ติดตามสถานะการณ์

“ปีนี้จะหนักกว่าปีก่อน ปีก่อนหน้านั้นหลายคนยังสู้อยู่ เหมือนต่อยมวย เรากำลังสู้กับโควิดอยู่ ต่อยไปต่อยมา ต่อยไปต่อยมา สู้กันไปเรื่อยๆ ตอนนี้เราเริ่มหมดแรงแล้ว โควิดมันยังแข็งแรงอยู่เลย ปีนี้เราจะโดนน็อค โดนน็อคไปเรื่อยๆ แล้วก็จะมีหลายธุรกิจที่ค่อนข้างที่จะประคองไม่ไหวแล้ว”
โชติช่วง ศูรางกูร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท หนุ่มสาวทัวร์ จำกัด เล่าถึงสถานการณ์ปัจจุบันของกลุ่มธุรกิจบริษัทนำเที่ยวหรือ ‘ทัวร์ไทย’ ที่กำลังได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดของโควิดระลอก 2 หลังในปี 2563 ธุรกิจทัวร์เดือดร้อนหนักจากการท่องเที่ยวที่หยุดชะงัก โดยเฉพาะในช่วงที่มีคำสั่งปิด
แม้หลังจากนั้นสถานการณ์จะดีขึ้นเป็นลำดับ สร้างความหวังให้กับผู้ประกอบการว่า “ปีหน้าจะต้องดีกว่าปีนี้” แต่การกลับมาของโควิดครั้งที่ 2 ก็ทำลายความหวังของผู้ประกอบการหลายคนลง และมีทัวร์ไทยกว่า 90% ที่ต้องปิดกิจการชั่วคราว หลังจากหลายบริษัทถูกยกเลิกการจอง 100% ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา
“เพื่อนผมหลายคนที่ทำบริษัทนำเที่ยว รอบแรกเขาสู้ พอรอบสองเขาเจอปุ๊ป เขาเลิกสู้แล้ว เพราะยิ่งสู้ต้นทุนก็ยิ่งจม พอประคองไม่ไหวเขาก็ต้องยอมที่จะหยุดชั่วคราวก่อนเพื่อลดเลือดที่มันไหล”
‘โชติช่วง’ ยืนยันว่า แม้รายได้จะหายไปกว่า 97% และติดตัวแดงทุกเดือน หนุ่มสาวทัวร์และธุรกิจท่องเที่ยวในเครือหนุ่มสาวจะยังคงสู้ และตนการันตีกับพนักงานอยู่เสมอว่าจะผ่านสถานการณ์นี้ไปให้ได้พร้อมกัน บริษัทฯ จึงตัดสินใจรักษาการจ้างงาน เลือกใช้หลักการ Leader Eat Last งดจ่ายเงินเดือนของตนเองรวมทั้งคุณพ่อ (ศุภฤกษ์ ศูรางกูร) ก่อน
พร้อมยอมรับว่าถ้าเหตุการณ์ดำเนินไปถึงจุดที่ย่ำแย่ที่สุด วันนั้นเครือหนุ่มสาวอาจจะจำเป็นจะต้องยอมให้กลุ่มธุรกิจอื่นในเครืออย่างเช่นโรงแรมเจ็บเพิ่ม เพื่อพยุงหนุ่มสาวทัวร์ไปจนสุดทาง ถ้าหากว่าในอีก 7 เดือนข้างหน้าที่กระแสเงินสดสำรองของหนุ่มสาวทัวร์หมดลง แล้วยังไม่มีหนทางอื่นในการเติมหรือยังไม่สามารถเสนอบริการทัวร์ได้ตามเป้าหมาย
ผู้บริหารรุ่นสองของหนุ่มสาวทัวร์ เล่าถึงกระบวนการปรับตัวของหนุ่มสาวทัวร์ในหลายทิศทาง ทั้งการยกระดับมาตรฐานความสะอาดและบริการ การปรับทิศมาจับตลาดพรีเมี่ยม รวมถึงการปรับสัดส่วนเน้นขายทัวร์ในประเทศมากกว่าทัวร์เที่ยวนอกที่เคยเป็นตลาดดาวรุ่งอย่างที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าเศรษฐกิจปีนี้จะแย่ลงอีกและ “จุดต่ำสุด” ของการท่องเที่ยวไทยอาจกำลังมาถึงในระยะเวลาอันใกล้
ขณะนี้จึงเป็นเวลาที่ผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องได้รับความช่วยเหลือ หลังจากพยายามด้วยตนเองกันมากว่าปีและไม่สามารถเข้าถึงมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) ที่มีเงื่อนไขมากมายหรือมาตรการอื่นๆ ได้อย่างที่ผ่านมา
โดยเสนอ ‘โปรแกรมรักษาการจ้างงาน’ (Job Retention Program) ขอให้รัฐช่วยอุดหนุนเงินเดือนให้กับพนักงานในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวหรือธุรกิจเอสเอ็มอีในไทยอย่างน้อย 30-50% เช่นเดียวกับโปรแกรมของรัฐบาลไต้หวันซึ่งจ่าย 15,000-18,000 เหรียญต่อพนักงาน 1 คน เพื่อให้ธุรกิจสามารถรักษาพนักงาน รัฐสามารถรักษาการจ้างงาน และท่องเที่ยวสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้
“แล้วก็ต้องรีบทำ ผมเชื่อว่าเราทำช้ามาก เพราะว่าปีหนึ่งแล้ว ผู้ประกอบการยังไม่ได้เห็นว่าเขาได้อะไรเลย ไม่มีอะไรเลย ภาวะฉุกเฉินต้องเปลี่ยนแนวคิดของรูปแบบการบริหารจัดการใหม่ คือเราบริหารงานในช่วงวิกฤต ทุกอย่างต้องเร็ว ต้องแรง แต่ถ้าเกิดเราช้าๆ ค่อยๆ ประคองไป รอให้มันชัวก่อน มันนิ่งก่อนตายกันหมด ผมว่าจะตายกันหมด”
#workpointTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

WorkpointTODAY

 

