ทางที่ต้องเลือกเดินในจักรวาลแห่งความรัก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย กลายแก้ว, 6 มิถุนายน 2014.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    อันที่จริงแล้ว เวลาที่แท้จริงในมิติที่ 3 นั้นไม่มี

    มนุษย์กำหนดเวลาบนโลกมาเพื่อให้บ่งชี้ความต้องการที่ตรงกัน

    การเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม ศาสตร์ของมนุษย์ไม่ใช่ศาสตร์ที่แท้จริงของจักรวาล

    เวลาในมิติที่ 3 มิได้เป็นแนวนอน แต่เป็นแนวตั้ง ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลจะเป็นปัจจุบันทั้งหมด ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ทุกอย่างจะพุ่งหาจุดศูนย์กลาง คือ ตัวเราเอง

    การกระทำปัจจุบันของเรา สามารถแก้ไขอดีต และ แก้ไขอนาคตไปพร้อมกัน
    ทำกรรมในอดีตที่ไม่ดีไว้ แก้ไข ณ ปัจจุบันได้ กรรมในอดีตก็หายไป ผลในอนาคตก็ไม่มี ดั่งนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 7aaa.png
      7aaa.png
      ขนาดไฟล์:
      104.3 KB
      เปิดดู:
      101
    • 7aa.png
      7aa.png
      ขนาดไฟล์:
      106.8 KB
      เปิดดู:
      89
    • 7.png
      7.png
      ขนาดไฟล์:
      87.1 KB
      เปิดดู:
      88
    • 7a.jpg
      7a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.5 KB
      เปิดดู:
      81
  2. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    มนุษย์ยึดติดกับเงาของตน แสงสีบนโลกล้วนสร้างมายาให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น

    แสงสีทำให้เกิดรูป เกิดตัวตนขึ้นมาเพราะมีเงา ขณะที่ความจริงแท้ คือ อรูป ที่เกิดจากการไร้เงาของทุกสิ่ง ดุจดั่งจักรวาลอันไพศาล

    มนุษย์ส่วนใหญ่ ลุ่มหลงเงาของตนเอง ว่าเป็นตัวตนที่แท้จริง

    หลงระเริงว่า วัตถุและแสงสีที่ตามองเห็น โดยเข้าใจว่าทั้งหมดคือ สัจธรรม เป็นความจริง เป็นของจริงที่สัมผัสได้ ที่จริงคือความหลง มิใช่ของจริงทั้งสิ้น การที่เรามองเห็นเป็นรูปต่างๆ ของวัตถุเพราะมีแสงสว่างมีการหักเหของแสง มีการสะท้อนแสง มีการจัดระเบียบแสงที่ไม่ลงตัว จึงมองเห็นเป็นรูปร่างขึ้นมา หากไร้แสง ไม่มีการสะท้อนแสง ไม่มีการหักเหของแสง สิ่งที่มองเห็นก็ถูกกลมกลืนหายไปกับความมืดมิด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 8.jpg
      8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.7 KB
      เปิดดู:
      77
    • 8a.jpg
      8a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      13 KB
      เปิดดู:
      76
    • 8c.jpg
      8c.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.6 KB
      เปิดดู:
      82
    • 8d.jpg
      8d.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.2 KB
      เปิดดู:
      66
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/RrWb-JDoM2w?feature=player_detailpage" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    แท้ที่จริงแล้ว...หลุมดำดูดกินทุกสรรพสิ่งไว้ตลอดเวลา

    ดูดกลืนกินทุกชีวิตไว้ไม่ให้หลุดพ้นจากอำนาจของมัน

    พลังที่มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ แรงดึงแห่งตัณหา

    คือแรงโน้มถ่วง ที่เป็น แรงดึงดูด....ที่ทำให้เราหลงยึดติดอยู่กับโลก

    จากวีดีโอที่ได้นำลงไว้ เรื่อง อีกฝั่งปลายทางของหลุมดำ แรงดึงดูดของกระแสน้ำ เปรียบแสมือนแรงดึงดูดของตัณหา ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ว่าตัณหาเปรียบดั่งกระแสน้ำ
     
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เพลิงทุกข์ (พลังงาน)

    เพลิงทุกข์ตามธรรมชาติ
    เกิดจากการทำปฏิริยาระหว่างธาตูที่เป็นของคู่ ทำปฏิกิริยากันทำให้เกิดเพลิงขึ้น

    เพลิงทุกข์ตามธรรมชาติ ดับไม่ได้
    เพราะมีเหตุปัจจัยหนุนเนื่องกันอยู่เรื่อย ๆ เช่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องของธรรมชาติธาตุขันธ์
    ซึ่งเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ธาตุที่เป็นคู่ จนกระทั่งเป็นธาตุหลายอย่าง เช่น เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ฯลฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 18.jpg
      18.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.8 KB
      เปิดดู:
      65
    • 8.jpg
      8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104 KB
      เปิดดู:
      79
    • 19.jpg
      19.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.8 KB
      เปิดดู:
      70
    • imagesCA27CBU6.jpg
      imagesCA27CBU6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.3 KB
      เปิดดู:
      109
    • 7b.png
      7b.png
      ขนาดไฟล์:
      121.9 KB
      เปิดดู:
      84
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เพลิงทุกข์จากอายตนะ

    ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์ ทำให้เกิดความร้อนขึ้น

    ไฟ คือ ราคะ โทสะ โหะ ไฟ คือ ของร้อน (กิเลส)

    เพลิงทุกข์เกิดอายตนะ ดับไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัยหนุนเนื่องกันอยู่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • untitled.png
      untitled.png
      ขนาดไฟล์:
      87.1 KB
      เปิดดู:
      75
    • 20.png
      20.png
      ขนาดไฟล์:
      53.1 KB
      เปิดดู:
      68
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เพลิงทุกข์จากกิเลส เกิดจากความไม่รู้ของจิตไปยึดเพลิง 2 อย่างข้างบนเข้า เรียกว่า "กิเลส" คือ

    แทนที่จะปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรม คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลายไป

    กลับแรงดึงของตัณหาเข้าไปรัดดึงไว้

    เพลิงทุกข์จากกิเลส ที่จิตหลงเข้าไปยึดเพลิงทุกข์จากธรรมชาติและอายตนะ นั้น

    ดับได้คือ ไม่ไปหลงยึดในเพลิงทุกข์นั้น ๆ

    และ เพลิงทุกข์ที่สะสมจากการร้อยรัดของตัณหาสะสมไว้ในใจ ในกายก็เพิกถอนออกมา ชำระออก ถอนอนุสัยจนหมดสิ้น

    แสดงว่าดับได้แล้ว

    ถ้าจิตยังหลงยึดเพลิงนั้นอยู่ กิเลสหาดับไปไม่ จะต้องทุกข์ต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    แรงดึงตามธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

    จักรวาลไม่ได้เชื่อมต่อกับโครงสร้างใด ๆ บนดาวเคราะห์โลกนี้เลย
    จักวาลไม่ได้เกี่ยวข้องกับอำนาจการควบคุมใด ๆ ทั้งสิ้น

