย์ทรงทราบก็ทรงตกพระทัย รีบร้อนเสด็จลงมาเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวถึงที่ค่าย ขอพระราชทานอภัยโทษ ก็โปรดยกให้ ให้กรมพระเทพามาตย์นำทั้งสองพระองค์เสด็จกลับไปด้วย ต่อมาไม่ช้านาน เมื่อพระราชบิดาสิ้นความพิโรธแล้ว ก็เข้าเฝ้ารับราชการโดยปกติ" (จุลดา ภักดีภูมินทร์ , 2544)

    ในเรื่องชีวิตครอบครัวของเจ้าแม่วัดดุสิตก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงอยู่เช่นกัน นักวิชาการทราบแต่เพียงว่า เจ้าแม่วัดดุสิตมีบุตร 2 คน คือ พระยาโกษา (เหล็ก) และพระยาโกษาธิบดี (ปาน) แต่นักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งสันนิษฐานว่า เจ้าแม่วัดดุสิตยังมีธิดาคนเล็กอีก ซึ่งมีชื่อว่า แช่ม ??? หรือฉ่ำ ??? หรือศรีจุฬาลักษณ์??? ก็ยังเป็นเรื่องที่คลุมเครืออีกเช่นกันว่า เจ้าแม่วัดดุสิตมีธิดาหรือไม่

    สิ่งที่ยังเป็นเรื่องคลุมเครืออีกประการหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวของเจ้าแม่วัดดุสิตก็คือ สามีของท่านเป็นใคร มาจากไหนก็ยังคงไม่แน่ชัด นักประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่งสันนิษฐานว่าสามีของเจ้าแม่วัดดุสิตชื่อ หม่อมเจ้าเจิดอุภัย ซึ่งมีนักประวัติศาสตร์สันนิษฐานกันว่า ฝ่ายสามีของเจ้าแม่วัดดุสิตเป็นรุ่นลูกหลานของพระยาเกียรติ แม่ทัพมอญที่ติดตามสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกลับมาสู่กรุงศรีอยุธยา ดังเช่นในบทความของปรามินทร์ เครือทอง เรื่อง "ปริศนาเจ้าแม่วัดดุสิต เจ้า หรือสามัญชน" ดังที่ว่า

    "นอกจากนี้ยังมีเอกสารของ ม.ล. มานิจ ชุมสาย ที่กล่าวว่าเป็น "บันทึกของบรรพบุรุษ" ตกทอดมายังท่าน มีเรื่องราวของเจ้าแม่วัดดุสิตอีกสายหนึ่งที่ค่อนข้างพิสดารว่า "แม่ทัพมอญคนหนึ่งมีนามว่า พระยาเกียรติ ได้ติดตามสมเด็จพระนเรศวรเข้ามารับราชการกับไทย ลูกหลานคนหนึ่งของพระยาเกียรติ (ไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร) ได้แต่งงานกับเจ้าแม่วัดดุสิต (ไม่ได้บอกชื่อเดิมอีกเช่นเดียวกัน) ซึ่งเป็นพระนาง มีตำแหน่งสูงในพระราชวัง" (ประวัติโกษาปานและบันทึกการเดินทางไปฝรั่งเศส. คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์, ๒๕๓๐, น. ๑๓)"

    นอกจากนี้ นักวิชาการยังได้กล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างสาแหรกสายพระราชวงศ์พระร่วง ที่มีมาตั้งแต่กรุงสุโขทัยและได้ครองราชสมบัติในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในช่วงเวลาหนึ่ง กับพระราชวงศ์จักรี โดยมีเจ้าแม่วัดดุสิตเป็นผู้เชื่อมโยง โดยกล่าวกันว่า บุตรของเจ้าแม่วัดดุสิต คือ พระยาโกษาธิบดี (ปาน) มีบุตรคือ นายขุนทอง ซึ่งนายขุนทองได้รับพระราชทางพระอิศริยยศจากพระพุทธเจ้าเสือเป็น พระยาวรวงศาธิราชสนิท ท่านก็มีบุตรชายคนโตคือ นายทองคำ

    ต่อมาราชวงศ์นี้ได้ย้ายนิวาสถานไปอยู่ที่บ้านสะแกกรัง เมืองอุทัยธานี ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ซึ่งต่อมานายทองคำก็ได้รับพระราชทานตำแหน่งจากพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระให้เป็น "พระยาราชนิกูล" ซึ่งท่านมีบุตรชายคนโต คือ ท่านทองดี หรือที่นักวิชาการ และผู้สนใจประวัติศาสตร์เรียกท่านว่า "พระปฐมบรมมหาชนก"

    ท่านทองดีย้ายนิวาสถานจากบ้านสะแกกรังมารับราชการในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ โดยมีนิวาสถานอยู่ที่ย่านป้อมเพชร อยุธยา ต่อมาท่าได้สมรสกับท่านดาวเรือง (เอกสารบางเล่มก็ว่าท่านชื่อหยก) หญิงสาวบุตรีคหบดีชาวจีน ท่านทองดีได้รับพระราชทานยศครั้งสุดท้ายก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกเป็น "พระยาจักรีศรีองครักษ์" หลังกรุงแตก ท่านก็พาครอบครัวย้ายหนีภัยสงครามไปอยู่เมืองต่าง ๆ จนท่านพระยาจักรีศรีองครักษ์ถึงแก่อนิจกรรม ภรรยาของท่านก็พาลูก ๆ กลับมาตั้งรกรากในกรุงธนบุรี

    โดยบุตรคนที่สี่ของท่านก็คือ นายทองด้วง ซึ่อต่อมาท่านได้เป็นยกกระบัตรเมืองราชบุรี และเป็นแม่ทัพคนสำคัญในสมัยกรุงธนบุรี และดำรงตำแหน่งเป็น "เจ้าพระยาจักรี" และ "สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก" ตามลำดับ และได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์