เปิดภาพลำเลียง ‘วัคซีนโควิด-19 ซีนซิโนแวค’ นำส่งประเทศไทย
นี่คือภาพที่เจ้าหน้าที่กำลังลำเลียงวัคซีนโควิด-19 จำนวน 200,000 โดส จากบริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค จำกัด ขึ้นเครื่องบินขนส่ง เครื่องบินแบบแอร์บัส A350-900 เที่ยวบินของการบินไทยที่ TG675 เส้นทางปักกิ่ง-กรุงเทพฯ ออกจากจีนในเวลา 06.50 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงกรุงเทพฯ เวลา 11.05 น. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ล่าสุด พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ประธานในที่ประชุมคณะผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าเมื่อเวลา 05.50 น.ตามเวลาท้องถิ่นสาธารณรัฐประชาชนจีน เรืออากาศเอก ชาตรี พงษ์ศักดิ์ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการบิน ปฏิบัติหน้าที่นักบินที่ 1 ได้ทำการบินด้วยเที่ยวบินขนส่งสินค้า (Cargo) ทีจี 675 เส้นทางปักกิ่ง-กรุงเทพฯ ขนส่งซีนป้องกันโรคโควิด-19 ล๊อตแรกจำนวน 200,000 โดส จากบริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค จำกัด (SINOVAC BIOTECH CO., LTD.) สาธารณรัฐประชาชนจีน ถึงประเทศไทยที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเวลา 10.05 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้อำนวยความสะดวกให้เที่ยวบินนี้เดินทางมาถึงเร็วกว่าที่กำหนด เพื่อรักษาคุณภาพของวัคซีนและสามารถจัดส่งไปยังคลังโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ บริษัทการบินไทยฯ ได้ทำการบินด้วยเครื่องบินแบบแอร์บัส A350-900 ซึ่งมีลำตัวกว้าง ขนส่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 ด้วยตู้คอนเทนเนอร์ชนิดปรับควบคุมอุณหภูมิได้ระหว่าง -20C ถึง +20C และอุปกรณ์บริการภาคพื้นเพื่อสนับสนุนเที่ยวบินขนส่งวัคซีน รวมถึงรถ Truck Cold Room ที่สามารถควบคุมความเย็น ซึ่งจะช่วยปกป้องวัคซีนไม่ให้สัมผัสกับสภาวะอุณหภูมิสูงในระหว่างการส่งต่อ พร้อมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการขนส่งและดูแลผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าประเภทที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิเพื่อรักษาคุณภาพของสินค้า เช่น วัคซีน เวชภัณฑ์ เป็นอย่างดี ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน GDP (Good Distribution Practice) ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ทั้งนี้ การบินไทย ยืนยันว่ามีความพร้อมในการขนส่งวัคซีนล็อตต่อไป เพื่อช่วยบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
#workpointTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

 

‘เอ็กโซติค ฟู้ด’ หรือ ‘XO’ ปักธงปี 64 หลังแนวโน้มออเดอร์ไหลเข้าไม่หยุด เดินหน้าขยายตลาดยุโรปและจีนตามแผน รับศึกษาแนวทางผลิตซอสกัญชง ปัจจุบันสูตรแล้วเสร็จอยู่ระหว่างรอกฏหมาย ตั้งเป้ากำไรโต 20-25% หลังผลงานปี 63 กําไรสุทธิอยู่ที่กว่า 318 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 161.07% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

วันที่ 23 ก.พ.2564 นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสและเครื่องประกอบอาหารไทยส่งออก เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ทำการศึกษาตลาดและพัฒนาสูตรนำกัญชงมาผลิตซอสปรุงรส จับกระแสตลาดโลก ซึ่งปัจจุบันสูตรผสมแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากบริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้ แต่อยู่ระหว่างรอข้อกฎหมายชัดเจน จึงคาดว่าซอสกัญชงจะเข้ามาผลักดันมาร์จิ้นของบริษัทฯ ให้สูงขึ้นได้ และเป็นโอกาสขยายตลาดไปทั่วโลก

สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2564 ยังมั่นใจว่าจะเติบโตไปตามแผนที่วางไว้ รับแผนการขยายตลาด และการนำเสนอสินค้าใหม่ในกลุ่มซอส ซึ่งมีมาร์จิ้นสูง ขณะที่ แนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 1/2564 มีทิศทางในเชิงบวกต่อเนื่อง จากคำสั่งซื้อล่วงหน้าที่เข้ามาตั้งแต่เดือน ธ.ค.ของปีที่แล้ว นอกจากนี้ แผนลงทุนจ่ายค่าแรกเข้า (Listing fee) บุกตลาดในยุโรปและจีนเพิ่มเติม ยังเป็นไปตามแผน กำหนดเป้ารายได้ปี 64 เติบโต 10-15% ส่วนกำไรตั้งเป้าโต 20-25% ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากปี 2563

หลังจากผลการดำเนินงาน ปี 2563 ทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท แม้ในสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบไปทั่วโลก แต่บริษัทฯ ได้อานิสงส์ในเชิงบวก สินค้ากลุ่มซอสซึ่งเป็นกลุ่มหลักได้รับการตอบรับ มีสัดส่วนยอดขายในปี 63 สูงถึง 82% รวมไปถึง การขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ช่องทางการขายเพิ่มขึ้น และไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงิน เพราะปกติบริษัทฯ ขายเป็นสกุลเงินบาท เป็นส่วนใหญ่ราว 75% ของยอดขายทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นสกุลเงินดอลลาร์ 20% และสกุลเงินยูโร 5%

(สิ้นสุด 31 ธ.ค.2563) มีรายได้จากการขาย 1,267.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 276.94 ล้านบาท คิดเป็น 27.95% เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทําให้ผู้บริโภคหันมา ทําอาหารทานเองที่บ้านมากขึ้น ดังนั้นความต้องการซอสปรุงรสในการประกอบอาหารจึงมีการขยายตัว ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของจํานวนร้านค้าปลีก และอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 60% ส่งผลให้บริษัทมีกําไรสุทธิในปี 2563 เท่ากับ 318.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 161.07% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ พิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.44 บาท โดยการจ่ายเงินปันผลในครั้งนี้เป็นการจ่ายจากผลการดําเนินงานประจําปี 2563 ส่วนที่ได้รับจากกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กําหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 10 มี.ค. 2564 และกําหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 12 พ.ค. 2564 ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สําหรับกําไรสุทธิจากการดําเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.168 บาท เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเงินปันผลรวมประจําปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2563 จะเป็น 0.608 บาทต่อหุ้น

#workpointTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube https://bit.ly/2YDfyiK

 

สถานการณ์น้ำโขงยังวิกฤตเนื่องจากระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563 เป็นต้นมา โดยล่าสุดระดับน้ำเฉลี่ยต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 1 เมตร ซึ่งต่ำสุดในรอบ 10 ปี ทำให้พื้นที่ในลำน้ำบางจุดกลายเป็นหาดทรายวงกว้างและมีระยะทางยาวนับกิโลเมตร อีกทั้งเมื่อน้ำไหลไม่เชี่ยวทำให้เกิดการตกตะกอนจนสายน้ำกลายเป็นสีฟ้าครามคล้ายน้ำทะเล
.
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อลำน้ำสาขาสายหลักทั้งลำน้ำอูน ลำน้ำสงคราม และลำน้ำก่ำ ที่มีปริมาณน้ำน้อย ส่งผลกระทบต่อการทำอาชีพประมง กระทบต่อการขยายพันธุ์ของปลาแม่น้ำโขง ที่ไม่สามารถขึ้นไปวางไข่ได้ตามฤดูกาล รวมทั้งแหล่งน้ำดิบสำหรับทำน้ำประปาอีกด้วย
.
อย่างไรก็ตาม วันนี้ศาลปกครองสูงสุดได้นัดอ่านคำสั่งคดีเขื่อนปากแบง บนแม่น้ำโขงสายประธาน แขวงอุดมไซ สปป.ลาว หลังจากกลุ่มรักษ์เชียงของและเครือข่าย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ได้ยื่นฟ้องศาลปกครอง เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2560
.
เหตุผลในการยื่นฟ้องเนื่องจากการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่ผ่านมาไม่ครอบคลุม เกรงผลกระทบข้ามพรมแดน ซึ่งเมื่อปี 2560 ศาลปกครองมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง ทางกลุ่มรักษ์เชียงของจึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด และศาลนัดอ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุดในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564

