ถาม ตอบ มีสาระ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย telwada, 5 ตุลาคม 2007.

แท็ก: แก้ไข
  1. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    อ้าว คุณขยะศาสนาเอ๋ย ก็บอกไปแล้วยังไม่รู้เรื่องอีกหรืออย่างไรว่ามันผิดตรงไหน
    เอ็งไม่เห็นอ่านภาษาไทยไม่ออกหรืออย่างไร ก็เขียนที่ถูกต้องให้แล้ว แล้วเอ็งไม่รู้หรือว่า พระไตรปิฎกผิดตรงไหน
    ก็สมควรที่จะถูกภาษาที่คุณเอ็งคิดว่าข้าพเจ้าด่านั่นแหละ คำตอบก็มีอยู่แล้ว

    คำถาม,,,,,
    1 พระไตรปิฎกส่วนที่ว่าผิดนั้น ตรงไหน ยกมาเลยตรงนี้ ที่ผ่านมาไม่ต้องสนใจเริ่มใหม่ ยกขึ้นมาตอบใหม่เลย
    2 เมื่อคุณคิดว่า ผิด ก็ชี้แจงมาว่า ส่วนที่ถูกคืออะไรตามความหมายของคุณ

    เอาสองข้อนี้ก่อน
    อย่าพูดว่า หลักธรรม 4 คู่แปดข้อเป็นแม่บทแห่งพระไตรปิฎก เพราะแม่บทแห่งพระไตรปิฎกแท้จริงมาจาก ใจเท่านั้น ไม่มีหลักอะไรมากไปกว่า

    คำตอบ,,,,,ไอ้ขยะสังคมเอ๋ย ก็ หลักธรรมทั้ง 4 คู่ 8 ข้อนั้นแหละเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แล้วเอ็งหนีพ้นหลักการหรือหลักธรรมะของข้าพเจ้าได้หรือไม่
    แล้วคุณเอ็งก็กลับไปอ่าน หลักการหรือหลักธรรมทั้ง 4 คู่ 8 ข้อนั้นใหม่ซิว่า ข้าพเจ้าเขียนไว้อย่างไร คุณเอ็งไม่ได้อ่านมันหรือ
    หลักการหรือหลักธรรมทั้ง 4 คู่ 8 ข้อนั้น ไม่มีในพระไตรปิฎกดอกนะ แต่มันอย่างอื่นแทน แล้วเอ็งรู้หรือยังว่า พระไตรปิฎกผิดตรงไหน
    หัดใช้สมองคิดพิจารณา ในหลักการหรือในหลักธรรม เพราะพิจารณาได้ตามความหมายของภาษาอยู่แล้ว
    คุณเอ็งนั้น ไม่ใช่คนในศาสนาพุทธ เพราะคุณเอ็งไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนไปทั้ง 4 คู่ 8 ข้อนั้นคืออะไร คุณเอ็งจะอยู่ศาสนาไหน ประเทศใด ก็ไม่มีทางหนีพ้น จากหลักการหรือหลักธรรมะของข้าพเจ้า
    คุณเอ็งจึงได้ขยั้นขยอ จะเอาคำตอบ ไม่รู้จักคิด จะเอาไปพิมพ์ขายหรืออย่างๆไร ลิขสิทธิ์ทางปัญญาคุ้มครองอยู่นะไอ้หนู

    คำถาม,,,,,,
    คนชั่วนี่มันก็ทำอะไรไปได้เรื่อย เถียงก็เถียงข้างๆคู ถ้าเป็นปราชญ์ ก็ให้ยกข้อแย้งขึ้นมาทีละข้อที่ถามไป
    และเวลาจะสอนธรรมใคร ถ้ามีเมตตา ต้องตั้งจิตว่า สอนไปนั้น คนเขาเอาไปใช้ได้จริงหรือไม่ ไม่ใช่พูดจาเรื่อยเปื่อย สักแต่ว่าพูดในสิ่งที่ตนคิด

    คำตอบ,,,,,,
    ถูกของคุณเอ็งว่า แต่คนที่ชั่วไม่ใช่ข้าพเจ้าดอกนะ แต่เป็นเอ็ง ข้าพเจ้าจะสอนอย่างไรมันก็เรื่องของข้าพเจ้า เอ๊งโง่ เอ็งก็ไม่เข้าใจ เอ็งจะมาเซ้าซี้ข้าพเจ้าทำหอกอะไร ไอ้ขยะ
    ที่ข้าพเจ้าสอนไป สมองขยะอย่างเอ็งคงนำไปใช้ไม่ได้ เพราะเหตุนี้ เขาจึงแบ่งคนไว้เป็น บัว 4 เหล่า
    อย่างคุณเอ็งนะ มันประเภทอยู่ใต้ดินใต้โคลนตม มีแต่บาปละวะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2007
  2. TK the Naka

    TK the Naka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,190
    พี่เทวดา แล้วถ้าข้าพเจ้า จะถามความรู้เรื่องอื่นๆ ทางศาสนา
    ตอนนี้จะมีอารมณ์ตอบให้ไหม ตอนนี้มีเรื่องอยากรู้อีกมากมายครับ
    โดยเฉพาะเรื่องเทพเทวดา
     
  3. ยายผี 2 บาท

    ยายผี 2 บาท สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +23
    จริงหรอ
     
  4. ยายผี 2 บาท

    ยายผี 2 บาท สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +23
    แหม นานๆทีลุงเทวดาจะออกมา
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ไปแล้ว เทวาด่า แต๋วแตกไม่เป็นขบวน
    ตอบไม่ถูกมีแต่ด่าเป็นอย่างเดียวแล้วครับ

