ความเสื่อมแห่งพระธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 10 มิถุนายน 2009.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    เอาเป็นว่า สันโดษ เข้าใจตัวเอง เพราะ หลวงพ่อปราโมทย์

    เพราะ เห็นจิตไม่ใช่สันโดษ จริงๆคะ เป็นต้นเหตุที่เข้ามาในเว็บพลังจิต

    สันโดษ จิตเเตก เเต่ได้คำตอบ เพราะหลวงพ่อปราโมทย์เเละหลวงปู่ดุลย์

    เพราะฉะนั้น สำหรับสันโดษ หลวงพ่อปราโมทย์ คือ ครูบาอาจารย์ค่ะ

    ไม่ว่าใครจะคิดยังไง สันโดษไม่ขอวิจารณ์ เเต่สำหรับสันโดษ

    สันโดษนับถือใคร ก็เพราะสันโดษ นับถือจากใจ ไม่ได้คิดคะ
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คนที่ยังไม่มีปัญาญาณ ยังมีอัตตาตัวตน
    แล้วรับรองตนเอง ว่ารู้ธรรมตามคำสั่งสอนของพระศาสดา
    คิดว่าคนที่รู้ต่างจากตน ถือว่าผิดหมด
    ศรัทธาความรู้จากความคิดตนโดยที่ไม่รู้ตัว
    แยกไม่ออกว่าที่สิ่งที่เห็นนั้น เห็นธรรมของพระศาสดาตามจริง หรือ เห็นธรรมตามความคิดตน

    2 คนยลตามช่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2009
  3. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ธรรมใด ใครทำ ใครได้ เข้าถึงเมื่อไร จะให้ผู้อื่นโดยที่ตัวเองไม่ได้บอกว่าจะให้
    หรือเรียกให้ใครมาฟัง
     
  4. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    สติ มีเพื่อตามรู้ เเต่อย่ายึดติดกับสิ่งใด

    เพราะทุกอย่าง เป็น นามธรรม ที่จิตไปรู้เข้าเท่านั้นเองคะ

    อย่าไปยึดติด อย่าไปยึดจิต อย่าไปยึดสิ่งใด

    เพราะทุกอย่าง ผ่านมาเเล้วก็ผ่านไปคะ ทุกอย่าง ล้วนเกิดขึ้นชั่วคราวเเล้วก็จากเราไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2009
  5. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    การกำหนดรู้ รูป นาม คือ วิปัสสณาญาณ หมายถึง การรู้ไตรลักษณ์

    กำหนดรู้ คือ ระลึกรู้ ไม่ใช่ ควบคุมเพื่อให้ได้ดั่งใจเพื่อที่จะได้นิ่ง นะเอย นะเอย
     
  6. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    แล้วได้ธรรมหรือยัง?
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรียนทุกท่าน ที่ไม่เห็นด้วยกับการดูจิต

    เรารู้ตัวว่า เห็นธรรมตามความคิด ยังไม่เห็นธรรมตามจริง
    เรายอมรับ ความจริง ว่า ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิเกิดจริง ยังไม่รู้อริยสัจ4

    เมื่อเรารู้ตัวเช่นนี้ เราจึงไม่ยึดมั่นในความคิดของเราว่า เห็นถูกอยู่คนเดียว
    คนอื่นที่เห็นผิดไปจากเราคือผิด จึงไม่อยู่ในความคิดเรา

    ความคิดของเรา เมื่อเลือกศรัทธาแล้ว ก็ต้องทำให้เกิดผลจริง จึงรู้ว่าที่คิดไว้ถูกหรือผิด
    ไม่ได้ยึดเอาความคิดของเรา ไปเป็นบัญญัติว่าของคนอื่นที่ไม่เหมือนเราคือผิด

    ที่พูดมาก็ ปกป้องความคิด ความเชื่อ ของตนเอง เท่านั้น
    เพราะมีคนบอกว่าเราเห็นผิด แต่เขาไม่รู้ว่า ไม่ว่าจะถูกหรือผิด เราต้องพิสูจน์เอง
    เพราะมันเป็นจริตที่เราเลือกเอง เหมือนที่คนอื่นก็เลือกก็ของเขาเองเหมือนกัน
    ในเมื่อคุณยังไม่รู้แจ้ง ยังไม่ถึงที่สุด คุณเองจะตัดสินคนอื่นได้ถูกอย่างไร
    ในเมื่อตัวคุณเองก็ยังไม่รู้ความจริง คิดอยู่ก็ไม่รู้ว่าคิด
    คิดว่าหยุดคิดคือหยุดคิดแล้ว ทั้งๆที่ใช้คิดหยุดคิด ไม่ได้อาศัยคิดเพื่อหยุดคิด
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ก็ดูกันไป
     