.
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ : http://www.igreenstory.co/maekhongpakbang/

 

สำนักทรัพยากรธรรมชาติมณฑลกว่างตง ทางตอนใต้ของจีน เผยแผนการก่อสร้าง "วงแหวนคมนาคม 12312" ที่สามารถเดินทางถึงเมืองใหญ่ในประเทศได้ภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งรวมถึงรถไฟ"แม็กเลฟ"ความเร็วสูงสายปักกิ่ง-ฮ่องกง-มาเก๊า และสาย เซี่ยงไฮ้-เซินเจิ้น-กว่างโจว
.
ซึ่งสเปคของรถไฟ"แม็กเลฟ"ที่เตรียมใช้ในแผนงานนี้ สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็ว 600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางจากเซินเจื้น ไปยังเซี่ยงไฮ้ ระยะทางกว่า 1,500 กิโลเมตร ได้ในเวลาเพียง 2.5 ชั่วโมงเท่านั้น และจากเซินเจิ้นไปยังกรุงปักกิ่ง ระยะทาง 2,200 กิโลเมตร ได้ในเวลา 3.6 ชั่วโมง
#รถไฟความเร็วสูงจีน #ChinaStory #รถไฟความเร็วสูง #เล่าเรื่องจีน #เรื่องจีนจีน

 

สังคมไทยจะปลอดการเผาและสามารถลดการปล่อยฝุ่นพิษ PM2.5 ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่ต้องจัดงาน "วันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า" ในทุกวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ของทุกปี และเพื่อให้ประเทศไทยรอดพ้นจากฤดูกาลฝุ่นควันและมีอากาศบริสุทธิ์ไว้หายใจจะต้องดำเนินการอย่างน้อย 10 ประการ ดังนี้

1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยุบรวมหน่วยงานและจัดตั้ง "กรมส่งเสริมการปรับเปลี่ยนอาชีพในพื้นที่เสี่ยง" แทนกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจต่อประชาชนในพื้นที่เสี่ยง (พื้นที่เผาซ้ำในทุกปี) ในการปรับเปลี่ยนอาชีพการทำเกษตรที่ไม่พึ่งพาการเผาเป็นหลัก รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและท้องถิ่นดำเนินการให้เกิดความยั่งยืนด้านรายได้ (แก้ปัญหาปากท้อง)

2. ภาครัฐยกระดับการบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่าให้ถูกต้องตามหลักวิชาการและไม่ชิงเผาซ้ำในพื้นที่เดิม พร้อมทั้งเพิ่มกำลังคน (ชาวบ้าน/ชุมชนมีส่วนร่วม) และงบประมาณในการควบคุมการบริหารจัดการเชื้อเพลิง (การบริจัดการเชื้อเพลิงต่อพื้นที่ควรเว้นระยะ 3 ปี และไม่เผาเพื่อการขอและใช้งบประมาณ)

3. ผู้ว่าราชการจังหวัดรับผิดชอบการเผาในที่โล่งโดยเฉพาะพื้นที่การเกษตรในทุกกรณี โดยใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและแอปพลิเคชั่นอื่นเพื่อลดแหล่งกำเนิดไฟลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

4. โรงงานอุตสาหกรรมต้องรายงานการปล่อยมลพิษทางอากาศให้กับส่วนราชการที่รับผิดชอบตามกฎหมายทราบและมีการเก็บข้อมูลพื้นฐานการปล่อยฝุ่นควันและมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมทุกภาคทั่วประเทศ

5. หากโรงงานอุตสาหกรรมปล่อยควันพิษเกินค่ามาตรฐาน หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบตามกฎหมายจะต้องสั่งปิดโรงงานนั้นในทันที รวมทั้งให้นำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับประกอบการดำเนินการเพื่อทราบแหล่งที่มาการก่อมลพิษทั่วประเทศ (รวมถึงการก่อฝุ่นควันรูปแบบอื่นที่เป็นมลพิษทุกกรณี)

6. รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานพิจารณาออกกฎกระทรวงยกระดับมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงมาตรฐานยูโร - 5 หรือยูโร -6 ทันทีภายในปี 2564-2565

7. ห้ามรถยนต์ทุกประเภทที่ปล่อยมลพิษเกินค่ามาตรฐานเข้าพื้นที่ในเขตเมืองตลอดทั้งปี การขนส่งของหน่วยงานภาครัฐต้องใช้พลังงานสะอาด 100% และรัฐบาลส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและสนับสนุนสังคมปลอดคาร์บอนโดยให้ประชาชนเข้าถึงการใช้รถยนต์พลังงานสะอาดให้มากกว่าปัจจุบัน 5 เท่า

8. รัฐบาลนำหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle: PPP) มาใช้บังคับโดยเร็ว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการผลิตสินค้าหรือการบริการ

9. รัฐบาลเห็นความสำคัญและผลักดันกฎหมายอากาศสะอาดเพื่อให้มีเจ้าภาพหลักรับผิดชอบการบริหารจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ

10. ส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและการปลูกป่าตามหลักวิชาการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยรัฐบาลนำมาตรการการลดหย่อนภาษีมาสร้างแรงจูงใจ

ทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอแนะส่วนหนึ่งที่ IGreem เห็นว่าภาครัฐในฐานะกลไกสำคัญควรดำเนินการเป็นอย่างน้อย 10 ข้อ แต่อย่างไรก็ตามประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ ภาครัฐโดยเฉพาะรัฐบาลต้องเข้าใจปัญหามลพิษทางอากาศและระดับความรุนแรงของปัญหาให้ถูกต้องและถ่องแท้ เช่น การนั่งรถยนต์ส่วนตัวหรืออยู่ในอาคารตลอดเวลาไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยจากฝุ่นพิษ,

หรือแม้แต่การสั่งการโดยรัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐ แต่รัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้ลงมือปฏิบัติเป็นตัวอย่าง นโยบายนั้นย่อมไม่ประสบความสำเร็จ อาทิ การปล่อยมลพิษจากท่อไอเสียรถยนต์เป็นสาเหตุหลักของฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ แต่รถยนต์หน่วยงานราชการหรือผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐยังไม่ปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด เป็นต้น

#Editorial #Greencult #PM2_5
เครดิตภาพ : RChi Janprateep

 