    ก็อยากจะบอกว่า ธรรมไม่แท้ มันก็ไม่ทนแบบนี้แหละ
    ถามอะไรตอบไม่ได้สักอย่าง

    ก็ด่าไปเถอะนะ ผมไม่ถือหรอก เด็กงอแง ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนเขาโกรธหรอก หนู
    ก็ จำเอาไว้เป็นบทเรียน ในตอนแก่ ว่า อย่าพล่ามอะไรส่งเดช คนมีปัญญาเขามีอยู่ มาก เขาจะรู้จะเห็นว่า
    คนโง่นี้พูดอะไร มีลักษณะอย่างไร
     
  6. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณอย่าเข้าใจผิดคิดว่า ข้าพเจ้ามีอารมณ์โกรธเขา หรือไม่มีอารมณ์ตอบคำถาม

    ถามมาได้เลยขอรับ ตอบได้ก็จะตอบ ตอบไม่ได้ก็จะค้นหามาตอบวันหน้า

    เชิญถามมาได้เลยขอรับ
     
  7. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    เราเข้าใจดี ว่าใบไม้ในป่าใหญ่เป็นอย่างไร ใบไม้ในกำมือเป็นอย่างไร?

    แต่สิ่งที่เราเข้าใจมากยิ่งกว่า คือ ใบไม้เกิดมาได้อย่างไร นี่คือประเด็น!
     
  8. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817

    ใบไม้ จะเรียกว่า เป็นอวัยวะอย่างหนึ่ง ของต้นไม้ก็ไม่ผิดนัก เพราะหากจะเปรียบเทียบกับมนุษย์หรือสัตว์บางชนิดแล้ว
    ต้นไม้ก็มีส่วนประกอบ อันอาจเรียกว่า อวัยวะของต้นไม้ก็ย่อมได้
    อวัยวะของต้นไม้ก็คล้ายมนุษย์หรือสัตว์บางชนิด ที่อวัยวะเดียวสามารถทำหน้าที่ได้หลายๆอย่าง
    ดังนั้น ใบไม้จึงเกิดมาได้จากพันธุกรรม หรือกรรมพันธุ์ ของต้นไม้
    ถ้าเป็นมนุษย์ก็ย่อมเกิดมาจากพ่อแม่
    ต้นไม้ก็ย่อมเกิดจากพ่อแม่ของมัน แต่การเกิดของต้นไม้ แตกต่างจากมนุษย์ ดังที่คุณคงเคยได้เล่าเรียนวิชาเกษตรมาบ้างแล้ว
    เมื่อมนุษย์เกิดมามีอวัยวะครบ 32 ประการ คือมีแขนมีขา มีหน้าตาเหมือนกับพ่อแม่ หรือปู่ย่า ตายาย
    ต้นไม้เมื่อเกิดมา ก็ย่อมต้องมีอวัยวะครบตามเผ่าพันธุ์ ของมัน คือมีราก มีลำต้น และมีใบ
    และนี้คือคำตอบที่ว่า ใบไม้เกิดขึ้นได้อย่างไร
     
  9. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    คุณเทวดานี่ ไถ่นาดำน้ำไปได้เรื่อยจริงๆ เฮ้อ!!!

    มิจฉาทิฐินี่แก้ยากจริงๆ
     
  10. จันทรุปราคา

    จันทรุปราคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +659

    00หนังสือบางเล่ม เราอ่านตั้งเป็นสิบๆรอบยังไม่แตกฉานเลยแต่ฉะฉานอ่ะได้
    พระไตรปิฏกยิ่งไม่กล้ายกขึ้นมาคุย กลัว00
    (b-glass)
     
  11. จันทรุปราคา

    จันทรุปราคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +659
    ลามะลิลา...ขึ้นต้นละเป็นมะลิซ้อน พอแตก ใบอ่อน อ่อน ก็ได้เป็นดอกปัญญา

    หลวงพ่อบอกว่า มะม่วงอ่อน ก็กลายเป็นแก่ พอแก่ ก็กลายเป็นสุก พอสุกมันก็เน่า พอเน่าก็เหลือเมล็ด พอปลูกเมล็ดก็กลายเป็นต้น พอต้นก็แตกใบอ่อน

    ลา..ละ มะลิลา...ขึ้นต้นเป็นผลไม้ พอออกผลไปก็เป็น ลูกเดิม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2007
  12. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    (ถาม)
    ดิฉันมีอาการปวดหัวมากใจสั่น กระวนกระวาย อึดอัดหายใจไม่ออกเหมือนจะขาดใจ หมอบอกว่าเป็นโรคแพนิค ตอนนี้ยังต้องทานยาที่หมอให้มาอยู่พยายามจะไม่คิดเพราะตนเองกลัว กลัวต่างๆ นาๆ กลัวว่าตนเองจะเป็นอะไร กลัวลูกจะอยู่อย่างไร ตื่นขึ้นมาตอนเช้าจิตใจมันห่อเหี่ยวมาก ไม่อยากจะทำอะไรเลย ก่อนที่จะมีอาการเช่นนี้ดิฉันไปทานยาผิดแล้วปวดหัวเครียดมาก น็อกจนเข้าโรงพยาบาลหมอให้พบกับนักจิตวิทยาและให้ยาคลายเครียดมาทานเขาให้ทำtest นักจิตวิทยาแนะให้พบจิตแพทย์และดิฉันจึงได้ทราบว่าตนเองเป็นโรคแพนิคทุกวันนี้ต้องฝืนทำงาน อยู่คนเดียวไม่ได้ จากคนที่เป็นคนมีความมั่นใจในตนเองทุกอย่างทุกสิ่งหายไป ไม่กล้าไปไหนคนเดียว แต่ตอนนี้ก็ยังทำงานอยู่ ( แบบฝืน ๆ) ดิฉันเป็นครูคะ ตอนนี้ดิฉันทุกข์ใจมาก อยากจะหาย ห่วงลูกมาก เขายังเล็กอยู่ 2 ขวบ และ 7 ขวบ ดิฉันก็ไม่ทราบสาเหตุเช่นกันว่ามันเกิดจากอะไร แต่มันอาจจะพ่วงมาตั้งแต่สมัยที่ดิฉันเป็นเด็กก็ได้ดิฉันนอนร้องไห้เกือบทุกคืน ผู้คนเขาอิจฉาดิฉันที่มีลูกน่ารัก มีสามีที่ดีแต่ทำไมดิฉันเป็นโรคนี้ กลัวขึ้นมาอีกแล้ว กลัวตนเองจะบ้า กลัวสามีเบื่อหน่าย เพราะเวลามันจะมีอาการมันจะไม่เลือกเวลา สถานที่ อ่อนแรงขึ้นมาเฉยๆ ช่วยตอบดิฉันด้วยเถิดว่าจะทำเช่นไร ทุกข์ใจมาก

