ทางที่ต้องเลือกเดินในจักรวาลแห่งความรัก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย กลายแก้ว, 6 มิถุนายน 2014.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    กรรมในเชิงวิทยาศาสตร์โลก

    กรรม คือ พลังงานที่เกิดจากคลื่นความคิด และ คลื่นความรู้สึก
    ของมนุษย์ที่เป็นอารมณ์หรือความอยากใด ๆ
    ที่เกิดจากการถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้า
    โดยจิตวิญญาณจะขับเคลื่อนพลังงานออกมาภายนอก
    แล้วจับกลุ่มรวมตัวกันคล้ายฟองอากาศหรือเมฆหมอก
    เคลื่อนไหลไปเรื่อย ๆ บนสนามแม่เหล็ก สู่สนามพลังงานจักรวาล
    พลังงานกรรมแต่ละกลุ่มจะแยกกันตามคลื่นการสั่นสะเทือนของจิต
    เป็นเรื่อง ๆ ไป ไม่ปะปนกัน

    เมื่อถูกขับเคลื่อนสู่สนามพลังงานนอกร่างกายคนเราเรียบร้อยแล้ว
    มันจะสั่นสะเทือนอยู่อย่างนั้นเพื่อรักษาคุณสมบัติตัวตันเองเอาไว้
    โดยไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่ากรรมดีคลื่นพลังงานด้านบวก
    กรรมชั่วคลื่นพลังงานด้านลบ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
    มีคุณสมบัติคงที่ไม่มีความเป็นอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีปัจจุบัน
    เมื่อเกิดแล้วจะแผ่มาจากภายในร่างกายสู่สนามพลังงาน
    คงมีแต่การดำรงอยู่เพื่อรอ...ให้มนุษย์ผู้เป็นเจ้าของนั้น
    กำจัดมันหรือรอการชดใช้มันตลอดกาลนาน

    ถ้าเป็นพลังด้านบวกจะถูกเก็บรักษาไว้บนสนามพลังงาน
    แต่ถ้าเป็นพลังด้านลบ มันจะสะท้อนกลับสู่มนุษย์เจ้าของมัน
    พลังกรรมด้านลบและผลกรรมทั้งทางด้านบวกและลบ
    คือตัวการก่อให้เกิดกฎแห่งกรรมขึ้น

    บทเรียนกรรมทุกบทที่ต้องเผชิญในชาตินี้
    จึงเกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วในชาติก่อนเสมอ
    ยกเว้นกรรมใหม่ที่สร้างไว้ในชาตินี้
    จะต้องเผชิญกับมันในชาติต่อ ๆ ไป เมื่อกรรมนั้นมาถึง

    มนุษย์อยู่ในกรอบของกาลเวลาที่เป็นเส้นตรง
    โดยเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดก่อนอีกเหตุการณ์หนึ่งเสมอ
    พลังงานกรรมแต่ละกลุ่มที่ผู้ทำต้องเผชิญ
    คนที่ทำกรรมชั่วไว้ในชาตินี้แล้วดูเหมือนกรรมไม่สนองนั้นเพราะยังไม่ถึงเวลา
    เนื่องจากกรรมเก่าในภพชาติก่อน ๆ ยังมีอีกมากมาย...คลื่นความคิดจิตจักรวาล

    ที่จริงแล้วก็คือพลังงานที่ล่องลอยติตตามตัวเจ้ากรรมดั่งเงาตามตัว
    กรรมจึงสะท้อนกลับสู่ตัวเจ้าของดั่งบูมเบอแรง
    มีหลายคนเข้าใจว่า....ยมทูตจดบันทึกกรรมของเราไว้
    แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่..มันเป็นพลังงานกรรมที่เป็นคุณสมบัติของเราเอง
    ที่คอยติดตามเราไปทุกฝีก้าว...บางคนก็รู้สึกเดือดร้อน
    อึดอัดใจโดยไม่ทราบสาเหตุ...ก็เพราะพลังกรรมของตนนั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2016
  2. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เรื่องกรรมเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
    เพราะมันมีความลึกลับสลับซับซ้อน
    หลาย ๆ คนไม่เชื่อกฎแห่งกรรมไปเลยก็มี

    เราต้องทำความเข้าใจให้รู้ได้แน่ชัดว่าคลื่นสมองของเรา
    หรือคลื่นความคิด ที่เรียกว่า พลังจิต เป็นคลื่นพลังงานกระแสไฟฟ้า
    ที่สามารถรับ-ส่ง หรือ สื่อถึงถึงกันได้ ที่บางทีเราเรียกว่า "กระแสจิต"
    การทำความเข้าใจเรื่องกรรมในแนววิทยาศาสตร์ก็จะง่ายขึ้น

    คลื่นสมองที่เป็นคลื่นความคิด ที่เราเรียกว่า "คิดดี" และ "คิดชั่ว"
    ที่กระตุ้นพลังงานอารมณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นภายใน
    ที่จะสามารถแผ่กระจายออกมาภายนอกร่างกาย
    เป็นพลังงานที่จิตสร้างขึ้นมาใหม่ในรูปคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็ก
    ด้านบวกและลบ ที่เรียกว่า "กรรมดี" และ "กรรมชั่ว" นั้น

    คลื่นพลังงานกรรม เป็นคลื่นอารมณ์ที่เป็นอนุภาครวมตัวจับกันไว้เป็นกลุ่ม
    แสดงในลักษณะของตนเอง ถ้าดีก็เรียกว่า กรรมขาว ถ้าชั่ว ก็เป็นกรรมดำ
    เกิดขึ้นแล้วมันไม่ได้หายไปไหน พลังงานกรรมนี้มันล่องลอยติดตามตัว
    ถ้าชาตินี้ผู้ใดสร้างกรรมที่เป็นพลังงานอารมณ์ไว้ผิดพลาดคือไม่ถูกต้อง
    ตนเองจะต้องได้เผชิญกับเหตุการณ์แบบนั้นอีกครั้ง
    เพื่อให้ได้ตัดสินใจใหม่ให้ถูกต้อง อันเนื่องมาจากการพลั้งเผลอหรือขาดสติ
    แต่ถ้าเข้าไปเผชิญอีกครั้งแล้ว ยังติดสินใจอยู่เหมือนเดิม
    คือไม่มีสติปัญญา เกิดการกระทำซ้ำเรื่องเดิม เรื่องเหล่านั้นถ้าตายไปในชาตินี้
    พลังงานกรรมที่ล่องลอยในสนามพลังงานก็จะถูกดึงไปรวมกับจิตวิญญาณ
    หรือเรียกว่า"ภวังคจิต" องค์ที่อยู่แห่งภพ แหล่งเก็บนิสัยและสันดาน
    เพื่อนำกรรมเหล่านี้เคลื่อนไปจุติปฏิสนธิเกิดใหม่ต่อไป

    ทำไมเราจึงต้องตัดสินใจทุกการกระทำให้ถูกต้องใหม่ในชาตินี้
    ถ้าเราไม่รู้ และไม่แก้ใขในชาตินี้ล่ะก็ สิ่งนี้แหละที่จะกลายเป็น
    นิสัยสันดานของตนเองที่ยากจะแก้ไขได้ เพราะเราไม่รู้ว่าในแต่ละชาติ
    เราได้สั่งสมนิสัยอารมณ์ใดไว้บ้าง จึงมีคำกล่าวว่า

    เหตุอดีต > ผลคือปัจจุบัน และ เหตุปัจจุบัน > ผลคืออนาคต

    เมื่อเราแก้ไขให้ถูกต้องใหม่เสียแล้ว ปัจจุบันไม่มีนิสัยอารมณ์เหล่านี้แล้ว
    อนาคตจะมีได้อย่างไร

    เป็นเรื่องที่น่าคิดน่าค้นหาคำตอบ
    คงทำให้เข้าใจรู้ซึ้งเรื่องกฎแห่งกรรมได้อย่างแท้จริง

    และอีกเรื่องหนึ่ง เจ้ากรรม - นายเวร คืออะไร
    ทำไมคนบางคนตายไปหลายร้อยภพชาติ
    แต่ยังมีกลุ่มพลังงานกรรมคอยติดตาม
    หรืออย่างใครบางคนรอคอยที่จะเจอใครบางคนหลายภพหลายชาติ
    และรู้ได้อย่างไร คนที่เกิดใหม่คือคนที่เรารอ
    อะไรเป็นสิ่งบอก...อะไรเป็นแรงดึง หรือ..