กระแสความเกลียดชังต่อชาวเอเชียในสหรัฐฯลุกลามบานปลายต่อเนื่องและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงในเร็วๆนี้ ซึ่งทางสำนักข่าว abc ของสหรัฐฯได้เปิดเผยตัวเลขเชิงสถิติสุดช็อกว่า เฉพาะในเมืองนิวยอร์กเมืองเดียวมีชาวเอเชียถูกทำร้ายเพิ่มขึ้นถึง 867 % ในปีที่ผ่านมา
.
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กระแสต่อต้านการใช้ความรุนแรงกับชาวเอเชียกลายเป็นประเด็นทางสังคมอีกครั้ง เมื่อมีการเผยแพร่คลิปจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นว่ามีหญิงชาวเอเชียคนหนึ่งวัย 52 ปี ถูกทำร้ายร่างกายในเมืองฟลัชชิงซึ่งเป็นที่ตั้งของไชน่าทาวน์ ในรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
.
โดยพยานเผยว่าคนร้ายขว้างกล่องช้อนใส่เธอและตะโกนด่าทอโดยใช้คำพูดเหยียดเชื้อชาติ ก่อนที่จะผลักเธอล้มลงจนได้รับบาดเจ็บที่หน้าผากและต้องเย็บถึง 10 เข็ม ทั้งที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิด
.
ขณะนี้บนโลกออนไลน์ได้มีชาวเอเชียจำนวนมากออกมาเล่าประสบการณ์ที่ตนตกเป็นเหยื่อจากความเกลียดชังทางเชื้อชาติ และมีชาวเอเชียจำนวนไม่น้อยที่ถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ หรือบางรายถึงขั้นเสียชีวิต จนกระทั่งแฮชแท็ก #StopAsianHateCrimes ขึ้นเป็นแฮชแท็กยอดนิยมบนโลกออนไลน์
.
กระแสเหยียดชาวเอเชียจนนำไปสู่การทำร้ายร่างกายกัน ลุกลามบานปลายและเกิดขึ้นในหลายเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ชาวเอเชียบางส่วนยอมรับว่าต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดผวา และแม้ว่าตอนนี้จะมีชาวเอเชียตามเมืองต่างๆรวมตัวกันเพื่อแสดงจุดยืนและเรียกร้องความเป็นธรรม แต่การทำร้ายร่างกายจากประเด็นเชื้อชาติก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด
.
เพื่อให้ท่านไม่พลาดทุกสิ่งที่น่าสนใจจากเพจ Thailand State กด Like เพจและตั้งค่า See First เพื่อติดตามข้อมูลดีๆได้เลยครับ
.
Source : t.ly/Oh47
.
#ThailandState #ThailandStateUpdate

 

อิสราเอล : เรือ บรรทุกน้ำมันดิบรั่วไหลกว่า 50 ก.ม. ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้รับความเสียหายชายหาดมีก้อนน้ำมันดิบจำนวนมาก พบเต่า ปลา วาฬ ตายคาดว่าได้รับผลกระทบจากน้ำมัน เจ้าหน้าที่ปิดหาด และสืบสวนหาเรือต้นเหตุ คาดว่าต้องใช้เวลาหลายปีพื้นฟูชายฝั่งและระบบนิเวศ คราบน้ำมันลอยไปตามกระแสน้ำถึงเลบานอน
#เรือต้องสงสัยสัญชาติ กรีซ ผ่านคลองสุเอซ 4ก.พ. และลอยลำในน่านน้ำอิสราเอล 11-13 ก.พ. ปัจจุบันเรือเทียบท่าในสเปน











World Forum ข่าวสารต่างประเทศ

 

ดราม่า! ยูทูบเบอร์หนุ่ม โพสต์คลิปลงติ๊กต๊อก ขณะกินหมูกระทะ ก่อนจะมีสุนัขตกลงมากระแทก ชาวเน็ตรุมประณามดูก็รู้ว่าตั้งใจโยน และเตาไม่มีความร้อน โดยสุนัขยังกินอาหารที่อยู่บนเตาด้วย ก่อนที่คลิปดังกล่าวจะถูกลบออกไปแล้ว โดยมีอยู่ 1 คลิปเจ้าตัวโพสต์ตอบแฟนคลับว่า ยิ่งดังยิ่งได้เงิน เพราะเป็นอาชีพที่ได้เงินง่ายมาก #ข่าวช่องวัน

 

#ประมวลข่าว (23 ก.พ.) ตั้งแต่วันนี้อากาศกลับไปหนาวแล้วอีกครั้งนะคะ ลมแรงมากมาย ระวังเป็นหวัดนะคะ
#ผลพวงแผ่นดินไหววันก่อน
(1) น้ำที่ใช้หล่อเลี้ยงเตาปฏิกรณ์ปรมาณูของโรงไฟฟ้าฟุคุชิมะที่ 1 และ 3 ลดลงอย่างต่อเนื่อง (หายไปหลายสิบเซ็นติเมตร) ซึ่งตอนนี้ก็ต้องเติมน้ำอยู่ตลอด ยังไม่มีผลกระทบอะไร



นอกจากนี้เพื่อป้องกันการระเบิดของไฮโดรเจน จึงต้องเติมไนโตรเจนเข้าไปในเพื่อให้ความดันในระบบอยู่สูง แต่ปรากฎว่าตอนนี้ในเตาปฏิกรณ์ที่ 1 ความดันภายในลดจาก 1.2 กิโลปาสคาล เหลือ 0.1 กิโลปาสคาล หรือ เกือบเทียบเท่าความดันปรกติในอากาศ
Worst case scenario หรือ กรณีเลวร้ายที่สุด ถ้าหาสาเหตุที่น้ำรั่วไม่เจอ หยุดน้ำ และ ปรับความดันไม่ได้ ก็อาจจะเกิดการระเบิดเหมือนตอน 2011 อีก แต่ ณ ตอนนี้ทุกอย่างยังปรกตินะคะ สวดมนต์และเชื่อในนักวิทยาศาสตร์กันค่ะ
✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼
#ปลดล็อกสถานการณ์ฉุกเฉิน
(2) มาข่าวดีกันบ้าง รัฐเตรียมพิจารณาประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินใน 6 จังหวัดล่วงหน้า (โอซาก้า เกียวโต เฮียวโกะ ไอจิ กิฟุ ฟุกุโอกะ) หลังจบสิ้นเดือนนี้ เหลือแค่ 4 จังหวัด (โตเกียว คานางาวะ ไซตามะ ชิบะ)



น่าจะปลด 1 มีนาไปใน 6 จังหวัด
#เฝ้าระวัง
(3)โตเกียวตอนนี้สถานการณ์เริ่มทรง แต่ยังไม่น่าวางใจ



สถิติวันนี้โตเกียวติดเพิ่ม 275 ราย (เกิน 65 ปี 65 ราย)
อาการหนัก 77 ราย (+1)
ยอดตรวจ 4,154 คน
ในขณะที่คลัสเตอร์สายกลายพันธุ์ก็มีตามที่ต่าง ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ที่นีกาตะ เจอไปถึง 13 รายเป็นสายพันธุ์อังกฤษ ไม่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ
สายกลายพันธุ์นี่คลื่นใต้น้ำมากเลยค่ะ คงต้องจับตามองกันอย่างใกล้ชิด
✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼
#โควิด
(4) ยอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มวันนี้:



ยอดเพิ่มวันนี้ +1,083 ราย รวมสะสม 426,375 ราย
เสียชีวิตเพิ่ม +54 ราย รวมสะสม 7,603 ราย
คนอาการหนัก 491 ราย (-19)
หายแล้วสะสม 401,809 ราย
จังหวัดที่เกินร้อย
โตเกียว 275 ราย
ไซตามะ 105 ราย
โอซาก้า 100 ราย
✼••┈┈┈┈••✼••┈┈┈┈••✼
เครดิต:
NHK　https://www3.nhk.or.jp/news/special/coronavirus/data/

https://www3.nhk.or.jp/.../20210223/k10012881251000.html

https://www3.nhk.or.jp/news/html/20...Pf19p1zF1IEVnTfSEZhWz0YrtVlw_vrt70yo4akKtvGJM