    (ตอบ)

    โรคแพนิค อะไรนี้ ข้าพเจ้าเคยประสบมาบ้าง แต่ไม่ได้คิดว่าเป็นโรคนี้
    แต่รู้ว่าเกิดจากสมองทำงานสับสน ข้อมูล อันเกิดจากประสบการณ์ เกิดจากการเรียนรู้ และหรือ ข้อมูลอันเกิดจาก บทบาทและหน้าที่ เกิดการปรุงแต่ง(ศัพท์ภาษาทางศาสนา) หรือคลื่นข้อมูลแต่ละอย่างเกิดการกวนหรือรบกวนซึ่งกันและกัน จึงทำให้เกิดความคิดหรือข้อมูลใหม่ว่า กลัวตาย กลัวรถชน กลัวลิฟต์หยุด หรือ อื่นๆ ขึ้นมาในทันทีทันใด เหตุเพราะบุคคลผู้เกิดอาการ มีสมาธิน้อย ไม่สามารถควบคุมคลื่นความคิดของตัวเองได้ ประกอบกับได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ เครียดหรือจริงจังหรือคิดแต่ในเรื่องทำงานมากเกินปกติ ไม่รู้จักแบ่งเวลาให้ตัวเองได้คลายเครียด หรือพักผ่อน
    การรักษาต้องรักษาทางจิตเวช ควบคู่ไปกับการประพฤติปฏิบัติของเจ้าตัว เช่นแบ่งเวลา (เขียนไว้) ให้มีเวลาพักผ่อน คลายเครียด นั่งสมาธิ เป็นประจำ
    ก็จะหายเป็นปกติได้
    ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขอรับ เพราะอาการแบบนั้น เป็นไม่บ่อยนัก และอาการเหล่านั้น มักจะเกิดขึ้นกับทุกคน แต่อาการจะรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับคลื่นข้อมูลที่มีอยู่ในสมอง
    อ้อ เกือบลืมไป อย่าลืมเรื่องการรับประทานอาหาร ให้พอเพียง และพยายามให้ครบห้าหมู่ ครบห้ามั่วก็ได้ สมัยนี้ ความรู้หาได้ง่ายขึ้น ขอรับ
     
  13. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คำตอบนี้ ไม่ใช่เป็นการตอบแบบดำน้ำ หรือยกเมฆ แต่ตอบไปตามหลักวิชา
     
  14. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ตัวดิฉันเอง ป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์ ดิสออเดอร์ หรือโรคอารมณ์สองขั่ว (ต้องการทราบอาการก็หาใน google เพิ่มนะคะ) เริ่มป่วยตอนอายุ 25 ปี ตอนนี้ก็ทานยาต่อเนื่องมา 4 ปีแล้ว ตอนเริ่มเป็นโรคนี้ ก็จะรับสภาพไม่ได้ เพราะอาการเหมือนคนบ้า พูดคนเดียว เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ อาการจะเป็นอย่างนี้ประมาณ 6 เดือน และก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น ... โรคทางสมองมันต้องใช้เวลารักษาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญก็คือ การทำใจยอมรับว่าเราป่วยเป็นโรคนี้ ... คอยสังเกตุว่ามีปัจจัยอะไรจะกระตุ้นให้อาการของโรคกำเริบได้ ... หาวิธีป้องกันรักษาตนเองโดยการทานยาอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดยาทันที หรือลดปริมาณยาเอง จะทำให้โรคกลับมาเป็นอีก และรักษายากขึ้น ... แสวงหาสิ่งที่ทำให้อาการป่วยน้อยลง ปัจจุบันนี้ดิฉันจะสวดมนต์ ทำสมาธิ ทำโยคะ นวดอวัยวะภายในร่างกายด้วยตนเอง (จะหาซื้อหนังสือพวกดูแลสุขภาพด้วยตนเองประมาณนี้) การดูแลร่างกายต้องทำต่อเนื่อง จึงเห็นผลค่ะ ... ตอนนี้สุขภาพก็ดีขึ้นกว่าเดิม แต่จะให้เหมือนเดิมเลยเป็นไปไม่ได้ ... การที่เราป่วยจะทำให้เราเห็นธรรมะ และเข้าใจตนเอง และคนอื่นได้มากขึ้น ... การยอมรับกับโรคที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ช่วง 2 ปีแรก ร้องไห้แทบทุกวัน เพราะทรมานมาก เพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ กว่าจะทำให้ใจก็นาน แต่พอทำใจได้แล้ว ชีวิตจะมีความสุขขึ้น อีกอย่างต้องทำใจว่ามันเป็นกรรมของเราด้วย เราอาจเคยทำใครทุกข์ใจไว้มากก็ได้ ตอนนี้เราทราบผลกรรมนี้แล้ว ก็พยายามทำดี แผ่กุศลให้ท่านผู้ที่เราเคยล่วงเกินทุกอย่างก็จะดีขึ้นตามลำดับค่ะ