    สิ่งที่มองเห็นว่ามันว่างไร้ขอบเขต โครงสร้างของระบบภายในจักรวาล
    เป็นการยึดเหนี่ยวดวงดาว เทหวัตถุไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน
    ที่เรียกว่าเป็นระบบเอกภพ คือ เป็นเอกภาพในระบบเดียวกันเท่านั้น

    ปรากฎการณ์ของจักรวาล เป็นความรักที่เป็นแสงสว่างและความร้อน
    จะแสดงปรากฎการณ์ต่อเนื่องในลักษณะการคลี่ขยายพลังงานออกจากจุดศูนย์กลาง สู่ภายนอก และม้วนตัวออกจากภายนอกเข้าสู่ภายใน


    ดังนั้น....สรรพสัตว์สิ่งจะถูกแรงดึงจากจุดศูนย์กลางเข้าไป
    และเมื่อหมดแรงดึงก็จะเด้งออกมาแล้วถูกดูดแข้าไปอีก
    วนไปวนมาเป็นรอบ ๆ เท่ากับเวลาของโลก 1 วินาที

    สังขารทั้งปวงต้องมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา
    เพราะตกอยู่ในอำนาจของแรงดึงดังกล่าว.
    ..รตนญาโณ ภิกขุ

    เราควรทำกิจการหลุดพ้นของจิตให้ถึงพร้อมตลอดอยู่เวลา
    ด้วยความไม่ประมาทถึงจะไม่ตกไปสู่อำนาจแรงดึงอีกต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 11.jpg
      11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.8 KB
      เปิดดู:
      83
    • 9.jpg
      9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.6 KB
      เปิดดู:
      86
    • 13.jpg
      13.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.4 KB
      เปิดดู:
      84
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.4 KB
      เปิดดู:
      93
  8. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ถ้าเราทำความเข้าใจในรายละเอียดทั้งหมด
    เราจะเข้าใจได้ว่า จักรวาลคืออะไร? เกิดขึ้นจากอะไร?
    แล้วเราเกิดมาได้อย่างไร? เกิดมาเป็นมนุษย์กันทำไม?
    เกิดมาแล้วต้องทำอย่างไร ?


    แต่ที่แน่ ๆ หน้าที่อย่างหนึ่งของการเกิดมาเป็นมนุษย์
    สิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการมากทุกดวงจิตวิญญาณ ก็คือ..ความรัก
    ความรักในที่นี้...มิใช่ความรักที่เกิดจากความใคร่ความเสน่หาแต่เพียงอย่างเดียว
    แต่ความรักในตัวเอง ที่จะนำส่งนั้นส่งมอบต่อผู้อื่น เพื่อที่ตนเองจะได้รู้สึกว่ามีคุณค่าในการเกิดมาเป็นคน

    หากแม้นเขาเกิดมาแล้วรู้สึกว่า...การเกิดของเขาครอบครัวและสังคมไม่ต้องการ...เขาจะมองตัวเองว่าไร้ค่า ไม่ควรค่าแก่การเกิดมาเป็นมนุษย์

    หากการเกิดมาของเขาได้สร้างคุณค่าให้แก่สังคม และครอบครัว เขาจะรู้สึกว่าภาคภูมิใจว่าได้ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดแล้ว

    และการกระทำที่เกิดในทั้งสองส่วนนั้น ยังหมายถึง การกระทำที่ก่อให้เกิดคำว่า "กฎแห่งกรรม"

    เราทุกคนเกิดมาแล้วหนีการทำกรรมไม่พ้น แล้วเราจะเลือกว่าเราต้องว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไร และต้องใช้อะไรเป็นทางเดินสำหรับการเกิดมาในจักรวาลนี้

    เพราะทางที่เราเลือกเดิน...จะเป็นเป้าหมายและหนทางที่ทำให้เราไปสู่จุดหมายปลายทาง ที่ทุกคนต้องเลือกเดินไป คือ

    นิพพาน...ที่ต้องหลุดพ้นออกไปจากแรงดึงของเพลิงทุกข์นี้

    และต้องทำอย่างไร มีเพียงทางเลือกเพียงทางเดียวเท่านั้น คือ ทางแห่งมรรค 8

    ยุคพลังงานใหม่...จะเป็นหนทางที่เดินไปได้ง่ายขึ้น..ถ้าเราใส่ใจสนใจปฏิบัติธรรมในศีล สมาธิ และปัญญา จะทำให้เราเริ่มเข้าเดินสู่เส้นทางนั้นอย่างแน่นอน

    และ..เพียงแค่เราเริ่มต้นหันมาเห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่นให้มากกว่าเดิม

    เราจะได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ และ เราปฏิบัติตามมรรคอยู่

    มรรค 8 คือ ข้อปฏิบัติของมนุษย์ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน รวม 8 ประการ
    ในอันที่จะนำตนเองเข้าถึง "นิพพาน" ในบั้นปลายได้ในที่สุด

    มรรค 8 ประการ มีดังนี้

    1.คิดรู้ด้วยสติปัญญาอย่างถูกต้องถ่องแท้ในทุกเรื่องราว 3 ประการ คือ
    -คิดที่จะให้
    -คิดด้วยเหตุผล
    -คิดอย่างรอบคอบแยบยล

    2.รู้ดำริที่จะกระทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมดีงาม ใน 3 ประการ คือ
    -ดำริที่จะละวางตัณหา
    -ดำริที่จะไม่ก้าวล่วงผู้อื่น
    -ดำริที่จะไม่เอาความผู้อื่น

    3.รู้จักใช้วาจาให้ถูกต้องใน 6 ประการ คือ
    -ไม่พูดโป้ปดมดเท็จ
    -ไม่พูดส่อเสียด
    -ไม่พูดเหยียดหยาม
    -ไม่พูดคำหยาบ
    -ไม่พูดนินทาว่าร้าย
    -ไม่พูดหยุแหย่ให้แตกแยก

    4.รู้แสดงออกหรือการกระทำแต่สิ่งที่ดีงาม

    5.รู้เลี้ยงชีพโดยสุจริต

    6.รู้พากเพียรใน 4 ประการ คือ
    -เพียรระวังตนมิให้ก่อความผิดบาปขึ้น
    -เพียรละวางความผิดบาปที่เกิดขึ้นแล้ว มิให้เกิดขึ้นซ้ำอีก
    -เพียรฝึกจิตให้นึกคิดแต่สิ่งดีๆ
    -เพียรดูแลรักษาจิตที่ดีมิให้เสื่อมคลาย

    7.รู้หลักการสร้างสติด้วยการฉลาดพิจารณา ใน 4 ประการ คือ
    -พิจารณาที่กายสังขาร
    -พิจารณาทีสุขกับทุกข์
    -พิจารณาที่อารมณ์
    -พิจารณาที่ข้อธรรมะ