    บางคนเจอหน้ากันก็มีแรงดึงดูดกันให้รู้สึกแต่เรื่องดี ๆ
    บางคนแรกเจอหน้าพบกันก็รู้สึกไม่ถูกชะตากันไปเลยก็มี
    สิ่งเหล่านี้เกิดจากอะไร...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2016
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    สมองของคน กับ พลังคิดบวก/ลบ

    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/de_kg2hpKo8?feature=player_detailpage" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    มีอะไรให้ดูค่ะ ..ความอัศจรรย์ของชีวิต
    หลายคอาจเคยดูแล้ว แต่มีอีกหลายคนที่ยังไม่เคยดูค่ะ


    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/omZXzjEEstg?feature=player_detailpage" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เราเคยสงสัยไหมว่าเราทุกคนต่างเกิดกันมาทำไม?
    แล้วเราเกิดจากอะไร? คำว่าแล้วเราเกิดจากอะไร
    หากพูดไปก็ต้องเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหาข้อยุติไม่ได้
    เราก็ได้แต่รู้ว่าจากคำสอนของพระพุทธองค์ว่า
    "จิตเดิมแท้ประภัสสร" เท่านั้น

    คำว่า ประภัสสร หากจะแปลว่าสว่างไสว หรือ บริสุทธิ์ก็ได้
    เมื่อสิ่งนั้นบริสุทธิ์อยู่แล้ว! แล้วทำไมต้องจึงต้องมาแสวงหา
    ความรู้แจ้งเพื่อหลุดพ้นกันทำไม

    หากเราจะเปรียดังชีวิตของทุกคนเริ่มแรกต้นถูกปิดบังไม่ให้รู้
    ในอดีตชาติของตนเองก่อนแล้วค่อยมาพัฒนาการเรียนรู้
    จากครอบครัว สังคม สภาพแวดล้อม จากวัยทารก สู่วัยเด็ก
    วัยหนุ่มสาว วันทำงาน และ แก่ชรา ก็ต่างล้วนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ
    ถ้าหากการเรียนรู้นั้นได้ทำหน้าที่ตนเองสมบูรณ์ไม่บกพร่อง
    ก็ถือว่าได้รางวัลตอบแทนความดีชีวิตหลังความตาย..คือ สรวงสวรรค์
    หากดำเนินชีวิตผิดพลาด ก็ได้รับตอบแทนเช่นกัน แต่ไปในทางตรงกันข้าม

    เราทุกคนต้องทำความเข้าใจตนเองให้ได้ก่อนว่า ตัวของเราเอง
    มีสองตนอยู่ในคนเดียวกัน คือ ร่างกาย 1 และ จิตใจ หรือ จิตวิญญาณ 1
    ดั่งคำกล่าวที่ว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว มีความหมายคือ
    จิตวิญญาเป็นหัวหน้า หรือ เปรียบว่า เป็นผู้มีพลังอำนาจในชีวิตตัวจริง
    ร่างกายเป็นเพียงแค่รูป ที่เปรียบเสมือนรองรับกรรมเพื่อมาเกิดของจิตวิญญาณ เท่านัั้น
    เมื่อรูปดับ กายก็ได้ไปเกิดตามภพภูมิใหม่ตามกรรม

    ถ้าเรามานั่งนึกกันเล่น ๆ ละว่า จิตเดิมแท้ประภัสสร ถูกปิดบังมิติไว้ไม่ให้
    ล่วงรู้สิ่งที่เป็นความจริงในมิตคู่ขนานของตนเอง เพื่อมาพัฒนการเรียนรู้
    ความเป็นหน้าที่มนุษย์ให้สมบูรณ์ ก็คือ มรรคแปด มนุษย์ผู้ประเสริฐ
    ดำเนินชีวิตกันอย่างไม่ผิดพลาดบกพร่องต่อหน้าที่เพื่อมรรคผลนิพพาน

    เมื่อเราศึกษาว่าเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกายและอวัยวะของตนทุกส่วน
    ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจ และทุกส่วนล้วนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน
    พฤติกรรมทางกายจะรับคำสั่งของจิตในรูปคลื่นความคิด มันจะสามารถ
    จะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างต้องการ เมื่อมันได้ทราบ
    ความคิดและการตัดสินใจของตนเอง

    ดั่งนั้นเราต้องยอมรับการมี 2 ภาคของตนเองให้ได้ก่อน ก็คือ...
    1.ภาคสมมุติบัญญัติ ที่มองเห็นด้วยระบบประสาทสัมผัสของตัวเอง
    2.ภาคปรมัตถ์สัจจะ ที่มองเห็นด้วยประสาทสัมผัสไม่ได้ แต่จะรู้เห็นได้
    อีกมิติหนึ่ง หรือ อาจจะเรียกว่า เป็นคลื่นพลังงานที่มนุษย์มองสัมผัส
    ด้วยตาเปล่าไม่เห็น

    เมื่อเราเข้าใจและรู้กันอย่างนั้น การคิดและการกระทำนั้นก็ต้องก่อให้เกิด
    คลื่นพลังงานที่ออกจากจิตใจของมนุษย์ ซึ่งจะมีผลต่อจิตวิญญาณด้วย
    ผลกรรมดี(+) ผลกรรมชั่ว(-) ที่ทำให้จิตวิญญาณไม่บริสุทธิ์ จึงทำให้
    หลุดพ้นไปจากโลกไม่ได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • imagesCAE2520P.jpg
      imagesCAE2520P.jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.3 KB
      เปิดดู:
      53
    • untitled.png
      untitled.png
      ขนาดไฟล์:
      72.1 KB
      เปิดดู:
      60
    • 0ACup2.jpg
      0ACup2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.4 KB
      เปิดดู:
      64
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    วันหนึ่งปฏิบัติธรรมที่วัดเดินจงกรมตั้งแต่บ่ายโมง ถึง 4 โมงเย็น
    แล้วกลับมายืนดูมองพื้นด้วยสายตานิ่ง ๆ ไม่ได้คิดอะไรเลย
    เห็นพื้นวิ่งเป็นลูกคลื่นเป็นระลอก ๆ ไปเรื่อย ๆ

    เราจะเห็นได้ว่าทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นพลังงาน
    คลื่นความคิดที่เป็นพลังจิตก็อยู่ในรูปคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
    สรรพสิ่งรอบ ๆ ตัวเราก็เป็นคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็ก
    นิวเคลียสที่อยู่ในเซลล์ร่างกายมนุษย์ก็ตอบรับพลังงานแม่เหล็ก
    โลกของเราก็เป็นพลังงานจากสนามแม่เหล็กโลก
    ดวงอาทิตย์ก็เป็นคลื่นคอสมิก เป็นคลื่นพายุสุริยะแม่เหล็กเช่นเดียวกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    วันนี้ไปตลาด เป็นช่วงวันตรุษจีน ในตลาดเจอเขาแห่เทพเจ้า
    ขณะนั้นได้มองมีแม่ค้าจำนวนมากพากันไปซื้อธูปดอกไม้มาไหว้
    เพื่อให้ตนเองมีโชคและค้าขายดี

