คุยกันเรื่อง - ปฏิจจสมุปบาท

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somchai_eee, 7 พฤษภาคม 2013.

  1. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .............หลังจาก เกิด ภพ ชาติ ชรา มรณะ ก็ย่อมเกิดทุกข์โทมนัสอุปายาส เพราะ หลังจากมีอุปาทานในขันธิ์5 ก็ย่อมหมายมั่นว่า ขันธิ์5เป็นตัวเรา เมื่อมีตัวเราของเราเรื่องราวของเราชื่อนั้นชื่อนี้บ้านนั้นบ้านนี้ ก็ นำไปสู่ ความแก่ของเรา ความตายของเรา ไม่พ้นไปจากทุกข์โทมนัสอุปายาสไปได้เลย...............................แล้วอะไรเป็นปัจจัยอุปาทาน ก็คือ ตัณหาความพอใจไม่พอใจ(กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณา).....:cool:จากอวิชชา ปัจจัย สังขาร สังขารปัจจัยวิญญาน วิญญานปัจจัยนามรูป นามรูปปัจจัย สฬายตนะ สฬายตนะปัจจัยผัสสะ ผัสสะปัจจจัยเวทนา....ลองจินตา ดูว่ายังไม่มีตัวเราของเราเป็นเพียงธาตุที่เป็นปัจจัยแก่กันก่อน... สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2013
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .....ผู้มีอวิชชา คือผู้ไม่รู้อริยสัจสี่ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค)ผู้มี วิชชา คือผู้รู้ทั้งทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางให้ถึงความดับทุกข์.....จะเห็นได้ว่า อริยมรรคมีองค์แปดรวมอยู่ในขบวนการนี้ด้วย ที่เริ่มด้วย สัมมาทิฎฐิ...:cool:
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" พระองค์ผู้เจริญ พระองคืกล่าวว่า อวิชชาอวิชชาดังนี้ ก็อวิชชานั้นเป็นอย่างไรเล่า และด้วยเหตุเท่าไร บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งอวิชชา ..................แน่ะ ภิกษุ ความไม่รู้อันใด เป็นความไม่รู้ในทุกข์ เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือของทุกข์ และเป็นความไม่รู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ นี้เราเรียกว่า อวิชชา และบุคคลชื่อว่าถึงแล้วซึ่งอวิชชา ก็เพราะเหตุไม่รู้ความจริงมีประมาณเท่านี้แล.........................พระองค์ผู้เจริญ พระองคืกล่าวว่า วิชชา วิชชาดังนี้ ก็วิชชานั้น เป็นอย่างไรและด้วยเหตุเท่าไร บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งวิชชา....แน่ะภิกษุ ความรู้อันใด เป็นความรู้ในทุกข์ เป็นความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นความรู้ในความดับไม่เหลือของทุกข์ และเป็นความรู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ นี้เราเรียกว่า วิชชา และ บุคคลชื่อว่า ถึงแล้วซึ่งวิชชา ก็เพราะเหตุรู้ความจริงมีประมาณเท่านี้แล...ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึงทำความเพียรเพื่อให้รู้ตามจริงว่า นี้เป็นทุกข์ นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์ นี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ ดังนี้เถิด--มหาวาร.สํ.19/538-539/694-1695...:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2013
  4. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    พระพุทธองค์บอกว่าถ้าจะสรรเสริญพระองค์ให้สรรเสริญว่าพระองค์ทรงรู้เรื่องปฎิจสมุปบาท
     