#กิ๊ฟจังนั่งเล่า #ข่าวญี่ปุ่น

 

ฮ่องกงอนุญาตรวมกลุ่มได้ 4 คน เริ่มวันนี้!
คิวฉีดวัคซีนโควิด 2 สัปดาห์เต็มแล้ว!
ฮ่องกงประกาศยืดหยุ่น Social-distancing โดยอนุญาตให้มีการรวมกลุ่มได้ไม่เกิน 4 คน (จากเดิมจำกัดที่ไม่เกิน 2 คน) มีผลตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2021
ทางด้านการฉีดวัคซีนโควิดในฮ่องกงนั้น คิวที่เริ่มเปิดให้จองออนไลน์วานนี้สำหรับกลุ่มแรก (priority) ในการฉีด 2 สัปดาห์ ได้เต็มหมดแล้วในช่วงค่ำวานนี้ โดยจะเริ่มทำการฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไป
ศูนย์ที่ทำการฉีดวัคซีนสำหรับ Sinovac จะมี 5 แห่ง ที่ Yuen Long, Sha Tin, Yau Tsim Mong, Kwun Tong และ Wan Chai
ส่วนอีก 24 แห่งทั่วฮ่องกงจะเปิดให้บริการสำหรับวัคซีน BioNtech จากเยอรมนีด้วย ซึ่งจะมาถึงฮ่องกงปลายเดือนกุมภาพันธ์
โดยทางสาธารณสุขจะได้กันสต๊อกสำหรับโดสที่ 2 ไว้ที่คลินิคเดิมที่ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนครั้งแรก
ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.covidvaccine.gov.hk/en/

สถานที่ๆ ฉีดวัคซีน https://www.covidvaccine.gov.hk/pdf/List_of_CVC_Venues.pdf

***ติดตามอัพเดทสรุปประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าในฮ่องกงได้ที่กระทู้ปักหมุด***
https://www.facebook.com/119537452088669/posts/494989721210105/?d=n
Source : https://www.thestandard.com.hk/brea...oyCt5-63iUEJr8G-rwSaArMbsKwZ62oQgIuTBU3x72P-Y

?,
https://hongkongfp.com/2021/02/23/c...YaE_s0DAUaRdD2AIegZb0EVNaJvfagBIuqXbsSenwh9sI

#ข่าวฮ่องกง #khaohongkong








ข่าวฮ่องกง

 

วันนี้ (24 ก.พ.) เริ่มมีการกระจายวัคซีนจากฐานผลิตแล้ว

นายกรัฐมนตรีกล่าว
“วัคซีนเริ่มกระจายสู่ท้องถิ่นแล้ววันนี้ พรุ่งนี้จะเริ่มมีการจัดเตรียมและเริ่มฉีดวัคซีนในวันที่ 26 ก.พ. ตามกำหนดการ หวังว่านี่จะเป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้คนเกาหลีทั่วประเทศ”

“รัฐบาลขอลั่นวาจาว่าจะรับผิดชอบทุกผลกระทบหากมีกรณีมีปัญหากับการฉีดวัคซีน ซึ่งเรามีการเตรียมความพร้อมในจุดนั้นไว้แล้ว”

วัคซีนเอสตราเซเนก้าสำหรับประชาชน 780,000 คนนั้นได้มีการเคลื่อนย้ายไปยังอิชอน และจะกระจายไปยังสถานพยาบาลและบ้านพักคนชราทั่วเกาหลีนอกจากนั้นจะเริ่มมีการฉีดวัคซีนในวันที่ 26 ก.พ. ตั้งแต่เวลา 9:00 น. เป็นต้นไป

 

เผยแพลนกระจายการ ตรวจคัดกรอง ย่านอุตสาหกรรมหลักๆ ทั่วเกาหลี (คอมดัน, ชีฮวา, ฮักวอน และ ชอนัน) ย้ำ! อย่าตื่นตระหนก! ไม่ได้จับกลับ แค่ครวจคัดกรอง!
#thaikuk #thaikuknews #ตรวจคัดกรอง #โควิด #ต่างชาติในเกาหลี
https://thaikuk.com/korea-news/gene...r_Is35EigIur-p1UhixbE7nw-mh1uHue6g4VDS8eZK6TQ

 

ฟิลิปปินส์เสนอส่งออก ‘พยาบาล’ แลกวัคซีนโควิด-19 จาก ‘อังกฤษ-เยอรมนี’
.
รัฐบาลฟิลิปปินส์ยื่นข้อเสนอส่งออกบุคลากรการแพทย์หลายพันคน โดยเฉพาะพยาบาล ไปทำงานในอังกฤษและเยอรมนี หากทั้ง 2 ประเทศตกลงที่จะบริจาควัคซีนป้องกันโควิด-19 ช่วยเหลือแดนตากาล็อก
.
ข้อเสนอจากมะนิลาได้รับการเปิดเผยวานนี้ (23 ก.พ.) ขณะที่ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษออกมาประกาศแล้วว่า “ไม่สนใจ” เนื่องจากต้องฉีดวัคซีนให้แก่คนในประเทศก่อนเป็นอันดับแรก แต่หากในอนาคตมีวัคซีนส่วนเกินก็พร้อมที่จะแบ่งปันให้ต่างชาติ
.
ฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากที่สุดในเอเชีย เริ่มมีการผ่อนคลายกฎห้ามบุคลากรการแพทย์ไปทำงานต่างประเทศ ทว่ายังคงจำกัดจำนวนไม่เกินปีละ 5,000 คน
.
อลิซ วิสเปอราส ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการระหว่างประเทศของกระทรวงแรงงานฟิลิปปินส์ แถลงว่า รัฐบาลพร้อมที่จะขยายเพดานส่งออกบุคลากรทางการแพทย์เพื่อแลกกับวัคซีนโควิด-19 จากอังกฤษและเยอรมนี ซึ่งทางการมีแผนจะนำมาฉีดให้แก่แรงงานที่จะออกไปทำงานต่างประเทศ รวมถึงพลเมืองฟิลิปปินส์อีกหลายแสนคนที่เดินทางกลับเข้าประเทศ
.
พยาบาลเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาชีพในบรรดาชาวฟิลิปปินส์หลายล้านคนที่ออกไปทำงานในต่างแดน ซึ่งคนเหล่านี้มีการส่งเงินสดกลับเข้าประเทศปีละราวๆ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
.
รัฐบาลอังกฤษระบุว่า เวลานี้ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ (National Health Service - NHS) มีพยาบาลเพิ่มขึ้นราว 11,000 คนจากปีที่แล้ว และถึงแม้อังกฤษจะรู้สึกขอบคุณชาวฟิลิปปินส์ราว 30,000 คนที่ทำงานให้กับ NHS แต่ก็ยังไม่มีแผนที่จะค้าขายวัคซีนกับชาติอื่น
.
“เรายังไม่มีแผนที่จะทำข้อตกลงเรื่องวัคซีนกับฟิลิปปินส์เพื่อจัดหาพยาบาลเพิ่มเติม” โฆษกกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษระบุ โดยอ้างถึงคำมั่นสัญญาของนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ที่ระบุว่าจะมีการเตรียมวัคซีนสำรองเอาไว้สำหรับใช้งานในประเทศ
.
“แต่เราได้ยืนยันไปแล้วว่าจะมีการแชร์วัคซีนที่เหลือในอนาคต โดยอาจจะผ่านทางโครงการ COVAX” โฆษกหญิงระบุ
.
ฟิลิปปินส์ต้องการจัดหาวัคซีนรวมทั้งสิ้น 148 ล้านโดส ในขณะที่อังกฤษนั้นกว้านซื้อวัคซีนจากผู้ผลิตหลายเจ้ารวมกันมากกว่า 400 ล้านโดส หรือคิดเป็น 6 เท่าของจำนวนประชากร
.
พลเมืองอังกฤษและเยอรมนีได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้วประมาณ 23 ล้านคน ในขณะที่ฟิลิปปินส์ยังไม่ได้เริ่มโครงการฉีดวัคซีนให้แก่ประชากรวัยผู้ใหญ่ซึ่งมีอยู่ราว 70 ล้านคน หรือ 2 ใน 3 จากจำนวนประชากรทั้งหมด 108 ล้านคน แต่คาดว่าวัคซีนที่ “จีน” บริจาคให้จะเดินทางมาถึงภายในสัปดาห์นี้
.
แม้พยาบาลฟิลิปปินส์จะเรียกร้องให้รัฐขยายโควต้าการส่งออกบุคลากรการแพทย์ไปต่างประเทศเพื่อโอกาสในการหารายได้ที่ดีกว่า แต่แผนการใช้แรงงานแลกวัคซีนนั้นก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่พอสมควร
.
โจเซลีน อันดาโม เลขาธิการสมาคมพยาบาลฟิลิปปินส์ (Filipino Nurses United) ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า “เรารู้สึกสะอิดสะเอียนที่รัฐบาลทำเหมือนพยาบาลและบุคลากรสาธารณสุขเป็นแค่สินค้า หรือผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออก”
.
ที่มา: รอยเตอร์