    ที่มา

    คึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว. "โครงกระดูกในตู้"
    จุลดา ภักดีภูมินทร์ . พระบัณฑูรใหญ่ - พระบัณฑูรน้อย ใน สกุลไทย ฉบับที่ 2436 วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2544.
    ปรามินทร์ เครือทอง. "ปริศนาเจ้าแม่วัดดุสิต เจ้า หรือสามัญชน" ใน ศิลปวัฒนธรรม
     
  2. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สวัสดีคุณศรัทธา พิสุทธิ์ค่ะ

    เจอกันตอนเย็นก็ต้องเป็นสายันต์สวัสดิ์นะคะ

    --------------------------------------------------------------

    เพิ่งจะอ่านเจอข้อความ

    ขอเชิญร่วมงานครบรอบ 25 ปี วันมรณภาพครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก
    ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน

    เอาล่ะซิ เชื่อมข้อมูลสองความเห็นเข้าด้วยกันด้วยคำว่า จังหวัดลำพูน

    คือสมเด็จพระเอกาทศรถรับพระบรมราชโองการจากสมเด็จพระนเรศวร

    เสด็จขึ้นไปยุติข้อพิพาทระหว่างพระเจ้าเชียงใหม่กับใคร(จำไม่ได้)

    สุดท้ายต่างฝ่ายต่างไม่ยอมไปเจรจาในเมืองของฝั่งคู่กรณี

    จึงต้องหาสถานที่ ที่ยอมมาพบกันหมดเพื่อเจรจากัน ที่นั่นคือ จังหวัดลำพูน เจ้า....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2009
  3. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    สวัสดีค่ะ คุณทางสายธาตุ ชอบอ่านข้อเขียนของคุณมากค่ะ
    สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ค่ะ ขอบคุณนะคะ
     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เรื่องวัดป่าแก้ว

    พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา
    พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ


    เรื่องวัดป่าแก้ว


    ในหนังสือพระราชพงศาวดาร ว่าสมเด็จพระวันรัตนวัดป่าแก้วถวายพระพรขอพระราชทานโทษข้าราชการไว้ได้ ควรจะอธิบายเรื่องวัดป่าแก้วตรงนี้สักหน่อย ในคำอธิบายของข้าพเจ้าในตอนแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กล่าวถึงเรื่องนิกายพระสงฆ์ที่เข้ามาสู่ประเทศนี้<SUP>(๑)</SUP> มีเนื้อความปรากฏถึงเรื่องนิกายพระสงฆ์ซึ่งเรียกว่า คณะป่าแก้ว เพราะเหตุที่ไปแปลงมาในสำนักพระวันรัตนมหาเถรในเมืองลังกา จึงเอานามวันรัตนนั้น มาแปลงเป็นภาษาไทย เรียกชื่อนิกายสงฆ์ว่าคณะป่าแก้ว พระราชาคณะที่เป็นสังฆนายกของนิกายป่าแก้วหรือที่เรียกว่าคณะใต้ จึงมีราชทินนามในสมณศักดิ์ว่า สมเด็จพระวันรัตน แต่ที่อยู่วัดป่าแก้วนั้น ทำให้เข้าใจผิดอยู่ แม้ในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงสร้างวัดป่าแก้ว ที่จริงวัดนั้นเป็นวัดแก้วฟ้า วัดที่ชื่อวัดป่าแก้วไม่มีในกรุงศรีอยุธยา ปรากฏว่าได้ค้นหาวัดป่าแก้วกันมาแต่ในรัชกาลที่ ๔ จนเมื่อพระยาโบราณราชธานินทร์เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า ก็ได้ค้นหาวัดป่าแก้วอีก ได้เคยพาข้าพเจ้าไปบุกรุกช่วยหาหลายหนก็ไม่พบ เรื่องวัดป่าแก้วในกรุงเก่าเป็นข้อฉงนสนเท่ห์อยู่มาก

    ความคิดพึ่งมาปรากฏแก่ข้าพเจ้าเมื่อไปเห็นหนังสือเก่าๆ ที่เมืองนครศรีธรรมราชและเมืองพัทลุง ในหนังสือเหล่านั้น ใช้คำคณะป่าแก้วติดเข้าท้ายชื่อวัดทุกๆแห่ง ดังว่า วัดเขียนคณะป่าแก้ว วัดจะทิงพระคณะป่าแก้ว ดังนี้เป็นต้น ต้องกันกับชื่อวัดที่เห็นในหนังสือพงศาวดารเหนือ ที่เรียกวัดทางเมืองสุโขทัยวัด ๑ ว่า วัดไตรภูมิ(คณะ)ป่าแก้ว ข้าพเจ้านึกว่า วัดป่าแก้วในกรุงเก่าบางทีจะมีชื่ออื่น และเรียกคำว่าป่าแก้วเข้าข้างท้าย อย่างเมืองสุโขทัยและเมืองนครศรีธรรมราช

    วัดในกรุงเก่าที่เป็นพระอารามหลวงใหญ่โตมีอยู่วัด ๑ ซึ่งเดี๋ยวนี้เรียกกันว่า วัดใหญ่ ครั้งกรุงเก่าเรียกว่า วัดเจ้าพญาไทย วัดนี้ไม่มีชื่อในทำเนียบสมณศักดิ์ครั้งกรุงเก่า ในทำเนียบนั้นว่าสมเด็จพระวันรัตนอยู่วัดป่าแก้ว เมื่อวัดป่าแก้วหาไม่พบ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าจะเป็นวัดเจ้าพญาไทย คือ วัดใหญ่นี้เอง เพราะคำว่า "เจ้าไทย" เป็นศัพท์เก่า แปลว่า พระ ใช้ในหนังสือไตรภูมิพระร่วงและหนังสือสวดมาลัยมีอยู่เป็นพยาน ถ้าเจ้าไทยแปลว่าพระ เจ้าพญาไทยก็แปลว่า สังฆราช วัดเจ้าพญาไทยแปลว่าเป็นที่อยู่ของสังฆราช ทำเนียบสมณศักดิ์ครั้งกรุงเก่าว่าพระสังฆราชมี ๒ องค์ คือ สมเด็จพระอริยวงศ์อยู่วัดมหาธาตุ วัดมหาธาตุยังปรากฏอยู่ สมเด็จพระวันรัตนเป็นสังฆราชอีกองค์ ๑ ว่าอยู่วัดป่าแก้ว เมื่อวัดสังฆราชยังมีชื่ออีกวัด ๑ คือ วัดเจ้าพญาไทย ก็เห็นว่าคือวัดเจ้าพญาไทยนี้เองเป็นวัดที่สมเด็จพระวันรัตนอยู่ จะเรียกกันว่าวัดสังฆราชคระป่าแก้ว เมื่อเรียกให้สั้งลงจึงคงแต่คำว่า วัดป่าแก้ว เป็นชื่อหนึ่งของวัดเจ้าพญาไทย