  9. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ไม่ต้องไปถาม หากผู้ใดเดินเข้าหา เคารพผู้มีธรรม อันเรารู้ว่า ผู้นั้นมีธรรม

    พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า เมื่อผู้ใดเคารพ นอบน้อม ต่อผู้ทรงธรรม

    เขาผู้นั้น เรียกว่า "ธรรมสารี"(ผู้แล่นไปในธรรม) ย่อมเข้าถึงได้ซึ่ง อมตธรรม
     
  10. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    วันนี้ว่า ผมโพสชมน้าจรไปแล้ว แต่ไปค้น หาไม่เจอ

    เอาเป็นว่า ในเมื่อ น้าจรแสดงแล้วซึ่ง "ความไม่ยึดมั่นถือมั่น"

    อันเป็นข้อธรรมเดียวที่ทำให้ถึงซึ่งฝั่งได้ ผมก็ขอกล่าวชื่นชม
    ในธรรมที่ น้า จรมี ถึงแม้ว่ามันจะงั้นๆ ไม่มีรสชาติ แต่ก็ยินดี
    ที่จะแสดงออกไป

    อนุโมทนา อนุโมทนา อนุโมทนา

    * * *

    รวมทั้ง เจ๊ จะเอย นะเอย ด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2009
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คนที่เห็นอัตตาตัวตนของตนเอง ได้แล้ว ถึงแม้ยังละวางตัวตนไม่ได้

    ย่อมรู้ซึ้งถึงภัยของตัวตน ภัยของความคิดที่เกิดจากตัวตน เฝ้าระวังความคิดตน

    ไม่หลงยึดมั่นอยู่แต่ความคิดของตน จนไปเบียดเบียนผู้อื่นด้วยสำคัญผิด

    ว่าความคิดนั้นคือปัญญา

    และย่อมเห็นถึงความแตกต่างของปัญญาจากตัวตน กับความคิดของตัวตน
     
  12. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    rabbit_scary

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  13. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,236
    การถอนกิเลส ที่นิยมระแวงกลัวจะเป็นหินจะทับหญ้า

    ก็น่าจะกลัวเอาทิฐิของตน ไปเที่ยวไล่ทับหญ้าให้คนอื่น บ้าง

    นอกจากเจ้าของหญ้าจะเคือง แถมหญ้าก็ไม่ยอมตาย

    หินก็ไม่ใช้จะเคลื่อนย้ายง่าย ไม่ได้มีหินเหลือเฟือเต็มโลก

    โลกทุกวันนี้ ต้องใช้กำลังทั้งสมถ หรือ วิปัสสนา อย่างร้ายกาจ จึงจะโผล่หัวออกมาหายใจไหว
    หากเสียพลังงานไปเปล่าๆเปลือง กับการจะต้องมาผลัดกัน กดหัวกันเพื่อให้ดำน้ำอึดๆๆ

    ดูจะ ไม่สมเหตุสมผล เลื่อนลอย ฟังไม่ขึ้น
    อะนะ
     
  14. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6,719
    ค่าพลัง:
    +39,008
    ปัญญาอบรมสมาธิ