    8.มุ่งมั่นที่จะปฏิบัติใน 7 ประการดังกล่าวเหล่านั้นจนกว่า ตัวเองจะบรรลุนิพพาน


    เป็นความหมายของธรรมจักรในพระพุทธศาสนาของเรานั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.png
      1.png
      ขนาดไฟล์:
      107.8 KB
      เปิดดู:
      79
    • 2.png
      2.png
      ขนาดไฟล์:
      82.4 KB
      เปิดดู:
      72
    • untitled.png
      untitled.png
      ขนาดไฟล์:
      115 KB
      เปิดดู:
      78
  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ชีวิตนี้คืออะไร

    มนุษย์เรานอกจากต้องการปัจจัยสี่ และความต้องการธรรมชาติแล้ว
    ยังมีความต้องการอีกอย่างหนึ่ง ที่แอบแฝงอย่างล้ำลึกในจิตใจ
    นั่นคือ ต้องการให้มีคนยกย่องชมเชย ต้องการให้ผู้อื่นมองตนเป็นคนสำคัญ
    รวมว่าต้องการเกียรติยศ จะมองเห็นความจริงได้เรื่องนี้
    ถ้ามนุษย์เราเดี๋ยวนี้ถ้าอยู่ที่ไหนไม่ได้รับเกียรติพอสมควรแก่ฐานะแล้ว
    เขาจะอยู่ไม่ได้ หรือ ถ้าอยู่ได้ก็เป็นการทนอยู่ จำใจอยู่ เหมือนนักโทษที่อยู่ในคุมขัง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    มนุษย์เรามีความอิสระทางอารมณ์ และ ความรู้สึกพอสมควร

    โลกของเราสัตว์ที่ไม่ยอมปรับตัว หรือไม่สามารถปรับตัวให้เหมาะสมได้ สูญพันธ์ไปจากโลกมากมายแล้ว
    มนุษย์เราก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ต้องอยู่ด้วยการปรับตัว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 7.png
      7.png
      ขนาดไฟล์:
      68.6 KB
      เปิดดู:
      75
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2016
  11. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    โลกของเราที่ทุกคนบนโลกต้องดู

    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/Iy5svlr9gtA?feature=player_detailpage" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  12. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    หากเราได้ดูวีดีโอโลกของเราด้านบน
    จะเห็นได้ว่าขณะที่นักบินกำลังออกไปสู่อวกาศเหนือโลกอยู่นั้น
    เราจะเห็แสงสีเขียวเหมือนปีกแมลงทับ
    ได้ล่องลอยไปบนชั้นบรรยากาศเหนือดาวเคราะห์โลกของเรา

    ปรากฏการณ์นั้นคือ แกนกลางของโลก กำลังสร้างพลังงานให้กับโลกของเราอยู่
    เป็นพลังงานไฟฟ้าประจุบวกของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายไปทำปฏิกริยาทางไฟฟ้า
    กับอนุภาคประจุลบของอ๊อกซิเจนเหลวบริสุทธิ์ 100 % ที่อยู่ใจกลางใต้พื้นดินของโลก

    การทำปฏิกริยาดังกล่าวที่หลุดออกมาจากใจกลางของโลกของอะตอมอ๊อกซิเจน
    แล้วแทรกซึมผ่านชั้นหินและดินสู่พื้นผิวโลกและฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศอย่างกว้างขวาง
    ผลที่ได้คือ พลังงานที่แพร่กระจายนี้ คือเป็นการกระจายของสนามแม่เหล็ก
    ซึ่งถูกเหวี่ยงจากการระเบิดแตกตัวของอ๊อกซิเจนในใจกลางโลกนั้นด้วย



    วิกฤติที่เกิดอยู่กับโลกของเราอยู่ณ ขณะนี้เป็นเป็นแค่สภาวะเรือนกระจก หรือ
    เป็นเพียงแค่ชั้นบรรยากาศของโอโซน เป็นสิ่งที่อยู่ใจอากาศหรือท้องฟ้าของโลกเราเท่านั้น


    แต่สนามแม่เหล็กโลกนั้นสูงไปจากชั้นบรรยกาศโลกของเราหลายหมื่นกิโลเมตร
    สนามแม่เหล็กโลกจึงเป็นสนามพลังงานที่เป็นเขตบ่งชี้ขอบเขตของระบบดาวเคราะห์โลกได้เป็นอย่างดี


    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/QZLlRgJ6HF8?feature=player_detailpage" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    นักบินอวกาศที่บินไปสำรวจดาวอื่น ที่หลุดพ้นขอบเขตของดาวโลกแล้ว
    ไม่มีพลังชีวิต จึงต้องสร้างสนามแม่เหล็กเทียม

    ทำไมนักวิทยาศาสตร์จึงส่งยานอวกาศลงจอดเพื่อสำรวจในดาวเคราะห์ดวงอื่นได้ แต่ยังไม่สามารถส่งนักบินอวกาศลงไปเหยีบดาวอังคารได้

    ส่วน ดวงจันทร์ที่นักบินอวกาศลงไปสำรวจได้นั้น ดวงจันทร์ไม่มีพลังสนามแม่เหล็ก เป็นของตนเอง และไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนนั้น


    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/tiIuSaN7nyw?feature=player_detailpage" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    เป็นข้อมูลที่น่าสนใจของพลังสนามแม่เหล็กโลก
    ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา และเกี่ยวกับภัยธรรมชาติอยู่ ณ ขณะนี้
    และที่สำคัญยังมีความสำคัญที่ยังเป็นความรู้ใหม่ที่มนุษย์ไม่ค่อยรู้กันอีกด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 9.jpg
      9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.7 KB
      เปิดดู:
      63
    • 9b.jpg
      9b.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.7 KB
      เปิดดู:
      70
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    อุกาบาต ผีพุ่งใต้ ดาวตก และดาวหาง

    โครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก นอกจากจะเป็นเครื่องบ่งชี้ขอบเขตโลกแล้ว
    ยังเป็นรั้วเอาไว้ป้องกันภัยให้แก่ระบบโลกอีกด้วย

    สนามพลังงานจักรวาลอันกว้างใหญ่ ยังมีดาวประดับฟ้า ดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ และเทหวัตถุต่าง ๆ

    สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ต่างล้วนมีพลังอำนาจในตนเอง มิได้ล่องลอยอยู่เฉย ๆ
    ดั่งลูกบอลที่ลอยไปตามน้ำ หรือ ลอยไปตามกระแสลม แต่ขณะที่ลอยอยู่
    ในสนามพลังงานจักรวาล ต่างต้องรักษาคุณสมบัติของตนเองเอาไว้
    และมีพลังอำนาจตามกฎเกณฑ์ของจักวาลสากล 3 ประการ คือ
    1.สั่นสะเทือนตัวเองเพื่อสร้างใหม่
    2.สั่นสะเทือนตัวเองเพื่อการดำรงอยู่
    3.สั่นสะเทือนตัวเองเพื่อการเสื่อมสลาย

