@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    เรื่องราวเกี่ยวกับเพชรจักรพรรดิ์ ( จากบันทึกธรรมหลวงพ่อฤาษีฯวัดท่าซุง)


    หลวงพ่อได้เมตตาทำแก้วมณีรัตนะให้ลูกหลานครั้งแรก เมื่อปี ๒๕๑๗ โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านไปหาซื้อเองจากตลาดจังหวัดชัยนาท ลูกแก้วท่านได้มาเป็นลูกแก้วใสที่มีแก้วสีรูปเกลียวมะเฟืองด้านใน หลวงพ่อได้เล่าประวัติและอานุภาพของลูกแก้วที่ทำ ในครั้งนั้นไว้ดังนี้
    ถอยหลังไปเมื่อคราวต้นไป (มกราคม ปี ๒๕๑๗) ตอนนั้นปรากฏ ว่าน้ำมันเขากำลังจะขึ้นราคา และเวลาเจริญพระกรรมฐานพบสมเด็จท่าน ท่านตรัสว่าบริษัทของเราไม่ควรจะจน ท่านว่าอย่างนั้นนะ จึงมีพระบัญชาให้ทำลูกแก้วขึ้น แต่ว่าคาถาทำ ลูกแก้วนี่ไม่มีในตำรา และก็เป็นเวลากระทันหัน อาตมากลับไปที่วัดเหลือเวลาอีก ๒ วัน ก็จะถึงวันเสาร์ห้าก็ต้องขึ้นไปศึกษาถึงวิธีทำกับท่าน ๒ คืน เพราะว่ามีแก้วอยู่ลูกหนึ่งที่อาตมามีอยู่ ท่านบอกว่าแก้วลูกนี้เป็นแก้วลูกยอดของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ให้ใช้แก้วลูกที่มีอยู่เป็นประธาน และก็ทำให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ผลประโยชน์จะพึงได้รับ ท่านบอกว่าไม่ควรประกาศผล ทั้งนี้เพราะท่านทำทุกอย่าง สุดแล้วแต่ผู้ใช้จะอธิษฐาน และความมุ่งหมายของท่านก็มีว่า ต้องการให้เป็นนิมิตของกสิน เป็นนิมิตกรรมฐาน แต่ว่าต้องใช้คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นคาถาภาวนา สำหรับวิธีปฏิบัติท่านให้ญาติโยมพุทธบริษัทปฏิบัติตามนี้
    ก่อนที่จะภาวนาคาถาให้มองดูลูกแก้วเสียก่อน จำภาพแล้วก็หลับตานึกถึงภาพแก้วนั้นแล้วก็ภาวนา นี่ทำเป็นกรรมฐาน จะภาวนาว่า พุทโธ หรือ นะมะพะทะ ว่าได้ทุกอย่างเพราะว่าแก้วเป็นอาโลกกสิณ สำหรับอาโลกกสิณนี่เป็นพื้นฐานของทิพจักขุญาณหากว่าภาวนาต่อไป จนกระทั่งภาพลูกแก้วติดตาติดใจ คราวหลังเราไม่มองดูลูกแก้วแต่นึกภาพลูกแก้วได้เป็นปกติ อย่างนี้ท่านเรียก อุคหนิมิต อุคหนิมิตนี่เป็นอุปจารสมาธิเป็นผลของทิพจักขุญาณ เมื่อทำอย่างนี้เรื่อยๆไป จนกระทั้งภาพลูกแก้วติดตาติดใจอยู่เสมอ ต่อมาก็อธิษฐานให้ลูกแก้วโตขึ้น ก็จะเห็นภาพลูกแก้วโตขึ้น อธิษฐานให้เล็กลงก็จะเล็กลง ให้อยู่สูงก็อยู่สูง ให้อยู่ต่ำ ก็อยู่ต่ำ อยู่ข้างหน้า อยู่ข้างหลังก็ได้ตามใจชอบ อย่างนี้เป็นปฏิภาคนิมิต ถือว่าเป็นนิมิตสูงสุดส่วนหนึ่ง.."
    "...ในเมื่อเห็นลูกแก้วชัดเจนแจ่มใสดีเท่าไหร่ ความเป็นทิพจักขุญาณของท่านพุทธบริษัทที่จะเห็นภาพอื่นก็จะเห็นได้ชัดเจนแจ่มใสเท่านั้น แต่ว่าถ้าเห็นลูกแก้วชัดเจนดีแล้ว ต่อไปก็อธิษฐานขอให้ภาพลูกแก้วหายไป ขอภาพของพระพุทธเจ้าจงปรากฏ ในเมื่อเห็นภาพของพระพุทธเจ้าปรากฏแทน ขอให้อธิษฐานให้พระองค์โตขึ้น ภาพของพระพุทธเจ้าโตขึ้น ขอให้พระองค์ทรงเล็กลง ก็เล็กลง ให้สูงให้ต่ำ ได้ตามความต้องการ อย่างนี้ถือว่าถึงที่สุดของมโนมยิทธิ ถ้าทำมโนมยิทธิได้ตามนี้แล้วจึงเคลื่อนออก ถ้าเคลื่อนไปไหนจิตกับกายจะตัดกันเด็ดขาด คือว่าไปสุดตัว ถ้าไปสุดตัวก็จะได้พบทุกอย่าง จะพบเทวดา จะพบพรหมก็ดี พบพระอรหันต์ เราก็จะมีสภาพไปนั่งคุยกันอย่างสบาย เหมือนกับเรานั่งคุยกันอยู่นี่ ถือว่าเป็นการเต็มมโนมยิทธิที่ศึกษา เพราะมโนมยิทธิที่เราศึกษากันอยู่เวลานี้ เราใช้กำลังครึ่งเดียวแต่ว่าเพื่อผลประโยชน์ของบรรดาท่านพุทธบริษัท ว่าคนทุกคนยังต้องกินต้องใช้พระพุทธเจ้าก็ทรงห่วงเหมือนกัน ท่านถือว่าถ้าทุกคนยากจนเสียจริงๆ ไม่มีกินมีใช้ การเจริญสมาธิก็ไม่มีผล เพราะมีความเดือดร้อน.."
    "..ฉะนั้นท่านจึงแนะนำว่า ถ้าทำสมาธิในด้านของกรรมฐานครบถ้วนพอใจแล้ว หลังจากนั้นให้ต่อด้วย คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า และเวลาที่เจริญพระกรรมฐานทรงฌาน เท่าไหร่ คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าก็จะทรงฌานเท่านั้น เมื่อคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงเป็นฌานการเงินของบรรดาท่านพุทธบริษัทจะมีคล่องตัวมาก ถ้าปฏิบัติได้เป็นฌานจริงๆ คือเห็นภาพชัดจริงให้สังเกตดูว่า หลังจากทำไป ๓ เดือน ผลการปฏิบัติลาภสักการะจะเกิดการเงินจะไม่ฝืดเคือง ถ้ายิ่งทำนานมากเงินก็ยิ่งจะขังตัว เงินเดือนที่มันไม่ค่อยพอเดือน มันก็จะเริ่มพอเดือน เดือนหน้ากับเดือนหลัง มันสวัสดีกันได้ก็พอตัวแล้ว ต่อเจ้าเดือนหน้ามันไม่ยอมไป เดือนใหม่ก็ยังมาอีก มันเริ่มขังตัว มันขังตัวนะ รวมความว่า มันนอนคุยกันในกระเป๋าได้ ทำตามนี้มีผลจริงๆ นะ และวิธีที่ใช้เงินในคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีแบบหนึ่ง ซึ่ได้เคยกล่าวไว้แล้ว
    และอีกประการหนึ่ง ซึ่งผลที่ได้จากแก้วนี่ อุบัติเหตุมีทุกครั้งใน ๓ ครั้งที่แล้วมานะที่แจกมาก็พบอุบัติเหตุทุกครั้ง แตว่าอุบัติเหตุที่น่าจะตายเขาไม่บาดเจ็บ อย่างรายหนึ่งไปอยู่อเมริกา ซื้อรถราคา ๓,๐๐๐ เหรียญ ชนกันย่นไปเหลือราคา ๓๐๐ เหรียญ เจ้าของรถไม่ตาย แต่ว่ารถเหลือราคา ๓๐๐ เหรียญ และก็เที่ยวแรกที่แจก วันนั้นไปที่อำเภอสามพรานมีสองคนผัวเมียแกบอกว่า รถชนประจันหน้ากันพังยับเยินเลยพวงมาลัยมากระแทกอกสามี พวงมาลัยคด แต่สองคนในรถไม่เป็นอันตรายอีกรายหนึ่งเขามารายงาน รายนี้ลูกสาวตัวเล็กล้มลงไปทับแก้ว เศษแก้วกระเด็นเข้าตา แกก็ร้องจ้า ฝ่ายพ่อจะพาไปโรงพยาบาล ก็พอดีนึกได้ว่าเรามีลูกแก้ว ก็เลยลองดูว่าลูกแก้วจะช่วยได้หรือไม่ ก็เอาลูกแก้วไปลูบๆ ที่ตา ประเดี๋ยวเดียวลูกสาวหายปวด ก็เลยพาไปหาหมอให้ดูปรากฏว่าไม่มีเศษแก้ว.."
    "..สำหรับเที่ยวนี้ที่ทำขึ้นมาแล้ว พวกบางแคไปรับมาจากวัด ปรากฏว่าคนหนึ่งก้างปลาติดคอ ทำอย่างไรก็ไม่ออก เขาก็จะพาไปหาหมอ พอดีคนที่เขาได้แก้วไปก็อาราธนาลูกแก้วลูบๆ ที่คอ ปรากฏว่าก้างหาย และก็พวกชุมแสงรับลูกแก้วไปแล้วกลับไปบ้าน ฟ้าผ่าใกล้ๆ ตัวแกไม่เป็นไรทั้ง ๒ ราย นี่ก็เลยยกทัพไปรับใหม่ ตอนแรกไปไม่กี่คน พอได้ยินข่าวเลยยกทัพมาเป็นกองทัพเลย
    ก็รวมความว่าสำหรับอุบัติเหตุก็เคยโดยมาแล้ว ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทนะ จะเห็นว่าเป็นลูกแก้วเล็กๆ แต่พึงเข้าใจว่า แก้วนี้ทำด้วยบารมีของพระพุทธเจ้า เวลาทำจริงๆ อาตมาไม่รู้เรื่องเลย ต้องไปศึกษากับท่านมา ๒ คืน คืนแรกที่ขึ้นไปก็อยากทราบประวัติว่าลูกแก้วนี้มีประวัติมาจากไหน คือแก้วอาตมามีอยู่ลูกหนึ่ง ไม่ทราบว่ามาจากไหน ทราบแต่ว่าเป็นของต้นตระกูลสืบต่อกันมาหลายชาติ ก็ขึ้นไปหาโยมท่านที่ดาวดึงส์ ไปถามโยมผู้ชายว่าโยมทราบประวัติของลูกแก้วนี้ไหม ท่านบอกว่าท่านทราบประวัติแต่ไม่เคยใช้มาก่อน คนที่เคยใช้จริงๆ คือโยมหญิง โยมหญิงท่านบอกว่าท่านใช้มาแล้วหลายสิบชาติ และก็สมัยครองราชย์ ท่านบอกว่า เรามีลูกแก้วลูกเดียวประชากรในประเทศเรายังไม่มีใครจนเลย ท่านเลี้ยงพอ ก็เลยถามประวัติความเป็นมาท่านบอกว่าเดิมทีเป็นลูกแก้วลูกยอดของพระเจ้าจักรพรรดิ์ เลยถามท่านว่า เวลานี้แก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ์อยู่ที่ไหน ท่านบอกว่า อยู่ที่พระจุฬามณี จึงพาไปดูความจริงสมัยนั้นของพระเจ้าจักรพรรดิ์ที่มีแก้วมณี มีพระขรรค์แก้ว มีเกือกแก้ว มีจักรแก้ว แต่ว่าทั้ง ๔ อย่างนี้อยู่คนละที่ มีเทวดารักษาอยู่ ถ้าใครจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์เทวดาก็จะนำของทั้ง ๔ อย่างมามอบให้ แต่ว่าพระเจ้าจักรพรรดิ์คนนั้นตาย คนอื่นจะรับมรดกแทนไม่ได้ เทวดาเขาต้องเอาคืนกลับไป เทวดาท่านต้องหวงแหนเพราะว่าของ ๔ อย่างนี้ จะต้องเป็นของคนที่มีบุญพอจึงจะครองไว้ได้...".

    .
    .
    จาก... หนังสือสมบัติพ่อให้ พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๕๓๗ หน้า ๑๒๐ - ๑๒๓ รวบรวมจัดพิมพ์โดย ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย..โศภิษฐ์ สดสี


    [​IMG]


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    "..วิธีฝึกเจริญกรรมฐานด้วยตัวเอง แบบง่ายๆสำหรับฆราวาสที่ต้องทำมาหากิน โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง.."
    "....เอาอย่างนี่นะ ทุกวันถ้าเวลาของเรามีน้อย ก็ใช้เวลาก่อนจะหลับเมื่อศีรษะถึงหมอน นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราชอบ นี่สำหรับท่านที่ไม่ได้มโนมยิทธินะ พวกที่ได้มโนมยิทธินี่เขาได้กำไรมาก...
    ....นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราชอบ คิดว่าองค์นี้คือพระพุทธเจ้า
    แล้วก็ภาวนาว่า " พุท โธ " หายใจเข้านึกว่า " พุท "หายใจออกนึกว่า " โธ "สัก ๒ - ๓ ครั้งก็ได้ตามความพอใจ มากก็ได้น้อยก็ได้แล้วก็หลับไป
    ....พอตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ ก็นึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอีก แล้วก็ภาวนาว่า
    " พุท โธ " อีก ทำอย่างนี้ทุกวัน จนกระทั่งถึงวันไหนถ้าเราไม่มีโอกาสจะทำ
    วันนั้นรำคาญต้องทำ วิธีทำก็ไม่ต้องไปนั่งขัดสมาธิก็ได้
    ....กลางวันทั้งวันเราเหนื่อยยากในการงานมากก็นอน เวลาจะนอนก็กราบหมอนสัก ๓ ครั้ง....
    *** นึกกราบพระพุทธเจ้า
    *** กราบพระธรรม
    *** กราบพระอริยสงส์
    ...หลังจากนั้นเมื่อหัวถึงหมอนก็นอนภาวนา " พุท โธ "ทำอย่างนี้เพียงแค่ ๒ - ๓ ครั้งแล้วก็หลับ
    ....แล้วตื่นขึ้นมาใหม่เอาอีกแหละ เอาแบบนี้ จนกระทั่งมีอาการชิน วันไหนถ้าไม่ได้ภาวนา " พุท โธ "วันนั้นรำคาญไม่สบายใจ ไม่ได้ ต้องภาวนา
    ....อย่างนี้ถือว่าทรงฌานใน " พุทธานุสสติกรรมฐาน " ถ้าอารมณ์ของท่านทรงฌานใน พุทธานุสสติกรรมฐาน แล้วถึงแม้ศีลมันจะขาด มันจะบกพร่องบ้าง ถึงอย่างไรก็ตาม ตายแล้วต้องไปสวรรค์แน่นอน เอาแค่สวรรค์ก่อนนะ....."