    ความคิดเห็นของข้าพเจ้าข้อนี้ เมื่อมาอ่านตรวจหนังสือพระราชพงศาวดารฉบัพระราชหัตถเลขานี้โดยถ้วนถี่ ได้ความว่ากรมหลวงวงศาธิราชสนิท ท่านทรงคิดเห็นและลงยุติเสียแล้วแต่ในรัชกาลที่ ๔ ด้วยความตอนรบพม่าเมื่อแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าสุริยามริมทร์มีแห่ง ๑ ในพระราชพงศาวดารฉบับพิมพ์ ๒ เล่มว่า พระยากำแพงเพชร (คือพระเจ้ากรุงธนบุรี) กับพระยาเพชรบุรียกกองทัพออกไปตั้งที่วัดใหญ่ (เจ้าพญาไทย) ครั้นมาถึงฉบับพระราชหัตถเลขา กรมหลวงวงศาธิราชสนิทท่านทรงแก้ว่าออกไปตั้งที่วัดป่าแก้ว ดังนี้ จึงควรยุติได้ว่า ที่ในพงศาวดารว่า สมเด็จพระวันรัตนอยู่วัดป่าแก้วนั้น คือ อยู่วัดเจ้าพญาไทย ที่เรียกทุกวันนี้ว่าวัดใหญ่ มีพระเจดีย์สูงอยู่ริมทางรถไฟข้างตะวันออก เมื่อก่อนจะเข้ากรุงเก่านั้นเอง


    นำมาฝากเรื่องวัดป่าแก้วเพื่อให้ท่านผู้อ่านที่น่ารักได้รับข้อมูลรอบด้านค่ะ อ่านไว้ใช้ประกอบการพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆในความเป็นวัดป่าแก้วได้ค่ะ


     
  5. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขอนำเรื่องตรงส่วนนี้มาลงเพิ่มเติม เดี๋ยวท่านผู้อ่านจะงงได้
    เจ้าแม่วัดดุสิต ขัตติยะนารีผู้เป็นมารดาของเจ้าพระยาโกษาเหล็กและเจ้าพระยาโกษาปานนั้น ท่านมีชีวิตยืนยาวจนถึงแผ่นดินสมเด็จพระเพทราชา งานพระราชพิธีศพของเจ้าแม่วัดดุสิตองค์นี้ สมเด็นพระเพทราชาเป็นผู้พระราชทานจัดงานให้

    ส่วนเจ้าแม่วัดดุสิตที่อยู่จนแผ่นดินพระเจ้าเสือนั้น เดิมเป็นพระอัครมเหสีของพระเพทราชา เมื่อพระเพทราชาปราบดาภิเษกขึ้นเสวยราชย์นั้น ได้สถาปนาพระขนิษฐาของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นพระมเหสีฝ่ายขวา พระธิดาของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นพระมเหสีฝ่ายซ้าย พระอัครมเหสีเดิมสถาปนาเป็นพระมเหสีกลาง และพระมเหสีกลางพระองค์นี้ได้ใช้พระตำหนักเดิมของเจ้าแม่วัดดุสิตองค์แรกเป็นตำหนักของท่าน จึงเรียกพระมเหสีกลางของพระเพทราชาว่า เจ้าแม่วัดดุสิต เช่นกันแต่ท่านเป็นองค์ที่สอง นักประวัติศาสตร์บางท่านยังสับสนเรื่องนี้กันอยู่

    อยากให้ท่านผู้อ่านได้รับสาระประโยชน์อย่างเต็มที่ค่ะ พอมีเวลาก่อนออกไปธุระ ทางสายธาตุจึงรีบเขียนอธิบายค่ะ เดี๋ยวจะลืมเสียก่อนแล้วจะไม่ได้กลับมากล่าวถึงอีก.....ทางสายธาตุ
     
  6. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    2) สันนิษฐานว่า เจ้าแม่วัดดุสิตเป็นราชธิดาของขุนพิเรนทรเทพ หรือพระมหาธรรมราชา

    อืม ช่วงเวลาจะไม่ห่างกับสมัยพระนารายณ์ไปหน่อยเหรอครับ แค่สงสัยนะครับ ผมก้อคนไม่แม่นประวัติศาสตร์
     
  7. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    กาลสมัยเปลี่ยนแปลง วิทยาศาสตร์และระบบการติดต่อสื่อสารได้เข้ามามีบทบาทต่อประวัติศาสตร์อย่างกว้างขวาง มีการค้นพบหลักฐานต่างๆเพิ่มมากขึ้นจนนำไปสู่สมมติฐาน
    ใหม่ๆ กรณีวัดวรเชษฐตามบันทึกประชุมของคณะอนุกรรม
    การฯ ได้ระบุหลักฐานเป็นแผนที่หลายฉบับที่สอดคล้อง
    กันว่ามีชื่อวัดวรเชษฐปรากฎอยู่ในแผนที่ แม้กระทั่งในฉบับของ วัน วลิต พ.ศ.2182 ส่วนจะเป็นวัดป่าแก้วด้วยหรือไม่นั้น ต้องขออนุญาตยุติไว้เพียงแค่นี้ก่อนครับ
     