    โดยมีเงื่อนไขจะต้องสั่นสะเทือนตนเองเพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งใน 3ประการนี้
    เพื่อสร้างความสมดุล และ รักษาระบบของตนเองไว้เพื่อให้อยู่ร่วมกับระบบอื่นในระบบเอกภพได้

    เมื่อโลกของเราเป็นส่วนหนึ่งของระบบเอกภพมีการเสียสมดุล
    อันเนื่องจากแรงโน้มถ่วงหรือ แรงดึงดูดค่อนข้างต่ำ อันเนื่องจากฝือมือมนุษย์
    ทำให้เกิดการเสียสมดุลจากอาการแกว่ง หรือ หมุนช้าลง
    อาจส่งผลให้เกิดมีการปะทะ หรือ ชนกันในเองภายในระบบเอกภพ

    ขยะจักรวาล คือ เทหวัตถุที่ไม่มีพลังอำนาจในตนเอง
    เป็นวัตถุที่ล่องลอยไปในจักรวาลอย่างไร้ระบบ
    เปรียบเสมือนผงธุลีที่ปลิวไปในทุก ๆ แห่ง ซึ่งขยะเหล่านี้
    เรารู้จักกันอย่างดีในนามของ "อุกาบาต"

    แต่..โลกของเรามีพลังอำนาจที่สามารถจะรักษาความสมดุลของตัวเองเอาไว้
    เพื่อให้อยู่ร่วมในระบบเอกภพไว้ได้ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อขาดความสมดุล
    หรือเสื่อมสลาย ก็ต้องสั่นสะเทือนเพื่อสร้างใหม่ โดยการปรับเปลี่ยน
    ยกระดับพลังอำนาจของตนเองให้เพิ่มขึ้น เพื่อให้ดำรงอยู่ได้ต่อไป เช่นเดียวกัน

    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/r14z77q5u0o?feature=player_detailpage" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    นี่คือเหตุผลส่วนหนึ่งบางส่วน ที่ต้องทำให้ปรับเปลี่ยนแปลงพลังงานใหม่
    เพื่อเพิ่มพลังอำนาจแม่เหล็กโลก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 11.png
      11.png
      ขนาดไฟล์:
      44 KB
      เปิดดู:
      68
    • untitled.png
      untitled.png
      ขนาดไฟล์:
      81.3 KB
      เปิดดู:
      73
  14. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    link มาให้อ่านกัน สาส์นสำคัญจากหลวงปู่เทพโลกอุดร | เตือนภัยพิบัติโลก

    ในข้อความนั้น หลวงปู่เทพอุดรได้กล่าวถึง...

    ได้พูดถึงโลกยุคใหม่ วิทยาศาสตร์ล้ำหน้า

    สิ่งลี้ลับ เริ่มปรากฏ ผู้คนแตกตื่น ได้ยินเรื่องราว อันมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์นั้น ไม่เคยปรากฏ
    ตั้งแต่สมัยพุทธกาล มาสู่ยุคปัจจุบัน มนุษย์จะได้พบ สิ่งมหัศจรรย์ ในยุคนี้
    ผู้ซึ่งไม่เคยได้พบเห็น ความมหัศจรรย์ จะมีโอกาส ได้เห็น


    นครแอตแลนติสที่หายไป...

    แอตแลนติส อาณาจักรที่สาบสูญ

    สภาวะที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน กำลังใกล้ความเป็นจริงเข้าไปทุกที
    จะมากหรือน้อย จะเป็นไปในลักษณะไหน มีส่วนประกอบหลายเหตุปัจจัยเป็นตัวกำหนด

    แต่ที่แน่ ๆ การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่มีอย่างแน่นอน
    และขณะนี้กำลังอยู่ช่วงรอยต่อของการเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่

    มีใครเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หรือ คนรอบข้างของคุณบ้างหรือเปล่าค่ะ

    หากเรามองย้อนกลับไปของยุคแอตแลนติคที่ผ่านมา
    หากเปรียบเทียบกับยุคสมัยนี้ แม้กายภาพของโลกจะเสื่อมไปมากก็เป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
    แต่สิ่งที่สำคัญคือ สภาวะจิตสำนึกที่อยู่ในจิตใจของคน
    หรือมิติแก่นแท้ทางพลังงาน มิติของจิตวิญญาณ มิติที่สาม
    ที่มนุษย์ปัจจุบันกำลังขาดตกบกพร่อง ผู้คนไร้คุณธรรม ศีลธรรม
    นี่ต่างหากที่สำคัญที่สุด

    "หากศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ" ประโยคนี้บ่งบอกความหมายได้ดี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.png
      3.png
      ขนาดไฟล์:
      99.5 KB
      เปิดดู:
      66
    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.4 KB
      เปิดดู:
      79
  15. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    วีรกะ! ขอให้ธรรมเภรีได้กึกก้องอยู่ในดอกบัว คือ จิตมหาชน
    เมื่อใดโลกประกอบด้วยธรรม ไม่ทิ้งธรรม
    ธรรมก็จะคุ้มครองให้โลกสงบสุข
    เธอเป็นผู้หนึ่งที่จะตีกลองธรรมให้กึกก้องในกาลต่อไปภายหน้า

    ภิกษุทั้งหลาย! เธอทั้งหลาย จงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์
    เพื่อความสุขแก่มหาชน เพื่อความเอ็นดูแก่โลก เพื่อความเกื้อกูลแก่โลก
    เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย อย่าไปทางเดียวกันสองคน

    ภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอจงแสดงธรรมให้งามในเบื้องต้น
    ให้งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์
    สัตว์ที่มีธุลี คือ กิเลสในใจอยู่น้อยก็มีอยู่ เขาจะพึงเสื่อมจากคุณที่ควรได้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.png
      1.png
      ขนาดไฟล์:
      120.3 KB
      เปิดดู:
      74
    • untitled.png
      untitled.png
      ขนาดไฟล์:
      107.1 KB
      เปิดดู:
      73
  16. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    นำมาฝากสำหรับผู้ต้องการเป็นผู้นำต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลกค่ะ

    การเปลี่ยนโลก คือ การเปลี่ยนที่ความคิด ถ้าความคิดไม่เปลี่ยน ชีวิตไม่มีทางเปลี่ยน

    และผู้ที่สนใจที่เป็นศิลปะในการที่เป็นที่รักใคร่และใครต่างก็ปราถนาอยู่ใกล้
    ผู้ที่มีศิลปะในการพูดเป็นสิ่งที่สามารถดึงดูดใจคนได้มากที่สุด
    และจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จได้อย่างดายได้อย่างที่ต้องการ


    จิตวิทยาบทเรียน เรื่อง ศิลปะในการจูงใจผู้อื่นให้มีความคิดเห็นคล้อยตาม ความคิดเห็นของเรา ว่า..