    .
    .
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี
    ----------------------------------
    จาก...หนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๔ หน้า ๑๓ โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง จ. อุทัยธานี.
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    <iframe width="640" height="480" src="https://www.youtube.com/embed/tTLe2PVno1g?&autoplay=1&rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    การชำระหนี้สงฆ์ ตอนที่ 2


    (คำสอนโดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)




    หลวงพ่อปานท่านก็ชวนชาวบ้าน
    ชำระหนี้สงฆ์ ว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง
    ด้วยจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม เอามารวมกัน
    แล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์
    คือว่าวัดร้างที่ปรากฎมีเป็นวัดก็ตาม หรือ
    ไม่ปรากฎเป็นวัดก็ตาม วัดที่มีพระก็ตาม
    วัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่า
    รู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม
    แต่สิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ทราบค่าราคาของ
    ถือว่าเป็นของเล็กน้อย ข้าพเจ้าทั้งหลาย
    ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยจำนวนเงินเท่านี้
    ถ้าพระสงฆ์ ทั้งหลายเห็นสมควรก็ขอให้สาธุขึ้น
    ให้พร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่เห็นสมควร
    ก็ขอให้นิ่งอยู่ ถ้าพระทั้งหมดสาธุ พร้อมกัน
    เป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่า
    ค่อย ๆ ทำไป เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก


    ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้น
    เป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ที่พึงใช้
    จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวนนั้นไปใช้ในการ
    ก่อสร้างหรือบำรุงสงฆ์ ท่านทั้งหลายอาจสงสัยว่า
    ของต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี วัสดุเครื่องใช้ต่าง ๆ
    ก็ดี หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี ของที่อยู่ในวัดทั้งหมด

    ถ้าหากเรารื้อแทนของเดิม
    ทั้งนี้ เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เขาสร้างไว้ในวัด
    เขาไม่สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้าง
    เพื่อถวายบูชาพระพุทธเจ้า คำว่าของสงฆ์นี่น่ะ
    ต้องหมายถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของ
    ส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะถือสิทธิ์ว่าเป็นของฉัน
    จะมาชี้ว่าสมบัตินี้เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว
    ถ้าทำอย่างนั้น จะต้องลงนรกหมด เรื่องนรกนี้
    เขาไม่เว้นใครหรอก

    ของในวัดก็เหมือนกัน ถ้าพระองค์ใดปลูกไว้
    ถ้าเขาสึกแล้วก็ตาม เขาตายแล้วก็ตาม
    ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ ถ้าว่าเขาตายหรือ
    สึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์หนึ่งจะถือเป็น
    ทายาทกันเองก็ดี ใช้เองก็ดี ทำอย่างนั้นไม่ได้
    เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เวลาจะกินจะใช้
    ก็ต้องประชุมสงฆ์ต้องลงมติอนุมัติจึงจะถือว่า
    ไม่เป็นโทษ




    [​IMG]


    เครดิต https://www.facebook.com/BuddhaSattha?fref=photo
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    ขันติบารมี

    [​IMG]



    "... เรื่องอาฆาตจองเวรนั้น ย่อมให้ทุกข์กลับคืนแก่ตนในที่สุด และความเขลาหลงในทรัพย์และสุขของผู้อื่นก็ย่อมให้ผลร้ายแก่ตัวได้ในไม่ช้าเช่นกัน..."

    จันทชาดก

    ในครั้งโบราณเมืองพารานสี มีชื่อว่าบุปผวดี มีกษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเจ้าเอกราชา พระราชบุตรองค์ใหญ่พระนามว่า "จันทกุมาร" ดำรงตำแหน่งเป็นอุปราช และ พราหมณ์ชื่อกัณฑหาล เป็นปุโรหิตในราชสำนักกัณฑหาล มีหน้าที่ตัดสินคดีความอีกตำแหน่ง แต่กัณฑหาลเป็นคนไม่ยุติธรรม ไม่ซื่อสัตย์ มักจะรับสินบนจากคู่ความอยู่เสมอ ข้างไหนให้สินบนมาก ก็จะตัดสินความเข้าข้างนั้น

    จนกระทั่งวันหนึ่งผู้ที่ได้รับความอยุติธรรมร้องโพนทนาโทษของกัณฑหาล ได้ยินไปถึงพระจันทกุมาร จึงตรัสถามว่าเกิดเรื่องอะไร บุคคลนั้นจึงทูลว่า...

    "กัณฑหาลปุโรหิต มิได้เป็นผู้ทรงความยุติธรรม หากแต่รับสินบน ก่อความอยุติธรรมให้เกิดขึ้นเนืองๆ"

    พระจันทกุมารตรัสว่า....

    "อย่า กลัวไปเลย เราจะเป็นผู้ให้ ความยุติธรรมแก่เจ้า"

    แล้วพระจันทกุมาร ก็ทรงพิจารณาความอีกครั้ง ตัดสินไปโดยยุติธรรม เป็นที่พึงพอใจแก่ประชาชนทั้งหลาย ฝูงชนจึงแซ่ซ้องสดุดีความยุติธรรมของพระจันทกุมาร พระเจ้าเอกราชาทรงได้ยินเสียงแซ่ซ้อง จึงตรัสถาม ครั้นทรงทราบจึงมีโองการว่า...

    "ต่อไปนี้ให้จันทกุมาร แต่ผู้เดียวทำหน้าที่ตัดสินคดีความทั้งปวงให้ยุติธรรม"

    กัณฑหาลเมื่อถูกถอดออกจากตำแหน่งหน้าที่ ก็เกิดความเคียดแค้นพระจันทกุมาร ว่าทำให้ตนขาดผลประโยชน์ และได้รับความอับอายขายหน้าประชาชน จึงผูกใจพยาบาทแต่นั้นมา

    อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าเอกราช ทรงฝันเห็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็นความผาสุกสวยงาม ความรื่นรมย์ ต่างๆ นานา ในสรวงสวรรค์ เมื่อตื่นจากฝัน พระองค์ยังทรงอาลัยอาวรณ์อยู่ และปรารถนาจะได้ไปสู่ ดินแดนอันเป็นสุขนั้น จึงตรัสถามบรรดาผู้ที่พระองค์ คิดว่าจะสามารถบอกทางไปสู่เทวโลกให้แก่พระองค์ได้ กัณฑหาลได้โอกาส จึงกราบทูลว่า...

    "ข้าแต่พระราชา ผู้ที่ประสงค์จะไปสู่สวรรค์ มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นคือ ทำบุญให้ทาน และฆ่าบุคคลที่ไม่ควรฆ่า"

    พระราชาตรัส ถามว่า...

    "ฆ่าบุคคลที่ไม่ควรฆ่า หมายความว่าอย่างไร"

    กัณฑหาลทูลตอบว่า...

    "พระองค์จะต้องการกระทำการ บูชายัญด้วยพระราชบุตร พระมเหสี ประชาชนหญิงชาย เศรษฐี และช้างแก้ว ม้าแก้ว จำนวนอย่างละสี่ จึงจะไป สู่สวรรค์ได้"

    ด้วยความที่อยากจะไปเสวยสุขในสวรรค์ พระเจ้าเอกราชาก็ทรงเห็นดีที่จะทำบูชายัญตามที่กัณฑหาล ผู้มีจิตริษยาพยาบาททูลแนะ พระองค์ทรงระบุชื่อ พระราชบุตรพระมเหสี เศรษฐี ประชาชน และช้างแก้ว ม้าแก้ว ที่จะบูชายัญด้วยพระองค์เอง

    อันที่จริงกัณฑหาลประสงค์ร้าย กับพระจันทกุมารองค์เดียวเท่านั้น แต่ครั้นจะให้บูชายัญ พระจันทกุมารแต่ลำพัง ก็เกรงว่าผู้คนจะสงสัย จึงต้องให้บูชายัญเป็นจำนวนสี่ พระจันทกุมารผู้เป็นโอรสองค์ใหญ่ ก็ทรงอยู่ในจำนวนชื่อที่พระเจ้าเอกราชาโปรดให้นำมาทำพิธีด้วย จึงสมเจตนาของกัณฑหาล

    เมื่อช้าง ม้า และบุคคล ที่ถูกระบุชื่อ ถูกนำมาเตรียมเข้าพิธี ก็เกิดความโกลาหล วุ่นวาย มีแต่เสียงผู้คนร้องไห้คร่ำครวญไปทั่ว พระจันทกุมารนั้นเมื่อราชบุรุษไปกราบทูลก็ทรงถามว่า ใครเป็นผู้ทูลให้พระราชาประกอบพิธีบูชายัญ ราชบุรุษ ทูลว่ากัณฑหาล ก็ทรงทราบว่าเป็นเพราะความ ริษยาพยาบาทที่ กัณฑหาลมีต่อพระองค์เป็นสาเหตุ

    ในเวลาที่ราชบุรุษไปจับเศรษฐีทั้งสี่มาเข้าพิธีนั้น บรรดาญาติพี่น้องต่างพยายามทูลวิงวอนขอชีวิตต่อพระราชา แต่พระราชาก็ไม่ทรงยินยอม เพราะมีพระทัยลุ่มหลงในภาพเทวโลก และเชื่องมงายในสิ่งที่ กัณฑหาลทูล ต่อมาเมื่อพระบิดาพระมารดาของ พระราชาเอง ทรงทราบก็รีบเสด็จมาทรงห้ามปรามว่า...

    "ลูกเอ๋ยทางไปสวรรค์ที่ต้องฆ่าบุตรภรรยา ต้องเบียด เบียนผู้อื่นนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร การให้ทาน การงดเว้นการเบียดเบียนต่างหาก เป็นทางสู่สวรรค์"

    พระราชาก็มิได้ทรงฟังคำห้ามปรามของพระบิดา พระมารดา พระจันทกุมารทรงเห็นว่าเป็นเพราะ พระองค์เองที่ไปขัดขวางหนทางของคนพาลคือ กัณฑหาล ทำให้เกิดเหตุใหญ่ จึงทรงอ้อนวอนพระบิดาว่า...

    "ขอพระองค์โปรดประทานชีวิต ข้าพเจ้าทั้งปวงเถิด แม้จะจองจำเอาไว้ก็ยังได้ใช้ประโยชน์ จะให้เป็นทาส เลี้ยงช้าง เลี้ยงม้า หรือขับไล่ไปเสียจากเมืองก็ย่อมได้ ขอประทานชีวิตไว้เถิด"

    พระราชาได้ฟังพระราชบุตร ก็ทรงสังเวชพระทัยจน น้ำพระเนตรไหล ตรัสให้ปล่อย พระราชบุตร พระมเหสี และทุกสิ่งทุกคนที่จับมาทำพิธี

    ครั้นกัณฑหาลทราบเข้า ขณะเตรียมพิธีก็รีบมาทูบคัดค้าน และล่อลวงให้พระราชาคล้อยตามด้วยความหลงใหลในสวรรค์อีก พระราชาก็ทรงเห็นดีไปตามที่กัณฑหาล ชักจูง พระจันทกุมารจึงทูลพระบิดาว่า...

    "เมื่อข้าพเจ้ายังเล็กๆ อยู่ พระองค์โปรดให้พี่เลี้ยง นางนม ทะนุ บำรุงรักษา ครั้นโตขึ้นจะกลับมาฆ่าเสียทำไม ข้าพเจ้าย่อมกระทำประโยชน์แก่พระองค์ได้ พระองค์จะ ให้ฆ่าลูกเสีย แล้วจะอยู่กับคนอื่นที่มิใช่ลูกจะเป็นไปได้อย่างไร ในที่สุดเขาก็คงจะฆ่าพระองค์เสียด้วย พราหมณ์ที่สังหาร ราชตระกูล จะถือว่าเป็นผู้มีคุณประโยชน์ได้อย่างไร พราหมณ์นั้นคือผู้เนรคุณ"

    พระราชาได้ฟังก็สลดพระทัย สั่งให้ปล่อยทุกชีวิตไปอีกครั้ง แต่ครั้นพราหมณ์กัณฑหาลเข้ามากราบทูล ก็ทรงเชื่ออีก พระจันทกุมารก็กราบทูลพระบิดาว่า...

    "ข้าแต่พระบิดา หากคนเราจะไปสวรรค์ ได้เพราะ การกระทำบูชายัญ เหตุใดพราหมณ์จึงมิทำบูชายัญ บุตรภรรยาของตนเองเล่า เหตุใดจึงได้ชักชวนให้คน อื่นกระทำ ในเมื่อพราหมณ์ก็ได้ทูลว่า คนผู้ใดทำ บูชายัญเองก็ดี คนผู้นั้นย่อมไปสู่สวรรค์ เช่นนั้นควรให้ พราหมณ์กระทำบูชายัญด้วยบุตรภรรยาตนเองเถิด"

    ไม่ว่าพระจันทกุมารจะกราบทูลอย่างไร พระราชาก็ไม่ทรงฟังบุคคลอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งพระวสุลกุมาร ผู้เป็นราชบุตรของพระจันทกุมาร มาทูลอ้อนวอน พระเจ้าเอกราชาก็ไม่ทรงยินยอมฟัง ฝ่ายกัณฑหาลเกรงว่าจะมีคนมาทูลชักจูงพระราชาอีก จึงสั่งให้ปิดประตูวัง และทูลเชิญพระราชาให้ไปอยู่ในที่อันคนอื่นเข้าไปเฝ้ามิได้

    เมื่อถึงเวลาทำพิธีมีแต่เสียงคร่ำครวญของราชตระกูล และฝูงชนที่ญาติพี่น้องถูกนำมาเข้าพิธี ในที่สุดนางจันทาเทวีผู้เป็นชายา ของพระจันกุมาร ซึ่งได้พยายามทูลอ้อนวอนพระราชาสักเท่าไรก็ไม่เป็นผล ก็ได้ ติดตามพระจันทกุมารไปสู่หลุมยัญด้วย

    เมื่อกัณฑหาลนำถาดทองมาวางรอไว้ และเตรียมพระขรรค์จะบั่นคอพระจันทกุมาร พระนางจันทาเทวีก็เสด็จไปสู่หลุมยัญ ประนมหัตถ์บูชา และกล่าวสัจจวาจาขึ้นว่า...