  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ได้รับวัสดุไปรษณีย์แล้วค่ะ สักแปดโมงครึ่ง หลังจากรับแล้วก็ดูชื่อตัวเอง ...ถูกต้อง

    เซ็นชื่อด้วยด้ามพลาสติกลงบนหน้าจอ Handheld ของบุรุษไปรษณีย์เสร็จ... เรียบร้อย

    พลิกดูชื่อผู้ส่ง โอ้ ตะลุมตุมเพ้ง หลังจากนั้นมือก็ร้อนขึ้น คาดว่าเป็นพลังบารมีของผู้ส่งที่อัดใส่พัสดุมา ... ร้อนฉ่า ^^

    คือมันมี Key word อยู่ตัวหนึ่ง ที่ทางสายธาตุสงสัย แต่คิดว่าคงเป็นพ่อลูกกัน ใช้เหมือนกัน แต่รู้ว่าเป็นใคร ... ไม่มีซิกเซ้นต์ และแต่มีเซ้นต์

    stay tune... ยังไม่เคยเห็นใครใช้มาก่อน และเคยเห็นหนึ่งครั้งที่หนึ่งเวปไซด์นี้ และครั้งที่สองกระทู้นี้ ... ก็เอ๊ะอยู่

    ข้าน้อยขอคาวระท่านผู้เฒ่า หากพูดคุยสิ่งใดอันไม่สมควรไป ขออภัยท่านผู้เฒ่าด้วย

    ข้าน้อยอายุเลยหลักสี่ ข้ามวิภาวดี ผ่านแคราย เข้ารัตนาธิเบศธ์แล้ว ... อิอิอิ

    เอ๊ะเรียกท่านพี่ดีกว่านะคะ คารวะท่านพี่จงรักภักดี ขออภัยที่มิได้โทรศัพท์ไป ... ขอคารวะ 3 จอก

    ด้วยทางสายธาตุนี้เป็นคนระมัดระวังและเก็บตัวสักหน่อย คิดว่าไว้ได้เจอตัวก่อนจึงจะกล้าให้เบอร์โทร ... เป็นผู้หญิงแถวหลัง (เรื่องรับประทาน อยู่หัวแถวค่ะ)

    ไปธุระแล้วก็อ่านๆๆ เป็นคนชอบอ่าน อ่านไปเท่าไหร่แล้วรู้ไหมคะ บทที่ 3 หน้าที่ 64 ... มัน พะยะค่ะ

    อ่านบันทึกการเดินทางไปดูงานศึกษาฯแล้วด้วยค่ะ อ้าวเลย แผนที่สยาม SIAM IUDIA ข้าน้อยไปเจอในเวปไซด์หนึ่ง ก็เห็นว่าน่าสนใจเอามาลงไว้

    ไม่คิดว่าจะเป็นหลักฐานเสริมเรื่องสถานที่ตั้งของวัดวรเชษฐ์ด้วย

    ⃧?¹Ǒ?ȃջÐ?Ҡ: ??ФÙèǁ?ҹ??Ҡ"?ÐǑ?ԈҊ?ì͂ظ’㹡???ը"

    [​IMG]


    แผนที่ Siam Ludia ของ คูร์ตอแลง บาทหลวงชาวฝรั่งเศส ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

    ไม่รู้ว่าทางสายธาตุจำผิดหรือจำถูก แต่วัดนี้เคยชื่อวัด เจ้าเชษฐ์ หรือไม่

    จากแนวถนนโบราณนอกเกาะนี้ เลาะริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทางสายธาตุว่าน่าจะเป็นที่ตั้งของคลังสินค้าเอกชนหลายแห่งเลยค่ะ

    เพราะการขึ้นหรือลงสินค้าจากสำเภาแต่ละลำ ใช้กำลังคนขนทีละห่อ ทีละ ******บห่อ ทีละมัด กว่าจะหมดลำ หรือกว่าจะเต็มลำ ต้องลอยลำชิดฝั่งอยู่อย่างนั้นหลายวัน

    เอกชนจึงต้องมีท่าเรือส่วนตัวของตัวเองไว้ค่ะ ในความเห็นของทางสายธาตุนะคะ

    และวัดเจ้าเชษฐ์นี้กว้างขวางและร่มรื่นมากด้วยตามสไตล์วัดโบราณที่ปลูกต้นไม้รอบวัด

    คิดว่านะคะพอเข้าหน้าเทศกาลงานบุญก็น่าจะมีจัดการละเล่น ละเม็งละคร ลำตัด อะไรเทือกนั้นที่วัดนี้ด้วยค่ะ คนไทยให้ความสำคัญกับงานบุญมากมาแต่ไหนแต่ไร

    คนงานที่ใช้แรงงานในโกดังเอกชนแถบๆนั้น เดินไปดูละเม็งละครสบายเลย

    ป.ล. แต่แผนที่ SIAM IUDIA อาจไม่เห็นคลังสินค้า



    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    <!-- google_ad_section_start -->[​IMG]


    12 ปากคลองขุนละครไชย เป็นชุมชนชาวจีน ทางทิศใต้ของเกาะเมือง ตามคำให้การฉบับหอหลวงกล่าวว่า “......มีหญิงละครโสเภณี ตั้งโรงอยู่ท้ายตลาด “ รับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ” ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ใกล้ทางเรือแลทางบก มีตึกกว้านร้านจีนมาก ขายของจีนมากกว่าของไทย มีศาลเจ้าจีนศาลหนึ่งอยู่ท้ายตลาด.......”


    ทางสายธาตุเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจากแนวถนนโบราณนอกเกาะเลาะแม่น้ำเจ้าพระยาลงมาทางใต้ จะเจอกับปากคลองขุนละครไชย นึกแล้วขำๆ อิอิ...​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2009
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    มีความเป็นไปได้ทั้ง 3 สมมติฐานค่ะ

    1 สมเด็จพระมหาธรรมราชา สวรรคตปี พ.ศ. 2133 ถ้าหากมีสนมสักองค์ทรงพระครรภ์น่าจะได้พระราชธิดาที่ประสูติในปี พ.ศ. 2134 เป็นช้าสุด รับราชการเป็นพระนมปี พ.ศ. 2175 ปีที่สมเด็จพระนารายณ์ประสูติ พระนมจะมีพระชนม์ 41 ปี

    2 หากเป็นพระธิดาในสมเด็จพระเอกาทศรถ ที่สวรรคตในปี พ.ศ. 2153 พระธิดาของพระองค์อาจเป็นพระนมก็ได้ อายุไม่เกิน 22 ปีแต่ต้องมีบุตรมาแล้ว 2 คนด้วย คือมีพระยาโกษาเหล็กและพระยาโกษาปานมาแล้ว

    3 เป็นพระธิดาของพระนเรศวร ถ้าหากตามพงศาวดารพม่า พระราชธิดาองค์โตของสมเด็จพระนเรศวรได้อภิเษกสมรสกับพระทุลอง ก็น่าจะนะคะ แค่น่าจะเป็นพระราชธิดาอันเกิดจากพระอัครมเหสีมณีรัตนาด้วย ซึ่งเคยวิเคราะห์ไว้ในหน้ากองเรืองพยุหยาตราในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรว่า พระราชโอรสประสูติในราวๆ ปี พ.ศ. 2124-2131 พระราชธิดาก็คงจะไม่ห่างจากช่วงนี้มาก ซึ่งเมื่อถึงปี พ.ศ. 2175 ท่านก็สี่สิบกว่า ไม่น่าจะยังมีเกษียรธารา (น้ำนม)

    เห็นไหมคะว่ามีความเป็นไปได้ทั้งสามกรณีนะคะ สำหรับกรณีอายุถ้าท่านพระชนม์สูงแล้วเป็นพระนม ก็อาจเป็นได้ที่ต้องการตั้งพระองค์ให้อยู่ในตำแหน่งที่จะช่วยอบรมดูแลพระราชบุตร แต่คนที่ถวายเกษียรธารา ยังมีพระนมโท และพระนมตรี อีกสองคนค่ะ

    ตำแหน่งนี้ไม่เล็กนะคะ ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง พระนมเอกจะต้องดูแล พระราชโอรสองค์สำคัญๆ ซึ่งเจ้าแม่วัดดุสิตนั้นได้รับพระราชโองการให้ดูแลเด็กคนสำคัญๆถึง 5-6 พระองค์ ถ้าไม่ไว้ใจ ไม่นับถือ รักใคร่กันอย่างญาติแล้ว พระเจ้าแผ่นดินคงไม่วางพระทัยให้ดูแลพระราชบุตรอันจะสืบราชสมบัติต่อจากพระองค์แน่นอน

    และที่แปลกอีกอย่าง ท่านเป็นผู้หญิงที่มีบันทึกเรื่องราวไว้ในหน้าพงศาวดาร อันเป็นเนื้อที่ไว้บันทึกเรื่องราวของบุรุษมากกว่า ตำแหน่งพระนมนั้นน่าจะมีในทุกรัชกาล เพื่อช่วยพระมเหสีอุ้มชูพระราชโอรส แต่ในรัชกาลอื่นไม่มีบันทึก มีบันทึกในรัชกาลพระเจ้าปราสาททองเท่านั้น

    ท่านต้องไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาแน่นอน...ทางสายธาตุ
     
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สามารถพูดได้เลยว่า เอกสารของท่านพี่

    มีมุมมองที่เด่นชัดและคมลึก น่าสนใจ จับใจ

    ไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน สนุกมากค่ะ

    ยังอ่านไม่จบค่ะ ด้วยลีลาการเขียนของผู้เขียนที่คม

    ขออ่านให้จบก่อน ดูว่ามีเนื้อหาใดพอจะแบ่งปันกันหน้าบอร์ดได้บ้างค่ะ

    ส่วนบันทึกการเดินทางตรวจฯเล่มเล็ก

    ทางสายธาตุเข้าใจแล้วว่าปัญหาเยอะ ซ้อนทับกันหลายเรื่อง

    อยากช่วยทางหลวงพ่อสิงห์ทน ท่านสะสาง

    แต่ก็ยังไม่รู้ หนูจะไปช่วยราชสีห์ (สิงห์) ได้อย่างไร

    หนูยังไม่เห็นวิธีเลยค่ะ อี๊ด อี๊ด
     
  11. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ขออนุโมทนาและขอขอบคุณสำหรับความทรงจำที่ดีๆครับ

    สงสัยว่าจะเคยเป็นอุปนิกขิต มาก่อน ไม่สมัยใดก็สมัยหนึ่ง

    นะครับ

    มีกลอนกระท่อนกระแท่นมาฝากครับ:

    แม้นเลือกได้จักย้อนกลับไปเกิด

    เป็นมนุษย์สุดเลิศประเสริฐศรี

    ได้รับใช้พระทรงธรรม์ทั่วธาตรี

    มอบชีพพลีเทิดถวายให้นายเอย
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    แม้นเลือกได้จักย้อนกลับไปเกิด

    เป็นมนุษย์สุดเลิศประเสริฐศรี

    ได้รับใช้พระทรงธรรม์ทั่วธาตรี

    มอบชีพพลีเทิดถวายให้นายเอย<!-- google_ad_section_end -->

    จับใจในความจงรักภักดีที่ท่านพี่มีถวายไท้ ทุกพระองค์

    พระองค์ท่านทรงห่วงพวกเรา รวมทั้งบ้านเมือง

    ซาบซึ้งพระองค์ที่ไม่เคยทอดทิ้งพวกเราให้เคว้งคว้าง

    สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นเทพเจ้าแห่งความรักชาติของคนไทย

    ทางสายธาตุคิดว่าท่านทรงดลบันดาลให้คนไทยกลับมารักกัน

    สามัคคีกัน สู้เพื่อปกป้องแผ่นดินและพระศาสนาไว้

    ไม่เช่นนั้น คนไม่มีเหล่าทหารผู้กล้า ประชาชนหลายๆคน

    เกิดระลึกถึงท่านพร้อมๆกันเป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน

    เหมือนตอนนี้ พระองค์ท่านทรงกรุณาคนไทยมาก

    ไม่อาจเอ่ยคำใดมาแทนพระคุณของท่านที่ห่วงใยคนไทย

    ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม

    เป็นบุญหนักหนาทีเกิดใต้ร่มพระบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริย์ไทย

    ขอเดชะ

    ทางสายธาตุ
     
  13. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    เข้าทางและถูกทาง ตรงเป้าประสงค์จริงๆครับ ผมอ่านแล้วยังไม่สู้จะเข้าใจนัก เข้าใจว่าคนที่สรุปย่อและนำมาพิมพ์แจกจ่าย สั้นเกินไป จนนำมาเล่าให้ฟังต่อไปไม่ได้ เท่า
    ที่ได้คุยและรับฟังจากพระภิกษุที่วัดรูปหนึ่งมีเนื้อหาสาระ
    มากกว่านี้ครับ แต่คุณสายธาตุก็จับประเด็นได้ถูกต้องนะ
    ครับ นับถือครับ ว่างๆต้องนัดกันไปคุยกับพระอาจารย์
    สิงห์ทน นี่ก็นัดกันกับคุณชานนคนไทย และผู้ที่เข้าใจ
    อุดมการณ์อีกหนึ่งหรือสองคนก็ยังกำหนดวันกันไม่ได้
    ถ้าอย่างไรขอเชิญด้วยนะครับ
     
  14. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    อุปนิขขิต ต้องเป็นคนเก่งใช่ไหมคะ

    งั้นไม่ใช่ทางสายธาตุแน่นอนค่ะ

    แต่เป็นคนจำได้ บางทีอ่านเรื่องราวใดๆ

    อ่านไปอ่านมา เนื้อหาขัดแย้งกันเองเป็นต้น

    ก็จะเอานิสัยวิทยาศาสตร์มาใช้แล้ว

    ตั้งสมมุติฐานที่ทำให้เกิดข้อมูลขัดแย้ง

    ตั้งหลายสมมุติฐานไปเรื่อยๆค่ะ

    เอ๋หรืออาจจะเคยเป็นอุปนิขขิตก็ได้นะคะ ใครจะรู้ 555


    ไปพบพระอาจารย์หรือคะ ไปคะไป

    มีอะไรที่จะช่วยท่านได้ ก็เท่ากับได้ถวายงานสมเด็จพระนเรศวรด้วย

    พระองค์ท่านทรงต้องการคนหลายๆคนร่วมมือร่วมใจแน่ๆ

    อย่างที่ตั้งข้อสังเกตุไว้ว่าปัจจุบันมีคนไทยระลึกถึงท่านมากเป็นพิเศษเยอะจริงๆ

    เดี๋ยวทางสายธาตุส่งเบอร์โทรให้ทาง PM นะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2009
  15. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ครูบาเจ้าพรหมจักรได้บำเพ็ญสมณธรรมจนเข้าสู่วัยชราภาพ สังขารของท่านชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา อาการเจ็บไข้ได้ป่วยจึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ท่านครูบาเจ้าได้เข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลนครเชียงใหม่ ก่อนที่ท่านครูบาท่านจะละสังขาร ท่านครูบาได้ตื่นจากจำวัด แต่เช้าปฏิบัติธรรมตามกิจวัตร เมื่อถึงเวลาท่านลุกนั่งสมาธิ สำรวมจิตตั้งมั่นสงบระงับ ครูบาเจ้าพรหมจักรได้ดับขันธ์ (มรณภาพ) ในท่านั่งสมาธิภานา เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๒๗ เวลา ๐๖.๐๐ น.อายุ ๘๗ ปี ๖๗ พรรษา คณะศิษยานุศิษย์ได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศลเป็นเวลา ๓ ปี ได้รับพระราชทานเพลิงศพ วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๑ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จมาพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงครูบาเจ้าพรหมจักรด้วยพระองค์เอง หลังจากพระราชทานเพลิงเสร็จสิ้นแล้วได้เก็บอัฐิ ปรากฏว่าอัฐิของครูบาเจ้าพรหมจักรได้กลายเป็นพระธาตุ มีวรรณะสีต่างๆ หลายสี



    -สำหรับบางท่านที่อาจจะยังไม่เคยได้ยินหรือไม่เคยรู้จัก
    ท่านครูบาพรหมา พรหมจักโกครับ



    ปล.คุณทางสายธาตุครับ อุปนิกขิต ไม่ต้องการคนเก่ง
    แต่ต้องใช้คนช่างสังเกตและช่างจดจำ แบบคุณทางสาย
    ธาตุเป๊ะเลย
     
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขอเปลี่ยนเรื่องให้สอดคล้องกับความเห็นด้านบน เห็นว่าความเห็นตนเองไม่เหมาะสม ยกไปรวมไว้ข้างบนก็ความเห็นที่สอดคล้องกัน ความเห็นนี้จึงขอยกธรรมที่ชอบมาลงด้วยนะคะ

    จะเข้าใจอัตตาก็ต่อเมื่อเข้าใจความจริง ๒ ประการ

    จะทำอย่างไร จะปฎิบัติตนอย่างไร ถึงจะเข้าใจว่าไม่มีตัวตน หรือไม่มีอัตตาที่แท้จริง

    พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้แล้วว่า ความจริงมีอยู่ ๒ ประการ คือ ๑.จริงโดยสมมติ ๒.จริงแท้ (สมมติสัจจะ และปรมัตถสัจจะ)

    คนเราเกิดมาในโลกเหมือนโรงละคร มีบทบาทแสดงตามหน้าที่ หรือตามที่ถูกสมมติให้เป็นตัวละครในชั่วระยะหนึ่งหรือชั่วชีวิตหนึ่ง เรียกว่าจริงโดยสมมติ คือแสดงไปตามกฏแห่งกรรมนั่นเอง