    ปัญญาอบรมสมาธิ
    ความจริงการภาวนาเพื่อให้ใจสงบ ถ้าสงบด้วยวิธีปลอบโยนโดยทางบริกรรมไม่ได้ ต้องภาวนาด้วยวิธีปราบปราม ขู่เข็ญ คือค้นคิดหาเหตุผลในสิ่งที่จิตติดข้องด้วยปัญญา แล้วแต่ความแยบคายของปัญญา จะหาอุบายทรมานจิตดวงพยศ จนปรากฏใจยอมจำนนตามปัญญาว่า เป็นความจริงอย่างนั้นแล้ว ใจจะฟุ้งซ่านไปไหนไม่ได้ ต้องหยั่งเข้าสู่ความสงบเช่นเดียวกับสัตว์พาหนะตัวคะนอง ต้องฝึกฝนทรมานอย่างหนักจึงจะยอมจำนนต่อเจ้าของ ฉะนั้น ในเรื่องนี้ จะขอยกอุปมาเป็นหลักเทียบเคียง เช่น ต้นไม้บางประเภท ตั้งอยู่โดดเดี่ยวไม่มีสิ่งเกี่ยวข้อง ผู้ต้องการต้นไม้นั้นก็ต้องตัดด้วยมีดหรือขวาน เมื่อขาดแล้ว ไม้ต้นนั้นก็ล้มลงสู่จุดที่หมาย แล้วนำไปได้ตามต้องการ ไม่มีความยากเย็นอะไรนัก แต่ไม้อีกบางประเภท ไม่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ยังเกี่ยวข้องอยู่กับกิ่งแขนงของต้นอื่นๆอีกมาก ยากที่จะตัดให้ลงสู่ที่หมายได้ ต้องใช้ปัญญาหรือสายตาตรวจดู สิ่งเกี่ยวข้องของต้นไม้นั้นโดยถี่ถ้วน แล้วจึงตัดต้นไม้นั้นให้ขาด พร้อมทั้งตัดสิ่งเกี่ยวข้องจนหมดสิ้นไป ไม้ย่อมตกหรือล้มลงสู่ที่หมายและนำไปได้ตามความต้องการฉันใด จริตนิสัยของคนเราก็ฉันนั้น
    คนบางประเภท ไม่ค่อยมีสิ่งแวดล้อมเป็นภาระกดถ่วงใจมาก เพียงใช้คำบริกรรมภาวนา
    พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ เป็นต้น บทใดบทหนึ่งเข้าเท่านั้น ใจก็ได้รับความสงบเยือกเย็นเป็นสมาธิลงได้ กลายเป็นต้นทุนหนุนปัญญา ให้ก้าวหน้าต่อไปได้อย่างสบายที่เรียกว่า สมาธิอบรมปัญญา แต่คนบางประเภทมีสิ่งแวดล้อมเป็นภาระกดถ่วงใจมาก และเป็นนิสัยชอบคิดอะไรมากอย่างนี้ จะอบรมด้วยคำบริกรรมอย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น ไม่สามารถที่จะยังจิตให้หยั่งลงสู่ความสงบเป็นสมาธิได้ ต้องใช้ปัญญาไตร่ตรองเหตุผล ตัดต้นเหตุของความฟุ้งซ่านด้วยปัญญา เมื่อปัญญาได้หว่านล้อมในสิ่งที่จิตติดข้องนั้นไว้อย่างหนาแน่นแล้ว จิตจะมีความรู้เหนือปัญญาไปไม่ได้ และจะหยั่งลงสู่ความสงบเป็นสมาธิได้ ฉะนั้น คนประเภทนี้ จะต้องฝึกฝนจิตให้เป็นสมาธิได้ด้วยปัญญา ที่เรียกว่า ปัญญาอบรมสมาธิ ตามชื่อหัวเรื่องที่ให้ไว้แล้วในเบื้องต้นนั้น เมื่อสมาธิเกิดมีขึ้นด้วยอำนาจปัญญา อันดับต่อไป สมาธิก็กลายเป็นต้นทุนหนุนปัญญาให้มีกำลังก้าวหน้า สุดท้ายก็ลงรอยเดียวกันกับหลักเดิมที่ว่า สมาธิอบรมปัญญา
    ผู้ต้องการอบรมใจให้เป็นไปเพื่อความฉลาด รู้เท่าทันกลมายาของกิเลส อย่ายึดปริยัติจนเกิดกิเลส แต่ก็อย่าปล่อยวางปริยัติจนเลยศาสดา ผิดพระประสงค์ของพระพุทธเจ้าทั้งสองนัย คือ ในขณะที่ทำสมาธิภาวนา อย่าส่งใจไปยึดปริยัติจนกลายเป็นอดีตอนาคตไป ให้ตั้งจิตลงสู่ปัจจุบัน คือ เฉพาะหน้า มีธรรมที่ตนเกี่ยวข้องเป็นอารมณ์เท่านั้น เมื่อมีข้อข้องใจ ตัดสินใจลงไม่ได้ว่าถูกหรือผิด เวลาออกจากที่ภาวนาแล้ว จึงตรวจสอบกับปริยัติ แต่จะตรวจสอบทุกขณะไปก็ผิด เพราะจะกลายเป็นความรู้ในแบบ ไม่ใช่ความรู้เกิดจากภาวนา ใช้ไม่ได้
    สรุปความ ถ้าจิตสงบได้ด้วยอารมณ์สมถะ คือ คำบริกรรมด้วยธรรมบทใด ก็บริกรรมบทนั้น ถ้าจะสงบได้ด้วยปัญญาสกัดกั้นโดยอุบายต่างๆ ก็ต้องใช้ปัญญาเป็นพี่เลี้ยงเพื่อความสงบเสมอไป ผลรายได้จากการอบรมทั้งสองวิธีนี้ คือ ความสงบและปัญญา อันจะมีรัศมีแฝงขึ้นจากความสงบนั้นๆ
    หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน
    ที่มา
     