    "กัณฑหาลพราหมณ์เป็น คนชั่วเป็นผู้มีปัญญาทราม มีจิตมุ่งร้ายพยาบาท ด้วยเหตุแห่งวาจาสัตย์นี้ เทวดา ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง จงช่วยเหลือเรา ผู้ไร้ที่พึ่ง ผู้แสวงหาที่พึ่ง ขอให้เราได้อยู่ร่วมกับสามีด้วยความสวัสดีเถิด ขอให้พระเป็นเจ้าทั้งหลายจงช่วยสามีเราให้เป็นผู้ที่ศัตรูทำร้ายมิได้เถิด"

    เมื่อพระนางกระทำสัจจกริยา พระอินทร์ได้สดับถ้อยคำนั้น จึงเสด็จมาจากเทวโลก ทรงถือค้อนเหล็กมีไฟลุกโชติช่วง ตรงมายังพระราชา กล่าวว่า...

    "อย่าให้เรา ถึงกับต้องใช้ค้อนนี้ประหารเศียรของท่านเลย มีใครที่ไหนบ้างที่ฆ่าบุตร ภรรยา และเศรษฐีคหบดีผู้ไม่มีความ ผิดเพื่อที่ตนเองจะได้ไปสวรรค์ จงปล่อยบุคคลผู้ปราศจากความผิดทั้งปวงเสียเดี๋ยวนี้"

    พระราชาตกพระทัยสุดขีด สั่งให้คนปลดปล่อยคน ทั้งหมดจากเครื่องจองจำ ในทันใดนั้นประชาชนที่รุมล้อมอยู่ก็ช่วยกันเอาก้อนหิน ก้อนดินและท่อนไม้ เข้าขว้างปาทุบตีกัณฑหาลพราหมณ์จนสิ้นชีวิตอยู่ ณ ที่นั้น แล้วหันมาจะฆ่าพระราชา

    แต่พระจันทกุมารตรงเข้ากอดพระบิดาไว้ ผู้คนทั้งหลายก็ไม่กล้าทำร้าย ด้วยเกรง พระจันทกุมารจะพลอยบาดเจ็บ ในที่สุดจึงประกาศว่า...

    "เราจะไว้ชีวิตแก่พระราชาผู้โฉดเขลา แต่จะให้ครองแผ่นดินมิได้"

    เราถอดพระยศพระราชาเสียให้เป็นคนจัณฑาล แล้วไล่ออกจากพระนครไป จากนั้นมหาชนก็กระทำพิธีอภิเษกพระจันทกุมารขึ้นเป็นพระราชา ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยความยุติธรรม

    เมื่อทรงทราบว่าพระบิดาตกระกำลำบากอยู่นอกเมือง ก็ทรงให้ความช่วยเหลือพอที่พระบิดาจะดำรงชีพอยู่ได้ พระจันทกุมารปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข ตลอดมาจนถึงที่สุดแห่งพระชนม์ชีพ ก็ได้เสด็จไปเสวยสุขในเทวโลกด้วยเหตุที่ทรงเป็นผู้ปกครองที่ดี ที่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ไม่หลงเชื่อวาจาคนโดยง่าย และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความซื่อตรง


    หมายเหตุ
    - จากภาพคือ

    พระพุทธรัตนมหามุนี หรือ พระแก้วน้อย เป็นพระพุทธรูปปางประทานพร องค์พระพุทธรูปจำหลักจากอัญมณีเนื้ออ่อนสีเขียวน้ำแตงกวา พุทธศิลป์ล้านนาสมัยหลัง อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ราว ๕๐๐ ปีที่ผ่านมา) อันเป็นสมัยที่นิยมสร้างพระพุทธรูปด้วยหินสีต่างๆ ทรงเครื่องอาภรณ์ทองคำลงยาประดับอัญมณีซึ่งสร้างขึ้นใหม่

    เดิมพระพุทธรูปชำรุดแตกเป็น ๒ ส่วน เจ้าของเดิมได้มาคนละคราวนำมาต่อเป็นเนื้อเดียวกันได้เป็นอัศจรรย์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รับถวายจากทายาทของ พล.ต.ต.เนื่อง และคุณหญิงอนินทิตา อาขุบุตร พระราชทานแก่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๔

    (ข้อมูลจาก National Museum Bangkok : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร)

    เอกสารประกอบการเขียน/ขอบคุณ
    - ศรัทธาของชาวสุวรรณภูมิ, อ.สิริเดชะกุล
    - กราบขอบพระคุณภาพประกอบสวยๆ จากฝีมือของคุณ Aksorn Q Pichai

    น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายความรู้ทั้งหลายนี้เป็นพุทธบูชาเนื่องในมหาสมัยครบรอบ ๒,๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมหาสมณโคดม น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในพระราชพิธีศุภมงคลเฉลิมพระชนมพรรษา

    fb: นิทรรศการพลังแผ่นดิน
    อัศจรรย์งานศิลป์ แผ่นดินสยาม
    https://www.facebook.com/Signnagas
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 ตุลาคม 2015
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    ~•สีสะหัสสะ•~

    [​IMG]





    สมัยหลวงปู่ท่านยังมีชีวิต ศิษย์นักปฏิบัติหลายต่อหลายคนล้วนภาวนาได้ดี เพียงใช้เวลาไม่นาน ก็มีความสามารถในการรู้เห็น แม้แต่เด็กผู้หญิงอายุเพียงไม่กี่ขวบ พอหลวงปู่บอกให้นั่งภาวนา ใช้เวลาครู่เดียวเท่านั้น เธอก็สามารถไปรู้เห็นสิ่งที่อยากเห็นได้แล้ว
    ถามหลวงปู่ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ท่านว่า ข้าช่วยก็เร็ว!
    มีเรื่องหนึ่งซึ่งสมัยนั้นก็ไม่ต่างจากสมัยนี้ คือจะมีผู้สงสัยในตัวหลวงปู่เกิดขึ้นเสมอ ๆ ว่า หลวงปู่ท่านคือใครกัน?
    สมัยก่อน ศิษย์บางท่าน ภาวนาแล้วเห็นหลวงปู่ดู่สลับร่างเป็นหลวงปู่ทวดบ้าง
    บางท่าน เห็นหลวงปู่ทวดสลับร่างเป็นหลวงปู่ดู่บ้าง
    บางท่าน เห็นหลวงปู่ดู่เปลี่ยนเป็นพระศรีอริยเมตไตรยบ้าง
    บางท่าน เห็นรูปพระซึ่งตนเองก็ไม่รู้จักว่าท่านคือใครบ้าง
    นั่นเป็นความรู้ที่เผยแพร่กันอยู่ทั่วไป แต่ยังนับว่าน้อย ยังมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลวงปู่อยู่อีกมากมายที่กระจายในหมู่ศิษย์ ตราบใดที่มีหลวงปู่อยู่ในหัวใจ หมั่นทำตามครูสอนแล้ว ไม่ว่าศิษย์เก่าศิษย์ใหม่ ต้องกล่าวฝากไว้เลยว่า เรื่องราวของหลวงปู่เรียนรู้กันไม่สิ้น
    บางท่าน เมื่อภาวนาแล้ว เห็นหลวงปู่ปรากฏเป็น ๔ กร บางวันเห็น ๖ กร และบางครั้งเห็น ๘ กร จนเจ้าตัวตกอกตกใจ คิดว่าตนปฏิบัติผิด โดนนิมิตหลอกให้หลงไปเสียแล้ว หลวงปู่จึงแก้ให้ไปว่า มีคนเห็นท่านพันกร! เช่นนี้จะว่าอย่างไร?
    มีศิษย์ท่านหนึ่ง บันทึกคำกล่าวของหลวงปู่ไว้ว่า "เรื่องของข้า บางทีก็เกินพระไตรปิฎก ต้องรู้เอง ปฏิบัติเอง พูดมากไม่ดี เดี๋ยวคนจะลงนรก"
    เช่นนี้จะว่าอย่างไร!?
    หลวงปู่พันกร เป็นได้ทั้งรูปลักษณ์ เป็นทั้งปริศนาธรรมอันล้ำลึก ทั้งเป็นการแสดงออกถึงพระมหาอานุภาพในทุก ๆ สิ่ง ในด้านต่าง ๆ อันไม่มีประมาณ ไม่สิ้นสุด ไม่มีขอบเขตของท่าน
    จนสรุปรวมเป็นคำง่าย ๆ เพื่อให้เข้าใจกัน แต่ก็ไม่เข้าใจกันมาตั้งแต่สมัยนั้น ด้วยคำพื้น ๆ แค่เพียงว่า บารมีเต็มฟ้า...
    คำว่า "บารมีเต็มฟ้า" หรือ "พันกร" หรือ "สีสะหัสสะ" ก็มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ไม่มีประมาณ ไม่สิ้นสุด ไร้ขอบเขตหรือเป็นอนันต์นั่นเอง โดยรวมแล้วก็ล้วนเป็นคำที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ไพศาลทั้งสิ้น แต่จะให้ท่านพูดหรือบอกกันตรง ๆ ได้อย่างไร...ต้องรู้เอง ปฏิบัติเอง พูดมากไม่ดี เดี๋ยวคนจะลงนรก!
    แต่ก็มีศิษย์ช่างสงสัย ที่เห็นแตกต่างออกไปอีกคือ...
    ปุจฉา "เห็นหลวงปู่ ๔ กรบ้าง ๖ กรบ้าง ๘ กรบ้าง กระทั่งพันกรก็มี แล้วหลวงปู่มีกี่กรกันแน่?"
    วิสัชชนา "กรเดียว!"
    ปุจฉา "...!?!..."



    เครดิต https://www.facebook.com/jakrapat.chuchart
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 ตุลาคม 2015
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    ~•ลงนรก•~