    ต้องพยายามทำอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน และเป็นไปพร้อมด้วยความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมิใช่ทำด้วยการอวดเก่งและประนามความคิดเห็นของผู้อื่นว่าเป็นความคิดที่ผิด หรือ ชั่วร้ายใช้ไม่ได้ คนเราทุกคนล้วนมีทิฐิมานะกันคนละมาก ๆ ทั้งสิ้นเขาจะดื้อรั้นยิ่งขึ้นถ้าเราขาดความเห็นอกเห็นใจ และประนามว่าความคิดเห็นของเขาผิด และเราแสดงความเกรี้ยวกราด พยายามพิสูจน์ให้เห็นความผิดพลาดข้อบกพร่องของเขาเมื่อมีความคิดเห็นขัดแย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราไม่สามารถจะเอาชนะผู้อื่นด้วยวิธีการขัดแย้งที่รุนแรง และดูถูกเหตุของอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะ....คนที่จำใจในสิ่งที่เขาไม่เชื่อนั้น ความคิดเห็นของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงถ้าเราโต้แย้งอย่างรุนแรงพูดให้อีกฝ่ายหนึ่งเจ็บใจ และเถียงอย่างไม่ลดราวาศอกเราอาจะประสบชัยชนะในบางครั้ง แต่มันเป็นชัยชนะที่ว่างเปล่า ทั้งนี้เพราะด้วยวิธีการอันนี้ เราจะไม่สามารถรับไมตรีจิตจากอีกฝ่ายหนึ่งได้เลย

    ความไม่เข้าใจต่อกัน จะไม่สามารถระงับได้โดยการโต้แย้งที่ขาดความละมุนละไมแต่จะระงับลงด้วยการรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ความสุขุมรอบคอบ ความประนีประนอม ความเห็นอกเห็นใจ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เรามองเห็่นแง่คิดของอีกฝ่ายหนึ่ง

    การกระทำและความคิดเห็นของมนุษย์เราอาจจะผิดได้เสมอ ในการกระทำและตัดสินใจ 100 ครั้ง ถ้าสามารถถุกได้ 55 ครั้ง ก็นับว่าดีแล้ว เราเองยังไม่สามารถทำอะไรถูกทั้งหมดเลย แล้วทำไมเราจะด่วนตัดสินใจความคิดเห็นและสติปัญญาของผู้อื่นว่าผิด และไม่เหมาะสมไปเสียหมดเล่า การประณามอย่างรุนแรงว่าผู้อื่นผิดนั้น เป็นการทำลายความภูมิใจของเขา ความเคารพในตัวของเขาเอง ผลก็คือ ทำให้ผู้นั้นต้องการตอบโต้และขัดขืน

    วิชาจิตวิทยาได้ให้แง่คิดแก่เราไว้ว่า สำหรับมนุษย์เรานี้นจะต้องสอนเขาเหมือนมิได้สอน นั่นคือ สอนเขาอย่างมีชั้นเชิง สิ่งใดที่เขาไม่รู้จงเสนอแก่เขาเหมือนหนึ่งว่าเขาได้ลืมไป ที่เราต้องทำอย่างนี้ เพราะเรารู้หลักความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่า มีมนุษย์ไม่กี่คนในพื้นภิภพนี้ เป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วยเหตุผล พวกเราส่วนมากต่างเป็นสัตว์โลกที่ยังมี อคติ คือ ความลำเอียง โดยเฉพาะอย่างิย่งลำเอียงเข้าข้างตนเอง พวกเราส่วนมากต่างก็ยังอยู่ในอำนาจแห่งความหวดกลัว ระแวง ความริษยา ความขี้สงสัย ความกลัว ความต้องการ และ ทิฐิมานะ

    ด้วยเหตุนี้ เราจะพบว่าในบางครั้งเราจะเปลี่ยนใจของเราเองอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องมีเรื่องขัดใจ หรือ เกิดความสะเทือนใจอันรุนแรงใด ๆ แต่ถ้ามีใครมาบอกเราว่าผิด เราจะรู้สึกโกรธเคืองในคำบอกเล่านั้น และใจของเราจะเกิดอการกระด้างกระเดื่องขึ้นมา เราต่างเป็นคนที่จะสู้จะเอาใจใส่เสียเลยว่า ความเชื่อของเราอยู่ในลักษณะใดบ้าง แต่ถ้ามีใครมาข่มเหงน้ำใจเรา เราจะเกิดความเชื่ออยู่แล้วอย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่เราหวงแหนความนับถือตนเอง โดยจะไม่ยอมให้ถูกข่มขู่่ต่างหาก

    ความสุภาพอ่อนโยนและไมตรีจิต จะต้องมีอำนาจมากกว่าความฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด และการใช้กำลังบังคับเสมอ เป็นความจริงที่ว่า ถ้าบุคคลใดมีจิตใจปวดร้าวอยู่ด้วยความขุ่นแค้นและโกรธเคืองเรา เราจะไม่สามารถจูงใจเขาให้คล้อยตามความคิดเห็นของเราได้ แม้จะใช้หลักตรรกศาสตร์ที่มีอยู่ทั้งหมดในโลก

    บิดามารดารที่ชอบดุด่า แและนายหรือสามีที่ชอบใช้อำนาจ หรือ ภรรยาที่ชอบจู้จี้ ควรจะทราบว่าการปฏิบัติดังกล่าวนั้น จะไม่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดต้องการที่จะเปลี่ยนใจ แต่ตรงกันข้าม ถ้าเราใช้วิธีสุภาพ อ่อนโย เป็นกันเอง ยิ่งอ่อนโอนและยิ่งเป็นกันเองมากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น

    มีสุภาษิตน่าจับใจอยู่บทหนึ่งว่า น้ำผึ้งหยดเดียวสามารถจับแมลงวันได้มากกว่า น้ำบระเพ็ดจำนวนมากมาย ด้วยเหตุนี้ถ้าเราต้องการให้ผู้อื่นเห็นดีเห็นชอบในวัตถุประสงคืของเรา สิ่งแรกที่เราจะต้องปฏิบัติด ก็คือ ทำให้เขาเชื่อว่า เราเป็นมิตรที่สุจริตของเขา ถ้าเราจะใช้น้ำผึ้งสักหยด หยอดลงไปในหัวใจของเขาอีกฝ่ายหนึ่งให้ชื่นฉ่ำแล้ว เราจะพูดอะไรกับเขา เขาก็ยินดีฟังและพอใจที่จะคล้อยตามความคิดเห็นของเรา

    ผู้ที่มีเหลี่ยมคู และ ชั้นเชิงในการสนทนาอย่างยอดเยี่ยม วิธีการของเขารึท่าน? เขาบอกผู้อื่นว่าเป็นผู้ผิดหรือเปล่า ? เปล่าเลย ! เขาพูดอย่างละมุนละไม และตั้งคำถามให้คนอื่นยอมรับว่า "ใช่ ถูกแล้ว" ไม่ทราบกี่สิบครั้ง ในการสนทนาครั้ง ๆ หนึ่ง แน่นอนที่เดียว ผู้ก้าวอย่างละมุนละม่อม ย่อมก้าวได้ไกล

