ความเข้าใจผิดๆ เรื่องจิต จิตไมใช่วิญญาณขันธ์ และวิญญาณขันธ์ก็ไม่ใช่จิต

คนที่เห็นว่าจิตเที่ยง จิตคือตน เวลาอ่านพระไตรปิฎก จะตีความไปแบบหนึ่ง
คนที่เห็นว่าจิตไม่เที่ยง จิตไม่ใช่ตน ใจไม่ใช่ตน เวลาอ่านพระไตรปิฎก ก็จะตีความไปแบบหนึ่ง

เพราะความเข้าใจ เรื่องขันธ์5ไม่เหมือนกัน

ถึงแม้เราจะยังไม่ได้เห็นจิตบริสุทธิ์ของจริง แต่เราก็ได้รู้จักเสนามารแล้ว
รู้จักว่า เมื่ออ่านพระไตรปิฎกแล้ว เราตีความตามความคิดที่เป็นเสนามาร
เรารู้ว่า พระธรรมที่สถิตย์ในเราเป็นพระสัทธรรมปฏิรูป จนกว่าใจเราจะเข้าใจ
พระธรรมนั้นตามจริงด้วยปัญญาของใจ เราพิจารณาเห็นมารและพระในใจตน

คนที่ได้ฌาณ4 แต่ไม่ได้วิปัสสนาพิจารณาพระไตรลักษณ์ด้วยใจ จนเห็น ขันธ์5 ไม่เที่ยง ก็ยังเป็นปุถุชนคนกิเลสหนา อยู่ดี ยังไม่พ้นอบาย ไม่ได้บอก ว่ารูปฌาณ4 ไม่ดี แต่อยากบอกว่า ถ้ามีอุปกรณ์ดี แต่มองไม่เห็นมารในใจตน ใจไม่เห็นขันธ์เป็นพระไตรลักษณ์ ก็ไม่ได้ไตรลักษณญาณขาดปัญญารู้ธรรมหนึ่ง มีแต่ผู้รู้เที่ยงอยู่ เป็นความเห็นทางหนึ่งที่เรามองจะว่าไป ก็เหมือนที่ท่านไม่เข้่าใจว่าเราพิจารณาขันธ5เพื่ออะไร ก็เหมือนเราเอาสิ่งที่รู้ยังไม่ถึงที่สุดไปตัดสินคนที่คิดไม่เหมือนเรา ไปบอกว่าคนอื่นที่คิดไม่เหมือนเราว่าผิด และยึดมั่นสิ่งที่รู้ว่าเป็นความจริงแท้ คนที่ยังไม่มีปัญญารู้ความจริงของขันธ์ แต่คิดว่าตนข้ามโคตรเป็นพระอริยะแล้ว ทำกรรมโดยความประมาท นี่เราว่าเป็นอันตรายต่อตนเองหนักกว่าคนไม่รู้

คนที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยะ ยังไม่มีสัมมทิฏฐิเกิดจริง ก็คิดเองสรุปเองด้วยความคิดทั้งนั้น หรือว่าท่านคิดถูกคนเดียว เพราะเห็นจิตเที่ยงแล้ว

 

พระพุทธวจนะ ต้องตีความกันทำไม? ทำไมต้องตีความ?
เมื่อทรงตรัสออกชัดๆ อยู่แล้วว่า จิตหลุดพ้นจากเรื่องทางโลก

เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว
รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค
และเมื่อพระผู้มีพระภาคกำลังตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้อยู่

ภิกษุประมาณ ๖๐ รูป ได้มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่นแล ฯ
ภิกษุประมาณ ๖๐ รูป ได้มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่นแล ฯ
ภิกษุประมาณ ๖๐ รูป ได้มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่นแล ฯ
++++++++++++
พระอรหันต์ ๖๐รูป ใช่จิตของแต่ละท่านใช่มั้ยที่หลุดพ้น???
เมื่อเป็นของแต่ละท่าน ก็ย่อมเป็นของตนใช่มั้ย???
พุทธวจนะก็คือพุทธวจนะ ไปเพิ่มเติ่มเสริมแต่งให้เป็นบาปไปทำไม???