    ยังมีเรื่องราวในโลกอีกมากมาย ที่คนใช้ชีวิตโดยทั่วไป ไม่อาจรู้ได้...
    เขาเป็นศิษย์หลวงปู่ดู่และเป็นสหายทางธรรมคนหนึ่ง มีความสามารถในการปฏิบัติจนได้ตัวรู้ตัวเห็น มาตั้งแต่สมัยเมื่อท่านยังมีชีวิต นานหลาย ๆ ปีจึงจะมีโอกาสพบเจอกันสักครั้ง เขายังเหมือนเดิม คือยังคงดำรงตนอย่างสมถะ สันโดษและเรียบง่าย ใช้ชีวิตอยู่กับคำว่า รู้จักพอ สมกับที่ครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ท่านสั่งสอนไว้ ดูสวนกระแสกับสังคมโลกในปัจจุบัน ที่ความทะยานอยากลากจูงไปไกลอย่างไม่รู้สิ้น จนกว่าจะพบจุดจบคือความหายนะแล้วเท่านั้น
    เมื่อไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันพอสมควรแล้ว เรื่องราวส่วนใหญ่ที่สนทนากันล้วนเป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในหมู่คณะของหลวงปู่ และรวมไปถึงบอกเล่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตของกันและกัน หลากหลายเรื่องราว ไม่นำไปบอกเล่าหรือถ่ายทอดต่อได้เป็นดี ด้วยเกินสติปัญญาของคนยุคนี้จะรับได้
    แต่มีเรื่องหนึ่งน่าสนใจและน่านำไปขบคิดพิจารณาให้หนัก ถึงการทำความดี ความชั่ว ความถูก ความผิดแห่งตน ด้วยว่า สถานที่สำเร็จโทษนั้นมีอยู่จริง เขาเล่าให้ฟังว่า...
    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดยาวเนื่องในวันเทศกาล พวกเขาทั้งสองมักจัดเตรียมหยูกยาข้าวของเครื่องใช้ไว้เป็นชุด ๆ จากกรุงเทพฯ แล้วขนใส่รถออกตระเวณไปทำบุญยังวัดในต่างจังหวัด โดยเฉพาะวัดที่ห่างไกลทุรกันดาร ภิกษุสามเณรขาดแคลนเครื่องใช้ขบฉัน พวกเขาทำเช่นนี้เป็นประจำ เพราะนอกจากจะได้บุญแล้ว ยังถือโอกาสท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาไปด้วยในตัว
    บ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่ง ขณะกำลังเดินทางกลับมาจากจังหวัดแถบภาคเหนือ พวกเขาเจอเข้ากับพายุฝนอย่างจัง ฝ่ายสามีลดระดับความเร็วของรถลง ค่อย ๆ ขับฝ่าสายฝนกระหน่ำหนักไปได้ประมาณ 20 นาทีจึงหลุดออกมาได้ จากนั้นจึงเหยียบคันเร่ง ตั้งใจจะให้ถึงกรุงเทพฯก่อนค่ำ
    จะด้วยฝนตกถนนลื่นหรือเพราะไม่ชำนาญเส้นทางหรือด้วยเหตุใดก็ตาม เขาขับแหกโค้ง รถพลิกคว่ำลงข้างทางหลายตลบ เขาบาดเจ็บเล็กน้อยเพราะคาดเข็มขัดนิรภัย ส่วนภรรยาซึ่งนั่งหลับอยู่เบาะข้าง เธอหลับยาว...ไม่ยอมตื่น!
    "เสียชีวิต?" ข้าพเจ้าถาม
    "จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ แล้วแต่มุมมองของใคร" เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ
    "เป็นอย่างไร?"
    "ภรรยาเขานอนอยู่ไอซียู สัญญาณชีพต่ำมาก จวนเจียนเต็มที ในสายตาของหมอ ผู้ป่วยยังมีชีวิตอยู่ แต่ผมนั่งพิจารณาดูแล้วเห็นว่า จิตไม่ได้ครอบครองร่างนั้นแล้ว เรื่องอยู่หรือตายบางครั้งตัดสินยาก แล้วแต่กรณีด้วย"
    "สามีคงทุกข์มาก..." ข้าพเจ้าออกความเห็น
    สหายของข้าพเจ้าทนเห็นสารรูปอันน่าเวทนาของฝ่ายสามีไม่ไหวจึงยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ โดยการพิจารณาดูว่า เมื่อไม่ได้ครอบครองร่างแล้ว ขณะนั้นจิตของฝ่ายภรรยาไปอยู่ ณ ที่ใด พลันพบว่า ได้ไปอยู่ในนรกเสียแล้ว!
    แม้จะพอช่วยเหลือตัวเองได้ แต่เขาก็ไม่ลืมว่าตนเองมีหลวงปู่ดู่ มีนะโม พรหมปัญโญ เป็นครูบาอาจารย์ เพื่อความไม่ประมาท ก่อนที่จะตามจิตของฝ่ายภรรยาลงไป เขาได้นึกน้อมอาราธนาบารมีของหลวงปู่โปรดช่วยคุ้มครองรักษาและควบคุมตนเอง ให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม อยู่ในคุณงามความดี จะได้ไม่พลั้งพลาดกระทำการอันจะก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นในภายหลัง ดังมีปรากฏมาแล้วหลายราย ที่ "พอจะมี" อะไรกับเขาบ้าง ก็เที่ยว "ซ่า" ไปทั้งในสวรรค์และนรก สุดท้าย....เอาตัวไม่รอด!
    ...แล้วเขาก็กำหนดจิต ไปปรากฏตัวอยู่ ณ เบื้องหน้าของท่านพญายมราช!
    เมื่อเขาแสดงความเคารพแล้ว ท่านพญายมราชได้เพ่งพินิจตรวจตราดูว่าเขาเป็นใคร? มาทำอะไร? และแล้ว ท่านก็ระเบิดเสียงหัวเราะ กล่าวออกมาเป็นประโยคแรกว่า
    "ปกติพระอาจารย์ท่านจะมาเอง วันนี้ส่งศิษย์มา!"
    เขารู้มาก่อนแล้วว่า ท่านพญายมราชนั้นมีฤทธานุภาพมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านผู้ทรงฤทธิ์ทั้งหลาย จึงต้องสำรวมระวัง บนโลกมนุษย์...ศิษย์ของหลวงปู่บางท่าน แม้มิได้แสดงอะไรออกมาให้เห็นเลย แต่เพียงแค่ท่านนึกเอาเท่านั้น เราอาจวอดวายหายนะทั้งชีวิต อย่าประมาท!
    "พระอาจารย์เจ้าเสด็จปรากฏบนโลกเพื่อทำงานใหญ่อีกครั้ง..." ท่านพยายมราชกล่าวถึงหลวงปู่ด้วยน้ำเสียงอันทรงอำนาจ "...และครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่โลกจะถึงซึ่งกาลวิบัติฉิบหายเพราะน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเอง ท่านจะยังพระศาสนาให้แผ่กว้างแลเจริญรุ่งเรือง เพื่อเป็นที่พึ่งแห่งหมู่สัตว์ขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องนี้ ในหมู่เทพพรหมทั้งหลายล้วนรู้กันดี ผู้ใดเคารพเลื่อมใสท่านเป็นพระอาจารย์เจ้า ย่อมนับเป็นบุญมหาศาลแก่เขาผู้นั้นยิ่งนัก แต่ถ้ามันผู้ใดขัดขวางหรือทำลายงานของพระอาจารย์เจ้าแล้วไซร้ จงระวังให้หนัก จักต้องมาพบกับเราที่นี่แน่นอน!"
    บทสนทนาระหว่างสหายทางธรรมกับท่านพญายมราช ขอยกเอามาบอกเล่าเพียงหนึ่งส่วนในสิบส่วนเพื่อความเหมาะสม เพราะเนื้อหาค่อนข้างลึกไม่เหมาะแก่การเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ยิ่งในโลกยุคปัจจุบันด้วยแล้ว ก็...อย่างที่เข้าใจกัน!
    "ผมรีบกลับขึ้นมาขอคำชี้แนะและขอความเมตตาจากหลวงปู่ตามที่ท่านพญายมบอกและไล่..." เขาเล่าต่อ
    "ไล่ด้วยหรือ?" ข้าพเจ้าหัวเราะ
    "ท่านบอก ขืนมัวชักช้าจะไม่ทันการณ์ ร่างกายของสตรีผู้นั้นจะเสียหายเอาได้...เลยไล่" เขาพลอยหัวเราะไปด้วย
    "คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ท่านพญายมราชก็ยังเคารพนับถือหลวงปู่เป็นครูบาอาจารย์"
    "คุณยังไม่รู้อะไร แม้แต่จอมเทพดัง ๆ ที่รู้จักกันทั่วก็ยังเป็นศิษย์หลวงปู่ อย่างเช่น........"
    เขาไล่รายชื่อจอมเทพให้ฟังหลายองค์ ข้าพเจ้านิ่งใคร่ครวญ ดีที่มีพื้นความรู้จากหลวงปู่มาพอควรจึงยอมรับในสิ่งที่เขาพูดได้ คุณเคยรู้ไหม...เมื่อหลวงปู่ท่านปิดประตูลงกลอนแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นในกุฏิของท่าน?!
    "สิ่งที่ท่านพญายมราชท่านตักเตือนมานั้นน่าฟัง น่าพิจารณามากเลยนะ เรื่องการขัดขวางหรือทำลายงานของหลวงปู่ ยิ่งในปัจจุบันมีคนประเภทคิดเองเออเองทำเองเกิดขึ้นเยอะ ยิ่งน่าเป็นห่วงพวกเขามาก จะทุกข์หนักทั้งในโลกนี้และโลกหน้า"
    "ถูกครับ..." เขาเสริม "...ทุกข์มาก ดูอย่างศิษย์ในสมัยหลวงปู่มีชีวิตบางคนที่สมาธิดี รู้เห็นดี แต่พอไปประมาทพลาดพลั้งต่อหลวงปู่เข้า ตอนนี้มืดสนิท ไม่รู้ไม่เห็นอะไรอีกแล้ว หมดสิ้นแล้ว พากเพียรปฏิบัติอย่างไรก็ไม่ขึ้น ชีวิตมีแต่จะตกต่ำลง...ต่ำลงนรกหมกไหม้ไปเลยด้วยซ้ำ นี่คุณรู้เรื่องคนแปลงบ้านตนเองเป็นสำนักปฏิบัติธรรม ตั้งตนเป็นอาจารย์เองไหม?" เขาถาม
    "รู้ครับ...มีที่ทำแล้ว กำลังทำและคิดเลียนแบบกันที่จะทำ แล้วคุณว่าอย่างไร?"
    "คิดเห็นด้วยสติปัญญาธรรมดา ก็เป็นเจตนาที่ดี เป็นเรื่องที่ดี ในการเชิญชวนคนเข้ามาสวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติภาวนา เชิญชวนคนให้เข้ามารู้จักหลวงปู่ รู้จักหมู่คณะ เชิญชวนคนให้มาสร้างพระสร้างบุญ คิดอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น..."
    "ผมถามหลวงปู่แล้ว ท่านว่า ไม่เอา ไม่ให้ทำ!" ข้าพเจ้าโพล่งขึ้นมา
    "ตรงกันครับ! ท่านก็บอกกับผมเช่นนั้นเหมือนกัน!"
    ข้าพเจ้ารินน้ำชาอุ่น ๆ ใส่ถ้วยของเขาและตามด้วยถ้วยของข้าพเจ้า เขาบรรจงจิบชาอู่หลงแล้วเงียบไป ข้าพเจ้าจึงเสริมขึ้นว่า
    "หลวงปู่ท่านมีปัญญามาก...มากจนผมต้องใช้คำว่า พระมหาปัญญาอันยิ่งใหญ่ไพศาล ลึกซึ้งสุดหยั่ง กว้างไกลไร้ขอบเขต หลวงปู่ทำงานของท่านอย่างเงียบ ๆ อยู่ตลอดเวลา ทั้งที่พวกเรารู้ได้และรู้ไม่ได้ ทั้งระดับมหาชน มหาจักรวาล จนถึงระดับปัจเจกชน ท่านมิได้ปรารถนาชื่อเสียง มิได้สร้างสมบ่มบุญบารมีให้เต็มหรือไม่เต็มอย่างที่เราเข้าใจกัน เพราะท่านยิ่งใหญ่เกินไปกว่านั้นนักแล้ว ผมเคยถามท่านว่า งานมากมายมหาศาล ลึกซึ้งซับซ้อน จนสามารถทำคนให้เป็นบ้าได้ปานนี้ หลวงปู่เอาปัญญาสามารถที่ไหนไปทำ ท่านว่า ข้าทำของข้าได้ก็แล้วกัน และท่านเคยกล่าวกับผมอีกว่า คนที่อยากรู้จักข้าจริง ๆ นั้นไม่มีหรอก ใครตั้งใจจริง ข้าก็จะให้เจอของจริง! ส่วนใหญ่แล้ว พอรู้จักท่านบ้างเล็กน้อย ก็ถูกกิเลสตัณหาลากเอาไปกินหมด"
    ข้าพเจ้าเว้นระยะ สายตาของเขาจับนิ่งมายังข้าพเจ้า บุคคลเช่นนี้ เราจะอ่านความรู้สึกจากแววตาของเขาไม่ได้เลย มีแต่อำนาจอันลึกลับเท่านั้นที่แฝงออกมาจากดวงตา ข้าพเจ้ากล่าวต่อไปว่า
    "การแปลงบ้านเรือนที่พักอาศัยของตนเป็นดั่งคล้ายสำนักปฏิบัติธรรมนั้น ไม่เป็นสิ่งสมควร เพราะหลวงปู่ท่านไม่เอาด้วยและไม่ให้ทำ ท่านมองเห็นถึงความวิบัติเสียหายแห่งการงานและหมู่คณะที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าและจะเป็นบาปหนักตกแก่ผู้กระทำ ญาณหยั่งรู้อนาคตของหลวงปู่นั้นแจ่มชัดนัก พรุ่งนี้เรายังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าว่าแต่ร้อยหรือพันปีข้างหน้า เราจะเชื่อปัญญาความรู้อันเล็กน้อยของเรา หรือเราจะเชื่อพระมหาปัญญาแห่งครูบาอาจารย์เล่า?"
    เราคุยกันต่ออีกหลายเรื่องหลายประเด็น ประสบการณ์ของเขาล้วนน่าสนใจ จนครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยขอต่อหลวงปู่ว่า อยากรวบรวมเรื่องราวของเขาเป็นหนังสือสักเล่ม แต่ท่านห้ามไว้ บอกว่าปล่อยเขาไป ด้วยเหตุผลใดท่านก็ไม่ได้บอก ขณะที่กำลังสนทนากันอย่างออกรสอยู่นั้น หลวงปู่ท่านว่า อายุเขาไม่ถึงเลข 6 ...
    รู้สึกวาบหวิวในอกขึ้นมาทันที เหมือนตอนต้องพลัดพรากหรือสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก...จุกในคอหอยจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองหน้าเขานิ่ง...และดูเหมือนเขาก็รู้ถึงความผิดปกตินั้นได้
    "คุณ...คุณรู้อายุขัยแล้วใช่ไหม?..."
    เขาหลบตาวูบ...นิ่งไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้าช้า ๆ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า
    "เร็ว ๆ นี้...ผมยุติการช่วยเหลือคนอื่นมาหลายปีแล้วตามคำที่หลวงปู่ท่านบอก ตั้งใจปฏิบัติอย่างเดียว...เวลาเหลือน้อยลงทุกที"
    ข้าพเจ้าข่มความรู้สึกนึกเสียดายมิตรสหายดี ๆ ที่หาได้ยากยิ่ง เมื่อมองหลวงปู่ เห็นท่านยิ้มอย่างเมตตาพร้อมกับส่ายหน้าก็รู้ความหมาย ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะร้องขอ ได้แต่ปรับอารมณ์ของตนให้เป็นปกติ
    ก่อนที่จะลาจากกันในวันนั้น เขานั่งหลับตานิ่ง หลวงปู่ท่านบอกว่า เขากำลังดูแก ข้าพเจ้าถามหลวงปู่ว่า แล้วเขาจะเห็นอะไร? ท่านว่า แล้วแต่ข้า!
    เมื่อลืมตาขึ้น เขายกมือไหว้มาทางข้าพเจ้า กล่าวคำ สาธุ แล้วรับรองให้ว่า หลวงปู่อยู่ด้วยตลอดเวลาจริง ซึ่งหาได้ยากมาก และยังบอกเรื่องสำคัญอีก 2-3 เรื่อง อันสมควรเก็บไว้เป็นการส่วนตัว...
    ไม่ว่าจะเป็นศิษย์เก่าหรือศิษย์ใหม่ หลวงปู่ล้วนเปิดโอกาสให้อย่างเสมอภาคกัน อยู่ที่ใครจะมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าเพียงใด เคารพนับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์อย่างบริสุทธิ์ใจเพียงใด มีหลวงปู่สถิตประดิษฐานอยู่ในหัวใจได้มากน้อยเพียงใด
    หลวงปู่ยังอยู่สั่งสอนศิษย์ทั้งโดยเปิดเผยและไม่เปิดเผย ทั้งโดยที่เขารู้ตัวและไม่รู้ตัว หลวงปู่ไปได้ทุกที่ ทุกสถานบนโลกใบนี้ ในมหาจักรวาลอันหาที่สุดมิได้นี้ ไม่มีสิ่งใดอาจหรือสามารถขัดขวาง ปิดกั้นหรือหยุดยั้งพระมหาอานุภาพของท่านได้ ไม่มีอนุภาคใดที่ละเอียดปานใด จะมีอำนาจทะลุทะลวงทุกสิ่งทุกอย่าง เฉกเช่นอานุภาพของหลวงปู่ท่านได้เลย
    เราคิดถึงหลวงปู่อยู่กับบ้าน อยู่ใจกลางป่าอเมซอน อยู่ในจักรวาลอื่น หลวงปู่...ตามไปอยู่กับเราได้
    ~หลวงปู่ดู่ ยังอยู่กับเรา~
    ฟังหลวงปู่...ฟังครูบาอาจารย์ได้ก็ดี
    ลงไปยืนอยู่เบื้องหน้าพญายมราช...
    ไม่ดี!