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ยึดมั่นอยู่ เรียกว่ามีเครื่องผูกแห่งมาร ผู้ไม่ยึดมั่นอยู่ เรียกว่า พ้นแล้วจากมาร.....ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์เข้าใจซึมซาบแล้ว ข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์เข้าใจซึมซาบแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เธอเข้าใจเนิ้อความแห่งคำที่เรากล่าวแล้วโดยย่อได้โดยพิสดารว่าอย่างไร.....ข้าแต่พระองคืผู้เจริญ บุคคลยึดมั่นอยู่ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาน ชื่อว่า มีเครื่องผูกแห่งมาร ส่วนผู้ไม่ยึดมั่นอยู่ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาน ชื่อว่าพ้นแล้วจากมาร ข้าพระองคืเข้าใจเนื้อความแห่งคำ อันพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยย่อนี้ ได้โดยพิสดารอย่างนี้ พระเจ้าข้า ................สาธุ สาธุ ภิกษุ เธอเข้าใจเนื้อความแห่งคำที่เรากล่าวแล้วโดยย่อได้โดยพิสดารอย่างดี ภิกษุทั้งหลาย เนื้อความแห่งคำอันที่เรากล่าวแล้วโดยย่อนี้ บุคคลพึงเห็นโดยพิสดาร อย่างนั้นแหละ---ขนธ.สํ.17/91/138...
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงความสดุ้งหวาดเสียวเพราะอุปาทาน แก่พวกเธอ เธอทั้งหลาย จงฟังข้อนั้น กระทำไว้ในใจให้สำเร็จประโยชน์ เราจักกล่าวบัดนี้ ภิกษุทั้งหลาย ความสดุ้งหวาดเสียวเพราะอุปาทาน เป้นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ในโลกนี้ ปุถุชนผู้ไม่ได้ยินได้ฟัง ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ถูกแนะนำในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ถูกแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ เขาย่อมตามเห้นเป็นประจำซึ่งรูป โดยความเป็นตนบ้าง ย่อมตามเห็นเป้นประจำซึ่งตนว่ามีรูปบ้าง ย่อมตามเห็นอยู่ประจำซึ่งรูปว่ามีอยู่ในตนบ้าง ย่อมตามเห็นอยู่เป็นประจำซึ่งตนว่ามีอยู่ในรูปบ้าง แต่รูปนั้น ย่อมแปรปรวน ย่อมเป็นโดยประการอื่น แก่เขา วิญญานของเขาก็เป็นวิญญานที่เปลี่ยนแปลงไปตามความแปรปรวนของรูป เพราะความแปรปรวนของรูปได้มีโดยประการอื่น ความเกิดขึ้นแห่งธรรมเป็นเครื่องสดุ้งหวาดเสียว อันเกิดมาจากความเปลี่ยนแปลงไปตามความแปรปรวนของรูป ย่อมครอบงำจิตของเขาตั้งอยู่ เพราะความที่จิตถูกครอบงำด้วยธรรมเป็นเครื่องสดุ้งหวาดเสียว เขาก็เป็นผู้หวาดสดุ้ง คับแค้น พะว้าพวัง และสดุ้งหวาดเสียวด้วยอุปาทาน(ในกรณีเกี่ยวกับการตามเห็น เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาน ก้ได้ตรัสไว้ ด้วยข้อความทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งรูป) ภิกษุทั้งหลาย ความสดุ้งหวาดเสียวเพราะอุปาทาน ย่อมมีได้ด้วย อาการอย่างนี้แล---ขนธ.สํ.17/20/31-32...............(อริยสัจจากพระโอษฐ์ท่านพุทธทาส):cool:
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย อุปาทานมีสี่อย่างเหล่านี้ สี่อย่างเหล่าใหนเล่า สี่อย่างคือ 1กามุปาทาน ความถือมั่นในกาม 2ทิฎฐุปาทาน ความถือมั่นในทิฎฐิ3 สิลัพรตปาทาน ความถือมั่นในศิลพรต 4 อัตวาทุปาทาน ความถือมั่นในวาทะว่าตน ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราห์มบางพวก ซึ่งปฎิญานตัวว่า เป็นผู้กล่าวการรอบรู้ซึ่งอุปาทานทั้งปวง แต่สมณพราห์มณ์เหล่านั้น หาได้บัญญัติการรอบรู้วึ่งอุปาทานทั้งปวงโดยชอบไม่ คือเขาบัญญัติได้แต่การรอบรู้ ซึ่งกามุปาทาน แต่ไม่บัญญัติการรอบรู้ซึ่งทิฎบุปาทาน ไม่บัญญัติการรอบรู้สิลัพรตปาทาน และไม่บัญญัติการรรอบรู้ซึ่งอัตวาทุปาทาน ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สมณพราห์มเหล่านั้น ย่อมไม่รู้จักฐานะทั้งสาม เหล่านี้ตามที่เป้นจริง เพราะเหตุนั้น สมรพราห์มณ์เหล่านั้น ทั้งที่ปฎิญานตัวว่าเป็นผู้กล่าวการรอบรู้ ซึ่งอุปาทานทั้งปวง ก็หาได้บัญญัติการรอบรู้ซึ่งอุปาทานทั้งปวงโดยชอบไม่ คือเขาบัญญัติได้แต่การรอบรู้ซึ่งกามุปาทาน แต่ไม่บัญญัติการรอบรู้ซึ่งทิฎฐุปาทาน ไม่บัญญัติการรรอบรู้ซึ่งสิลลัพตุปาทาน และไม่บัญญัติการรอบรู้ซึ่งอัตวาทุปาทาน..........ภิกาุทั้งหลาย มีสมณพราห์มบางพวก ซึ่งปฎิญานตัวว่า เป็นผู้กล่าวการรอบรู้ วึ่งอุปาทานทั้งปวง แต่สมณพราห์มณ์เหล่านั้น หาได้บัญญัติ การรอบรู้ ซึ่งอุปาทานทั้งปวงโดยชอบไม่ คือเขาบัญญัติได้แต่การรอบรู้ซึ่งกามุปาทาน และบัญญัติได้แต่การรอบรู้ซึ่งทิฎบุปาทาน แต่ไม่บัญญัติการรอบรู้สิลัพรตุปาทาน และไม่บัญญัติการรอบรู้วึ่งอัตวาทุปาทาน ข้อนนั้เพราะเหตุไร เพราะว่า สมณพราห์มณ์เหล่านั้น ย่อมไม่รู้จักฐานะทั้งสองเหล่านั้น ตามที่เป็นจริง เพราะเหตุนั้น สมณพราห์มณ์เหล่านั้น ทั้งที่ปฎิญานตัวว่า เป็นผู้กล่าวการรอบรู้ ซึ่งอุปาทานทั้งปวง ก็หาได้ บัญญัติการรอบรู้ ซึ่งอุปาทานทั้งปวงโดยชอบไม่ คือเขาบัญญัติได้แต่การรอบรู้ ซึ่งกามุปาทาน และ บัญญัติได้แต่การรอบรู้ซึ่งทิฎฐุปาทาน แต่ไม่อาจบัญญัติการรอบรู้ซึ่งสิลัพตุปาทาน และไม่อาจบัญญัติการรอบรู้ซึ่งอัตวาทุปาทาน..................ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราห์มณ์อีกบางพวก ซึ่งปฎิญานตัวว่าเป็นผู้กล่าวการรอบรู้ ซึ่งอุปาทานทั้งปวง แต่สมณพราห์มณ์เหล่านั้น หาได้บัญญัติการรอบรู้ ซึ่งอุปาทานทั้งปวงโดยชอบไม่ คือเขาบัญญัติได้แต่การรอบรู้ ซึ่งกามุปาทาน บัญญัติได้แต่การรอบรู้ซึ่งทิฎฐุปาทาน และบัญญัติได้แต่การรอบรู้วึ่งสิลัพรตุปาทาน แต่ไม่อาจบัญญัติการรอบรู้ซึ่งอัตวาทุปาทานข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สมณพราห์มณ์เหล่านั้น ย่อมไม่รู้จักฐานะหนึ่งอันนี้ตามที่เป็นจริง เพราะเหตุนั้น สมณพราห์มณ์เหล่านั้นทั้งที่ปฎิญานตัวว่า เป็นผู้กล่าวการรอบรู้ซึ่งอุปาทานทั้งปวง ก็หาได้บัญญัติการรอบรู้ซึ่งอุปาทานทั้งปวงโดยชอบไม่ คือเขาบัญญัติได้แต่การรอบรู้ซึ่งกามุปาทาน บัญญัติได้แต่การรอบรู้ซึ่ง ทิฎฐุปาทาน และบัญญัติได้แต่การรอบรู้ซึ่งสิลัพตุปาทาน แต่ไม่อาจบัญญัติการอบรู้ซึ่งอัตวาทุปาทานแล--มู.ม.12/132/156....:cool:
     