    ตัวเองก็ได้นึกในใจว่า เทพเจ้าทุกคนล้วนมีคุณงามความดีอยู่ในตัวเอง
    ได้สั่งสมบารมีความดีไว้จึงสามารถเป็นเทพเจ้าได้ ถ้าหากเราต้องการ
    พึ่งพาเทพเจ้าช่วยดลบันดาลให้ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
    มันยุติธรรมไหมหนอ แต่ถ้าทุกคนพึ่งพาตนเองสร้างสมคุณงามความดีไปด้วย
    แล้วเทพเจ้าที่มีคุณงามความดีอยู่แล้วอาจคงช่วยเสริมให้ได้บ้างมั้ง
    แล้วคนที่ไม่เคยทำไว้ล่ะ เขาจะได้อย่างไร

    สมมุุติว่าคนต้องการจะรวย ตามคำสอนเขาบอกว่าต้องทำบุญทำทาน
    สร้างกุศลไว้มาก ๆ บางคนตระหนี่ไม่ค่อยทำเขาก็คงไม่ได้ หรือ บางคน
    ทำนิดหน่อยแล้วอยากจะรวยเร็ว ๆ มาก ๆ คือ ทำแล้วต้องการจะได้เลย
    ก็ไม่รวยเสียที ก็เลยมองเห็นว่าตนเองไม่ศักดิ์สิทธิ์ก็เลยพากันหวังพึ่งเทพเจ้าแทน
    ทั้ง ๆ ที่ตนเองนั่นแหละคือ เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีอยู่ในตัวเอง
    แต่ทุกคนไม่เข้าใจ เพราะทำแล้วไม่เห็นผลเสียทีก็เลยหวังพากันพึ่งพาสิ่งอื่น

    ก็เลยกลับมาคิดว่า ถ้ากรรมที่ทุกคนสร้างไว้ แล้วต้องการเห็นผลดั่งใจ
    ต้องการรวย ต้องการแต่สิ่งทีดี ๆ พอไม่ได้ก็คิดว่าไม่มีผลก็เลยทำให้หลายคน
    ไม่เชื่อตัวเองและไม่เข้าใจกรรมที่แท้จริงด้วย

    ถ้าเราเคยรู้ว่ากาลเวลาที่เป็นเส้นตรง การส่งผลก็ย่อมเป็นไปตามกาล
    แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพลังของกรรมด้วย

    กรรมที่เราเคยสร้างไว้ในหลายภพชาติ.......
    ที่เกิดมาไม่รู้ว่าตัวเองได้สร้างกรรมดี กรรมชั่วอะไรไว้บ้าง พอชาตินี้.......
    ความอยากที่ใคร ๆ ต้องการจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์พร้อมทำนิด อยากได้มาก
    ทำมาก ก็ทำด้วยความโลภ ไม่ใช่ใจกว้างหรือการให้อย่างแท้จริง
    กรรมนั้นก็ส่งผลให้ไม่ได้ตามที่ตนปราถนา โดยเฉพาะความร่ำรวย
    นอกจากให้แล้วยังมีเรื่องใจ...เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย (ไม่นับร่วมวิบากรรม)
    ใจยิ่งกว้างเท่าไร....มีทรัพย์ก็มากเท่านั้น...(วันหลังจะนำคำของพระศาสดามาลงให้อ่านค่ะ)

    และยิ่งแล้วไปกันใหญ่หากกรรมที่ทำดีชาตินี้ แต่ชีวิตกับได้ไม่ดี
    โดยไม่ได้เข้าใจว่าการให้ผลของกรรมเป็นเช่นไร...มนุษย์เราส่วนใหญ่
    จึงเป็นอย่างที่เห็นเหมือนที่หลวงปู่โตบอกว่า....

    "ลูกเอ๋ย... ก่อนที่จะเที่ยวไปขอบารมีจากหลวงพ่อองค์ใด

    เจ้าจะต้องมีทุนของตนเอง คือ บารมีของตนลงทุนไปก่อน

    เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีของคนอื่นมาช่วย

    มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด

    เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมเขามาจนล้นตัว

    เมื่อทำบุญกุศลได้บารมีมา

    ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว

    แล้วเจ้าจะไม่มีอะไรไว้ในภพหน้า

    หมั่นสร้างบารมีไว้แล้วฟ้าดินจะช่วยเจ้าเอง

    จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้

    ครั้นถึงเวลาทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน

    เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า..."

    *******

    ถ้าหากเราเข้าใจกรรมได้อย่างแท้จริง เราจะเข้าใจตนเองได้เช่นกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    คำสอนของพระพุทธเจ้า......

    เธอจงพิจารณาดูความจริงจากธรรมชาติสักอย่าง คือ
    แม่น้ำใดเป็นน้ำตายไม่ไหล ไม่ถ่ายเทไปสูที่อื่น
    หยุดนิ่งขังอยู่ที่เดียวแม่น้ำนั้นย่อมพลันตื้นเขิน
    และสกปรกเน่าเหม็น เพราะสิ่งสกปรกลงมาไม่ได้ถ่ายเท
    นอกจากนี้ บริเวณใกล้ ๆ แม่น้ำสายนั้น
    จะหาพืชพันธ์ธัญญาหารสวยสดก็หายาก
    แต่..แม่น้ำใด..ที่ไหลเอื่อยลงสู่ทะเล หรือ
    แตกสาขาออกไหลเรื่อยไป มันไม่รู้จักหมดสิ้น
    คนได้อาบ ได้ดื่ม และใช้สอยได้ตามปารถนา
    มันจะใสสะอาด ไม่มีวันเน่าเหม็นหรือสกปรกได้เลย
    พืชพันธ์ธัญญาหาร ณ บริเวณไกล้เคียงก็เขียวสดงดงาม

    ตระหนี่กักตุนไม่ถ่ายเทให้ผู้อื่นบ้าง ก็เหมือนน้ำตายไม่มีประโยชน์แก่ใคร
    ถ้าไม่ตระหนี่ก็เหมือนน้ำไหลเอื่อยอยู่เสมอกระแสก็ไม่ขาด
    เป็นประโยชน์แก่มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย

    ************

    จากข้อความข้างบน หากเราได้ทำความเข้าใจหลักของธรรมชาติ
    เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ธรรมชาติได้สอนบอกอะไรเราได้เสมอ

    ผู้ให้ทานย่อมมีทรัพย์ และ เป็นที่รักของผู้อื่น
    ทรัพย์ทุกอย่างที่ได้มาเป็นรางวัลจัดสรรของธรรมชาติ
    ที่ตอบแทนให้แก่บุคคลนั้น ตามเหตุที่เขาได้สร้างไว้
    และได้จัดสรรแบ่งปันให้แก่ผู้ไม่มีโอกาสอย่างเขา
    เขาบุคคลนั้นย่อมเหมือนกับกับสร้างที่ว่างขนาดใหญ่
    เพื่อรองรับสิ่งที่ธรรมชาติจัดสรรให้
    ...เพื่อแบ่งปันให้กับ
    ผู้ไม่มีโอกาสดั่งเขา เพราะกฏของธรรมชาติคือความเสมอภาค
    ที่จะได้รับรางวัลจากธรรมชาติเท่าเทียมกัน