    พระศาสดาของเรา ก็ทรงมีศิลปะอันยอดเยี่ยมในการจูงใจผู้อื่นให้คล้อยตามแนวความคิดของพระองคื พระพุทธองค์ มีมนต์ชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า อาวัฏฏนีมายา หมายถึง เล่ห์กลสำหรับกลับใจคน และก็เป็นความจริงเสียด้วย ผู้ใดเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยความประสงค์ที่จะขัดแย้ง คัดค้าน หรือ โจมตีคำสอนของพระองค์ ในที่สุด ผู้นั้นกลับนับถือพระองค์ขอบวชเป็นจำนวนมาก อาวัฎฎนีมายา ที่ศาสดาจารย์เจ้าลัทธิทั้งหลายกล่าวถึงนั้น ที่แท้ก็คือ ศิลปะในการสนทนาให้ผู้อื่นมีความเห็นคล้อยตาม และให้เขาเข้าถึงเหตุผลอันแท้จริงนั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เป็นคำพูดที่สามารถนำไปใช้ได้จริง! ถ้ามัวสรรหาคำพูดมาจำนรรจานะ
    ต่อให้ได้คำพูดที่ดีที่สุด ก็ลดความจริงลงไปฮวบใหญ่ อาจเหลือแค่ 1 ใน 100 เท่านั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    สัจธรรมของศาสนา อันเป็นวิชาดวงอาทิตย์
    คือความเป็นแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ โลก และจักรวาล
    ซึ่งสัมพันธ์กับมิติพลังงาน

    วิชาของดวงอาทิตย์ หรือสัจธรรมของศาสนา
    จึงเน้นที่การปฏิบัติจิตซึ่งเป็นแก่นแท้
    เพราะการสั่นสะเทือนทางจิตใจของมนุษย์
    เกิดเป็นความอารมณ์รู้สึกและการนึกคิดใด ๆ
    มันจะก่อให้เกิดพลังงานใหม่ในมิติพลังงานขึ้นมาได้ตลอดเวลา

    แก่นแท้ของมวลใด ๆ มันคือ พลังงานทั้งสิ้น
    การกระทำต่อกันทางกายภาพในมิติโลก
    ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองหรือระหว่างมนุษย์กับสรรพสิ่งในระบบโลก
    มันคือ มายา อันเป็นผลลัพธ์จากกระบวนการทางพลังงาน
    ที่อยู่ในร่างกายและจิตใจ ทีถูกมิติปิดไว้ไม่ให้สัมผัสรู้ทางกายได้ด้วยประสาทสัมผัสของตน
    แต่มนุษย์จะรับรู้ด้วย อารมณ์และการนึกคิดจิตใจเท่านั้น

    มนุษย์ โลก และ จักรวาล

    เป็นวิชาความรู้ที่ลึกซึ้งแยบยลเกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป
    จะสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของความจริงทั้งหมดเหล่านั้นได้ด้วยตนเอง
    ซึ่งวิชาของพระองค์ที่บัญญัติไว้ล้วนเป็นเรื่องของธรรมชาติของมนุษย์ ของโลก และจักรวาลโดยแท้
    แต่เป็นวิชาที่ได้จากการรู้แจ้งในทุกสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่ลึกซึ้งถึงแก่นแท้ทั้งสิ้น
    มนุษย์จึงเรียกศาสตร์รู้แจ้งของพระองค์ว่า "ศาสนา"
    และเรียกการค้นพบสัจธรรมอันเป็นสรรพวิชาของพระองค์ว่า "ตรัสรู้"

    คลื่นความคิดจากจิตจักรวาล มิใช่เป็นความรู้ส่วนตัวของใคร
    เป็นการถ่ายทอดคลื่นความคิดจากรูปธรรมชั้นสูงในต่างมิติ
    เป็นการสื่อในระบบจิตสู่จิต ที่เป็นภาษาสากลจักรวาล
    ซึ่งการสื่อกันมิใช่จะสร้างความลงตัวกันได้ง่ายนัก
    เพราะมันต้องลงตัวกันพอดีทั้งผู้ส่งสัญญาณและผู้รับสัญญาณ
    และขึ้นอยู่กับพลังบารมีของจิตวิญญาณผู้รับของท่านนั้น
    ยุคนี้มีเรื่องอย่างนี้อยู่จริง เพียงกำหนดความคิดไปในสมาธิ
    หากมีพลังอำนาจสมาธิที่สูงพอ จะได้รับคำตอบในสิ่งที่ต้องการอยากรู้เสมอ
    ข้าพเจ้าได้สัมผัสแค่ชั่วขณะและเป็นบางครั้งเท่านั้น
    แต่ที่โชคดีที่สามารถเข้าใจ ที่อ่านข้อความที่ได้สื่อมาได้อย่างเข้าใจถ่องแท้
    ซึ่งเป็นข้อมูลและหลักการที่พ้องกับวิทยาศาสตร์โลก
    ที่สามารถอธิบายปรากฎการณ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม
    ที่ไม่ขัดแย้งกับทฤษฎีใด ๆ ที่มนุษย์ยอมรับและช่วยเติมความรู้เดิมให้ยิ่งขึ้นด้วย
    เชื่อว่ามีหลายท่านที่เคยสัมผัสก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นเดียวกัน
    เพราะอาจจะมีประโยชน์เพิ่มเติมแก่ผู้ที่เข้าใจศานานพุทธอย่างแจ่มแจ้งอยู่แล้ว
    เพิ่มเติมเข้าไปอีกเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นที่แต่ละดวงจิตที่ตั้งปราถนาไว้ค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a.jpg
      a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.2 KB
      เปิดดู:
      73
    • imagesCAWFJ34E.jpg
      imagesCAWFJ34E.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.4 KB
      เปิดดู:
      75
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    พลังงานจักรวาล พลังงานจักระ

    วันนี้จะนำเรื่องระบบร่างกายของเราที่วิทยาศาสตร์เรียกว่า ระบบชีววิทยา
    คือ โครงสร้างในร่างกายของเรา ที่เรารู้กันว่าร่างกายของเราประกอบด้วยเซลล์
    ต่าง ๆ ทั่วทั้งร่างกาย เป็นเซลล์นั้นก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เรารู้ได้ว่า
    ทุกๆ ส่วนประกอบของร่างกายของเรานั้นเป็นพลังงาน เป็นคลื่นกระแสไฟฟ้า
    ที่สามารถรับและสื่อสัญญาณให้กันได้ และเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าร่างกายและจิตใจ
    มีความสัมพันธ์กัน ก็อันเนื่องมาจากพลังงานคลื่นกระแสไฟฟ้าที่สามารถ
    สื่อรับถ่ายทอดสัญญาณให้แก่กันและกันได้นั่นเอง

    เราจะเห็นได้ว่ายุคปัจจุบันนี้มีการทำสมาธิอีกแบบหนึ่ง
    ที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า จักระ ที่แปลว่า วงล้อ หรือ การหมุนวน