    ตอบ........................
    โรคไบโพล่าร์
    โรคนี้ ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าไปอ่าน และวิเคราะห์จากเอกสารแล้ว อาการ
    เหมือนกับ เหล่าบุคคลที่ถูกกิเลสคือ ความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง เข้าครอบงำ จนทำให้เกิดความผิดปกติที่หัวใจ คือเกิดความท้อแท้ เบื่อหน่าย เมื่อไม่ได้ดังใจก็จะมีอารมณ์ฉุนเฉียว ก้าวร้าว ถ้าเป็นศัพท์ภาษาทางศาสนาเมื่อเริ่มมีอาการคือ จะเกิดความเศร้าหมองในจิตใจ เพราะจิตใจหรือหัวใจและสมองได้รับข้อมูลที่ทำให้เกิดความสะเทือนใจเสียใจหรือเศร้าใจ ซ้ำกันบ่อยครั้งจนสมองจดจำสิ่งนั้นไว้ ความสะเทือนใจเสียใจหรือเศร้าใจเหล่านั้น ก็จะแปรเปลี่ยนหรือถูกปรุงแต่งให้เกิดเป็นความคิดว่าได้สมหวัง ก็จะเกิดอาการดีใจ ถ้าถูกปรุงแต่งให้ผิดหวังก็จะเสียใจ หรือกลายเป็นความโกรธ ฉุนเฉียว อย่างนี้เป็นต้น
    ผู้ที่มีอาการดังกล่าวข้างต้นนั้น เนื่องเพราะมีข้อมูลที่ทำให้เกิดอาการเหล่านั้น แต่ไม่มีข้อมูลที่จะลบล้างความเศร้าหมองในจิตใจ อันเนื่องจากขาดความอดทน หรือขาดการได้รับการอบรมขัดเกลาจากสิ่งแวดล้อมมาก่อน จึงทำให้จิตใจอ่อนไหว คือไม่เข็มแข็งควบคุมคลื่นความคิดความจำเหล่านั้นไม่ได้ นานวันจึงกลายเป็นอาการของโรคดังกล่าว
    โรคไบโพล่าร์ นี้จากเอกสารการแพทย์บอกว่า รักษาให้หายสนิทได้ แต่อาจกลับมาเป็นใหม่ได้อีก
    ก็แสดงว่า หากผู้ป่วยไม่รู้จักควบคุมความคิด ไม่รู้จักฝึกฝนตนเองให้มีความเข็มแข็งทางจิตใจแล้วก็จะกลับมามีอาการของโรคได้อีก
    ดังนั้นผู้ป่วยควรได้ฝึกปฏิบัติให้เกิดสมาธิ คือฝึกการใช้ใจจดจ่อในสิ่งนั้น หรือฝึกการใช้ใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น ให้มากที่สุด การฝึกการใช้ใจจดจ่อในสิ่งนั้น หรือการฝึกการเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น ก็เพื่อให้เกิดสมาธิ หรือจะเรียกสั้นๆว่า "ฝึกสมาธิ"ก็ได้
    แต่จะต้องฝึกให้ถูกวิธี ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมความคิด และอวัยวะต่างๆก็จะได้รับการพักผ่อน ขณะที่ยังไม่นอนหลับด้วย รับรองอาการของโรคไบโพล่าร์ นี้ก็จะหายขาดไม่กลับมาอีกเลย
    ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือควรได้คิดพิจารณาหลักการหรือหลักธรรมะ 4 คู่ 8 ข้อจนขึ้นใจ ซึ่งเป็น
    "เครื่องดิ้นรน 8 ชนิดอันได้แก่ ทุกข์ ,สมุทัย,นิโรธ,มรรค ซึ่งประกอบด้วย
    1.ทาน 2.การครองเรือน
    3.กตัญญู 4.เจรจา
    5. สรรพอาชีพ 6.ประพฤติ
    7.ระลึก 8.ดำริ
    ซึ่งหลักการหรือหลักธรรมข้างต้นนี้ จะช่วยทำให้เกิดข้อมูลที่ถูกต้องสามารถเป็นเครื่องป้องกัน คลื่นความคิด ที่จะทำให้เกิดความเศร้าหมอง อันเป็นสาเหตุแห่งการเกิดโรคไบโพล่าร์ ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2007
  15. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    อนึ่ง ต้องขอเพิ่มเติมสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคไบโพล่าร์
    สาเหตุสำคัญอีกสาเหตุหนึ่งของการป่วยนั้น ก็เพราะผู้ป่วยไม่มีความรู้ ความเข้าใจ หรือไม่มีประสบการณ์ ในการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน หมายความว่า มีประสบการณ์น้อย เวลาประสบกับเหตุการณ์ต่างๆไม่สามารถใช้ความรู้ความเข้าใจหรือประสบการณ์แก้ปัญญา หรือกล่อมเกลาจิตใจมิให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ร้องไห้ กลัว หรือซึมเศร้า ฯลฯ
    ดังนั้น การฝึกสมาธิ (การเอาใจจดจ่อในสิ่งนั้น หรือการเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น) จะช่วยทำให้สมองได้พักผ่อน ขณะยังไม่หลับ อีกทั้งยังเป็นการฝึกการควบคุมความคิด อารมณ์ และอื่นๆ อันจะช่วยทำให้สมองสามารถส่งข้อมูลหรือส่งคลื่นความรู้ไปยังหัวใจ ฯลฯ และแปลงเป็นพฤติกรรมต่างๆ ทั้งทางกาย วาจา และใจ อันจะทำให้สามารถแก้ปัญหาต่างๆได้ในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นความคิด หรือพฤติกรรมต่างๆ
    แต่เมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาทั้งการทานยาตามแพทย์สั่ง และได้รับการฝึกสมาธิ อีกทั้งยังได้คิดพิจารณาตามหลักการหรือหลักธรรมะ อันเป็นเครื่องดิ้นรน อีกทั้งยังได้เข้าใจว่า การสังคมเป็นอยู่ร่วมกันนั้น บางครั้งอาจจะไม่ได้ดังที่ต้องการ อาจจะมีสิ่งที่ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ซึมเศร้า กลัว ดีใจ เสียใจ เศร้าใจ ผู้ป่วยก็จะรู้จักคิดในสิ่งที่สามารถรักษาอาการเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง และรับรองได้ว่า เมื่อรู้และเข้าใจแล้ว จะหายเป็นปกติไม่กลับไปป่วยอีก
    และเมื่อหายแล้ว กลไกต่างๆ ข้อมูลต่างๆ อันเกิดจากการฝึกฝน ทั้งการคิดพิจารณา สมาธิ ก็จะเป็นอัตโนมัติ แต่ก็อย่าประมาทควรได้ฝึกฝนและคิดพิจารณาอยู่เป็นระยะ เพื่อให้แน่ใจว่าชาตินี้ไม่มีทางกลับไปป่วยอีกขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2007
  16. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    }}}}(ถาม)
    ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าตัวเองมองคนในแง่ร้ายไปหมด ทั้งเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท ญาติพี่น้อง หรือบางครั้งแม้แต่ภรรยา ผมบ่นมากขึ้นมาก และพูดจาแย่ลงบางครั้งเป็นการพูดว่าคนอื่นให้ภรรยาฟัง บางครั้งก็ว่าภรรยาแรงๆ จนทำให้เธอตกใจและเสียใจที่ผมเปลี่ยนไปมาก ซึ่งภายหลังผมก็เสียใจที่ตัวเองคิดหรือพูดสิ่งไม่ดีไป เธอบอกว่าผมมีปมอะไรในใจหรือเปล่า ระยะปีที่ผ่านมาผมเก็บตัวไม่เอาใคร เหมือนอยู่ในโลกของตัวเอง และเหมือนคิดอยู่แต่เรื่องเดิมๆ ผมไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน สมัยก่อนชอบอ่านหนังสือธรรมะหรือฟังซีดีธรรมะ และมักช่วยเหลือหรือทำให้คนอื่นๆ มาตลอด แต่มาภายหลังเหมือนกับว่าจะไม่ยอมใครหรือทำอะไรให้ใครอีกแล้ว (เหมือนรู้สึกว่าตัวเองต้องคอยแต่ให้อยู่ตลอด)
    ผมอยากรู้สึกร่าเริง มองโลกในแง่ดี อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่