    ยิ่งให้ทาน...ยิ่งได้ ยิ่งมีน้ำใจช่วยเหลือผู้ยากไร้...ยิ่งมี
    ใจที่มีความกว้าง เหมือนสร้างที่ว่างของการรับรองความมี
    หากมีแล้วตระหนี่...ก็เหมือนใจแคบ...สิ่งที่รองรับก็แคบตาม
    หากปล่อยไปนาน ๆ ก็เปรียบเหมือนน้ำเน่าตื้นเขิน
    ก็ไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้

    ตัวเองเคยพิจารณาและเปรียบคนรวยที่แจกจ่ายให้คนอื่น
    กับคนยากไร้ที่รอรับจากคนอื่น เขาแตกต่างกันอย่างไร
    ก็เลยมองเห็นได้จากธรรมชาตินี่เอง ที่ทรงตรัสว่า..
    ผู้มีทรัพย์เนื่องจากให้ทาน ก็น่าจะมาจากสาเหตุนี้นี่เอง
    ว่าธรรมชาติสรรสร้างและจัดสรรให้อย่างไร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • น้ำ4.png
      น้ำ4.png
      ขนาดไฟล์:
      126.1 KB
      เปิดดู:
      63
    • น้ำ2.jpg
      น้ำ2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.1 KB
      เปิดดู:
      42
  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ธรรม /ธรรมธาตุ สภาพที่ทรงไว้

    ธรรมชาติ สภาพธรรมที่มีอยู่ตามจริง

    "ธรรมะ" คำนี้แปลว่า "หน้าที่" เป็นความหมายซึ่งใช้กันมาแล้ว ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ในถิ่นที่ใช้ภาษานั้น

    ธรรม ๔ .....

    ความหมาย คือ ธรรมชาติ-กฎธรรมชาติ-หน้าที่ตามธรรมชาติ-ผลที่เกิดขึ้น

    ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในความหมายของคำว่า "อิทัปปัจยตา" เพียงคำเดียว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 11.jpg
      11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.5 KB
      เปิดดู:
      43
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.2 KB
      เปิดดู:
      48
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    สนามแม่เหล็กโลกมีความสำคัญอย่างไร......
    ถ้าโลกเราไม่มีสนามแม่เหล็กโลก ....โลกนี้จะเป็นอย่างไร

    ลองดูวีดีโอนี้ค่ะแล้วเราจะเข้าใจโลกกันมากขึ้น



    <IFRAME height=360 src="https://www.youtube.com/embed/R7JhhL_syTI?feature=player_detailpage" frameBorder=0 width=640 allowfullscreen></IFRAME>

    สนามแม่เหล็กโลก - LESA: ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์


    ลองอ่านบทความนี้ดูค่ะ นักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า แก่นชั้นในใจกลางโลก ทำให้เกิดเหล็กหลอมละลายกระแสไฟฟ้า ทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กโลก

    และ นักวิจัยก็ค้นพบจุดเชื่อมโยงสนามแม่เหล็กโลกกับดวงอาทิตย์

    <IFRAME height=360 src="https://www.youtube.com/embed/OdmhIdHm0LE?feature=player_detailpage" frameBorder=0 width=640 allowfullscreen></IFRAME>


    ซึ่งก็เปรียบเสมือนว่า.....

    แม็กนิโตสเฟียร์ ระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกจะต้องเชื่อมโยงกับสนามพลังงานจักรวาล

    คลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลก คือ สะพานเชื่อมโยระบบเซลล์ไฟฟ้าในร่างกายและจิตวิญญาณให้มีความสัมพันธ์กับจักรวาลตลอดเวลา

    ที่คนยุคสมัยนี้ตื่นตัวกับคำว่า รับ "พลังงานจักรวาล" พลังจิต พิชิตโรค

    ภายในเซลล์อวัยวะร่างกายของมนุษย์ ทุกเซลล์ จะมีเส้นใยเกลียวแม่เหล็ก DNA (ถ้าใครได้ดูวีดีโอ อัศจรรย์ของชีวิต ) จำนวนเกลียวของเส้นใยรอบแท่ง DNA มีผลต่อการเหนี่ยวนำ ให้ แท่ง DNA (ยีนส์พันธุกรรม) เกิดอำนาจแม่เหล็กเหนี่ยวนำ เพื่อเปิดรับพลังงานจักรวาลโดยมีเส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกเป็นผู้นำทาง ไหลผ่านเส้นใยเกลี่ยวแม่เหล็กในร่างกายอย่างต่อเนื่อง

    การปฏิสนธิทางวิญญาณ ในการเกิดเป็นทารกในครรภ์มารดา จะเป็นไปตามรหัสกรรมจากในอดีตชาติของแต่ละคน (กรรมเก่า) จำนวนเกลียวแม่เหล็กในร่างกายมีไว้เพื่อเหนี่ยวนำแท่งแม่เหล็ก DNA ให้เกิดอำนาจแม่เหล็กภายในเซลล์ เพื่อทวนสัญญาณจากกรรมในอดีตนำออกมาสู่ยีนส์ หรือ DNA เพื่อสร้างเป็นรูปร่างกายของแต่ละคนตามกรรมที่แตกต่างออกไป

    แท่งแม่เหล็ก DNA ในระบบเซลล์ร่างกาย เปิดรับพลังงานไฟฟ้าจากจักรวาล เพื่อมีคำสั่งให้เซลล์นั้น ๆ เจริญเติบโต ฟื้นฟูตนเอง และปิดกั้นเชื้อโรค หรือ ทำลายตัวเอง ตามอำนาจแม่เหล็ก ที่เกิดจากการเหนี่ยวนำ ภายในเซลล์ร่างกายของมนุษย์ที่ได้รับสัญญาณพลังงานไฟฟ้าจากจักรวาล

    ถ้าโลกนี้มีสองมิติ คือ มิติคุู่ขนาน

    1.มิติโลก สิ่งที่เราเห็นกันอยู่บนโลกทางกายภาพ
    2.มิติพลังงาน สิ่งที่เรามองไม่เห็น เป็นมิติทางจิตวิญญาณ แต่เราสามารถรับรู้ได้ สัมผัสได้ อารมณ์ ความรู้สึก

    การที่เราแสดงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดออกมา จะเกิดกระแสสั่นสะเทือนจากระบบเซลล์ภายในอวัยวะร่างกาย จะผลิตสร้างคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กออกมามีอนุภาคเป็นประจุไฟฟ้าบวก ลบ (ถ้าดูวีดีโอ สมองกับพลังคิดบวก/ลบ) จะเห็นว่าคลื่นสมองเป็นกระแสไฟฟ้า เป็นคุณสมบัติของ พลังงานใหม่ที่จิตมนุษย์สร้างขึ้นมา

    แก่นแท้ใจกลางโลก ต้องการประจุบวกจากสิ่งมีชีวิตทั้งหลายไปทำปฏิกริยาทางไฟฟ้ากับอนุภาคของอ๊อกซิเจนเหลวบริสุทธิ์ 100 % ที่อยู่ในใจกลางโลก จากการหลอมละลายแตกตัวจากการระเบิดของอ๊อกซิเจนในใจกลางแล้ว นอกจากจะสร้างสนามแม่เหล็กโลกแล้วยังเป็นปัจจัยให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายดำรงชีวิตอยู่ได้ ถ้าไม่มีสนามแม่เหล็กโลกแล้ว สิ่งมีชีวิตไม่สามารถดำรงอยู่ได้ เพราะกลไกลการทำงานในระดับเซลล์ และบรรดาต่อมไร้ท่อต่าง ๆ ของมนุษย์ที่ต้องใช้กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำจากสนามแม่เหล็กโลกกันอยู่ ถ้าเซลล์ร่างกายขาดอำนาจเหนี่ยวนำจากอำนาจแม่เหล็กโลก มนุษย์จะมีร่างกายอ่อนแอและขี้โรค