พุทธวจนะไม่ต้องตีความ ทรงตรัสเชื่อมโยงกันหมดมีอธิบายไว้ในที่ต่างกรรมต่างวาระ

;aa24

 

ไอ้ที่มาเถียง มาว่า มาด่ากันเนี่ย ตกหลุมพลางแล้วยังไม่รู้ตัวอีก


นี่ละนะประเทศไทยมีแต่คนโง่ที่อวดฉลาด เฮ้อออออออ ประเทศถึงไปได้แค่นี้แหละ

ไม่ได้ว่าใครนะ แต่รู้ตัวเอาเองเถอะ

โง่แล้วยังไม่รู้ตัว ก็เลยโคตรๆๆๆโง่ของโง่เลย


.

เลิกหลงกันได้แล้ว

 

ตีความอยู่ ก็ไม่รู้ตัวว่าตีความ

 

หลงอยู่ ก็ไม่รู้ตัว ว่าหลง

 

ธรรมมะระดับพระอรหันต์ แล้วเรายังไม่ใช่พระอรหันต์ อ่านไปแล้วคิดว่า
เป็นอย่างนัน้ เป็นอย่างนี้ เราเรียกว่า ตีความ
ท่านจะเรียกอะไร ก็เรื่องของท่าน

 

ตั้งกระทู้ก็ไม่เคยตั้ง เถียงก็ไม่เคยเถียง มาถึงก็ มาด่ากันเนี่ย
ตกหลุมพลางตัวเองแล้วยังไม่รู้ตัวอีก


นี่ละนะประเทศไทยที่ยังมีแต่คนโง่แบบนี้ที่อวดฉลาด เฮ้อออออออ
ประเทศถึงไปได้แค่นี้แหละ

ไม่ได้ว่าใครนะ แต่รู้ตัวเอาเองเถอะ

โง่แล้วยังไม่รู้ตัว ก็เลยโคตรๆๆๆโง่ของโง่เลย


.

เลิกหลงกันได้แล้ว

;aa24

 

ถ้าหลงรู้ว่าหลง คงพ้นได้สักวัน
แต่หลงแล้ว ยังไม่รู้ตัวว่าหลง
ได้แต่งมงาย ไม่มีวันที่จะพ้น

งมเข็มในมหาสมุทร ยังมีวันพบ
แต่งมงายนี้สิ งมยังไงก็ไม่พบเจ้างาย

;aa24

 

การอ่าน การเขียน โดยไม่มีการพิจารณาตาม
จะยังประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้น กับผู้นั้น

มีแต่คนหลงเพราะความเชื่อความศรัทธาเท่านั้น
ที่ทำตามโดยไม่นำพามาพิจารณาและปฏิบัติตาม

;aa24

 

พี่ขวัญอย่ามาเสียเวลาอยู่กับพวกนี้เลย กระทู้ดีๆมีเยอะ ปล่อยกระทู้ไร้สาระอวดอุตริว่าเป็น พระอริยะเจ้า แล้วแสดง ธรรมที่ตนไม่มีไม่รู้ จะดีกว่า พวกนี้พูดอีกร้อยรอบปัญญาก้ไม่เกิดหรอก ครับ

 

สังเกตุดูดีๆสิ ซ่องโจร ก้เป็นที่อยู่ของโจร เราเข้ามาโปรดถึงที่แต่จะมีประโยชน์อะไร
ไม่มีผู้มีปัญญาอยู่หรอก มีก้น้อยเหลือเกิน มีแต่พวกโจร ไร้ปัญญา

เหมือนเด้กอนุบาลมาถามว่านั่นนี่คืออะไร เราบอกไปก้ไม่เข้าใจ เค้าไปอ่านเจอมาก้จำแต่คำพูดไม่รู้ความหมายเป็นดั่งนี้แหละ ยังไม่ถึงกาลที่เค้าจะได้รับธรรม

 

มีหลักฐานที่ชี้ชัดเจนลงไปว่า อรรถกถาจารย์ได้ชื่อว่า อาจริยวาทเท่านั้น
ส่วนที่เป็นครูบาอาจารย์ได้ชื่อ อัตตโนมัติอาจารย์
เมื่อมีข้อขัดข้องเกิดขึ้น พึ่งเทียบเคียงกับพระสุตตันตปิฎก
ว่าลงกันได้มั้ย จึงค่อยเชื่อ เมื่อลงกันได้
ใครไม่เชื่อก็เท่ากับคัดค้านพระพุทธเจ้าด้วย.
พวกที่ชอบอ้าง อาจริยวาทและอัตตโนมัติอาจารย์
นำมาเพื่อขัดแย้งกับพุทธวจนะ ย่อมได้ชื่อว่าล้มล้างพุทธวจนะ
��ö��� �զ�ԡ�� �����ä ��һ�ԹԾ�ҹ�ٵ� ˹�ҵ�ҧ��� � �� �

ดังนั้น เมื่อปัญหามาถึงโดยอาการนั้น ปัญหาพยากรณ์ ๔ เหล่านี้
ถือเอาเป็นประมาณได้. พึงพยากรณ์ปัญหานั้นด้วยอำนาจปัญหาพยากรณ์ ๔ นี้.