    (ตอบ)
    เอาง่ายๆนะ แต่ขึ้นอยู่กับตัวคุณ จะต้องมี ความระลึกได้ คือ สติ และมีความรู้สึกตัว คือ สัมปชัญญะ อยู่ตลอดเวลา ถ้าควบคุมไม่ได้ ก็เหมือนเดิมนะคุณ

    ที่ว่าเอาง่ายๆก็คือ
    "มองทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเรื่องธรรมดา"
    "ได้ยินทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเรื่องธรรมดา"
    " สัมผัสทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วคิดว่า เป็นเรื่องธรรมดา
    "จะพูดต้องคิดเสมอว่า พูดไม่ดีเกิดทุกข์ พูดดีเกิดสุข ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น"
    แค่นี้ไม่อยากท่องไว้ตลอดเวลา รับรองว่าคุณจะมองโลกในแง่ดีขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    โธ่ เทวาด่า เอ้ย ถามอะไรตอบได้... ได้ ถามอะไรรู้.....รู้

    คนเขาถามปัญหามา แทนที่จะแนะนำให้ถูก ดันเอาตถตา ไปแนะนำ มันจะไปได้เรื่องอะไร

    ปาหี่ชัดๆ
     
  18. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ผมเริ่มปฎิบัติสมาธิมาระยะหนึ่งประมาณ 1 เดือนหรือประมาณ 30-40 ครั้ง ทำสมาธิช่วง 22.00-23.00 น. ถ้าวันไหนตื่นเช้าก็จะทำเพิ่ม ช่วง 5.30-6.30 น. ทำสมาธิครั้งละ 1 ชั่วโมง และ ในช่วงการใช้ชีวิตประจำวันนั้นจะกำหนด "สติ" รู้ลมหายใจ และ "สติ" กำหนดรู้ร่างกายสม่ำเสมอแต่ไม่ถึงกับ 100% แต่จะบังคับจิตไม่ให้ฟุ้งซานปรุงแต่งเกินควร แต่มีปัญหาหลายๆประการอยากจะปรึกษาเพื่อนๆสมาชิก ให้กรุณาช้วยแก้ไขปัญหาเพื่อเป็นธรรมทาน แน่ะแนวทางให้ผมปฏิบัติดำเนินต่อไปได้ เพราะปลายปีนี้ผมกำลังจะไปบวชพระจะได้ใช้ความรู้ช่วงนี้ปฏิบัติต่อไปได้เลย เพราะไม่แน่ใจว่าจะหาอาจารย์ถามได้ในสถาณที่นั้นหรือไม่ และคงไม่มีโอกาศตั้งกระทู้ถามท่านใดในช่วงนั้น โดยผมจะแยกออกเป็นช่วงๆและ ส่วนของร่างกายและ ความรู้สึกเพื่อง่ายต่อการตอบ