    [​IMG]


    เครดิต https://www.facebook.com/photo.php?...695.1073741829.100007168483571&type=3&theater
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 ตุลาคม 2015
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    [​IMG]



    "คติธรรมคำสอน วันศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๒" กระแสจิตเหมือนเป็นคลื่นไปไหนก็รู้ ดี ไม่ดี สวดไปนานๆ อารมณ์ก็ดี เพราะฉะนั้นจิตมันบันทึกแต่สิ่งดีเข้าไป

    สวดมนต์เป็นกรรมฐานที่ง่ายๆ แต่คนมองไม่ออก กรรมฐานยากๆ มักทำให้คนขี้เกียจ

    ท่านว่าในยุคนี้สองบทนี้ใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด เพราะฉะนั้นกระแสนี้ยังใช้ได้เรื่อย อธิษฐานอะไรก็ได้เพราะเป็นกระแสของจักรพรรดิ และไตรสรณคมน์ สวดไปเรื่อยมันก็นิ่งๆ แล้วหลับไป ถึงหลับไปก็ยังสวดอยู่ สวดไปหลายสิบปี นึกอะไรมันก็เป็นอย่างที่นึก มันเป็นพลังงาน

    สวดไปนานๆ กระแสที่ไม่ดีเข้ามามันก็จะไม่รับเลย

    เวลาสวดให้นึกถึงภพภูมิรอบๆ ให้มาสวดกับเรา เริ่มสวดเมื่อไหร่เค้าเริ่มสวดเมื่อนั้น

    วิธีอธิษฐาน ข้าพเจ้าทำความดีทุกอย่างตลอดชีวิต ขอแผ่ไปทั้ง ๓ แดนโลกธาตุ ขอให้ทุกท่านมาร่วมโมทนาบุญอย่างไม่มีประมาณ

    ทั้งวันทุกลมหายใจเข้าออกถ้าเราทรงอารมณ์ให้ดีทั้งวัน แสงสว่างจะเพิ่มขึ้นตลอดทุกลมหายใจเลยทีเดียว

    การบันทึกบุญน่ะไม่ยาก บุญคือความสบายใจ บาปคือความไม่สบายใจ อย่าไปเสียเวลากับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ให้สวดมนต์ไป ภาวนาไป ตลอดทุกลมหายใจ จะเปลี่ยนแปลงอะไร ต้องเปลี่ยนที่ปัจจุบัน

    ถ้าเราอารมณ์ไม่ดีต่อให้รักษาศีลหรือภาวนาเท่าใด มันก็ไม่เกิดผล มันทำให้ช้าและเสียเวลา

    ให้บันทึกบุญด้วยการภาวนาและพิจารณานี่แหละที่หลวงพ่อสอน

    หมั่นทำ หมั่นคิด หมั่นพิจารณา หลวงปู่สอนไว้ให้เราทำตาม อยู่ที่ตัวเราเองจะทำหรือไม่ทำ

    ใครบันทึกได้หนาแน่น เวลานึกไปไหนถึงใครเขาก็จะนึกถึงเราด้วย จิตเป็นพลังงาน ถ้าบันทึกไปแล้วนิ่งๆ น่ะดีมีประโยชน์นะ ให้ใช้ไตรสรณคมน์บทจักรพรรดิ ให้นึกถึงท่าน จะกำพระก็ได้ ให้กระแสจิตเกาะอยู่ตรงนั้น ทุกอย่าทำเพื่อสะสมพลังงาน สะสมกระแส อย่างเร็วต้องทำถึง ๓ ปี หรือ ๑๐ ปี ไม่ใช่จะเห็นผลแค่ปี ๒ ปี จะให้เป็นเร็วๆ มันไม่ได้ มันต้องใช้เวลาสะสมและฝึกไปเรื่อยๆ นี่แหละสายหลวงปู่

    ให้ลองปฏิบัติดู อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์กับภพภูมิอย่างมาก
    เป็นการฝากกระแสซึ่งกันและกันในการเวียนว่ายตายเกิด

    เป็นบุญของเอ็ง ถ้าเอ็งฝึกเอ็งจะช่วยคนอื่นได้ ตอนที่เป็นอยู่มันไม่เข้าใจ แต่พอตายไปก็จะเข้าใจเอง

    หนึ่งวันคิดถึงบุญก็มีบาปก็มี เอ็งก็รวมบุญซ่ะ อัญเชิญเทพพรหมทั้งหลายมาโมทนาด้วยให้นึกถึงข้าไปด้วย


    บางส่วนของคติธรรมคำสอนโดย... พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ (ถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

    Graphics by... ชยปุญฺโญ ภิกขุ (อธินันท์ อ่ำบุญ) Athinan Aumboon วัดพุทธพรมปัญโญ ถ้ำเมืองนะ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    ...ใครจะใหญ่เกินกรรม


    ไปหาหมอดู ๆ ก็จะบอกว่าเป็นกรรมเก่า


    คนที่เข้าใจพระศาสนาและกฏแห่งกรรม จะไม่หวั่นไหว จะตั้งมั่น ทำดีในปัจจุบัน ให้ยิ่งๆไป ให้มีศรัทธา ความเพียร สติ สมาธิ ปัญญา กรรมปัจจุบันจะยิ่งใหญ่ทำอะไรได้เยอะ
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    " พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ "

    ซึ่งขณะนี้พระองค์มีนามว่า "นาถเทวเทพบุตรโพธิสัตว์" ประทับอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้(นิยตโพธิสัตว์) ที่ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตรวมทั้งองค์ปัจจุบันว่า เป็นผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ต่อจากพระศาสนาของพระโคตมะพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้)

    พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ พระองค์ทรงสร้างพุทธบารมีมาอย่างยาวนาน เพราะทรงเป็นพระวิริยาธิกะโพธิสัตว์ คือ ผู้ยิ่งยวดด้วยความเพียรอันสูงสุด และกล้าหาญ ทรงพากเพียรสร้างสมอบรมบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ มาตลอดระยะเวลา ๑๖ อสงไขย แสนกำไรมหากัป จนพระบารมีเต็มเปี่ยม รอการลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายในปลายภัทรกัปนี้



    เครดิต https://www.facebook.com/Luangphorthuad

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    อย่าสวดมนต์กันผี ให้สวดบูชาพระพุทธเจ้า


    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม


    ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ อย่างบท วิปัสสิสสะ เราจะสวดแค่ไหนดีคะ…?”
    หลวงพ่อ :- “ก็สวดหมดนั่นแหละ แต่อย่าไปสวดกันผีนะ เพื่อกันผีไม่ได้ เราสวดเพื่อความเคารพพระพุทธเจ้า”
    ผู้ถาม :- “ที่อยากสวดบทนี้ก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องกันผีค่ะ เพราะกลัวผี”
    หลวงพ่อ :- “ถ้าไปสวดเพื่อกันผีน่ะ อาจารย์สำราญโดนมาแล้ว ที่เขาวงพระจันทร์แน่ะ เขาลือกันถ้าสวดได้ยินเสียงที่ไหนผีเข้าไม่ได้นะ แกก็สวดทุกวัน เลยบอกอาจารย์ ไม่ดีนะ ถ้าสวดเพื่อพรรณาความดีของพระพุทธเจ้า สวดเพื่อความเคารพพระพุทธเจ้า บทนี้คุ้มครอง ถ้าสวดเพื่อไล่ผีเมื่อไรผีตีเมื่อนั้น แกก็ไม่ฟัง
    มีวันหนึ่ง เผลอ…พวกเรากำลังทำงานอยู่ได้ยินเสียงร้อง โอ๊ยๆ พอเราวิ่งเข้าไปดูแล้ว นุ่งแดง ห่มแดงผ้าคาด แหม…หวายเบ้อเร่อ ล่อเสียบวมทั้งตัว พอเราก้าวเข้าไปท่านหันมามอง บอกว่าพี่ชาย…ไปเถอะ ไม่ใช่หน้าที่ของแก นี่อาจารย์สำราญโดนมาแล้ว
    ถ้าเรากันผี ไม่ช้าก็ถูกผีกัน เข้าพวกผีไม่ได้ ใช่ไหม…นี่มึงสมัยก่อนมึงกันกูไว้ กูห้ามเข้าพวก เสร็จ ไม่ยอมรับเข้าสมาคมผี กลายเป็นผีจรไป”
    ผู้ถาม :- “แล้วจะทำยังไงล่ะคะ จะไม่ให้ผีมาหลอก…?”
    หลวงพ่อ :- “ความจริงไม่มีผีคนไหนหลอกคน ฉันถามเขาแล้ว ถ้าเรารู้เรื่องสภาวะของผีจริงๆ ผีนี่เขาไม่หลอกอะไรเลย ไอ้ที่แสดงตนให้ปรากฎ นี่เขาต้องการความช่วยเหลือ เพราะเขาลำบาก นี่เขารู้ว่าคนไหนมีบุญพอที่จะช่วยเขาได้
    สมมติว่าคนนี้ถูกรถชนตายตรงนี้ ความจริงเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่เขาจะมาอยู่ที่ตรงนั้นแสดงตนให้ปรากฏ ไอ้เราเลยหาว่าผีหลอก แช่งต่อไปเลย ให้พร ไอ้ผีเป็นไง…ผีก็ร้องไห้ เขาก็เสียใจ เพราะแกอดอยาก ใช่ไหม…
    ไปถามเขาแล้ว เขาบอกเวลาที่จะหลอกน่ะไม่มี แต่พวกที่ล้อพวกนี้ก็ไม่ใช่ผี เป็นพวกเทวดา แล้วก็เป็นเทวดาที่เป็นเพื่อนกันมาก่อน ชอบพอกันมาก่อน หมายความว่าเคยเกิดเป็นเทวดามากับเขา หรือว่าเขาไปเกิดเป็นเทวดา แต่เราไม่ได้เกิดเป็นเทวดา เป็นพวกเป็นพ้องกันมาก่อน พวกนี้จึงมาล้อเล่น”
    ผู้ถาม :- “ถึงรู้อย่างนี้แล้วก็ยังกลัวอีกแหละค่ะ…ตอนเป็นเด็กๆ เขามักจะพูดว่า เดี๋ยวผีหลอกๆ”
    หลวงพ่อ :- “ไอ้ตัวนี้แหละเป็นตัวอุปาทาน อุปาทานมันกิน คิดว่าผีหลอกอยู่เสมอ มันไม่ใช่ของจริง จิตมันข้องอยู่ ก็กลัวอยู่เรื่อย ความจริงผีมันไม่น่ากลัว
    แล้วก็ผีที่คอยติดตามเราอยู่ เราก็ใช้ศัพท์ว่าผี คือพวกเทวดาและพรหมที่เป็นญาติ เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นเพื่อน พวกนี้เขาติดตามอารักขา แต่ว่าบางทีมันจะมีอันตรายเกิดขึ้น อาจจะมีคนดักมาทำร้ายบ้าง เขาแสดงตัวให้เราเห็น เราก็เห็นไม่ได้ เขาพูดเราก็ไม่ได้ยิน
    บางทีเดินไปใกล้ต้นไม้ เขาอาจจะเขย่าต้นไม้ ไอ้การเขย่าต้นไม้นี่เขาต้องการให้เรารู้สึกตัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เราก็ตกใจ อ๊ะ อะไรไม่มีลม ทำไมต้นไม้เขย่าได้ ถ้าเดินต่อไปก็เกิดการระแวง มองหน้ามองหลังกลัวผีหลอก อันตรายก็จะไม่มี เขาให้เราระแวง บางทีเดินใกล้บ้านก็ทุบฝาเรือนบ้าง อะไรบ้าง ทำให้เรารู้สึกตัว แสดงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น อันตรายก็จะไม่เกิด นี่เขาเล่าให้ฟังแบบนี้นะ ถ้าไม่เชื่อไปถามเขาดู”
    ผู้ถาม :- “หนูเคยโดนหลอกมาอย่างหนักค่ะ คือทีแรกนะคะ ไปเยี่ยมเพื่อนค่ะ แม่เขาไม่สบาย บางคืนแกก็ร้องโหยหวน…”
    หลวงพ่อ :- “ถ้าร้องก็แสดงว่าเขาไม่สบายมาก เขาต้องการความช่วยเหลือ เขาอยู่ในเกณฑ์ของความทุกข์ อย่างนี้เขาต้องการความช่วยเหลือจากเรา เราก็แอบไปกลัวเสียอีก อีตานั่นก็เลยร้องฟรีไปเลย”
    ผู้ถาม :-(หัวเราะ)”แต่หนูก็ยังสงสัย เพราะเห็นมีคนแก่นั่งอยู่ตรงปลายเท้า ถ้าเป็นผีเข้า ทำไมถึงไม่อยู่ในตัวของแม่เพื่อนคะ…?”
    หลวงพ่อ :- “คือว่าผีจริงๆ น่ะ เขาไม่ได้เข้าอยู่ในตัว เขาอยู่ข้างนอก เขาใช้กำลังจิตเขาบังคับ คนที่กำลังจิตสู้เขาไม่ได้ เขาจะให้เป็นยังไงก็เป็นยังงั้น
    ฉันก็เคยเจอะมาแล้วเหมือนกัน ที่เขาเรียกว่าผีเข้าๆ นึกว่าอยู่ในตัว แต่ความจริงไม่ใช่นะ คืออยู่ใกล้ แต่ว่าใช้กำลังจิตบังคับให้ปฏิบัติตามเขา คนป่วยนี่กำลังสติสัมปชัญญะนี่มันไม่มี เพราะเวทนามาก ใช่ไหม…เขาก็บังคับง่าย
    แต่ก็น่าสงสัย เพราะว่าอาการเป็นยังงั้น มันมีอาการ ๒ ประเภท คือถ้าเป็นคนตายที่ไม่ใช่เทวดา ก็ต้องเป็นสัมภเวสี ถ้าสัมภเวสีเขามาเข้าแบบนั้น พวกนี้ต้องการความช่วยเหลือ ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่กวนแบบนั้น ที่บอกว่ามีเสียงร้อง ก็ต้องเป็นสัมภเวสีมากกว่า”
    ผู้ถาม :- “แล้วเราจะทำอย่างไรดีคะ ถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือ”
    หลวงพ่อ :- “ก็อุทิศส่วนกุศลโดยเฉพาะเลย ต้องตรงเขานะ ให้ตรงแล้วก็ไม่แบ่งคนอื่น อย่างนี้เขาจึงจะได้
    ไม่เหมือนพวกปรทัตตูปชีวีเปรต พวกนี้เราให้แล้วเราก็ให้คนอื่นต่อไป แต่ว่าสัมภเวสีนี่เขาต้องบอกว่า เขาต้องการอะไร เมื่อให้แล้วก็ให้ตรงโดยเฉพาะเขาจึงจะมีส่วนได้รับ เพราะเขายัง (บาป) หนาอยู่มาก”
    ผู้ถาม :- “ที่โค้งบางปิ้ง เมื่อก่อนมีผีเยอะครับ ตั้งแต่หลวงพ่อลีไปทำบุญแล้วค่อยหายไป พวกนี้คงเป็นพวกสัมภเวสีนะครับ…?”
    หลวงพ่อ :- “ถ้าทำบุญแล้วหายไป แสดงว่าเป็นพวกสัมภเวสี หรือปรทัตตูปชีวีเปรต แต่อย่าลืมนะว่าที่เขาแสดงภาพให้ปรากฎน่ะ แสดงว่าคนที่เห็นน่ะมีบุญพอที่จะช่วยเขาได้ มันเป็นลักษณะแบบขอทานเข้าบ้าน เรานึกว่าเป็นโจรน่ะ เสร็จ เขาหิวเกือบตาย เราคิดว่าเป็นโจรเสียได้ อย่างที่หลวงพ่อลีทำบุญให้แล้วหายไป พวกนี้ถ้าเขามีความสุขแล้ว เขาไม่มากวนอีก
    มันมีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง ตอนนั้นฉันอยู่ที่วัดบางนมโค มีคนไข้คนหนึ่งมารักษา หลวงพ่อปานท่านก็ดู แล้วท่านก็บอกว่า รักษาด้วยยานี่มันไม่หาย เพราะเป็นอำนาจของความกลัวผี
    ฉันก็เลยไปถามแกว่า ก่อนที่จะป่วยมันเป็นยังไง แกบอกว่า วันหนึ่งตอนกลางวัน นั่งไปในเรือกันหลายคน แกเห็นว่ามีคนบรรเลงปี่พาทย์อยู่บนยอดไผ่ ต้นไผ่มันมาก ตั้งวงปี่พาทย์บรรเลง แกเห็นคนเดียว คนอื่นไม่เห็น ก็เกิดความกลัวเลยป่วย อย่างนี้ผีเขาบันดาลให้เห็นคนเดียว แต่ไปกลัวเสียนี่”
    ผู้ถาม :- “บางคนเขาก็บอกว่า ถ้าสวดมนต์บท วิรูปักเข แล้วไม่มีอันตราย เพราะบทนี้เป็นการแผ่เมตตา อันนี้ถูกไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ :- “ใช่…วิรูปักเข นี่แผ่เมตตาตั้งแต่สัตว์ไม่มีเท้า สัตว์มีเท้าน้อย จนกระทั่งสัตว์มีเท้ามาก เรียกว่าแผ่เมตตาไปในสัตว์ทั้งหมด”