 

ทำไปเพื่อ!?หนุ่มจีนปีนขึ้นไปซิทอัพบนเสาไฟฟ้า ทำไฟดับเป็นวงกว้าง(ชมคลิป)
ชายคนหนึ่งในจีนปีนขึ้นไปบนเสาไฟฟ้า เพื่อทำซิทอัพด้านบน สร้างความตกตะลึงแก่ผู้พบเห็น และก่อไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง กระทบประชาชนหลายหมื่นครัวเรือน ตามรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่นเมื่อวันอังคาร(23ก.พ.)
ตำรวจพาตัวชายไม่ทราบชื่อรายดังกล่าวไปโรงพัก หลังเขาสร้างวีรกรรมแปลกประหลาดเมื่อช่วงเย็นวันอาทิตย์(21ก.พ.) บริเวณชานเมืองเฉิงตู ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
วิดีโอที่เผยแพร่บนเวยป๋อ สื่อสังคมออนไลน์ของจีนคล้ายทวิตเตอร์ เป็นภาพชายคนดังกล่าวอยู่บนเสาไฟสูงเหนือพื้นราวๆ 10 เมตร กำลังซิทอัพออกกำลังกล้ามเนื้อหน้าท้องอยู่ด้านบน
"บริษัทไฟฟ้าท้องถิ่นจำเป็นต้องตัดไฟเป็นกรณีฉุกเฉิน ส่งผลกระทบหลายหมื่นครอบครัว" หนังสือพิมพ์พีเพิลส์ เดลี ระบุ พร้อมเผยว่าหน่วยฉุกเฉิน ในนั้นรวมถึงเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ต้องรุดไปยังที่เกิดเหตุ
ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าทำไมชายคนดังกล่าวถือตัดสินใจขึ้นไปซิทอัพบนเสาไฟ แต่สื่อมวลชนแห่งรัฐเตือนประชาชนอย่าได้ลอกเลียนแบบพฤติกรรมดังกล่าว "พฤติกรรมของชายคนนี้อันตรายมาก"
เหตุการณ์นี้ยังเป็นประเด็นร้อนที่ถกเถียงกันบนสื่อสังคมออนไลน์ของจีน โดยแฮชแทกหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มีผู้ยอดวิวมากกว่า 1.7 ล้านวิว
"ผมเซ็งมากตอนไฟดับ พอมาเห็นข่าวและรู้สาเหตุ ผมรู้สึกทั้งโมโหและขบขันในคราวเดียวกัน" ผู้ใช้เวยป๋อรายหนึ่งเขียน แต่ผู้ใช่เวยป๋อคนอื่นๆไม่รู้สึกตลกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "ไฟดับอาจทำให้สูญเสียเงินทองมากมายโดยเปล่าประโยชน์ และบางทีอาจนำมาซึ่งอุบัติเหตุถึงตาย"
(ที่มา:เอ็นดีทีวี/เซาต์ไชนามอร์นิงโพสต์)
ชมวิดีโอที่นี่ : https://mgronline.com/around/detail/9640000018261

 

ฮือฮา!วัตถุประหลาดคล้าย'จานบิน'พุ่งผ่านกล้อง ขณะรายงานสดสภาพอากาศในบราซิล(ชมคลิป)
รายงานสดสภาพอากาศเหนือเมืองเซาเปาลูของบราซิล ดูเหมือนถ่ายติดวัตถุปริศนารูปทรงคล้ายจานบินพุ่งผ่านท้องฟ้าระหว่างเกิดพายุ สร้างความฮือฮาและตกตะลึงแก่บรรดาผู้ชมทางบ้านของสถานีโทรทัศน์ Brazil Urgente เป็นอย่างมาก
ผู้ชมทางบ้านหลายพันคนสังเกตเห็นวัตถุรูปทรงปริศนา ระหว่างการรายงานสดสภาพอากาศเหนือเมืองเซาเปาลู เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และภาพวัตถุบินสีเงินไม่สามารถระบุเอกลักษณ์กำลังพุ่งผ่านท้องฟ้าครั้งนี้ ถูกช่องทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลายบนยูทูปนำไปเผยแพร่ต่ออย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์
ในวิดีโอพบเห็นผู้สื่อข่าวของ Brazil Urgente กำลังพูดเกี่ยวกับพายุลูกหนึ่งที่กำลังคืบคลายเข้าถล่มเมือง ระหว่างนั้นวัตถุบินปริศนาก็โผล่ขึ้นมาบริเวณทางขวาของจอ มันพุ่งผ่านหน้าจอโทรทัศน์เป็นแนวตรงและหายไปภายในเวลาราวๆ 10 วินาที
ช่องยูทูบ The Hidden Underbelly 2.0. เป็นหนึ่งในบรรดายูทูบเบอร์ที่สังเกตเห็นภาพปริศนาดังกล่าว "วัตถุนี้ดูเหมือนจะไม่มีปีก มันมีรูปทรงเหมือนหิน แนวทางที่มันเคลื่อนที่น่าทึ่งมาก ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เครื่องบิน เรือเหาะก็ไม่เคลื่อนที่เร็วแบบนี้ และหากพิจารณาอาคารที่อยู่เบื้องล่าง วัตถุนี้มันมีขนาดใหญ่มาก"
"มันใหญ่เกินไปที่จะเป็นโดรน ผมถึงขั้นสงสัยว่ากองทัพจะมีอะไรแบบนี้หรือไม่ มันบ้ามาก" เขากล่าว ส่วน UFOmania ช่องยูทูบอีกช่อง อ้างเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่ไม่เปิดเผยชื่อ ระบุว่าวัตถุดังกล่าวเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าความเร็วเสียง 2 เท่า
ผู้ชมคนอื่นๆไหลบ่าสู่สังคมออนไลน์ แสดงความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับวัตถุบินรูปทรงประหลาดดังกล่าว "มันดูเหมือนจะเป็นวัตถถุรูปทรงจานหากมองจากด้านข้าง" ส่วนอีกคนมองว่า "สำหรับผมมันเหมือนลูกผม TicTac" และคนที่ 3 ระบุ "คิดว่ามันเป็นหนึ่งในวิดีโอของจริงเท่าที่เคยพบเห็นมา"
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อในวิดีโอดังกล่าว โดยบางส่วนคาดเดาว่ามันน่าจะเป็นฝีมือการตัดต่อภาพมากกว่า
(ที่มา:เดลิสตาร์)
ชมวิดีโอที่นี่ : https://mgronline.com/around/detail/9640000018245