  15. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,236
    ติ๊ดต่างนะ
    หากจะโต้วาทีโชว์กิ๋นกันไม่กี่ท่าน
    แล้วคนอื่นๆหนะจะได้อะไร
    มีอะไรยืนยันรับรองว่า คนตามอ่านจะได้ประโยชน์

    ยืนยันว่า โลกยุคปัจจุบันนี้ มีกิจธุระเพื่อส่วนรวมมากมาย
    รอให้ท่านผู้มีความสามารถและจิตใจเปี่ยมด้วยกุศลอย่างร้ายแรงทั้งหลาย ไปทำ
    แค่เสียเวลาวางแผน คิดว่าจะทำอะไรดี ก็แทบจะใช้เวลาหมดไปทั้งชีวิตแล้ว

    อย่ามาเผาผผลาญทรัพยากร คือ เวลา อันมีค่า ไปกับเรื่องเปล่าเปลืองเลยนะ
     
  16. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อธิบายไปหลายรอบแล้ว แต่คุณขันธ์เขาพอใจที่จะยืนการพูดคำเดิม

    "ดูจิตเฉยๆ" อะไรนั่น ที่เขาคิดค้นขึ้นมาเอง เพื่อเอามากลบธรรมของ
    หลวงพ่อ ซึ่งหากให้เขาอธิบายออกมา ใครที่เคยฟัง cd หลวงพ่อย่อม
    รู้ว่า เป็นเรื่องที่คลาดเคลื่อน คนละเรื่อง

    เรื่องหลวงพ่อไม่สอนการทำสมถะ ก็คนละเรื่อง เขาฟังไม่ครบเอง เลย
    ไม่รู้ว่าหลวงพ่อสอนสมถะทุกกอง ตั้งแต่รูปฌาณ ไปจนถึงอรูปฌาณ

    อย่างผมนี่ เรียกกรรมฐานธาตุ4 ท่านก็สอนให้

    กรรมฐานอรูปฌาณ ท่านก็สอนให้

    ผมก็ไม่รู้ว่า คุณขันธ์เขาพอใจที่จะกล่าวว่า พระท่านไม่สอน สมถะ ทำไม

    อันนี้ไม่ทราบจริงๆ
     
  17. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    สองคำถามนี้ คงหวังคำตอบจากสองคนนี้ไม่ได้ เพราะนิสัยชอบอวดรู้ แต่ไม่รู้จริง พอเจอคำถามจริงๆ ก็ใช้วิธีแถออกข้างตามวิสัยเดิมๆ ติดมาจากเอกวีร์โดยตรง หรือเอกวีร์จะตอบแทนก็ได้นะ ตอบตรงๆนะ อย่าอ้อมจักรวาล...
     
  18. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    จะให้อธิบายกี่รอบดีหละ

    ก่อนอื่นนะ สติ คือ การระลึกได้ อันนี้ลองค้นดู พระที่ไหนก็พูดคำนี้

    ทีนี้ ก็แยกคำว่า เจตนา ออกมาอีกคำหนึ่ง เป็นคนละองค์ธรรมกัน

    เจตนา ก็อันหนึ่ง สติ ก็อันหนึ่ง

    เมื่อแยกได้แล้ว ก็จะเข้าใจ องค์ธรรมที่พ้นเจตนาได้ แยกออกว่ามี
    องค์ธรรมที่เกิดขึ้น โดยไม่มี เจตนาเจตสิก เจืออยู่

    เมื่อเข้าใจแล้ว พอน้อมเห็นแล้วว่า มีองค์ธรรมหลายๆชนิด ที่เกิด
    ขึ้นได้โดยพ้นเจตนามีอยู่ เราก็จะกล่าวว่า สติ ที่เป็นองค์ธรรม
    ที่เกิดขึ้นโดยพ้นเจตนานั้น มีอยู่ด้วย