    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ หน้า ๗๔-๗๘ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)


    [​IMG]
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ มีอานิสงส์คล้ายพระโสดาบัน

    *** ***

    “… สร้างพระชำระหนี้สงฆ์นี่มันเช็คบาปเก่าตนเอง เงินเท่ากันไปใช้ต่างกัน ไอ้นี่เราซื้อกินเองต้องชำระหนี้ ใช่ไหม พระชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์จริงๆน่ะ ฉันไม่เข้าใจ ฉันเข้าใจตอนที่คุณหญิงคนหนึ่งจะตาย ที่เขาแจ้งมาแล้วฉันไปเยี่ยม ตอนนั้นแกขยับมือก็ไม่ได้ ก็พูดแค่อ้าปาก หูได้ยินชัด แต่ว่ามือก็ยกขยับไม่ได้ ปากอ้าพะงาบๆ พอไปหาแกแล้วประเดี๋ยวก็เข้าห้องพัก แล้วก็นอนนึก พอเข้าสักพักก็หายเหนื่อย ก็นึกว่าคนนี้ตายแล้วจะไปไหน เห็นพระพุทธเจ้าท่านมา แล้วตัวหนังสือขนาดนี้ ท่านชี้ที่หนังสือบอก พระชำระหนี้สงฆ์เขาสร้างแล้ว แล้วท่านก็ชี้เฉยๆสัก ๕ นาที แล้วท่านก็หายไป ก็เลยไม่เข้าใจ พอดีพอท่านไปท้าวมหาราชมา ก็เลยถามท้าวเวสสุวรรณ ว่าเมื่อกี้พระพุทธเจ้าท่านหมายความว่ายังไง ท่านก็เลยบอกว่า คนที่สร้างพระชำระหนี้สงฆ์มีอานิสงส์คล้ายพระโสดาบัน คือบาปเก่าตัดไปเลย มันล้างบาปไม่ได้ แต่กำลังสูง บาปเก่าดึงลงไม่ได้ ถ้าสร้างบาปใหม่ก็ว่ากันอีกทีนะ ถ้าไม่สร้างกฎของกรรมใหญ่ไม่เป็นไร ถ้าเก่า ๆ นี่ ดึงไม่ได้เลย กำลังสูงกว่า นี่เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้ ...”


    -----------------------------------------
    ธรรมโอวาท พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    จาก : หนังสือธัมมวิโมกข์ กรกฏาคม 2538 หน้า ๑๒ เรื่องการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์


    [​IMG]
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    ***การเดินจงกรม ***ธรรมโอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    การเดินปฏิบัติ ท่านเรียกว่า เดินจงกรม
    คือ เดินควบคุมสติ ให้รู้ว่าก้าวไปหรือ
    ถอยกลับ ใหม่ ๆ ท่านให้ฝึกนับก้าว
    ว่าเดินไปได้กี่ก้าวจึงถึงที่หมาย
    ต่อมาให้กำหนดรู้ว่า เราเดินด้วยเท้าซ้าย
    หรือเท้าขวา ให้กำหนดรู้ไว้เพื่อรักษาสมาธิ
    ต่อไปก็เดินกำหนดอารมณ์กรรมฐาน
    ถ้าเป็นกรรมฐานที่มีรูป ก็กำหนดรูปกรรมฐาน
    ไปพร้อมกัน กรรมฐานกองใดได้สมาธิในขณะเดิน
    กรรมฐานกองนั้นสมาธิไม่มีเสื่อม
    วิธีเดิน ตอนแรกๆ ควรเดินช้าๆ เพราะจิตยังไม่ชิน
    ต่อเมื่อจิตชินแล้ว ให้เดินตามปกติ แล้วกำหนดรู้
    ไปด้วย เมื่อใดถ้าเดินเป็นปกติ รู้การก้าวไปและ
    ถอยกลับได้ จิตไม่เคลื่อนและรักษาอารมณ์สมาธิ
    หรือนิมิตกรรมฐานได้เป็นปกติ ทั้งเดินในที่ฝึก
    หรือเดินตามปกติแล้ว ก็ชื่อว่าท่านเป็นนักปฏิบัติ
    ที่เข้าระดับแล้ว พอจะเอาตัวรอด


    [​IMG]
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    การชำระหนี้สงฆ์ ตอนที่ 3

    โดย หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง




    ก็มีตัวอย่างเรื่องหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้
    มีพระองค์หนึ่ง ชื่อ อาจารย์ทิม สำหรับ
    อาจารย์ทิมนี่รุ่นเดียวกัน อยู่ที่สุพรรณบุรี
    เป็นนักก่อสร้าง พระองค์นี้เป็นพระดีมาก
    ระเบียบวินัยก็ดี เจริญสมถภาวนาก็ดี
    แต่ว่าโทษมันมีอยู่อย่างหนึ่ง แกป่วย
    ครั้งหลังสุด กำลังก่อสร้างโบสถ์
    สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี ได้มาก็จ่ายไป
    ทีนี้แกป่วย สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี
    หมอเขาบอกว่าต้องต้มยาหม้อในราคา
    หกสิบบาท ท่านก็เลยขอยืมเงินที่เขา
    สร้างโบสถ์ก่อน ฉันหายแล้ว เวลาใคร
    เขาเอาเงินมาถวายก็จะใช้คืน
    พอปี 2508 ดันตายเสียได้ “ไอ้เงิน
    หกสิบบาทดันเป็นพิษ พระทิมไปนั่งจ๋อง
    ที่สำนักพระยายม” เวลาทุ่มเศษ ๆ
    กำลังนอนสบาย ๆ เห็นเทวดาองค์หนึ่ง
    เป็นพวกวชิระ มายืนปลายเท้า กราบ กราบ
    ถามว่า “มาทำไม” เขาบอกว่า “ท่านใหญ่
    ให้นิมนต์ไปพบครับ” เลยบอกว่า “แกไป
    ข้างหน้า ฉันตามไป”
    ตามไปหน่อยเดียวแกบอกว่า "เดี๋ยวผม
    ไปตามอีกสององค์” แกไปตามอีกสององค์
    เราก็ตรงไป พอถึงก็พบท่านทิมอยู่ที่สำนัก
    พระยายม จึงถามว่า “ไง.....มานั่งอยู่ที่นี่เล่า”
    แกก็บอกว่า "เป็นหนี้สงฆ์อยู่หกสิบบาท”
    ถามว่า "คนอย่างแกเป็นหนี้สงฆ์ด้วยเรอะ”
    แกบอก “เป็นหนี้ตอนใกล้ตาย เพราะหมอ
    สั่งยามาให้ แต่ไม่มีเงิน ทุ่มเทเอาไปสร้าง
    โบสถ์หมด ไอ้เงินส่วนตัวจริง ๆ ที่เรียกว่า
    ตามอัธยาศัยมันไม่เหลือ ก็เอาเงินส่วนนี้
    เอาไปซื้อยา”
    จึงเข้าไปตามลุง (พระยายม) ถามลุงว่า
    “ยังไงนี่.....” ลุงบอกว่า “ยังไม่ว่าไง เดี๋ยว
    ค่อยว่า คอยอีกสององค์ก่อน ยังไม่สอบสวน”
    ถ้าสอบสวนไม่ได้ ของสงฆ์นี่หนักมาก
    ปิดปากเลย ถ้ากรรมไม่ดีละก็หนัก ปิดปาก
    กระเบื้องอันเดียวปิดปากเลย เรื่องบุญนี่
    พูดไม่ได้เลย



    [​IMG]
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    การปั้นพระภายนอกและภายใน

    การฝึกปั้นพระเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง ที่ทำให้หยุดคิดชั่ว
    ขณะหนึ่ง ชั่วขณะที่ได้ตั้งใจทำพระให้เสร็จ ให้ได้แบบ ให้ได้
    รูป ให้สวยงาม ในขณะที่ทำก็จะได้อานิสงส์คือ พุทธานุสติ
    เมื่อมีองค์พระแบบที่ต้องการ กดพิมพ์พระให้สมบูรณ์ก็จะระลึก
    ถึงพระพุทธเจ้า การทำพระให้เป็นนี้เป็นกุศโลบายที่ทำให้ใจที่
    หยาบ ใจที่ว้าวุ่น ใจที่ขัดข้อง ใจที่คิดโน่นคิดนี่ ให้ได้หยุด ได้
    นิ่ง ได้ใส มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งในขณะที่ทำ ขณะที่ทำให้
    ระลึกอยู่เสมอว่า ต่อไปนี้จะตั้งใจกดพิมพ์พระปั้นพระ พระใน
    กาย พระในใจของเราให้ได้รูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุด จิตของลูก
    ให้หมดสิ้นในกามรมณ์ให้หมดสิ้นในโทสะ ให้หมดสิ้นในโมหะ
    ความหลง จะตั้งจิตตรงต่อพระนิพพานเป็นที่พึ่ง ชีวิตเป็นของ
    ไม่แน่นอน ความเกิด ความตายเป็นของธรรมดา เมื่อเกิดขึ้นมา
    แล้วก็ต้องเป็นของยุ่งยาก ในที่สุดมันก็ต้องตาย แต่ถ้ากิเลส
    ของเรายังไม่หมด ก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ มาใช้ชีวิตที่มีความ
    ทุกข์ ความสุขเจือปนอยู่ หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ ตราบใดมี
    การเกิดก็ย่อมมีทุกข์

    ฉะนั้นในขณะที่ปั้นพระให้ตั้งจิตแน่วตรงต่อพระนิพพานว่า
    ชาตินี้ให้พอเสียที เกิดทุกชาติก็ตายทุกชาติ เกิดแล้วตาย เกิด
    แล้วตายวนเวียนกันอยู่เช่นนี้ ทำอารมณ์จิตให้นิ่งให้หยุด ให้
    พิจารณาถึงพระนิพพานเป็นที่ตั้ง ให้กำหนดอารมณ์พระนิพพาน
    ขึ้นที่ศูนย์กลางกาย เราตั้งใจจะปั้นพระภายในกายของเราให้
    สวย ให้งาม ให้ได้แบบที่สมบูรณ์ที่สุด

    ในขณะทำ ทำอารมณ์จิตให้เบา ให้ใส ให้พยายามรักษา
    กำลังใจไว้ว่า...ที่เราทรงขันธ์ห้า อันเป็นภาระอันหนัก ในการ
    แบกอยู่ในโลกนี้ ทำให้เกิดอารมณ์ยุ่งวุ่นวาย จิตไม่หยุดไม่นิ่ง
    ต่อไปนี้เราจะทำอารมณ์พระนิพพาน เราจะปั้นพระภายในกาย
    เพื่อให้เราละจากโลกนี้แล้ว เทวโลก พรหมโลก ไม่ว่าสวรรค์
    พรหมชั้นไหน เราก็ไม่ต้องการ เราต้องการเพียงอย่างเดียวคือ
    พระนิพพาน ฉะนั้นเราจะปั้นพระประจำกายของเราให้ได้
    สมบูรณ์แบบที่สุด ให้ได้ดีที่สุด

    ขณะที่ปั้นพระเมื่อแกะบล๊อกออกมาแล้วก็ตกแต่งให้สวย
    งาม ดูความบกพร่องและพยายามแต่งให้สมบูรณ์แบบที่สุด
    ก็เปรียบเหมือนกับว่าการมาปฏิบัติธรรมก็เพื่อสำรวจความ
    บกพร่องของจิต ว่าจิตของเราบกพร่องอยู่ตรงไหน พยายาม
    แก้ไขให้สู่ระดับความดี อย่างนี้เป็นความดีที่ถึงพระพุทธองค์
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการ

    จำไว้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง ถ้าเราเกาะความไม่เที่ยงเรา
    ก็ทุกข์ แต่ทว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตามอนัตตามันก็เข้ามาถึง อย่า
    ยึดอย่าถือว่า สรรพสิ่งมันเป็นของเรา เป็นของเราให้คิดเสมอ
    ว่า.......... ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะอยู่กับมัน เราจะ
    ตั้งใจของเราให้ใสสะอาดบริสุทธิ เราจะปั้นพระภายในกายของ
    เราให้สวย ให้สมบูรณ์แบบ จงมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ถ้าเรายัง
    ไม่เป็นพระอรหันต์ในเวลานั้นเราก็ขึ้นชื่อว่า ยังไม่เป็นคนดีที่
    สุด เราจะพยายามเก็บความชั่วกิเลส ตัณหา ที่ขังอยู่ในใจ
    ทำลายให้มันตายสนิท อย่าให้เกิดขึ้นมา เมื่อกิเลสความชั่วตาย
    หมด เชื่อว่าจิตว่างจากความชั่ว ทรงไว้แต่ความดี และว่างจาก
    ความทุกข์ จะทรงไว้เพียงความสุขอย่างเดียว ชีวิตเป็นของ
    ไม่เที่ยง แต่ว่าความตายเป็นของเที่ยง ก่อนที่เราจะตายจงคิด
    ว่าเราจะตายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีการตายต่อไปอีก นั่นคือ
    พระนิพพาน ให้ฝึกตายก่อนตาย เอาอารมณ์พระนิพพานเป็นที่
    ตั้ง ขณะที่ปั้นพระ ก็ปั้นพระในกายของเราให้สมบูรณ์แบบ

    ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต
    ธรรมะเป็นของที่ชี้ชวนกันดูไม่ได้
    แต่ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ สามารถรู้เห็นได้ด้วยตนเอง

    พระที่เราปั้นเมื่อแกะออกมาไม่สวยเราล้มทิ้งปั้นใหม่ ปั้น
    มากๆเข้า ก็จะได้พระที่สวยขึ้น แบบที่คมขึ้น ชัดขึ้นใจที่หยาบก็
    ละเอียดขึ้น ๆ ๆ นี่คือประโยชน์หนึ่งในการกดพระ ปั้นพระ
    การนั่งสมาธิก็เป็นอีกกุศโลบายหนึ่งที่ทำให้ใจหยุดใจนิ่ง
    การกดพิมพ์พระเมื่อทำมากๆ เข้าปรากฏว่าพระที่ทำออกมาสวย
    ขึ้น ๆ นั่นก็เพราะจิตของผู้ที่ทำละเอียดขึ้น ๆ ๆ ให้เข้าใจถึง
    แนวรูปแบบวิธีการในการทำ ต้องการให้กำหนดอารมณ์พระ
    นิพพานเป็นที่ตั้ง หากฝึกตั้งแต่ตอนนี้ เวลานี้ เมื่อถึงเวลาละ
    ขันธ์ย่อมมีนิพพานเป็นที่ตั้ง พระนิพพานให้ทำ ณ ปัจจุบันไม่
    ต้องรออนาคตกาล

    ถ้าต้องการหมดทุกข์ หมดภพ หมดชาติ ต้องการความสุข
    ที่แท้จริงก็จงอย่าคิดว่า โลกนี้เป็นของเรา ทรัพย์สินทั้งหมดใน
    โลกนี้เป็นของเรา ร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา ร่างกายของ
    บุคคลอื่นเป็นพวกเราเป็นของเรา จงคิดว่าร่างกายก็เป็นเพียง
    แค่ธาตุที่ขึ้นมาประชุมประกอบขึ้นมาเป็นร่างกาย ภายในร่าง
    กายของเราก็เพียงทำความรู้สึก เพียงแต่สรรพแต่ว่าเห็น
    คือไม่สนใจ ไม่ยึดถือ ว่ามันเป็นกับเรา จะอยู่ด้วยกันตลอด
    กาล ตลอดสมัย ให้ตัดความโลภเสีย ด้วยการให้ทาน
    ตัดความโกรธ ด้วยความเห็นใจซึ่งกันและกันการรู้จักอภัย
    ตัดความหลง ด้วยการยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
    ถ้าสามารถมีอารมณ์ได้อย่างนี้ทั้งหมด จะมีความสุข
    จะรู้จักพิจารณาสัจจธรรมที่แท้จริงของโลก
    สรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็ดับไป

    ต้องพยายามทำทุกวัน ตัดโลภะคือความโลภ
    โทสะคือความโกรธ
    โมหะคือความหลง

    หากสามารถทำลายยักษ์สามตัวนี้ลงได้ทุกวัน ๆ ๆ โลภะ โทสะ
    โมหะ ก็จะหมดไปในที่สุด ความสุขที่แท้จริงก็จะบังเกิดกับทุก
    ท่าน ถือว่าเป็นการฝึกการตายก่อนตาย

    การฝึกปั้นพระก็เป็นการฝึกปั้นธรรมกายในตัวเรา ให้ใจที่
    หยาบ ใจที่ว้าวุ่น ใจที่เกาะเกี่ยวในกิเลส ตัณหา อวิชชา เบาบาง
    ลงจิตก็ละเอียดขึ้น ๆ ๆ จิตก็ใสขึ้น ใสในใส ๆ ๆ อารมณ์พระ
    นิพพานเป็นที่ตั้งของทุกๆ คน

    เมื่อปั้นพระเป็นแล้ว ต่อไปจะเป็นแนววิถีวิชชาธรรมกาย
    ว่า....ในวิชชาธรรมกายเมื่อทำวัตถุมงคลเสร็จแล้ว จะต้องเดิน
    วิชชาอย่างไร เพื่อให้วัตถุมงคลนั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง จะหาความ
    ศักดิ์สิทธิ์ใดในโลกมาเปรียบนั้นไม่มี วิชชาธรรมกายเป็นหนึ่ง
    เมื่อปั้นพระเป็นทำวัตถุมงคลเป็นแล้ว ต้องทำให้เป็น
    วิชชาเป็น วิธีทำวัตถุมงคลให้เป็นกายสิทธิ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
    ตามแนววิชชาธรรมกายเป็นดังต่อไปนี้

    ให้เดินวิชชาเข้าสุดละเอียดที่สุด ผู้ที่เดินเซฟมรรคได้ก็
    ให้เดินเซฟมรรคทับทวีทบไปทวนมาจนใส ใสในใส นิ่งในนิ่ง
    กลางของกลาง สลักเข้าไปกำเนิดตัวเราทั้ง 18 กาย และกาย
    มนุษย์ กลั่นให้ใสละเอียด ละเอียดไป ๆ ๆ จนสุดละเอียด ตั้ง
    เอาธาตุเป็นกสิณ ธรรมเป็นสมาบัติ สลักเข้าไปในไส้ธาตุดิน
    กลั่นธาตุดินให้สะอาด สลักเข้าไปในธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
    อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ แยกธาตุสะอาดฟอกธาตุสะอาด ทำ
    ทบไปทวนมาจนธาตุทั้งหลายใสสะอาด

    ตั้งเครื่องเห็น จำ คิด รู้ กลั่นธาตุเห็น ธาตุจำ ธาตุคิด
    ธาตุรู้ให้สะอาด ตลอดสุดหยาบสุดละเอียด เถาว์ ชุด ชั้น ตอน
    ภาค พืด สุดละเอียดกายให้สะอาด สะสางถึงหยาบสุด กลาง
    สุด ละเอียดสุดให้สะอาด ทำซ้ำๆ ๆ ทั้งธาตุทั้ง 4 ที่ประกอบ
    ขึ้นมาในวัตถุมงคลที่เราทำแล้ว ก็อาราธนาพระพุทธเจ้า พระ
    อรหันต์เจ้า ต้นธาตุพระจักรพรรดิ์ ให้แก้กายเครื่องจักรกายสิทธิ์
    รัตนเจ็ด ที่เป็นไอกรด สะสางกายให้สะอาด อาราธนาวิชชา
    ผ่านวัตถุมงคลที่ปั้นขั้นมาใหม่ทุกชิ้น วัตถุมงคลเหล่านี้จะมี
    กายที่ละเอียดสลักเข้าไป กายในกาย ๆ ๆ เดินพร้อมกับตัวเรา
    พร้อมกัน น้อมเข้าไปในไส้นิพพานแก่ๆ นิพพานเป็นสุด
    นิพพาน ให้เป็นวิราคธาตุ วิราคธรรม วิมุตติธาตุ วิมุตติธรรม
    อาศัยธาตุธรรมทั้งสองชนิดนี้ สะสางธาตุธรรมและวัตถุมงคล
    นั้นให้ใสสะอาด

    เข้าถึงศูนย์บุญในองค์พระพุทธเจ้า พระจักรพรรดิ์
    กำเนิดศูนย์บุญกลั่นให้สะอาด ส่งกายเข้าไปเรื่อยสุดละเอียด
    เข้าถึงแล้ว สุดหยาบเข้าถึงแล้ว อยู่ในศูนย์บุญ ตั้งธาตุดิน น้ำ
    ไฟ ลม อากาศธาตุ วิญญาณธาตุขึ้นมา ประกอบกายมนุษย์
    พิเศษสลักเข้าไปในกลางผ่านดวงเห็น ดวงจำ ดวงคิด ดวงรู้
    ขันธ์ห้า วัตถุมงคลนั้นเป็นธรรมขันธ์ ธรรมธาตุ ฉะนั้นต้องสลัก
    เข้าไปในอายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 เข้าถึงในไส้สุด
    กลั่นให้สะอาด เชื่อมติดกายมนุษย์หยาบและละเอียด ทิพย์
    หยาบ ทิพย์ละเอียด รูปพรหมหยาบ รูปพรหมละเอียด อรูป
    พรหมหยาบ อรูปพรหมละเอียด ปฐมมรรค มรรคจิต มรรค
    ปัญญา โครตภูหยาบ ละเอียด โสดามรรคผล สกิทาคามรรค
    ผล อนาคามีมรรคผล อรหันต์มรรคผล อรหันต์ในอรหัตน์
    ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระจักรพรรดิ์ ตรึกนิ่งเข้าไปที่ผุดดวง
    โพธิญาณของท่าน ซึ่งเป็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอรหันต์
    นั่นเอง ที่แก่ไกลเข้าไปอาราธนาท่านเปิดบุญศักดิ์สิทธิ์ กลั่น
    ธาตุธรรมให้สะอาด

    สลักเข้าไปในไส้ธาตุดิน ฟอกธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม
    วิญญาณ อากาศธาตุ เข้าไปถึงอณูธาตุดิน จนไปถึงหัวแก๊ส
    เซฟทะเล เหตุทะเล กลั่นให้สะอาด อาราธนาพระพุทธเจ้า
    พระจักรพรรดิ์ประจำเต็มหมด

    สลักเข้าไปในไส้ธาตุน้ำ เดินฟอกดิน น้ำ ไฟ ลม
    วิญญาณ อากาศธาตุ เข้าไปถึงอณูธาตุน้ำให้สะอาดจนไปถึง
    หัวแก๊ส เซฟทะเล เหตุทะเล อาราธนาพระพุทธเจ้า พระจักร
    พรรดิ์ประจำเต็มหมด ในอณูธาตุน้ำ

    สลักเข้าไปในไส้ธาตุไฟ เดินแยกฟอกดิน น้ำ ไฟ ลม
    วิญญาณ อากาศธาตุ เข้าไปถึงอณูธาตุไฟให้สะอาด อาราธนา
    พระพุทธเจ้า พระจักรพรรดิ์ ประจำอณูธาตุไฟ

    สลักเข้าไปในไส้ธาตุลม เดินแยกฟอกดิน น้ำ ไฟ ลม
    วิญญาณ อากาศ อณูธาตุลม ให้สะอาดพระพุทธเจ้า พระจักร
    พรรดิ์ประจำเต็มหมด

    สลักเข้าไปในไส้วิญญาณธาตุ เดินแยกฟอกดิน น้ำ ไฟ
    ลม วิญญาณ อากาศธาตุ อณูธาตุเป็นเซฟทะเล เหตุทะเล
    อาราธณาพระพุทธเจ้า พระจักรพรรดิ์ประจำเต็มหมด

    สลักเข้าไปในไส้อากาศธาตุ เดินแยกฟอกดิน น้ำ ไฟ
    ลม วิญญาณ อากาศธาตุ อณูธาตุให้สะอาดเป็นเซฟทะเล เหตุ
    ทะเล สอดเข้าไปในไส้กลั่นละเอียดอีกที พระพุทธเจ้า พระจักร
    พรรดิ์ ประจำเต็มอยู่ อณูธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม นับเป็นแสนอสง
    ขัยกัปป์นับไม่ถ้วน สอดไส้กลั่นเดินเข้าไปในกายที่เล็กที่สุด
    ละเอียดที่สุด ส่งเข้าไปในองค์พระพุทธเจ้า พระจักรพรรดิ์ ไป
    เรื่อย อาราธนาพระพุทธเจ้าในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
    พระจักรพรรดิ์ประจำโพธิญาณของพระพุทธเจ้า 28 พระองค์
    เชื่อมติดหมด พระปัจเจกพุทธเจ้า ประจุอาราธณาพระอิสีติ
    มหาสาวกและนิพพานในอดีตในอดีต ในปัจจุบันในปัจจุบัน
    ในอนาคตในอนาคต นับอายุธาตุ อายุบารมี นับอสงขัยไม่
    ถ้วน ให้ประจำอยู่ในไส้สิบกลั่นให้ใสละเอียด ประจำเต็มหมด
    เข้าไปในต้นธาตุที่แก่ๆ ต้นธาตุที่แก่ๆ ต้นธาตุที่สำเร็จวิชชา
    ธรรมกายองค์แรก ให้สลักเข้าไปในกายในกายให้สะอาด เข้า
    ถึงสุดกายต้นธาตุที่ส่งให้สำเร็จ วิชชาธรรมกายองค์แรก สลัก
    กายกลั่นกายที่แก่ๆ และละเอียดไป ๆ ให้สะอาดสุดละเอียด
    อาราธนาท่านเปิดบุญศักดิ์สิทธิ์สอดไส้เข้าไปด้วย อาราธนา
    บารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิ สิทธิเฉียบขาด อยู่ในไส้
    สอดกลั่นให้สะอาดให้เต็มไปหมด