    การแตกตัวของอ๊อกซิเจนในแก่นแท้ใจกลางโลก สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกช่วยกันสร้างผลิตขึ้นแล้วป้อนให้กับโลกนั่นเอง ...คลื่นความคิดจิตจักรวาลที่เป็นความรู้ใหม่

    ความรู้สึกที่กระทำต่อผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และดีงาม ขณะใดที่มนุษย์เกิดความรู้สึกที่ละเอียด ภาวะที่จิตบริสุทธิ์เปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตา ปีติเบิกบาน และความปราถนาที่จะให้ จะนำมาซึ่งกลไกการผลิตพลังงานแม่เหล็กที่มีคุณสมบัติด้านบวก ..... เป็นสิ่งที่โลกต้องการ เพราะกลไกการผลิตพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กในร่างกายมนุษย์จะถูกกำกับการทำงานไว้ด้วยอารมณ์รู้สึกนึกคิดของมนุษย์แต่ละคน


    ทุกคนจึงมีบทบาทในการช่วยกันรักษาโลก ให้พ้นภัยพิบัติอันตรายต่าง ๆ ได้

    ความเป็นไปได้ ถ้าเราได้อ่านพุทธประวัติการเกิดของมนุษย์แต่ละยุคสมัย โดยเฉพาะยุคต่อไปที่เรียกว่า ยุคศิวิไลย์ หรือ ยุคพระศรีอาริย์ คือ ยุคที่ผู้คนในสมัยนั้นมีคุณธรรม ศีลธรรม จิตใจสูงส่ง มีคุณงามความดีรักษาศีล และมีความสวยงามกันทุกคนเสมอกันหมด ทุกคนต่างมีอายุยืนยาว ไม่มีโรคภัยเบียดเบียนอยู่กันด้วยความสุข บ้านเมืองในยุคนั้นก็สวยงามดั่งสวรรค์ ถ้าเปรียบกับยุคปัจจุบันนี้ที่จิตใจคนตกต่ำไร้คุณธรรมศีลธรรม สภาพโลกเป็นดั่งเช่นไร เราก็เห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2016
  11. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ขณะนี้สนามแม่เหล็กโลกอ่อนตัวลงเพราะอะไร
    นักวิทยาศาสตร์ได้ตื่นตัวกันมาก...เพื่อช่วยกันพิสูจน์ความจริงค่ะ


    <IFRAME height=360 src="https://www.youtube.com/embed/a7vjrIcnDCk?feature=player_detailpage" frameBorder=0 width=640 allowfullscreen></IFRAME>

    โลกถูกกำหนดให้หมุนรอบตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยอัตราเร็วคงที่และต่อเนื่อง และยังต้องขับเคลื่อนตนเองและเพื่อนดาวเคราะห์ทั้งแปดให้โคจรไปรอบดวงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องโดยต่างมีวงโคจรเป็นของตนเอง และอยู่ในการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง

    โลกที่ล่องลอยในอวกาศ อยู่ในสนามพลังงาน มิได้ล่องลอยอยู่เฉย ๆ ดั่งลูกบอลที่ลอยตามน้ำ หรือลอยไปตามกระแสลม ขณะที่ลอยไปในอากาศก็ต้องหมุนรอบตัวเองด้วยอัตราความเร็วคงที่การเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง เพื่อเป็นการสร้างความสมดุลของตนเอง หากแรงเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองต่ำกว่าเดิม หรือ ถ้าเพิ่มน้ำหนักมวลเข้าไป ย่อมส่งผลให้อัตราการหมุนรอบตัวเองต่ำลง หรือหมุนช้าลง ผลลัพธ์จากการเสียสมดุลของระบบโลก จากน้ำหนักมวลเพิ่มขึ้นจนรับไม่ไหวก็จะส่งผลย้อนกลับทิศทางในมุมสามเหลี่ยม คืนสู่มวลมนุษย์โลกในฐานะผู้ก่อเหตุเข้าจนได้ จะเห็นได้ชัดเจนจากสภาวะเรือนกระจก

    สาเหตุก็คือ


    - มนุษย์ป้อนผลิตพลังงานด้านบวกให้กับโลกไม่ได้ การบำเพ็ญตนทางจิตวิญญาณก็ลดลง

    - มนุษย์ขาดคุณธรรม ศีลธรรม สัตว์ประจำโลกก็ดุร้ายมากขึ้น เกิดจาการไล่ล่าของมนุษย์แย่งชิงอาหารกัน การขุดคุ้ยดูดทรัพยากรธรรมชาติและแร่ธาตุต่าง ๆ นอกจากจะเป็นการย้ายพิกัดลดน้ำหนักมวลแล้ว ยังนำทรัพยากรเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงโยกย้ายมาสร้างเมืองใหม่เป็นการเปลี่ยนพิกัดน้ำหนักมวลเดิมของโลกอีกด้วย

    - มนุษย์ในโลกกำลังดำเนินชีวิตไม่ถูกต้องห่างไกลจากความเป็นจริงเข้าไปทุกที ถูกแบ่งแยกออกจากความเป็นหนึ่งเดียวกัน สร้างอาวุประหัตประหารทำลายเผ่าพันธ์ตนเอง

    - ขณะที่ทางด้านจิตวิญญาณ กลับสร้างผลผลิตของตนอย่างไร้สำนึก ก้าวร้าวต่อมนุษย์ด้วยกันและต่างชนชาติอย่างรุนแรง หรือบางประเทศทีท่ามาเป็นผู้ช่วยเหลือกำจัดคนพาล กลับทำตัวเป็นอุปสรรคต่อคนในสังคมนั้น และผู้คนในสังคมกระทำบาปเป็นอุปสรรคต่อสันติสุขของผู้อื่น แทนที่คุณธรรม มโนธรรม ที่จะช่วยค้ำจุนโลกให้สมดุล

    - จิตมนุษย์ที่ตกต่ำของมนุษย์โลก นอกจากจะนำไปสู่ความหายนะในสังคมที่เต็มไปด้วยขยะเทคโนโลยีแล้ว และยังก่ออำนาจความรุนแรงในสังคมมนุษย์ล่อแหลมต่อการเกิดศึกสงคราม

    จนทุกวันนี้โลกหมุนตัวเองช้าลง จนแกนหมุนเอียงอาจพลิกคว่ำได้ ระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกต่ำลงจนไม่อาจยกตัวสูงขึ้นประสานกับพลังงานจักรวาลในระดับที่เหมาะสมจนไม่อาจป้องกันภัยจากอุกาบาตและเทหวัตถุจะพึ่งชนโลกให้ย่อยยับได้

    สิ่งต่าง ๆ ความจริงเหล่านี้ได้เกิดขึ้นแล้วกับสังคมโลกมนุษย์เรา

    ซึ่งขณะนี้จึงต้องมีการส่งพลังงานมาเพื่อช่วยเหลือโลกจากนอกโลก คือคลื่นพายุสุริยะจากจุดดับของดวงอาทิตย์ ที่เราติดตามรับข่าวสารกันอยู่ทุกวันนี้