  8. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    นำปฏิจจสมุปบาทมาใช้ในชีวิตประจำวัน....
    อวิชา......ความไม่รู้
    สังขาร.......ความปรุงแต่ง
    วิญญาณ......ความรู้แจ้งในการผัสสะแห่งอายตนะ เช่น การเห็น เมื่อ ตาเห็นรูป
    นามรูป.......ขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    สฬายตนะ ....อายตนะภายใน - ภายนอก
    เวทนา ....ความรู้สึกที่เกิดจากการผัสสะ
    ตัณหา......ความอยากได้ อยากมี อยากเป็นไม่อยากเป็น
    อุปาทาน ......ความยึดมั่น
    ภพ .....สิ่งที่เข้าไปยึดถือว่าเป็นที่ต้องการ
    ชาติ ......การดำเนินไป
    ชรา....แก่
    มรณะ.....ตาย
    โศกะ....เศร้าใจ
    ปริเทวะ อุปายาสะ.....โหยหา คร่ำครวญรำพัน

    จาก ความไม่รู้ (อวิชา)
    ทำให้หลงปรุงแต่ง (สังขาร)
    เมื่อเกิดรู้เห็นจากการผัสสะ (วิญญาณ)
    ของสิ่งที่เป็นตัวตนและความรู้สึก (นามรูป)
    จากอายตนะภายในภายนอก ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง(สฬายตนะ)
    เกิดความรู้สึก มีอารมณ์ต่อสิ่งที่ผัสสะแล้ว ชอบ-ไม่ชอบ (เวทนา)
    มีความรู้สึกชอบ ก็อยากได้ อยากมี อยากเป็น (ตัณหา)
    เป็นสิ่งที่เรามีสเป็คอยู่ในใจแล้ว (อุปาทาน)
    ก็แสวงหาวิธีการ วางแผน เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น (ภพ)
    เมื่อได้มาแล้วก็ใช้ อยู่กับมันไปอย่างสุขใจ (ชาติ)
    ใช้มา ครอบครองกันมานาน (ชรา)
    สิ่งที่เราครอบครองอยู่เกิด สูญหาย จากไป (มรณะ)
    มีความเศร้าโศกเสียใจ (โศกะ)
    คร่ำครวญโหยหา ร่ำไรรำพัน (ปริเทวะ อุปายาสะ)

    กระบวนการเกิดทุกข์นี้ ทรงสอนให้เห็นถึงการเกิดทุกข์อย่างละเอียด
    หากเราจะนำไปใช้ ก็จะต้องฝึกที่จิตให้มีสติ ระลึกรู้ ทุกขณะที่เกิดการผัสสะ
    จนเกิดเวทนา หากเราไม่ฝึกสติ เราก็จะมี อวิชาเป็นตัวเริ่ม และรู้ไม่เท่าทัน

    ต่อการเกิด ของผัสสะที่ สฬายตนะ ดำเนินไปสู่ความชอบใจ....เรื่อยไปจน
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย วนเวียนอย่างนี้ เป็น วัฏฏะสังสาระ ไม่รู้จบสิ้น
    เมื่อฝึกสติแล้ว ก็จงระวังการเกิดแห่งเวทนานั้นให้ดี หยุด ให้ทันก่อนเกิดได้
    แล้วเราก็จะไม่เป็นทุกข์ เพราะ เรามี วิชา รู้เท่าทันมันแล้ว ....
     

แชร์หน้านี้

Loading...