    อันเนื่องมาจาก ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้มันจะรักษาความสมดุลของมันไว้เสมอ
    ทุกสิ่งต้องมีการหมุนรอบตัวเองเสมอ เซลล์ทุกเซลล์มีลักษณะเดียวกัน
    จะมีลักษณะหมนุเคลื่อนที่ไปตามเข็มนาฬิกา การหมุนรอบตัวเอง คือ
    การบำบัดและการรักษาความสมดุลทางแม่เหล็กของเซลล์เราได้อีกวิธีหนึ่ง

    น้ำเป็นธาตุที่มีความไวต่อพลังงานสนามแม่เหล็กมากที่สุด
    ในระบบร่างกายของเราจะมีต่อมไร้ท่อ ซึ่งต่อมนี้ติดต่อสื่อสารถึงกันได้
    อันเนื่องมาจากธาตุน้ำ คือ เลือดที่หล่อเลี้ยงทุกส่วน แต่ต่อมไร้ท่อ
    ไม่ได้เชื่อมต่อกับสิ่งใด แต่มันสามารถมีกระแสเหนี่ยวนำของพลังงานไฟฟ้า
    ในร่างกายที่คอยควบคุมร่างกายและจิตใจของเราได้ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง

    การฝึกจักระนอกจากจะทำให้ร่างกายของเราสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
    และมีอายุที่ยืนนาน แล้ว การทำสมาธิไม่ว่าจะเป็นแบบใด ก็ยังมีผลต่อจิตใจ
    ได้อีกด้วย

    การฝึกจักระ


    คือ การกำหนดจิตที่ศูนย์พลังในแต่ละจุด แล้วนึกถึงการหมุนวงล้อสีด้วยจิต
    ณจุด นั้น ๆ หมุนไปตามเข็มนาฬิกา เมื่อจิตมีสมาธิตั้งมั่น จะเห็นวงล้อชัดเจน
    และเริ่มหมุนด้วยความเร็วและสม่ำเสมอ จิตที่สงบตั้งมั่นและแน่วแน่และมีพลังมากพอ
    วงล้อจะหยุดหมุน นี่ความอัศจรรย์ของจักระ ที่แสดงให้เห็นความสงบของจิตใจ
    ในสมาธิที่ยกระดับความสมดุลและสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ร่างกายและจิตใจ
    การหยุดหมุนนั่นแหละคือ คุณภาพพลังงานของอำนาจจิตที่อยู่ในระดับสูง
    หรือพัฒนาจิตให้สูงขึ้นด้วยอำนาจสมาธิ

    ที่มีส่วนสัมพันธ์กับต่อมไร้ท่อในร่างกาย หากเราต้องการให้มันฟื้นฟูตนเอง
    ขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นประโยชน์ในการชำระร่างกายและจิตใจที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์
    อันเกิดจากมลพิษที่บริโภคเข้าไป และ เกิดจากขาดความสมดุลภาวะของจิตใจ
    ที่เป็นลบ เราสามารถทำสามธิเพื่อช่วยการฟื้นฟูได้อีกทางหนึ่ง ที่เรียกว่า
    ฝึกสมาธิแบบพลังงานจักรวาล หรือ การฝึกจักระ (รายละเอียดการฝึกก็จะมี
    อยู่แล้วในกระทู้อื่น ๆ)



    จุดที่ 7 ต่อมนี้อยู่ส่วนบนสุดของร่างกาย วงล้อสีม่วง

    ต่อมพิทูอิทารี่ อยู่ภายในกระโหลกศรีษะติดไว้กับสมอง
    เป็นที่ตั้งของจิตวิญญาณมนุษย์แต่ละคน หากวางความคิดเพื่อการต้องการจะรู้
    เรื่องใดเรื่องหนึ่งในสมาธิ เป็นช่องทางที่ติดต่อในการสื่อสารสูงสุดกับจักรวาล
    สำหรับมนุษย์ช่องทางหนึ่ง คลื่นพลังงานจิตจะหมุนวนออกมานอกศรีษะในลักษณะรูปกรวย
    ในทิศทางเข็มนาฬิกา ถ้าหากมีคลื่นพลังงานถูกน้อมนำเข้ามา
    จะเกิดหมุนวนในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา เพื่อสามารถรับส่งโต้ตอบกันได้
    หากเรื่องที่ต้องการรู้เป็นเรื่องสัจธรรม ก็เกิดการหยั่งรู้เป็นภูมิปัญญาของตนได้

    จุดที่ 6 ต่อมนี้อยู่ตรงบริเวณหน้าผากแนวเดียวกับดั้งจมูก วงล้อสีน้ำเงิน

    ต่อมไพนีล หรือ ตาที่สาม
    เปิดประตูต่างมิติที่ปิดบังสติปัญญาไม่ให้ล่วงรู้อดีตชาติของตนเอง
    การกำหนดสมาธิที่จุดนี้ เพื่อเปิดประตูมิติมีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ
    เพื่อง่ายต่อการหยั่งรู้สู่การรู้แจ้งต่อสัจธรรม เป็นสติปัญญาพัฒนาไปสู่การหลุดพ้น

    จุดที่ 5 ต่อมนี้ตั้งอยู่บริเวณลำคอ วงล้อสีฟ้า

    เรียกว่า ต่อมไทรอยด์ ต่อมนี้จะทำหน้าที่ควบคุมกระบวนการสื่อสาร
    คือ อายตนะภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คอยรับผัสสะกับภายนอก
    และที่สำคัญหากต่อมนี้ขาดประสิทธิภาพ จะทำให้การควบคุม จิตไร้สำนึก
    ที่มีพลังอำนาจต้านทานจิตไร้สำนึกที่รุนแรงของมนุษย์ไว้ไม่ไหว
    พฤติกรรมการก้าวร้าวที่รุนแรง อันเนื่องมาจากต่อมนี้ไร้ประสิทธิภาพ

    จุดที่ 4 ต่อมนี้ตั้งอยู่บริเวณกลึ่งกลางบริเวณกระดูกทรวงอกด้านบนใกล้กับหัวใจ วงล้อสีเขียว

    เรียกว่า ต่อมทัยมัส ต่อมนี้เป็นกล่องพลังงานของมนุษย์ อันเป็นจุดศูนย์รวม
    ของกระบวนการฟื้นฟูร่างกายของทุกส่วน ต่อมนี้เป็นที่ยึดเหนี่ยวพลังงานทั้งหมด
    ในร่างกายของเราไว้ด้วยกัน ผู้ที่สุขภาพไม่แข็งแรงอ่อนแอ นอกจากจะออกกำลังกายแล้ว
    หากฝึกสมาธิกำหนดจิตไว้ตรงจุดนี้แล้วเป็นการช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
    ไม่ทรุดโทรม และไม่อ่อนเพลีย ไม่เหน็ดเหนื่อย ถูกขับเคลื่อนออกมาเป็นพลังชีวิตอย่างไม่รู้หมดสิ้น