    <IFRAME height=360 src="https://www.youtube.com/embed/43W6pv5Qszo?feature=player_detailpage" frameBorder=0 width=640 allowfullscreen></IFRAME>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2016
  12. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    การสลับขั้วแม่เหล็กไม่ใช่เรื่องเล่นเลย มีการศึกษากันอย่างจริงจัง
    ขึ้นอยู่กับว่าใครจะกล้าพูดแค่นั้นเอง แต่หลักฐานมีทุกอย่าง มีสัญญาณบ่งบอก

    <IFRAME height=360 src="https://www.youtube.com/embed/TiGYF1-bYqA?feature=player_detailpage" frameBorder=0 width=640 allowfullscreen></IFRAME>

    ผลดั่งกล่าวก็คือ การปรับย้ายแนวแกนแม่เหล็กโลกเหนือใต้ให้เบี่ยงเบนไปจากเดิม

    ขณะนี้โลกกำลังเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงระดับพลังงาน ....
    ถ้าสนามแม่เหล็กอ่อนตัวและยุบตัวลงอย่างมาก จะมีผลกระทบต่อโลกอย่างแน่นอน


    คลื่นพายุแม่เหล็กจากจุดดับดวงอาทิตย์ ส่งมายังดาวเคราะห์โลกโดยตรง เป้าหมายสร้างแรงสั่นสะเทือน ทางกายกายภาพโลกอย่างรุนแรง
    เพื่อกระทำต่อแนวแกนแม่เหล็กโลก คือ คลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลกให้ยกตัวสูงขึ้นกว่าเดิม ให้เบี่ยงเบนไปจากเดิมสู่ระดับที่ต้องการ

    ด้วยอำนาจพายุแม่เหล็กที่ส่งเข้ามาใหม่มีคุณสมบัติด้านบวก เป็นคลื่นชนิดเดียวกันกับคลื่นพลังงานที่เกิดจากการสั่นสะเทือนจิตสำนึกมนุษย์
    จะผลต่อการจิตใจของมนุษย์ในโลกโดยตรง คือ

    - มนุษย์มากรายที่ขาดความสมดุลในจิตใจจะเป็นภัยต่อผู้คุ้นเคย ที่มีอารมณ์ด้านลบจนเป็นนิสัยเช่น วิตกกังวล โกรธง่าย โมโหฉุนเฉียว จิตใจหดหู่ เคียดแค้น อาฆาตมาดร้าย


    - กลุ่มบุคคลที่ขาดมโนธรรมทางด้านจิตใจ ไม่เห็นคุณค่าของบุคคลอื่น จะแสดงความก้าวร้าวอย่างรุนแรงกว่าที่ผ่านมา

    - ผู้นำประเทศที่ขาดจิตสำนึกจะตัดสินใจผิดพลาด ต้องรับภัยพิบัติเคราะห์กรรมรุนแรงชนิด และ ทุกคนในประเทศต้องเป็นผูรัลผลกรรมนั้นด้วย

    - ผู้ที่ชอบการเผชิญกับสิ่งท้าท้ายเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายโดยล้อเล่นกับความหวาดเสียว สถานการณ์อันตรายเหล่านั้นจะนำโอกาสไปตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย จึงเกิดอุบัติเหตุตายหมู่บ่อยครั้ง

    - การฆ่าตัวตาย รายวันของผู้เสียความสมดุลทางอารมณ์ จะเป็นสิ่งที่คุ้นเคย

    การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงที่ผู้คนตายนับพันคนที่มีให้เห็นบ่อยครั้ง เกิดการได้สั่นสะเทือนของโลกที่ตอบคลื่นพลังงานจากระบบสุริยะเป็นระลอกแรก

    พลังงานระลอกสอง ถูกส่งมาจากดวงจันทร์ "ไอโอ" จะมีพลังงานสูงกว่าพายุสุริยะหลายเท่า แน่นอนโลกย่อมตอบรับการสั่นสะเทือนตามไปด้วย

    นี้คือการปรับโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก สู่ยุคพลังงานใหม่

    ผลกระทบกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ มนุษย์โลกจึงหนีไม่พ้น ภัยธรรมชาติเป็นบททดสอบที่สำคัญกับการรักตัวกลัวตาย และต่อมาก็สามารถปลดปล่อยให้กับผู้ที่ห่างไกล
    เช่น การสงสารและเวทนาในเคราะห์กรรมที่เกิดแก่บุคคลอื่น ทั้งปลดปล่อยพลังงานความรักให้แก่กันและกัน ได้จึงเกิดสำนึกแบบรวมหมู่ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ช่วยเหลือกัน

    มนุษย์แต่ละคนร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกันได้ จะสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องเลวร้ายใด ๆ ตามคำพยากรณ์ให้เป็นดีได้แน่นอน แม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงโลกนี้
    ไม่ใช่อำนาจของการกระทำย่ำยี ไม่ใช่กลไกของเทคโนโลยี แต่ต้องทำด้วยจิตสำนึกของตนเท่านั้น

    สิ่งที่เกิดขึ้นกับโลกเราขณะนี้...บางส่วนได้เกิดขึ้นบ้างแล้ว

    ประเทศใดที่ปฏิบัติตนตามคำสอนของพระศาสดา ผู้คนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ จิตใจดีงาม ย่อมปลอดภัย หรือ มีผลกระทบน้อยที่สุด
    แต่ผู้คนที่ขาดสติ ขาดความสมดุลทางจิตใจ ก็ยังหนีไม่พ้นจากภัยอุปสรรคทางอารมณ์ของตนเอง และเจ้ากรรมนายเวร
    และ ภัยความเดือดร้อนทางธรรรมชาติ และภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มากน้อยตามกรรมของตน

    ศีล สมาธิ ปัญญา เครื่องป้องกันรักษาตนเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2016
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ทางที่ต้องเลือกเดินในจักรวาลแห่งความรัก
    จักรวาลที่เป็นสัจธรรมอันจริงแท้
    จักรวาลอันเป็นกำเนิดทุกสรรพสิ่ง
    ความเข้าใจมิติพลังงานมิติที่แท้จริง
    ทุก ๆ สิ่งต้องเข้าใจด้วย....ปัญญา

    บางทีอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว
    แต่ถ้ามัวไม่ใส่ใจไม่ค้นหา
    บางทีอาจพลาดจากปัญญา
    เพราะยุคหน้าไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อใด

    ยุคนี้สื่อสารไร้พรมแดน
    สื่อได้แม้ต่างแดนต่างมิติ
    แต่ว่าดวงใจต้องไม่ไร้สมาธิ
    ทุกมิติมีคำตอบให้เพียงแค่ต้องการ

    ปัญญาก่อให้เกิดความรู้แจ้ง
    แทงตลอดตัวตนเฝ้าค้นหา
    รู้ความจริงสัจธรรมความเป็นมา
    ก็ค้นหาจากความจริงที่เป็นไป

    ธรรมะคือธรรมชาติคือสัจธรรม
    พาจิตล้ำเข้าสู่เส้นทางแห่งวิถี
    ทุกชีวิตต่างต้องการไปสู่แดนที่
    เป็นเป้าหมายสูงสุดคือนิพพาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เชื่อไหม...ข้อมูลสื่อคลื่นความคิดพลังงานยุคใหม่ได้สื่อว่า...