ก็ปิฏก ๓ที่ยกขึ้นสู่สังคีติ ๓ ชื่อว่าสุตตะ ในปกิณณกะมีสุตตะเป็นต้น.
ข้อที่เข้ากันได้กับกัปปิยะ ชื่อว่าสุตตานุโลม. อรรถกถา ชื่อว่าอาจริยวาท.
ปฏิภาณของตน ตามความคาดหมายตามความรู้ ชื่อว่าอัตตโนมัติ.


ในปกิณณกะเหล่านั้น สุตตะ ใครๆ คัดค้านไม่ได้
เมื่อคัดค้านสุตตะนั้น ก็เท่ากับคัดค้านพระพุทธเจ้าด้วย.

ส่วนข้อที่เข้ากับได้กับกัปปิยะ ควรถือเอาเฉพาะข้อที่สมกับสุตตะเท่านั้น
นอกนั้นไม่ควรถือเอา. แม้อาจริยวาทเล่า ก็ควรถือเอาแต่ที่สมกับสุตตะเท่านั้น
นอกนั้นไม่ควรถือเอา. ส่วนอัตตโนมัติเพลากว่าเขาทั้งหมด.
แม้อัตตโนมัตินั้นก็ควรถือเอาแต่ที่สมกับสุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา.

ก็สังคีติมี ๓ เหล่านี้คือ
ปัญจสติกสังคีติ (สังคายนาครั้งที่ ๑)
สัตตสติกสังคีติ (ครั้งที่ ๒)
สหัสสิกสังคีติ (ครั้งที่ ๓).
แม้สุตตะเฉพาะที่มาในสังคีติ ๓ นั้น ควรถือเอาเป็นประมาณ.
นอกนั้นเป็นที่ท่านตำหนิ ไม่ควรถือเอา.

จริงอยู่ บทพยัญชนะแม้ที่ลงกันได้ในสุตตะนั้น
พึงทราบว่าลงกันไม่ได้ในพระสูตรและเทียบกันไม่ได้ในพระวินัย.

;aa24 ใครที่ชอบทำตัวเก่งเกินพระพุทธวจนะ จำเอาไว้นะ อ่านให้ดีๆก่อนที่เป็นโทษกับตัวเอง

 

แกไงเอาพุทธวัจนะมาตีความมั่วๆ

 

เค้ามีแต่ยิ่งอ่านยิ่งรู้นะนี่ยิ่งอ่านยิ่งโง่เพิ่งเคยเจอ

 

;aa24

 

แล้วที่แสดงอยู่นี่
มันภาษาสเปนรึยังไง

คุณโง่จนกระทั่ง
เป็นคนไทยแต่อ่านภาษาไทยไม่ออกเลยเหรอ

ถ้าตอบได้ก็ตอบมา
แต่ที่เห็นอยู่นี่ก็แถไปโน่นที
แถมานี่ที
ไม่เห็นตอบซักที

 

แล้วนี่คืออะไรคุณขวัญ

ทำไม่คำพูดมันกลับไปกลับมาได้ล่ะ
ตัวหนังสือก็ชัด ๆ อยู่อย่างนี้
แล้วจะให้ไปตีความยังไงอีก

นี่แสดงว่าใจไม่เป็นธรรมนะนี่
ศีลถึงรักษาไว้ไม่ได้

คุณคิดดูให้ดีนะมันจริงอย่างที่ผมบอกหรือเปล่า

 

ก็เจ้าอัตตาตัวตน มันใหญ่มาก เหมือนจรเข้ในบึง ด้วยความใหญ่มาก จึงไม่เคยเห็นหางตัวเอง พอเห็นอะไร ไหว่ ๆอยู่ข้างหน้า ก็อ้าปาก งับท่าเดียว

แต่จรเข้มันดีอย่าง กัดปุ๊ป มันก็เจ็บปั๊ป..จะรู้ทันที่ว่าไปกัดอะไร

แต่คนหลงที่ไม่รู้นี้ซี..กัดไป กินไป จนหมดตัว ก็ยังไม่รู้ว่ากินตัวเจ้าของ

น่าเศร้าใจไหม

 