    จุดที่ 3 จุดกึ่งกลางระหว่างกายใต้บริเวณลิ้นปี่ วงล้อสีเหลือง

    ต่อมอะดรีนาลิน ต่อมนี้มันมีหน้าที่กำกับดูแลพลังงานทางอารมณ์รู้สึกจิตใจของมนุษย์
    คอยควบคุมพลังงานด้านบวก เช่นความเมตตา เอื้ออาทร ความอดทน
    ความอดกลั้น การให้อภัย เบิกบานเป็นสุข เป็นพลังงานที่จะช่วยเหลือ
    ให้มนุษย์เรามีจิตใจบริสุทธิ์เกิดพลังงานทางอารมณ์บวกได้ง่าย

    จุดที่ 2 อยู่ระหว่างกลึ่งกลางสะดือหน้าท้อง วงล้อสีส้ม

    จิตใต้สำนึก มีจุดศูนย์รวมการทำงานอยู่ที่ระบบประสาทซิมปาเทติคภายในช่องท้องของมนุษย์
    จิตใต้สำนึกเป็นพลังงานมหัศจรรย์ มันไมีมีอารมณ์และความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น
    ถ้ามนุษย์ผู้นั้นมีจิตใจสงบ ไม่ว้าวุ่น ไม่มีพลังงานความคิดที่สับสน
    จะสามารถรับฟังข้อมูลจากจิตใต้สำนึกของตนเองได้ จากลางสังหรณ์
    หรือกลุ่มความคิดแปลก ๆ ที่โผล่เข้ามาอย่างไม่คาดฝัน
    ในลักษณะอาการหยั่งรู้ที่จะสามารถนำไปใช้แก้ไขปัญหาใด ๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
    จิตใต้สำนึก จึงเปี่ยมไปด้วยพลังงานในการดึงดูดและน้อมนำเสมือนมีตาทิพย์
    ที่สามารถมองเห็นสิ่งใด ๆที่อยู่ไกลตัว หรือ ที่ยังมาไม่ถึงตัวได้โดยไม่ต้องใช้ตาปกติ
    จิตสำนึกจะทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธภาพ เป็นสัญชาตญาณการรับรู้
    ที่อิสระจากระบบประสาทสัมผัสทั้งห้า
    ถ้าเลือกฉลาดคิดแต่สิ่งที่ดี ๆ ต่อตนเองเอาไว้ มันก็จะเป็นไปตามนั้น
    ฝึกคิดพลังด้านบวก เพื่อเชื่อมั่นในตนเอง และหล่อเลี้ยงชีวิตที่ดีงามเอาไว้

    จุดที่ 1 อยู่ตรงระหว่างก้นกบกับอวัยวะเพศ วงล้อสีแดง

    ต่อมเพศ ก่อให้เกิดพลังงานการขับเคลื่อนชีวิตภายในร่างกาย
    เพื่อให้กระบวนการเคลื่อนไหว ที่เกิดจากความรู้สึกทางจิตใจจิตสำนึกอันดีงาม
    แผ่ออกมาภายนอกร่างกาย เพื่อเชื่อมโยงกับจักรวาลได้อย่างลงตัว และ
    ตัวระบบสร้างฮอร์โมนเพศ

    เมื่อเราฝึกสมาธิจักระ แบบหมุนวนจึงเป็นการสร้างสมาธิเพื่อพัฒนาร่างกาย
    และจิตใจได้เป็นทางเลือกอีกทางค่ะ เผอิญสนใจเรื่องจักระอยู่
    ก็เลยนำข้อมูลที่หลาย ๆ คนยังไม่ทราบมาลงให้อ่านกันค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2016
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    copy ข้อมูลมาจากกระทู้คลื่นสมองกับระดับสมาธิให้อ่านกันค่ะ

    การค้นพบนี้บ่งบอกว่าสมองของเรานั้นประกอบด้วยเซลล์จำนวนมาก
    แต่ละเซลล์นั้นได้สร้างกระแสไฟฟ้าเล็กๆขึ้น

    ซึ่งรวมกันแล้วทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือคลื่นสมอง
    ซึ่งเปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลงของจิตหรือของอารมณ์

    ระดับคลื่นความถี่อารมณ์ของมนุษย์เรา ก็มีคลื่นบวก และคลื่นลบ
    คลื่นลบ ก็คือ พวกกิเลส-ตัณหา โลภ โกรธ ลุ่มหลงงมงาย
    คลื่นบวก ก็คือ ความปิติสุขเบิกบาน เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

    และระดับอุเบกขา คือ คลื่นคอสมิค

    คลื่นคอสมิค เป็นคลื่นพลังงานจักรวาล

    เราลองมาดูคลื่นลบที่เป็นคลื่นความถี่ระดับต่ำ หรือ คลื่นหยาบกันค่ะ
    ให้เราลองขึงเชือกหรือลวดระหว่างเสาสองต้น แล้วใช้นิ้วดึงเชือกนั้นให้ลดลง
    พอเราปล่อยเชือกแล้ว เราจะเห็นความสะเทือนได้ชัดเจนของเชือกเส้นนั้น
    ยิ่งเราทดลองหลาย ๆ ครั้ง โดยแต่ละครัั้ง การใช้นิ้วดึงเชือกให้ต่ำลงในแต่ละครั้ง
    ลดลงมากเท่าไร จะเห็นความสั่นของเส้นเชือกนั้นได้อย่างชัดเจน

    ก็เปรียบเสมือนพลังด้านลบเป็นคลื่นหยาบระดับต่ำ จากความโลภจัด โกรธจัดของเรา
    เราจะรู้ได้ในตัวเราเองว่า มีกระแสสั่นสะเทือนในร่างกายจิตใจของเราอย่างชัดเจนมาก
    หัวใจจะเต้นเรง ต้องหายใจยาว ๆลึก ทอดถอนหายใจบ่อยครั้ง


    สิ่งนี้เปรียบได้คลื่นความหยาบจากอารมณ์ภายในจิตใจของตัวเราเอง

    ส่วนกรณีพลังงานบวกที่ออกมาจากจิตใจของเรา
    ในที่เรามีอารมณ์ปิติอิ่มเอิบเบิกบาน เป็นคลื่นความถี่ระดับสูง
    ยิ่งความถี่สูงมากเท่าไร ก็เหมือนความหยุดนิ่งของกระแสสั่นสะเทือน
    ในร่างกายชัดเจนเท่านั้น

    เส้นลวดที่ขึงตึง และเห็นมันสงบนิ่งไม่มีการสั่นสะเทือนใด ๆ
    แท้ที่จริงมันกำลังสั่นสะเทือนด้วยความถี่ระดับสูงนั่นเอง

    การยกตัวของมันสูงมากนี่เอง จึงแลดูเหมือนไม่สั่นสะเทือนอะไร

    หากเราจะลองสังเกตุดุล้อรถยนต์ หากวิ่งด้วยความเร็วสูงเท่าไร
    สิ่งที่ได้เห็นก็เหมือนล้อรถนั้นหยุดหมุนไม่มีผิดเลย



    วิธีเปิดจักระ

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0.560091/

    คลื่นสมองกับระดับสมาธิ

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4.135138/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2016

แชร์หน้านี้

Loading...