    ลักษณะการปฏิบัติตน ทางกาย วาจา ใจ ช่วงนี้ผมพยายามสำรวม กาย วาจา ใจ ตั้งจิตอธิฐานมั่นทั้ง กาย วาจา และใจ ในทั้ง ทาน และ ศีล บริสุทธของฆารวาส 5 ข้อ และ อะไรต่อมิอะไรที่เป็นการคิดดีทำดี ไม่เดือนร้อนผู้อื่นและตัวเอง
    ก่อนนั่งสมาธิ
    ตั้ง นะโม 3 จบ และกล่าวคำบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กราบ 3 ครั้งแล้ว เริ่มนั่งสมาธิ
    ลักษณะท่านั่งที่ปฏิบัตินั่งท่าขัดสมาธิแบบเท้าขวาทับเท้าซ้ายมือขวาทับมือซ้าย หลังตรงพอประมาณโดยโน้มเอียงมาด้านหน้าเล็กน้อยเพราะการนั่งหลังตรงแน่วจะรู้สึกทรมารขาทั้งสองข้างมาก และปวดหลังเมื่อนั่งนานๆ
    ลักษณะการภาวนาปฏิบัติและเริ่มโดย "พุธโธ ธัมโม สังโฆ" 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็เริ่มภาวนาคำว่า "พุธโธ" กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกโดย ลมหายใจเข้าเข้าเป็น "พุธ" และ ลมหายใจออกออกเป็น "โธ" ไปเลยๆ
    ลักษณะของจิตระหว่างภาวนา
    ระยะแรกเมื่อเริ่มนั่ง 15-20 นาทีแรกจิตใจจะยังไม่สงบแต่กำหนดสติคอยรู้ทันอยู่เสมอ จิตจะแกว่งไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ และจะกำหนดสติและให้รู้อยู่แต่ลมหายใจและคำภาวนาเมื่อเวลาผ่านไปซัก 20 นาทีจิตจะเริ่มนิ่งและลมหายใจเริ่มระเอียดและเบาลงตามลำดับ
    ระยะกลาง ช่วงเวลา 20-40 นาที เมื่อลมหายใจเบาจนเหมือน จิตจะเป็นสมาธิ จะเกิดอาการรู้สึกหวิวๆไปทั้งร่างแต่ไม่มาก และร่างกายจะเกิดอาการสั่นน้อยๆเหมือนหวิวๆเหมือนกำลังจะเข้าสมาธิหรือเปล่าผมไม่ทราบ แล้วก็กระตุกหลุดออกมาเกือบทุกครั้ง ส่วนใหญ่จะกระตุกบริเวณขา และหวิวๆบริเวณใบหน้าจนหลุดสมาธิ ทำให้ต้องกลับมาเริ่มต้นที่ระยะกลางใหม่เกือบทุกครั้ง ซึ่งอาการนี้เป็นปัญหาของผมอย่างมากทำให้ผมเข้าสมาธิไม่ได้ซะส่วนมาก เคยอธิฐาณจิต ไม่ให้คิดไม่ให้เป็น ก็ไม่สำเร็จน้อยครั้งที่จะผ่านอาการนี้ไปได้
    ระยะหลังเข้าสมาธิ(ไม่แน่ใจ)ช่วง 40-50 นาที น้อยครั้งที่จะผ่านระยะกลางมาได้ จนรู้สึกว่าบางเบาสบายสว่าง นิ่งๆอยู่อย่างนั้น แต่เมื่อ เบาสบายนิ่งอยู่อย่างนั้นก็ไม่สามารถ รักษาสมาธิช่วงนี้ไว้ได้นานจนเกิดปัญญาเพื่อพิจรณาธรรม คือเมื่อเริ่มจะพิจรณาก็จะเกิดอารมณ์ พุ้งซานกลัวจะหลุดสมาธิบ้าง คิดหัวข้อไม่ออกบ้าง จนมีเหตุให้หลุดจากสมาธิในเวลาอันสั้นเสมอ
    ระยะสุดท้ายจากออกสมาธิเมื่อหลุดออกจากสมาธิจะนั่งอยู่อย่างนั้นเริ่มต้นที่ระยะกลางใหม่ แต่บ้างครั้งจะมีอาการใจเต้นแรงเพราะดีใจที่รู้สึกเบาสบายในช่วงอยู่ในสมาธิก็เลยต้องไปเริ่มระยะแรกโน้นเลย และ ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเข้าสมาธิได้อีก เพราะเริ่มรู้สึกเมื่อยมากๆขึ้นมาเฉยๆเสียอย่างนั้น จนทนไม่ไหว รวมเวลาทั้งหมดไม่เกิน 1 ชั่วโมงในการนั่งแต่ละครั้ง
    ปัญหาของผม
    1.การฝึกสามธิ ผู้ฝึกฝนเป็นประจำ มีระยะเวลาการฝึกโดยเฉลี่ยเท่าไหร่จึงจะสามารถเข้าสมาธิ ได้สม่ำเสมออย่างไม่อยากเย็นนัก(ขอคำตอบโดยเฉลี่ยของจิตบุคลทั่งไป)
    2.อาการ หวิวๆ ในระยะกลางที่อธิบายไว้ และ อาการกระตุก จนไม่สามารถเข้าสมาธิได้นั้น จะต้องแก้ไขอย่างไรบ้าง (ฐานสมาธิมีหรือไม่เป็นเพราะฐานสมาธิไม่มั่นคงหรือเปล่าท่านั่งหรือว่าร่างกายเกร็งเกินไปหรือไม่แข็งแรงหรือเปล่า) ข้อนี้คือปัญหาหลักของผมในการทำสมาธิ
    3.เมื่อเข้าสมาธิได้แล้ว ควรฝึกประคองสมาธิไว้ให้คงที่ก่อน หลายๆครั้ง จนชำนาญ แล้วค่อยเริ่มพิจรณา หรือเปล่า
    4.จิตของบุคลธรรมดา ควรอยู่ในสมาธิ อย่างน้อยเท่าไหร่ และ อย่างมาก เท่าไหร่
    5.ถ้าจิตอยู่ในสมาธิได้จริงจะต้องไม่เมื่อยเมื่อเลิกสมาธิใช่หรือไม่
    6.วันไหนเข้าสมาธิได้จะรู้สึกร่างกายเบาสบาย สัมผัสระหว่างพนมมือไหว้พระเปลี่ยนไปคือรู้สึกนุ่มละเอียดขึ้น แต่ บริเวณศีรษะจะมึนๆหัวแบบแปลกๆใช่หรือไม่ และ สายตาจะดีขึ้น หูดีขึ้นเล็กน้อยหรือเปล่า หรือผมรู้สึกไปเอง และ ว่างๆเบาๆมากอยู่ซัก 10-20 นาที นอกนั้นก็มีความอิ่มใจเล็กๆ หรือเปล่าครับ
    7.อยากทราบเทคนิค และ วิธีแบบลัด แบบ Tip หรือ Shot Cut จากผู้มีประสบกราณ์ โดยมุ่งหวังทางธรรม เพราะ ขณะนี้ 35 ปี แล้วยังไม่ถึงไหนเลย
    8.ท่านผู้ใดที่ลงทำภาคปฏิบัติแล้ว ช้วยเล่าประสบกราณ์ ในการเพรียนพยายาม ในแต่ล่ะช่วงเวลาความเป็นไปของผลลัพธ์ในแต่ล่ะช่วงของการฝึกปฏิบัติเพื่อเป็นธรรมทานด้วยเถิด สาธุ.....
    ขออภัยที่ต้องตั้งคำถามแบบตรงๆ อาจดูจะขัดต่อการมีความพยายาม แต่การถามทางนั้นไกลก็กลายเป็นใกล้ได้ การไม่ถามใกล้ก็กลายเป็นไกลได้ การถามใกล้ก็กลายเป็นไกลได้เช่นกัน ทุกขขัง อนิจจัง อนัตตา
    ขอบคุณครับ