 

คดีตัวอย่าง!!ศาลจีนสั่งสามีจ่ายเงินชดเชยภรรยา 2 แสน ค่า'ทำงานบ้าน'

ในคดีแรกภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งใหม่ของจีน ศาลแห่งหนึ่งของปักกิ่งสั่งสามีรายหนึ่งจ่ายเงินหลายหมื่นหยวน แก่ภรรยากำลังหย่าร้างกัน เป็นเงินชดเชยจากทำงานหนักและน่าเบื่อหน่ายตลอดเวลา 5 ปีของชีวีตสมรส คดีที่จุดชนวนการโต้เถียงอย่างเผ็ดร้อนบนสื่อสังคมออนไลน์

ข้อมูลจาก China Women’s News ระบุว่าโจทก์แซ่หวัง ยื่นขอหย่าจากสามีแซ่เฉินเมื่อปีที่แล้ว เธออ้างว่าสามีไม่ใส่ใจหรือไม่มีส่วนร่วมใดๆในงานบ้านทั้งหลายเลย เขาออกไปทำงานทุกวัน ทิ้งให้เธออยู่บ้านเลี้ยงลูก และท้ายที่สุดศาลแขวงในกรุงปักกิ่ง ก็พิพากษาเข้าข้างเธอ สั่งให้ เฉิน จ่ายเงินชดเชย 50,000 หยวน(ราว 2.3 แสนบาท) โทษฐานละเลยแบ่งภาระหน้าที่ภายในครอบครัว

ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งใหม่ของจีน ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม ระบุว่าสามีหรือภรรยา ซึ่งแบกกับความรับผิดชอบมากกว่าอีกฝ่าย ทั้งเลี้ยงลูก ดูแลญาติๆคนชรา ทำงานบ้านหรือทำหน้าที่อื่นๆที่จำเป็น แต่บ่อยครั้งกลับเป็นหน้าที่ที่อีกฝ่ายมองไม่เห็นค่า เขาหรือเธอมีสิทธิ์เรียกเงินชดเชยจากอีกฝ่าย ครั้งที่พวกเขาหาทางหย่าร้างกัน

กฎหมายสมรสใหม่นี้ถูกนำมาแทนที่ประมวลกฎหมายแพ่งเดิม ซึ่งกำหนดให้คู่สมรสที่กำลังหาทางหย่าร้าง สามารถเรียกเงินชดเชยกันได้ก็ต่อเมื่อทั้งคู่ลงนามในสัญญาก่อนสมรสเท่านั้น โดยสัญญาก่อนสมรสนั้นจะระบุเงื่อนไขต่างๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่ปฏิบัติกันนักในหมู่คู่รักชาวจีน

ขณะที่ผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์บางส่วนบ่งชี้ว่าคำตัดสินของศาลเป็นก้าวย่างในทางบวก ของการมุ่งสู่การตระหนักถึงคุณค่าภาระหน้าที่ภายในครอบครัว แต่คนอื่นๆประชดประชันว่าจำนวนเงินชดเชยที่เสนอนั้นค่อนข้างน้อย ไม่สมเหตุสมผลกับภาระอันหนักอึ้งที่เหล่าภรรยาชาวจีนต้องแบกรับ ทั้งนี้จากผลสำรวจทางออนไลน์ของสื่อมวลชนแห่งหนึ่ง พบว่า 93% ของผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 400,00 คน บอกว่าฝ่ายโจทก์ควรได้รับเงินมากกว่า 50,000 หยวน สำหรับการตรากตรำทำงานหนักนานหลายปี

อย่างไรก็ตาม จาง หยาน เลขาธิการทั่วไปของคณะกรรมการด้านกฎหมายสมรสและครอบครับของสมาคมทนายความเสิ่นหยาง ให้ความเห็นว่ากฎหมายเงินชดเชยใหม่จะช่วยปกป้องสิทธิของแม่บ้านมากยิ่งขึ้น

"แม่บ้านไม่ใช่แค่ต้องแบกรับทำงานหนัก แต่การไม่มีงานทำ ก็ทำให้พวกเธอเจอกับปัญหาขาดการติดต่อกับสังคมในระยะยาว" เธอกล่าว "ในแง่ของพลวัตในความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยา โดยทั่วไปแล้วฝ่ายหลังจะอยู่ในฐานะที่อ่อนแอกว่า"

จากขัอมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน บ่งชี้ว่าในปี 2018 ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วต้องทำงานบ้านเฉลี่ยแล้ว 3 ชั่วโมง 20 นาทีต่อวัน มากกว่าฝ่ายสามีถึงราวๆ 1 ชั่วโมงครึ่ง

(ที่มา:เซาต์ไชนามอร์นิงโพสต์/เอเจนซี)

 