    ทูลหลวงพ่อต้นธาตุ ขอท่านประสิทธิประสาทความ
    ศักดิ์สิทธิ์ในวัตถุมงคลเหล่านี้ ให้เชื่อมติดสมบัติพันล้านใน
    วัตถุมงคลเหล่านี้ ให้เชื่อมติดกันหมด สอดไส้กลั่นให้สะอาด
    ส่งเข้าไปในไส้ที่ผุดกลั่นให้สะอาด กายผู้ให้ผุดของกายผู้ให้
    ผุด สุดกายผู้ให้ผุดให้สะอาด ตรึกนิ่งเข้าไปในไส้รู้ในนิโรธของ
    องค์พระพุทธเจ้า และพระจักรพรรดิ์ ในไส้ที่สุดรู้สุดญาณสุด
    ตรัสรู้ในนิโรธ ในไส้คำนวณรู้ญาน นิโรธตรัสรู้ในนิโรธในไส้
    เห็น จำ คิด รู้ กำเนิดที่ตั้งถูกเคลือบอยู่กลั่นให้สะอาด เนื้อ
    หนัง ผิว ดวงกลั่นให้สะอาด ธาตุเห็น ธาตุจำ ธาตุคิด ธาตุรู้
    ให้สะอาดในไส้นิโรธของในไส้นิโรธ ผุดดวงโพธิญาณในไส้
    กลางของกลาง กลางของกลาง สะสางให้ไส้กลางนิโรธให้
    สะอาด กำเนิดในไส้นิโรธให้สะอาด ดวงนิโรธให้สะอาดโตเต็ม
    ธาตุเต็มธรรม กลั่นให้สะอาดเปิดตรัสรู้ในเห็น ๆ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก
    ยิ่งมากยิ่งดี ตรัสรู้ในจำ ๆ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกยิ่งมากยิ่งดี
    ตรัสรู้ในคิด ๆ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกยิ่งมากยิ่งดี ตรัสรู้ในรู้ ๆ ๆ ซ้ำ
    แล้วซ้ำอีกยิ่งมากยิ่งดี ตรัสรู้ในนิโรธ ๆ ๆ ตรัสรู้ในตรัสรู้ ๆ ๆ

    เดินเครื่องเข้าไปเรื่อยนับเป็นแสนอสงขัยกัปป์ไม่ถ้วน
    จนถึงที่สุดในที่สุด นิโรธที่สุดขององค์พระพุทธเจ้าและพระ
    จักรพรรดิ์สลักเข้าไปในไส้สุดกลั่น กำเนิดในไส้ละเอียดสุดกลั่น
    ให้สะอาด ที่ติดขาวอยู่ ให้เห็นจุดกำเนิดใสเล็กละเอียดมาก
    ปรากฎขึ้นมาก่อน แล้วเดินเข้าไปในองค์พระพุทธเจ้า พระจักร
    พรรดิ์ ต้นธาตุที่แก่ๆ ต้นไม่มีต้นอีกต่อไป อาราธนาทับทวีทบไป
    ทวนมา คำนวณรวมเป็นหนึ่ง ทุกสี ทุกสาย ทุกกาย ทุกวงศ์
    ทุกองค์ ทับทวีจนเป็นเครื่องเป็น วิชชาเป็น
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    ถาม: การแก้กรรม ทำได้จริงหรือ?
    หลวงตาม้า: คนเรามีกรรมเป็นแดนเกิด ไม่มีใครแก้ได้หรอก หลวงปู่สอนหลวงตาว่า เอ็งไปสะเดาะเคราะห์ มันจะได้เรื่องอะไร กระแสอยู่ที่จิต พลังงานอยู่ที่การกระทำ ถ้าเราบันทึกกระแสบุญบ่อยๆ และถ้าบันทึกตอนที่จิตเรานิ่งๆ พลังงานที่ไม่ดีจะเข้าไม่ได้ ถ้าจิตคิดถึงบุญตลอดเวลา กระแสกรรมก็จะเข้าไม่ได้ แต่ถ้าสวดไปด้วยคิดเรื่อยเปื่อยไปด้วย จะได้เพียงครึ่งเดียว ต้องจ่อเข้าไปจริงๆ และถ้าจิตนิ่งๆจริงๆ กระแสจิตและกระแสแห่งกัมมัฏฐานจะเป็นสายใย เมื่อคิดถึงเมื่อไรจิตจะอยู่เลย อย่างนี้เรียกว่าการเบนกระแส แก้ไม่ได้แต่เบนได้
    ถาม: เราจับพลังงานพระเพื่ออะไร?
    หลวงตาม้า: เวลานึกถึงพระ นึกถึงหลวงปู่ จิตของเราจะอยู่ที่พระ อยู่ที่หลวงปู่ เป็นไตรสรณคมน์ ปิดกั้นพลังงานไม่ดีได้ หลวงปู่ให้เรากำพระระลึกถึงพระบ่อยๆ เป็นกุศโลบายให้จิตเราแนบแน่นกับพลังงานดี ใช้หลบพลังงานที่ไม่ดี (เช่น กรรมไม่ดี เพราะขณะที่จิตติดพระ พลังงานอื่นจะเข้าแทรกไม่ได้) และถ้าจิตติดอยู่กับคำสวด ก็เป็นการพักจิตไปด้วย
    ถาม: ทำอย่างไรให้ได้บุญเยอะๆ?
    หลวงตาม้า: ทำจิตให้สบายๆทั้งวัน ทรงอารมณ์บุญ บุญที่เกี่ยวเนื่องกับเราจะเข้ามาเอง อย่ามัวนึกแต่กรรมเก่าในอดีต มันทำให้เราเศร้าหมอง ให้เบนกระแส อารมณ์ดี จิตสบาย สวดมนต์ จิตเป็นสุข เป็นปิติ ปิดอบายภูมิไม่ตกนรก กำพระสวดมนต์ นึกถึงพระ จิตจะชิน ถ้าไม่ฝึกไว้ เวลาตาย มันจะเคว้งไม่รู้จะไปไหน




    [​IMG]
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    สำหรับท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ

    "... สำหรับท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ เป็นของดี แต่จะต้องทำความรู้สึกไว้เสมอว่า เราปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก เราต้องการรื้อสัตว์ ขนสัตว์ที่มีความทุกข์ให้มีความสุข ฉะนั้น ขณะใดที่กำลังใจปรารถนาพุทธภูมิ จิตจะต้องคิดอยู่เสมอว่า ทุกข์ของตนไม่มีความหมาย แต่ว่าทุกข์ของชาวประชาทั้งหลายเป็นภาระของเรา เขาทำกำลังใจกันแบบนี้ หมายความว่าเราจะทุกข์แค่ไหนนั้นมันเป็นเรื่องของเรา ไม่มีความสำคัญ จิตใจของเรานั้นเราคิดว่า เราจะพ้นทุกข์ได้ เพราะว่าเราช่วยเหลือความสุขแก่บรรดาประชาชนที่มีความทุกข์ ถ้าเราเปลื้องทุกข์ของเขาได้ เราก็เป็นคนหมดทุกข์ เราสร้างให้เขาเป็นคนมีความสุขได้ เราก็เป็นคนมีความสุข จิตใจ
    ของ พระโพธิสัตว์มีอารมณ์อย่างนี้ แต่ทว่าให้เป็นไปตามบารมี ...."
    "...พุทธภูมิ จะต้องมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า เราเป็นผู้ที่ต้องการ
    พระนิพพาน อารมณ์ใดที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงแนะนำในด้านวิปัสสนาญาณ ต้องเกาะให้ติด และมีกำลังจิตใช้ปัญญาพิจารณาไว้เสมอเพื่อความสุขของจิต เพื่อปัญญาเลิศ นอกจากนั้นแล้วก็มีจิตตั้งมั่นไว้เสมอว่าถ้าหากจิตของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องเมื่อไร เมื่อนั้นบารมีของเรานี้ไซร้จะเข้าเต็มเปี่ยมในขั้นพุทธวิสัย ชื่อว่าการปรารถนา พระโพธิญาณ ของเรานี้เข้าถึงแน่ แต่ว่าการที่เรจะเข้า พระนิพพาน คนเดียวเราไม่เข้า มองใจเข้าไว้ว่า บุคคลใดที่มีความทุกข์ในโลก ยังมีความฉลาดไม่พอ บุคคลนั้นเราเองจะเป็นผู้อุ้มเขาไปสู่แดน เอกันตบรมสุข คือ พระนิพพาน อันนี้เป็นกำลังใจของท่านที่ปรารถนา พระโพธิญาณ...."
    .
    .
    จาก...หนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๔ หน้า ๒๘ ข้อที่ ๒๖๙,๒๗๐ หลวงพ่อฤาษี จ.วัดท่าซุง



    [​IMG]
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    สัจจะอธิษฐาน

    [​IMG]


    "ถ้าเราตั้งสัจจะอธิษฐานอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราทำไม่ได้นี่ ขอลาได้ไหม?"

    หลวงตาบอกว่า
    การตั้งสัจจะอธิษฐานนี้ ถ้าเราทำได้ เป็นการเพิ่มกำลังใจ
    ถ้าเราเสียสัจจะ เราก็เสียกำลังใจนะ ถ้าขอลาก็ได้
    แต่กำลังใจเราจะคงที่หรือ

    การเสียสัจจะนี่ ทำให้บารมีไม่เต็ม
    ถ้าเราตั้งสัจจะอธิษฐาน สมมุติตั้งไว้ว่า
    เราจะนั่งสมาธิ พอถึงเวลานั่งก็ต้องนั่งนะ
    ถึงแม้ว่าเราจะนอนก็ต้องคิดว่าเรานั่งสมาธิอยู่
    หมายถึงเอากายใน (กายทิพย์) นั่งก็ได้
    เพราะเราไม่ได้ระบุว่าเราจะใช้กายไหนนั่งสมาธิ
    นอนก็ยึกว่าเรานั่ง
    ถ้าเราอธิษฐานว่าใช้กายนอก (กายเนื้อ) นั่งเราก็ต้องนั่ง

    แต่ถ้าเรากลัวว่าจะทำไม่ได้ ก็ให้อธิษฐานว่า
    ข้าพเจ้าจะภาวนาทุกวัน นี่คือการใช้วิจารณญาณเป็นที่ตั้ง
    ถ้าเราทำได้กำลังใจเราจะเพิ่มขึ้น เพื่อเมื่อเกิดบารมี
    ก็เกิดสัจจะและกำลังใจ

    เวลาเราภาวนา
    ก็ให้ใช้กายใน (กายทิพย์) ภาวนา
    ไม่ใช่กายนอก (กายเนื้อ)
    หลับตาก็นึกว่าเรากำลังนั่งภาวนาข้างหน้าพระ ทำไปเรื่อยๆ
    จิตกับกายจะสัมพันธ์กันตลอด จะไม่ละเมอ
    เพราะช่วงที่จิตกับกายปฏิสนธิกันอยู่จะติดคำภาวนา
    จะไม่มีการละเมอ ถ้าละเมอจะรู้เลย
    ถ้าเอาสติคุม จะรู้ทันทีว่าคือความฝัน

    จิตยังมีกิเลสตัณหาอุปสัมปทา แต่กายนี้สามารถแยกได้
    เราเอากายออกมา แล้วเอาศีลคุมกรรมฐาน

    หลวงปู่ดู่ท่านว่า "พอตื่นขึ้นให้ทำเลย" คือ ลืมตาขึ้นทำเลย
    จะเอาวิปัสสนา หรือจะเอากัมมัฏฐาน 40 เราก็ต้องทำ
    และถ้าจะนอนก็ให้ทำ ทำจนกว่าจะหลับ
    ให้คุมอยู่ตลอด มันจะโผล่บ้างก็ช่วงที่เราคุมอยู่


    คติธรรมคำสอนโดย... พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ ถ้ำเมืองนะ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,381
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,468
    สวดมานานทำไมไม่เป็นอย่างที่หลวงตาบอก

    ศิษย์: ผมสวดมานานทำไมไม่เป็นอย่างที่หลวงตาบอก

    หลวงตา: ถ้าสวดแล้ว มันไม่เป็นอย่างที่เราคิดนะ พิจารณาว่ามันเกิดจากอะไร มันเกิดจากเราไหม เราลดอะไรลงบ้างไหม... ชาวเว็บคิดเอาเองนะ บางคนสวดมานาน สวดมาหลายปี สี่ห้าปีแล้วก็มี ทำไมมันไม่เป็นอย่างที่เราคิด เพราะเราไม่ลดอะไร? การกระทบกระทั่ง... ตัวเองกระทบมากกว่าคนอื่น มันเป็นตัวที่เป็นฝ้า เป็นฝ้าในจิตที่คิดไป ไม่เป็นอย่างที่คิดเพราะมันมีฝ้า ไม่ใช่สวดอย่างเดียวแล้วไม่ปรับเลย ไม่ใช่นะ มันต้องปรับด้วย ต้องเข้าใจนะ บางคนเกิดพรุ่งนี้มาถามว่า โอ๊ย สวดมานาน ไม่เห็นเป็นอย่างหลวงตาว่าเลย ไม่ใช่นะ มันต้องพิจารณาตัวเอง ต้องไปอ่านอิทธิบาทที่สี่ (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)ถ้าความสำเร็จอะไรนี่ ที่มันเป็นคือมันเกิดจากเรา ใช่ไหม เกิดจากเรา ตั้งใจสวด จิตอยู่ที่คำสวด แต่ว่าอะไรก็ไม่รู้ จิตกระทบ ยังไปตามกระแสพวกนี้อยู่ ไม่ได้นะ มันต้องระวังพวกนี้อยู่ มันจึงรับกระแสพวกนี้ได้ จิตมันต้องระวังไง มันต้องชำนาญในการรับ ในการทำให้มันอยู่ ควบคุมมันอยู่ ใช่ไหม เอ้อ อย่างเราโดนปั๊บ กระทบกระทั่งปั๊บ คิดหลายวันยังไม่ออกนี่ สวดไปคิดไป มันก็ไม่เป็นอย่างที่คิดหรอก เพราะมันเกิดจากเราไง เราไม่ทรง ไม่รู้จักทรงอารมณ์ เราต้องระวังสิ่งรอบตัวเราด้วย มันอยู่ใกล้เราและตัวเรานี่ เอ้า ระวังวจีกรรม มโนกรรม กายกรรมด้วย มันประกอบกันนะกับพลังงานที่เราสวด ทำไมจึงไม่เป็นอย่างที่เราคิด

    ข้อมูลจาก... หนังสือหลวงตาสอนศิษย์ เล่ม 2 (หน้าที่ 10)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...