    ว่าโลกของเราปรับเปลี่ยนพลังงานเนื่องจากมีคนจำนวนหนึ่งในหลักแสน
    ได้เข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดแล้ว.....พวกเขาเหล่านั้นเป็นมนุษย์ผู้มีความสมดุล
    นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มพลังงาน

    อย่าเพิ่งเข้าใจว่าทุกคนเข้าถึงสัจธรรมสูงสุดแล้วต้องบรรลุธรรมทุกคน
    แต่..บางคนก็ไม่บรรลุธรรมก็มี แต่สิ่งที่เขาได้สัมผัสได้ อาจเป็นไปตามเหตุปัจจัยของแต่ละคน


    เพราะผลรวมจากการสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกของมนุษย์ในแต่ละคนจะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนโลก

    บางทีอาจมองว่าไม่น่าเชื่อเลย หรือ ไม่ว่าเป็นไปได้

    แต่สิ่งที่ได้สื่อมาให้นั้นมีบุคคลหนึ่งที่ตนเองเข้าใจและน่าจะยืนยันได้
    ไม่รู้ว่า ท่าน lighter เป็นหนึ่งในนั้นด้วยหรือเปล่าค่ะ

    และต่อมาก็มีจำนวนผู้ที่เห็นขึ้นมาเรื่อย ๆ ...เพราะอะไร

    ถ้าใครได้อ่านประสบการณ์อัศจรรย์ของ jityim ถ้าใครไม่เคยอ่านลองกดดูค่ะ

    http://palungjit.org/threads/เกิดอะไรขึ้นกับโลก-ขึ้นอยู่กับมนุษย์ทุกคนว่าจะตัดสินใจอย่างไร.537708/ หน้า 11

    และ http://palungjit.org/threads/คลื่นความโน้มถ่วง-หน้าต่างบานใหม่สำหรับการศึกษาเอกภพ.561341/

    จะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า...สิ่งที่ประสบมานั้นเป็นจริงตามที่จิตจักรวาลสื่อมาให้
    และยุคนี้กำลังปรับเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่จริง


    แต่ผลกระทบจะมากหรือน้อย จะเกิดขึ้นเมื่อไร ไม่มีใครทราบได้
    ก็เพียงได้แค่ติดตามสถานการณ์ และ ปฏิบัติตามคำเตือนล่วงหน้า
    คือ การปฏิบัติบำเพ็ญจิต ศีล สติ สมาธิ และปัญญา จะเป็นสิ่ง
    คุ้มครองปกป้องรักษาตัวเอง แต่ถ้าหากมนุษย์โลกมีจิตสำนึกกันมากขึ้น
    ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ โดยเฉพาะจิตสำนึกรวมหมู่
    มีผลต่อโลกนี้จริง ๆ

    พลังงานสนามแม่เหล็กโลก จึงสำคัญในลักษณะแบบนี้

    คุณธรรม ศีลธรรม ความดีงามของจิตใจมนุษย์ จึงเกี่ยวข้องกับโลกในลักษณะอย่างนี้

    สิ่งนี้นั้นเป็นสัจธรรม เป็นกฎเกณฑ์สากลของจักรวาล เป็นศาสตร์ของมิติพลังงาน

    ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เราทุกคน และเป็นความรู้ที่เป็นความจริงของตัวเอง

    และจะนำข้อมูลมาลงให้ทราบค่ะว่า...jityim เห็นสิ่งมหัศจรรย์ นั้นอันด้วยสาเหตุใด

    จึงยืนยันว่า....เรากำลังเปลี่ยนแปลงโลกเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่กันจริง ๆ

    โลกและเรา ก็เพียงเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานในจักรวาลนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • imagesCATV0REA.jpg
      imagesCATV0REA.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.6 KB
      เปิดดู:
      60
    • a.jpg
      a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.2 KB
      เปิดดู:
      44
    • d2.jpg
      d2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.5 KB
      เปิดดู:
      50
    • d1.jpg
      d1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8 KB
      เปิดดู:
      43
    • d.jpg
      d.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.8 KB
      เปิดดู:
      43
  15. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ในยุคพลังงานใหม่ ระบบทางชีววิทยาของมนุษย์แต่ละคนกำลังถูกปรับเปลี่ยนเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพให้สูงขึ้น สู่ความเป็นมนุษย์ในยุคพลังงานใหม่ที่ต่างจากความเป็นมนุษย์ในยุคพลังงานเก่าไปอีกระดับหนึ่ง จัดว่าเป็นข่าวดีสำหรับพวกเราอีกอย่างหนึ่งพอจะมาเปิดเผยได้ นั่นคือ ความสามารถในการมองเห็นบางอย่างที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า แต่ทว่าอยู่คนละมิติกับโลก หรือ ในมิติที่สูงกว่า ด้วยดวงตาของเราเอง แม้ยังไม่บรรลุการรู้แจ้งเหมือนยุคพลังงานเก่าเลยก็ตาม ซึ่งมนุษย์ทั่วไปอาจคิดว่า เป็นเรื่องอัศจรรย์ ลึกลับ หรือ เหลวไหล แต่ความเป็นจริงในข้อนี้ มนุษย์โลกทุกคนล้วนมีโอกาสได้เรียนรู้มันได้ด้วยตนเอง ในช่วงอายุขัยที่เหลืออยู่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้แน่นอน

    ความหมายของสรรพสิ่งที่เหนือธรรมชาติบนโลกมนุษย์ก็คือ รูปธรรมใด ๆ ก็ตามที่ไม่ได้อยู่ในกรอบกาลเวลาบนโลก ซึ่งเป็นมิติที่สอง แต่อาจอยู่ในมิติที่สามหรือสูงกว่า เช่น เราอาจแลเห็นความลึกลับบางอย่างในจักรวาลด้วยตาของเราเอง ในขณะที่สิ่งนั้นเราไม่สามารถพบเห็นมันมาก่อนเลย หรือ สิ่งที่เราเห็นเป็นรูปร่างในจักรวาลแบบหนึ่ง เราได้เห็นกลับเป็นอีกแบบหนึ่งซึ่งเราคาดไม่ถึง นอกจากนั้น เราอาจสามารถแลเห็นจานบินของผู้มาเยือนจากต่างดาว ซึ่งทีผ่านมาเราเห็นได้เพียงเค้าโครงซึ่งเป็นภาพมายา เนื่องจากมันอยู่ในกรอบเวลาที่ต่างมิติกับเรา ได้อย่างชัดเจนและเป็นภาพจริงด้วย จนแม้กระทั่งพลังงานของจิตวิญญาณที่เป็นรูปธรรมละเอียดระดับปรมาณู อันเป็นรูปธรรมในมิติที่สูงกว่า มนุษย์ก็อาจแลเห็นได้

    มนุษย์เองควรเตรียมตัวเตรียมใจกับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้เอาไว้ด้วย ซึ่งขณะนี้เรากำลังเริ่มต้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเราเองแล้ว มิเช่นนั้นเราอาจเป็นมนุษย์ที่สับสนตนเอง จนอาจครองสติไม่ได้กับความอัศจรรย์ของตนเองที่เกิดขึ้น หากมันเกิดขึ้นโดยมิได้ล่วงรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องที่กล่าวมาก่อน เนื่องจากมนุษย์ทั่วไปไม่เคยมีประสบการณ์และความสามารถเช่นนี้มาก่อนเลย คงมีแต่มนุษย์ผู้ที่มีความสมดุลทางจิตวิญญาณเท่านั้น จึงจะสามารถสัมผัสรู้กับเรื่องเหล่านี้ได้ ซึ่งต่อไปนี้มนุษย์ปกติจะมีความสามารถสัมผัสรู้ด้วยตาที่แลเห็นได้ดั่งเช่นมนุษย์ที่สมดุลเหล่านี้กันแล้ว แม้จะไม่ใช่การสัมผัสรู้ในลักษณะของผู้รู้แจ้งแล้วก็ตาม