    โลกสมมติที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ แสดงถึง ตัวละครในรูปแบบของทิศ ๖ คือมีมารดาบิดา ครูอาจารย์ สามีภรรยา ลูก เพื่อน ที่ปรึกษา และผู้ร่วมงาน คือคนงาน ซึ่งมีภาระผูกพันธ์ต่อกัน ต้องรับผิดชอบต่อภาระที่มีต่อกัน คือต้องตอบแทนบุญคุณซึ่งกันและกัน ซึ่งเรียกว่าเจ้าบุญนายคุณ เจ้ากรรมนายเวร มารดาบิดาเป็นทั้งเจ้าบุญนายคุณ และเจ้ากรรมนายเวร นอกนั้นเป็นแต่เพียงเจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรอีกประการหนึ่งก็คือ คู่แค้นที่ตามจองล้างจองผลาญซึ่งกันและกัน

    การที่จะปฎิบัติตนเพื่อเข้าสู่ความจริงแท้ หรือความจริงโดยปรมัตถ์ เพื่อเข้าสู่ประตูพระนิพพาน จะต้องเปลื้องภาระโลกสมมติให้ได้เสียก่อน คือ ต้องตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาจนกระทั่งท่านปล่อยวาง หรืออนุญาตเสียก่อน แม้แต่การอุปสมบทเป็นพระ มารดาบิดาจะต้องอนุญาตก่อน แต่เจ้ากรรมนายเวรอื่นๆ คือ สามี ภรรยา ลูก ครูอาจารย์ เพื่อน ที่ปรึกษา ตลอดจนคนทำงานภายใต้ความดูแลรับผิดชอบ ก็ต้องชำระสิ่งที่ติดค้าง เปลื้องภาระเสียก่อน การปฎิบัติธรรมจึงจะราบรื่น ส่วนเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นคู่แค้นก็ต้องมีสติคอยระวัง อย่าประมาท สร้างบุญ สร้างบารมีคุ้มครองตัวเอง ก็จะอยู่อย่างมีธรรมคอยคุ้มครองรักษา

    วิธีสร้างตนให้มีความสุขแบบโลกิยชน

    การที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขแบบสมมติในระดับหนึ่ง ก็คือรู้จักทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดตามภาระผูกพันธ์ที่มีต่อกัน มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักเก็บหอมรอมริบ คบเพื่อนที่ดี รุ้จักใช้จ่ายทรัพย์ รู้จักจัดการทรัพย์สิน รู้จักประมาณตนไม่ทำอะไรเกินความพอดี

    ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สุขของผู้ยังอยู่ในโลกสมมติ คือสุขอันเกิดจากการมีทรัพย์ สุขเกิดจาการรู้จักใช้จ่ายทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ในทางดี สุขเกิดจากการไม่มีหนี้สิน สุขเกิดจากการทำงานหรือการประกอบธุรกิจไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศีลธรรม อันจะก่อให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนให้แก่ชาวโลก

    จากหนังสือ พระพุทธเจ้าตรัสสอนอย่างไร จึงช่วยให้ชีวิตมีความสุข
    เขียนโดย ดร.พระอาจารย์ สิงห์ทน นราสโภ
    หน้า ๘ - ๙

    ชอบที่ว่าจริงโดยสมมติ เหมือนเราได้รับบทละครตามแรงกรรมของเราที่สะสมมา เล่นกันเหมือนจริงมาก จิตใจคล้อยตามบทบาทได้สมจริง ร้องไห้ หัวเราะ เศร้าใจ ดีใจ เป็นนักแสดงระดับแนวหน้าคือแสดงได้ดีมาก พอจบชาติหนึ่ง ไปเกิดอีกชาติหนึ่ง ได้รับบทใหม่ ลืมบทที่เคยแสดงเมื่อชาติที่แล้วไปแล้ว เริ่มทำความรู้สึกลึกซึ้งเข้าใจกับบทใหม่ แล้วก็เอาอีกแล้ว ร้องไห้ หัวเราะ เศร้าใจ ดีใจ ได้เหมือนชาติก่อนแต่ในบทบาทใหม่ แล้วก็จบฉากละครอีกชาติหนึ่ง ชาติหน้าก็ได้รับบทใหม่อีกแล้ว เริ่มทำความเข้าใจกับบทละครใหม่อย่างลึกซึ้ง แล้วก็เริ่มมี ร้องไห้ หัวเราะ เศร้าใจ ดีใจ รู้สึกได้สุดๆแม้บทจะไม่ซ้ำเดิมเลย แล้วก็จะได้รับบทใหม่อีก เวียนวน วนเวียน หลายชาติ หลายสิบชาติ หลายกัปป์ หลายอสงไขย พระพุทธเจ้าท่านจึงมีพระคุณสูงมาก ท่านมาชี้ให้เห็นว่า พวกเราวนเวียนเล่นละครชีวิตจริงจังมากี่แสนบทแล้ว เบื่อหรือยัง หากใครเห็นความน่าเบื่อนี้ได้ก่อนแล้วเดินตามพระพุทธองค์ไปสู่แดนนิพพานก่อน สาธุ ท่านรอดจากวนเวียนจริงโดยสมมติของชีวติ เข้าสู่ความจริงแท้

    พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ท่านเกิดมาเพื่อโปรดกรุณาสัตว์โลกที่วงเวียนอยู่ในวัฎฎสงสาร ให้ข้ามไปให้ได้โดยเห็นความจริงอันนี้แหละ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จึงเป็นมหากุศลยิ่งใหญ่ให้ทุกชีวิตได้ศึกษา ได้ศรัทธา ได้เดินตามพระองค์ไป พระมหากรุณา เมตตาเป็นล้นพ้นต่อเวไนยสัตว์ในวัฎฎสงสารนี้

    ข้าพเจ้าขอกราบนอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ด้วยสำนึกในพระมิ่งมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
     
  17. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    ขอบคูณครับ ข้อมูลเยี่ยมมาก
     