ภาพระทึก!รถไฟชนรถบรรทุก เปลวไฟมหึมาพวยพุ่งราวกับหนังฮอลลีวูด(ชมคลิป)
ขบวนรถไฟขนส่งน้ำมันเบนซินระเบิดไฟลุกท่วมราวกับฉากในภาพยนตร์ฮอลลีวูด หลังชนเข้ากับรถบรรทุกขนาดใหญ่ 18 ล้อคันหนึ่งซึ่งกำลังข้ามทางรถไฟ ในรัฐเทกซัส สหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร(23ก.พ.) จากการเปิดเผยของตำรวจ
ภาพวิดีโอของเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่เมืองคาเมรอน ในมิแลม เคาน์ตี พบเห็นกลุ่มควันมหึมาพวบพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นเปลวไฟขนาดใหญ่ก็ลุกพรึ่บราวกับระเบิดปรมาณู ตำรวจเปิดเผยว่าจำเป็นต้องอพยพผู้คนออกจากบ้านเรือนที่อยู่ใกล้เคียง และมีโรงเรือนอย่างน้อย 1 หลังได้รับความเสียหายจากเปลวเพลิง
คนขับรถบรรทุกและคนที่อยู่บนขบวนรถไฟ หลบหนีออกมาได้โดยไม่ได้รับอันตรายใดๆและไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าอะไรคือต้นตอของอุบัติเหตุครั้งนี้
"โชคดี ดูเหมือนทุกคนจะปลอดภัย" คริส ไวท์ นายอำเภอมิแลม เคาน์ตีกล่าวในวันอังคาร(23ก.พ.) บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ณ เวลานี้ยังไม่มีความเสี่ยงอื่นๆเพิ่มเติม และเจ้าหน้าที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญไปที่การดับไฟและปฏิบัติการชำระล้างทำความสะอาดคราบสกปรก
สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าในส่วนของขบวนรถไฟนั้น มีอย่างน้อย 3 โบกี้ที่ไฟลุกไหม้ และตกรางบางโบกี้
ไวท์ เผยต่อว่ารถไฟลำเลียงวัตถุอันตรายบางอย่างในโบกี้ท้ายๆ และเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องปลดโบกี้ดังกล่าวออก และเคลื่อนย้ายมันให้พ้นจากเปลวไฟ "ขอบคุณพระเจ้า เราปลอดภัยจากมัน" เขากล่าวโดยไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าวัตถุอันตรายนั้นคืออะไร
นอกเหนือจากน้ำมันเบนซินแล้ว รถไฟยังบรรทุกถ่านหินด้วย
ทีมฉุกเฉินได้รับแจ้งเหตุการณ์ตอนเวลาราว 6.40 น.(ตรงกับเมืองไทย 19.40น.) และ ไวท์ ระบุว่าเจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงจำนวนมากถูกส่งเข้าปฏิบัติการ ณ จุดเกิดเหตุ แต่เบื้องต้้นทีมตอบสนองชุดแรกยังเข้าไปไม่ถึง เนื่องจากมันร้อนเกินไป และหวังทำการดับเพลิงโดยการใช้โฟมหนัก
เขาบอกว่ารถบรรทุกที่ถูกรถไฟชนนั้นเป็นรถบรรทุกพื้นเรียบ 18 ล้อ และเชื่อว่ามันไม่ได้ขนส่งสินค้าใดๆตอนที่เกิดอุบัติเหตุ
เจ้าหน้าที่ทำการอพยพผู้คนออกจากอาคารต่างๆและบ้านเรือนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ส่วนหนึ่งในมาตรการป้องกันไว้ก่อน และปิดกั้นถนนบางสาย พร้อมแนะนำประชาชนให้หลีกเลี่ยงพื้นที่เกิดเหตุ
(ที่มา:บีบีซี)
ชมวิดีโอที่นี่ : https://mgronline.com/around/detail/9640000018217

 

ศึกล้างเลือด!เกิดเหตุจลาจลในเรือนจำเอกวาดอร์ ตายอย่างน้อย62ราย
นักโทษเสียชีวิตอย่างน้อย 62 รายและบาดเจ็บหลายคนในวันอังคาร(23ก.พ.) หลังเกิดจลาจลในเรือนจำ 3 แห่งในเอกวาดอร์ ดินแดนที่แก๊งคู่อริเปิดศึกเข่นฆ่ากันบ่อยครั้งในสถานคุมขังที่แออัดของประเทศ
เบื้องต้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุบนทวิตเตอร์ว่าจำนวนนักโทษที่เสียชีวิตอยู่ที่มากกว่า 50 คน หลังเกิดความไม่สงบในเรือนจำ 3 แห่งในจังหวัดกัวยัส จังหวัดอาซวยและจังหวัดโคโตปาซี ก่อนเจ้าหน้าที่ปรับตัวเลขเพิ่มเป็นอย่างน้อย 62 คนในเวลาต่อมา
เลนิน โมเรโน ประธานาธิบดีเอกวาดอร์ ทวีตข้อความเช่นกัน โยงเหตุจลาจลกับบรรดาแก๊งอาชญากรรม ที่สอดประสานก่อความรุนแรงพร้อมๆกันในเรือนจำหลายแห่ง อย่างไรก็ตามเขาระบุว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ "กำลังดำเนินการเพื่อควบคุมสถานการณ์"
ตำรวจไม่ได้ระบุว่าสามารถกอบกู้ความสงบเรียบร้อยคืนมาได้หรือยัง หลังเกิดเหตุความรุนแรงในเรือนจำทั้ง 3 แห่ง ขณะที่สำนักงานอัยการเผยว่าเหตุจลาจลที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด 38 คน เกิดขึ้น ณ เรือนจำกูเองกา เมืองหลักของจังหวัดอาซวย
ปาทริซิโอ คาร์ริลโล ผู้บัญชาการตำรวจยืนยันว่ามีเหตุความไม่สงบในเรือนจำหลายแห่งของเอกวาดอร์ และยอมรับสถานการณ์อยู่ในขั้นฉุกเฉิน
นอกจากผู้เสียชีวิตข้างต้นแล้ว ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายราย ในนั้นรวมถึงนักโทษ 2 คนที่เรือนจำกัวยากิล จังหวัดกัวยัส ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส
ขณะเดียวกัน ปาทริซิโอ ปาซมิโน รัฐมนตรีมหาดไทยทวีตข้อความว่าได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการกลางเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เขาเรียกว่าเป็น "ความเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพียงของพวกแก๊งอาชญากรรม สำหรับก่อความรุนแรงตามสถานคุมขังต่างๆ"
ในเดือนธันวาคม เหตุจลาจลตามเรือนจำต่างๆของเอกวาดอร์ อันมีชนวนเหตุจากแก๊งคูู่อริ ส่งผลให้มีนักโทษเสียชีวิต 11 รายและบาดเจ็บ 7 คน
ประธานาธิบดีโมโรโน เคยปรกาศภาวะฉุกเฉิน 90 วันตามเรือนจำต่างๆของประเทศเมื่อปีที่แล้ว ในความพยายามควบคุมความเคลื่อนไหวของแก๊งต่างๆและลดความรุนแรงจากแก๊งคู่อริในสถานคุมขัง
ปัจจุบันมีนักโทษตามเรือนจำต่างๆราวๆ 38,000 คน ในเอกวาดอร์ ประเทศที่มีประชากร 17 ล้านคน แต่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยดูแลพวกเขาเพียง 1,500 คน
SNAI หน่วยงานริการจัดการเรือนจำของรัฐบาล ระบุว่าปัญหาขาดแคลนบุคลากร ทำให้การตอบสนองเหตุจลาจลต่างๆในเรือนจำเป็นไปอย่างล่าช้า
ทั้งนี้ ในปี 2020 ประเด็นพิพาทในเรือนจำ ได้คร่าชีวิตนักโทษไป 51 ศพ
ในความพยายามลดจำนวนนักโทษท่ามกลางโรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ รัฐบาลลดโทษให้คนที่ถูกพิพากษาในฐานความผิดเล็กๆน้อยๆ ซึ่งช่วยลดปัญหานักโทษล้นเรือนจำจาก 42% เหลือ 30%
(ที่มา:เอเอฟพี)