    คำตอบ,,,,,,,,,,,,
    1. คุณหากระทู้ "หลักการฝึกนั่งสมาธิของข้าพเจ้า" แล้วอ่านหลักการหรือหลักวิชา จนเกิดความเข้าใจ เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจก่อนที่จะฝึกปฏิบัติสมาธิ
    2. การฝึกสมาธิ ไม่ว่าจะด้วยการนั่งหรือการนอน หรือด้วยวิธีอื่นใด ย่อมมีอุปสรรคอย่างหนึ่ง คือ สภาพสรีระร่างกาย
    คุณจะมีสมาธิหนักแน่น ขนาดไหน ก็ย่อมต้องมีอาการปวดเมื่อย และอื่นๆ หากจัดท่านั่ง หรืออื่นใดไม่ดีพอ

    ถาม......ปัญหาของผม
    1.การฝึกสามธิ ผู้ฝึกฝนเป็นประจำ มีระยะเวลาการฝึกโดยเฉลี่ยเท่าไหร่จึงจะสามารถเข้าสมาธิ ได้สม่ำเสมออย่างไม่อยากเย็นนัก(ขอคำตอบโดยเฉลี่ยของจิตบุคลทั่งไป)
    คำตอบ,,,,,,,
    ฝึกระยะเวลาเท่าไหร่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับฐานะ บทบาทหน้าที่ และเวลาจะอำนวย

    2.อาการ หวิวๆ ในระยะกลางที่อธิบายไว้ และ อาการกระตุก จนไม่สามารถเข้าสมาธิได้นั้น จะต้องแก้ไขอย่างไรบ้าง
    (ฐานสมาธิมีหรือไม่เป็นเพราะฐานสมาธิไม่มั่นคงหรือเปล่าท่านั่งหรือว่าร่างกายเกร็งเกินไปหรือไม่แข็งแรงหรือเปล่า) ข้อนี้คือปัญหาหลักของผมในการทำสมาธิ
    คำตอบ,,,,,,
    คุณยังไม่ได้เข้าถึงสมาธิ ถ้าหากคุณอ่านกระทู้เรื่อง"หลักการนั่งสมาธิของข้าพเจ้า" คุณก็จะเกิดความเข้าใจในเรื่องนี้

    3.เมื่อเข้าสมาธิได้แล้ว ควรฝึกประคองสมาธิไว้ให้คงที่ก่อน หลายๆครั้ง จนชำนาญ แล้วค่อยเริ่มพิจารณา หรือเปล่า
    คำตอบ,,,,,อ่านกระทู้เรื่อง"หลักการฝึกนั่งสมาธิของข้าพเจ้า"

    4.จิตของบุคลธรรมดา ควรอยู่ในสมาธิ อย่างน้อยเท่าไหร่ และ อย่างมาก เท่าไหร่
    คำตอบ,,,,,,
    ไม่มีมาตรฐานกำหนดไว้ ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลนั้นๆ

    5.ถ้าจิตอยู่ในสมาธิได้จริงจะต้องไม่เมื่อยเมื่อเลิกสมาธิใช่หรือไม่
    คำตอบ,,,, ไม่จริงถ้าคุณนั่งกดทับเส้นหรือนั่งไม่ถูกท่า ก็จะมีอาการปวด แต่อาการที่เกิดขึ้น จะทำให้เราละสมาธิจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง แต่อย่าละแบบสับสน เพราะถ้าละแบบสับสน เขาไม่เรียก สมาธิ