    เพื่อที่จะพิสูจน์ สติ ตัวนี้มีจริงหรือไม่ หรือ มีแต่สติที่ต้องมีเจตนาเจือ

    พระพุทธองค์ได้ ตรัสทางพิสูจน์ คือ สติปัฏฐาน4 ไว้ให้ลองฝึกปฏิบัติ
    เพื่อพิสูจน์องค์ธรรมนั้น

    เมื่อใดก็ตาม ที่ประจักษ์ว่า สติ เกิดได้โดยพ้นเจตนา ก็จะรู้ว่า จิตฝึก
    อบรมได้ ก็จะเริ่มการเจริญสติ เพื่อให้มี สติ เพื่อให้สติมีคุณภาพว่อง
    ไว โดยทีให้มันเกิดเองเนืองๆ บ่อยๆ จนไวพอที่จะไประลึกไตรลักษณ์
    ได้เอง โดยพ้นเจตนาด้วย เมื่อนั้นก็จะถึงคราวเจริญปัญญา

    เมื่อเจริญปัญญาได้โดยพ้นเจตนา จิตก็จะรู้ว่าอบรมได้ เมื่อนั้นก็จะกล่าว
    ธรรมว่า จิตเกิดดับชั่วเวลาดีดนิ้วมือนับแสนโกฏินั้นมีอยู่ การจะเห็นจิต
    เกิดดับได้นั้นจะทำได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เราจึงเรียกว่า จิตอบรม
    ได้

    เมื่ออบรมจนปัญญาแก่รอบพอ จิตจะระลึกทวนเห็นตัวจิตเอง โดยการเห็น
    หรือการรู้ย่อมเป็นจิตดวงใหม่ และจิตที่ถูกรู้ก็คือจิตที่พึ่งดับไป

    จิตนั้นเกิดดับก็จริง แต่มันมีเวลาคาบเกี่ยวกัน เป็นช่วงของการสืบต่อปัจจัย
    หรือกฏแห่งกรรม เมื่อเห็นตามจริงว่า จิตส่งต่อเหตุปัจจัยกัน ก็จะเข้าใจ
    ว่าสิ่งทั้งหลายเกิดแต่เหตุตามจริง ก็จะบรรลุโสดาบันได้เป็นอย่างน้อย
     
  19. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    การที่คุณอ่านธรรมะของหลวงพ่อ แล้วไปแปลว่า เป็นการนั่งดูเฉยๆ

    ตรงนี้เป็นเพราะ เราคุ้นชินกับการต้องทำ จะทำดีก็ต้องทำ จะทำอะไรก็ต้องทำ

    จึงไม่เข้าใจว่า พระท่านกำลังสอนให้ดูองค์ธรรมที่เกิดขึ้น โดยพ้น เจตนาเจตสิก มีอยู่ในโลก

    เมื่อไม่เคยทิ้งความเข้าใจเดิมๆ จึงไม่กล้าปล่อย จึงไม่กล้ารู้ทุกข์

    เพราะไม่กล้าปล่อย ไม่กล้ารู้ทุกข์ จึงนึกได้แค่การทำ การมีเจตนา
    ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร แต่ถ้า ทำไปโดยไม่ปล่อยเลย

    ก็จะไม่มีทางเข้าใจพระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสสอนแก่ท้าวสักกะ และพรหม
    ผู้สร้างโลกว่า

    เรารู้ธรรมอันเป็นเหตุเกิดปัจจัยในหมู่เหล่าท่าน ข้ามโอฆะได้ รู้ที่สิ้นสุดของโลก
    และเป็นพระสัพพัญญูได้ ก็ด้วยการไม่ยึดมั่นถือมั่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2009
  20. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    แพง แต่ก็เป็นเรื่องของคนมีวาสนา

    ก่อนจะทาน ลองระลึกดูจิตที่ไหลไปคิดก่อนที่จะไปถึง

    ดูจิตมันวิ่งไปที่เค้าเตอร์ก่อนที่เราจะไปถึง

    จิตมันเป็นธาตุรู้ มันแล่นไปตามจริงก็ได้ แล่นไปในอดีตก็ได้
    แล่นไปในอนาคตก็ได้

    และสามารถูกเจือได้ด้วย ความคิด หรือ อภิสังขารมาร ที่ผมจะ
    แทรกให้อ่านดังนี้

    มีครั้งหนึ่ง สั่งเสต็กท์มาทาน กลับพบว่า มันเน่า[​IMG]

    * * *

    มัน : โปเตโต้
     

แชร์หน้านี้

Loading...