  18. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    อนุโมทนา สาธุ ครับ คุณทางสายธาตุที่ช่วยหักเลี้ยว
    เข้าทางเบี่ยงได้จังหวะพอดี คาดว่าน่าจะเป็นทางลัด
    นะครับ เพิ่งไปได้หนังสือมาหนึ่งเล่ม เมื่อวานนี้เอง
    มีเนื้อหาในข้อที่ ๑ เป็นคำถามในเชิงที่เป็นการถาม
    ลอยๆ ว่า รอไปทำไม แล้วเนื้อหาก็ตรงกันกับที่คุณ
    ทางสายธาตุกล่าวถึงพอดี เอ! ได้ไงนะ ก็มีว่า
    พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร พอมาถึงแค่นี้ ทุกคนก็ต้อง
    นึกตอบในใจแล้วว่าหวานหมู ยังครับหนังสือเล่มนี้
    ไม่ต้องการคำตอบในประเด็นนี้ พระสารีบุตร
    ท่านกล่าวไว้ว่า "พระพุทธเจ้าทุกพระองค์อาศัยการ
    เจริญสติปัฎฐาน ๔ เพื่อตรัสรู้เรื่องเดียวกัน " นั่นคือ
    อริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่ทำให้สัตว์ทั้งหลาย
    ออกจากทุกข์ทั้งปวงได้ หลายท่านเวลาทำบุญชอบ
    อธิษฐานขอให้ตัวเองเกิดในยุคพระศรีอารยเมตไตรย
    แต่ในเมื่อพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้เรื่องเดียวกัน
    คำสอนของพระสมณโคดม(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
    ก็ยังอยู่ แม้จะผ่านมาแล้ว ๒,๕๐๐ ปี มีทั้งปริยัติ
    (การเรียนรู้ ) ปฏิบัติ (การฝึกฝน ) และปฏิเวธ (ผล
    ของการฝึกฝน ) ใครที่เคยปฏิบัติธรรมก็คงจะได้ยิน
    ได้ฟังแล้วว่าเรามี ครูบาอาจารย์ผู้ทรงคุณมากมายที
    เดียว ที่ยังมีครบทั้ง ๓ ข้อ

    แล้วท่านจะมัวรอยุคพระศรีอารยเมตไตรยไปทำไม
     
  19. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    สาธุครับ
     
  20. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ค่ะ ทุกอย่างเป็นเพียงอนัตตา อาจจะอย่างนี้ก็ได้ค่ะ

    ที่ว่าบางคนอธิษฐานขอเจอพระศรีอาริยเมตไตย เพราะว่ารู้ตัวเองว่า

    กำลังกุศลก็ยังไม่พอ กำลังปฎิบัติก็ยังน้อย ไม่คิดว่า
    ตัวของตัวเองจะก้าวพ้นสู่นิพพานได้ในพุทธกัลปป์นี้ง

    รอเจอพระศรีอารย์ที่เขาว่าจะมีแต่คนดีมาเกิด รักษาศีลก็ง่าย
    สังคมก็น่าอยู่ อายุก็ยืน บ้านเมืองก็สวยงาม ปกครองกันด้วยศีล

    จึงพากันไปรอพระศรีอารย์มังคะ จะได้ง่ายหน่อย คือคิดแบบถ่อมตัวหน่ะค่ะ
    ว่ายุคนี้คงไม่สามารถเข้าสู่นิพพาน รอพระศรีอารย์มาโปรดก็น่าจะสบายดี ^^

    อ่านหนังสือลัทธิชาตินิยมที่เขียนโดยคุณเอื้อ บุษปะเกศ หงสกุล
    วันที่ 24 มิถุนายน 2519 แล้วค่ะสำหรับ 2 บทแรกอันได้แก่

    บทที่ 1 ปฐมเหตุแห่งชาตินิยมของคนไทย

    บทที่ 2 นิเทศลักษณะของลัทธิชาตินิยม

    ถ้านำมาลงคงจะไม่ค่อยได้เพราะผู้เขียนใช้คำที่ตรงไปตรงมามากค่ะในการ

    วิจารณ์สถานการณ์และบุคคลในยุคนั้น ถ้านำมาลงแล้วจะทำให้กระทู้ถูกปิด

    และดาวที่ติดอยู่ที่หางหนู (หางล็อคอินทางสายธาตุ) จะกลายเป็นดวงอาทิตย์
    แผดเผาล็อคอินทางสายธาตุให้มลายหายไปในพริบตาได้ ... ภาษายี่เก

    แต่พออ่านการพระราชสงครามในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้าแล้ว สนุกมากค่ะ

    ผู้เขียนเขียนได้อย่างกับเป็นทหารไปร่วมรบด้วยในครั้งนั้น ซึ่งเรื่องการสงครามนี้มีทั้งหมด 60 หน้า

    ตั้งใจจะเอามาลงให้หมดค่ะ เพราะอ่านดูแล้ว ไม่มีอะไรเสียหาย ไม่มีการก้าวล่วง ภาษากระชับสักหน่อยเท่านั้น

    ที่ว่าภาษากระชับเพราะผู้เขียนออกตัวไว้ว่า

    ทางสายธาตุอ่านแล้ว อยากจะขนานพระนามพระนเรศวรว่า ท่านเป็นเทพเจ้านักรบ มากเลย
    และสมคำเล่าลือที่ใครต่อใครพากันเรียกกองทัพของพระองค์ว่า กองทัพเทวดา
    คือโดนฟันกันเป็นร้อยแผลก็ยังยืนหยัดสู้จนหยดสุดท้าย ตายไม่ว่าขอฆ่าพม่าให้ได้มากที่สุดก่อน

    เริ่มวันนี้ด้วยศาลสมเด็จพระนเรศวรที่ อำเภอแม่สรวย และประกาศบวงสรวง
    สังเวยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
    วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2512 การครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ
    สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปในการพระราชพิธี
    บวงสรวงสังเวยเป็นราชพลีและบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...