    6.วันไหนเข้าสมาธิได้จะรู้สึกร่างกายเบาสบาย สัมผัสระหว่างพนมมือไหว้พระเปลี่ยนไปคือรู้สึกนุ่มละเอียดขึ้น แต่ บริเวณศีรษะจะมึนๆหัวแบบแปลกๆใช่หรือไม่ และ สายตาจะดีขึ้น หูดีขึ้นเล็กน้อยหรือเปล่า หรือผมรู้สึกไปเอง และ ว่างๆเบาๆมากอยู่ซัก 10-20 นาที นอกนั้นก็มีความอิ่มใจเล็กๆ หรือเปล่าครับ
    คำตอบ,,,,,,,,
    อ่านเรื่อง"หลักการฝีกนั่งสมาธิของข้าพเจ้า"แล้วคิดพิจารณาดูให้ดี ถ้าคุณคิดแบบนั้น เตรียมตัวไปพบจิตแพทย์ได้เลย

    7.อยากทราบเทคนิค และ วิธีแบบลัด แบบ Tip หรือ Shot Cut จากผู้มีประสบการณ์ โดยมุ่งหวังทางธรรม เพราะ ขณะนี้ 35 ปี แล้วยังไม่ถึงไหนเลย
    คำตอบ,,,,,,
    อ่านเรื่อง "หลักการนั่งสมาธิของข้าพเจ้า ก็จะรู้ว่า สิ่งที่คุณทำอยู่ก็คือทางธรรมะ

    8.ท่านผู้ใดที่ลงทำภาคปฏิบัติแล้ว ช่วยเล่าประสบการณ์ ในการเพียรพยายาม ในแต่ล่ะช่วงเวลาความเป็นไปของผลลัพธ์ในแต่ล่ะช่วงของการฝึกปฏิบัติเพื่อเป็นธรรมทานด้วยเถิด สาธุ.....
    ขออภัยที่ต้องตั้งคำถามแบบตรงๆ อาจดูจะขัดต่อการมีความพยายาม แต่การถามทางนั้นไกลก็กลายเป็นใกล้ได้ การไม่ถามใกล้ก็กลายเป็นไกลได้ การถามใกล้ก็กลายเป็นไกลได้เช่นกัน ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
    ขอบคุณครับ
    คำตอบ,,,,,,
    คุณทำถูกแล้ว ไม่รู้ก็ถาม ได้คำตอบแล้ว ก็ต้องคิดพิจารณา
    คิดพิจารณาแล้ว ก็ต้องให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
    เมื่อเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ก็ปฏิบัติ
    และที่สุด อย่าสนใจในเรื่อง " อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
    เพราะมันเป็นเครื่องเศร้าหมอง เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามแต่ เตือนแล้วนะ
     
  19. อาหลี_99

    อาหลี_99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    744
    ค่าพลัง:
    +2,992
    อ่าน แล้วปรง เครียส ปวดหัวตุ๊บๆ กินเหล้งก็ไม่ได้ ผิดศิล 5 เพราะฉะนั้นเชิญชวนมาดับสิ่งที่กำลังมัวเมา กับคำว่า ความโกรธในใจกานเถอ ผมเริ่มก่อนนะ ดับๆๆๆๆๆๆๆ ไม่โตตอบ ดับๆๆๆๆๆๆๆ ทุกข์ในใจ
    พระพุทธเจ้าสอนไว้มีเหตุย่อมมีผล หนทางคือการดับมันลงไปซะถ้ามีคนหยุดพิมท์คำที่มีความโกรธ ความเกลีย ผสมอยู่ในคำพูดที่ออกมาจากสิ่งที่พิมท์นั้น นั้นคงเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าคงเคยปัฎบัติมาแล้วกะมั้งผมคิดเอาเองนะ ดับๆแล้วให้อภัยอโหสิกรรมถ้าทำได้ เราคิดว่าท่าน กำลังเดินตามลอยพระพุทธเจ้าอยู่ ซักวันคงรู้แจ้งเห็นจริงก็เป็นไปได้ สุดท้าย จงมีความสุข ปิติ เถน สาธุ สาธุ สาธู
    ยังดับทุกสิ่งไม่ได้แต่ พยายามเมื่อมีสติ
    เราไม่อวดอ้าง เพราะ ยังมีกิเรส ครอบงำ
    ตัวเราไม่ใช้คนดี100% เพราะ เป็นเพียงคนที่มีความหิว
    * ตัวเราสอนคนอื่นไม่ได้เพราะ คำที่สอนคนอื่น นั้นเราทำยังไม่ได้ทุข์อย่างจงยอมรับ เถอ เพราะฟังเขามาอีกทีเลยเอามาสอน สอนแล้วจริงป่าวหวะ เลยต้องทำเองจริงสรุปได้ แต่การสรุปนั้น บางเรื่องต้องสรุปกับตัวเองเป็นหลัก ไปสรุปให้คนอื่นไม่ได้เพราะเขาอาจทำได้ก้ได้ จึงต้องสรุปให้ตัวเองไม่ยึดคนอื่น ดังบางคนชอบกินมะระฉันได้ บางคนย่อมเกลียดมะระขมฉันนั้น*
    -----------------------------------------------------------------------
     
  20. ร่มโพธิ์

    ร่มโพธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +1,952
    เราก็ต้องตาย...ท่านก็ต้องตาย...
    ก่อนจะตาย...อย่าให้มีมานะในจิตใจ
    ที่หลวงพ่อเคยบอกว่า...มันเป็นกิเลสตัวเลว
    นตฺถิ ปญฺญา สมาอาภา...แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี..
     

แชร์หน้านี้

Loading...