คนบาปกรรมหนา พูดอะไรเรื่อยเปื่อย อันนี้ผมเตือนมาหลายครั้งแล้ว
คุณไม่ตอบตามสิ่งที่ผมพูดเลย แต่เลี่ยงไปด้วยความคิดและสังขารอันปรุงแต่งเพื่อเลี่ยงไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ นายนิวรณ์ และ หลบภัย และ วิษณุ ผมเข้าใจว่า พวกดูจิตนั้นมีอาการแบบนี้เหมือนกันทุกคน ด้วยเหตุเพราะว่า หลักการดูจิตนั่นเองเป็นเหตุให้ไม่เห็นกิเลสที่แท้จริง

ประเด็นคือ สิ่งที่คุณพูดครั้งแรกที่ผมไม่เห็นด้วย คือ การยกความที่ว่า การบังคับจิตต้องบังคับไปตลอดเหมือนเลี้ยงลูก

ต่อมาคุณไม่อ่านประเด็นที่ผมแย้ง แต่เลี่ยงไปเรื่อยว่า ไม่เป็นกลาง
เลี่ยงไปเรื่อยๆ จนมาถึงความสุดท้ายนี้ คือ การตีความพระไตรปิฎกที่แตกต่างกัน

ผมไม่ตามสังขารของคุณหรอก ความมีสติคือการระลึกได้ว่า นี่เรากำลังคุยอะไร
นี่เรากำลังคิดอะไร นี่เราต้องโต้ตอบเรื่องอะไร
ไม่ใช่คิดอะไรไปเรื่อยๆ ก็พูดไปเรื่อยๆ ตามสังขารจะปรุง แบบคุณ

นั่นแหละ ผมสอนให้ฟัง และชี้ให้เห็นในความขาดสติที่คุณมี และ ความผิดพลาดในการปฏิบัติของคุณ ที่มันทำให้ ผลของมหาสติไม่เกิด แม้กระทั่งสติที่จะจดจำระลึกในคำพูดและประเด็นของตนยังไม่มี ไม่มีหลักการในจุดเดิม ไม่มีประเด็น

นี่หรือที่เรียกว่า ผู้ปฏิบัติธรรม ผมเกรงว่า กลุ่มของคุณคงจะเดินผิดทางอย่างมากไปแล้ว

 

คนบาปกรรมหนา พูดอะไรเรื่อยเปื่อย อันนี้ผมเตือนมาหลายครั้งแล้ว
คุณไม่ตอบตามสิ่งที่ผมพูดเลย แต่เลี่ยงไปด้วยความคิดและสังขารอันปรุงแต่งเพื่อเลี่ยงไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ นายนิวรณ์ และ หลบภัย และ วิษณุ ผมเข้าใจว่า พวกดูจิตนั้นมีอาการแบบนี้เหมือนกันทุกคน ด้วยเหตุเพราะว่า หลักการดูจิตนั่นเองเป็นเหตุให้ไม่เห็นกิเลสที่แท้จริง

ประเด็นคือ สิ่งที่คุณพูดครั้งแรกที่ผมไม่เห็นด้วย คือ การยกความที่ว่า การบังคับจิตต้องบังคับไปตลอดเหมือนเลี้ยงลูก

ต่อมาคุณไม่อ่านประเด็นที่ผมแย้ง แต่เลี่ยงไปเรื่อยว่า ไม่เป็นกลาง
เลี่ยงไปเรื่อยๆ จนมาถึงความสุดท้ายนี้ คือ การตีความพระไตรปิฎกที่แตกต่างกัน

ผมไม่ตามสังขารของคุณหรอก ความมีสติคือการระลึกได้ว่า นี่เรากำลังคุยอะไร
นี่เรากำลังคิดอะไร นี่เราต้องโต้ตอบเรื่องอะไร
ไม่ใช่คิดอะไรไปเรื่อยๆ ก็พูดไปเรื่อยๆ ตามสังขารจะปรุง แบบคุณ

นั่นแหละ ผมสอนให้ฟัง และชี้ให้เห็นในความขาดสติที่คุณมี และ ความผิดพลาดในการปฏิบัติของคุณ ที่มันทำให้ ผลของมหาสติไม่เกิด แม้กระทั่งสติที่จะจดจำระลึกในคำพูดและประเด็นของตนยังไม่มี ไม่มีหลักการในจุดเดิม ไม่มีประเด็น

นี่หรือที่เรียกว่า ผู้ปฏิบัติธรรม ผมเกรงว่า กลุ่มของคุณคงจะเดินผิดทางอย่างมากไปแล้ว