    เงื่อนไขสำคัญกับการมองเห็น สิ่งที่เหนือธรรมชาติ สำหรับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่นี้ ก็คือ ต้องรู้จักทำสมาธิ และ สร้างสมาธิได้เท่านั้น หากมนุษย์รวบรวมสมาธิได้ ดวงตาที่สามของมนุษย์ที่เคยถูกกำกับไว้ จะทำให้เปิดประตูสู่มิติบานนี้เปิดออกได้อย่างง่ายดาย....ข้อมูลพลังงานยุคใหม่

    สำหรับส่วนตัวแล้ว ทุกเรื่องมิได้เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ ปราถนาแบบใดต้องสร้างปัจจัยเพื่อสิ่งนั้นด้วยค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.1 KB
      เปิดดู:
      47
  16. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ความอดทน อดกลั้น เป็นเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง

    หลาย ๆ คนที่เพียรพยายามฝึกฝนปฏิบัติตนเองไม่ให้เกี่ยวกรรมกับใครเลย
    นอกจากที่สงบนิ่งเป็นสมาธิแล้ว ยังอาวุธที่มีสิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
    ที่ไม่แพ้กันเลยก็คือ ก็คือ ความอดทน อดกลั้น

    ตัวเองนั้นถึงแม้จะเรียนรู้ตนเองเกี่ยวกับความผิดพลาดประการต่าง ๆ ทั้งปวง
    ที่ตนเองทำไม่ถูกต้องกับคนอื่นไว้มีอะไรบ้าง
    อารมณ์เป็นอย่างไร มีลักษณะแบบไหน
    ทำไมถึงทำกับเขาได้ เป็นเพราะอะไร
    เวลานั่งสมาธิก็ระลึกเข้าไป เห็นแต่ตอนที่ทำผิดไปแล้ว
    แต่ไม่สามารถที่จะควบคุมไม่ให้ตัวเองไม่ให้ทำผิดไม่ได้

    พยายามเพียรบอกกับตนเองหลายครั้งหลายครา
    แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก
    เดี๋ยวบางครั้งถ้ามีใจสงบนิ่งไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งกระทบภายนอก
    เดี๋ยวก็ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง เดี๋ยวก็ทำผิดพลาดอีก เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย
    ก็มาพิจารณาตนเองว่าเป็นเพราะอะไร

    นอกจากธรรมดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีธรรมอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวสนับสนุนอยู่ คือ
    1. สติ คือ การนึกได้ หรือ ตื่นตัวอยู่เสมอ
    2.สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว รู้เท่าทันความรู้สึกของตนเองอยู่เสมอ

    การมีสติอยู่เสมอ รู้สึกตัวอยู่เสมอ คือ อดีตที่ผ่านมาทำอะไรลงไปบ้าง
    ปัจจุบันกำลังทำอะไรอยู่ และ กำลังจะทำอะไรต่อไป

    เคยได้ยินคำนี้ไหมค่ะ "รู้เขา รู้เรา" และ "รู้รอบ"

    รู้เขารู้เรา คือ การที่ตัวเราเองระลึกรู้ตัวเอง พร้อมกันกับระลึกรู้ผู้อื่นไปด้วย
    หรือระลึกรู้สิ่งที่อยู่ตรงข้ามไปด้วย พร้อมกันในคราเดียว และ

    รู้รอบ คือ การที่เรารู้ทุกสิ่งที่รอบตัวเรา คือ มีการเห็นตัวเอง และเห็นสิ่งที่อยู่
    ด้านหน้า ขณะที่มองเขาจุดที่รู้อยู๋กับเรา และมองไปยังเขา ถ้าเราขีดเส้นจากเรา
    เป็นจุดเริ่มต้น และลากเส้นไปหาเขา แล้ววนกลับมาหาเรา ก็จะได้หนึ่งรอบพอดี

    ภาพสติสำหรับผู้ที่ฝึกใหม่ค่ะ เพื่อจะได้ให้มองเห็นภาพสติ สัมปชัญญะ เพียรฝึกบ่อย ๆ
    อย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้กระทำผิดพลาดจากคนอื่นน้อยลงค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • น3.jpg
      น3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.2 KB
      เปิดดู:
      51
    • น4.jpg
      น4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6 KB
      เปิดดู:
      53
  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ต่ออีกนิดค่ะ

    ความอดทน อดกลั้น และ การให้อภัย เป็นพลังแห่งความรักความเมตตา
    ที่ทำให้ยึดเหนี่ยวเราเป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่น และ ช่วยลดการสร้างบาปกรรม
    แก่จิตวิญญาณของเราได้

    ความอดทน....

    คือ การยินยอมให้บุคคลอื่นได้กระทำไม่ถูกต้องต่อตัวเอง
    เพื่อที่จะให้ตนเองจะได้มีโอกาสกระทำในสิ่งที่ถูกต้องกว่า
    เพื่อประโยชน์สุขร่วมกันในวันข้างหน้า

    ความอดทนเป็นพลังความรักความเมตตาที่ยิ่งใหญ่สำหรับมนุษย์

    การคบหาปฏิสัมพันธ์กัน วัตถุประสงค์สูงสุดก็คือ
    การร่วมสร้างความสุขสำเร็จใด ๆ ร่วมกัน
    การยินยอมให้คนอื่น กระทำไม่ถูกต้องต่อตนเอง
    ก็เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างเรากับเขาไว้
    มีโอกาสร่วมกันสร้างสรรประโยชน์สุข ความสำเร็จ
    ถ้าเราไม่อดทนต่อการกระทำไม่ถูกต้องของเขา
    และตอบแทนไปในลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง
    มันจะก่อให้เกิดความแตกร้าว แตกแยกกันขั้นรุนแรง
    ความเป็นหนึ่งเดียวกันย่อมเป็นไปไม่ได้เลย เพราะ..
    ทั้งเขาและเรา หมดโอกาสที่จะร่วมรับผลสำเร็จ
    จากการกระทำร่วมกัน ตามที่มุ่งหมายเอาไว้

    การที่มนุษย์เรามีความอดทนจำกัด มันเกิดจากมัวถามว่า
    ตนเองรู้สึกอย่างไร ที่เขาทำไม่ถูกต้องต่อตัวเรา
    และเราจะทำอย่างไรตอบแทนคืนกลับไปบ้าง
    การเก็บกบมันเอาไว้ในใจ เพื่อรอจังหวะระเบิดออกมาในบั้นปลาย
    มนุษย์จึงมีความอดทนไม่ได้เลย ถ้าหากผู้อื่นยั่วยุรุนแรงและต่อเนื่อง
    จนทำให้ตนเองขาดสติ

    ในเมื่อความอดทนเพื่อตนเองยังทำเช่นนี้ไม่ได้
    หากจะสอนให้ตนเองทำเพื่อคนอื่นบ้าง มันจะยากยิ่งขนาดไหน
    การแสดงความอดทนต่อผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
    มันมิได้กระทำที่ผิดแผกไปจากธรรมชาติของมนุษย์เลย
    การมอบความอดทนกับการกระทำที่ไม่ถูกต้อของผู้อื่นได้มากเท่าไหร่
    มันมิได้กระทำเพื่อตัวเขาคนนั้นเลย ....เพราะอะไร
    เพราะเราได้ทำเพื่อตนเองในการหยุดยับยั้งกรรมของตนนั่นเอง

    ความอดกลั้น

    เมื่อเราอดทนทำเพื่อตนเองแล้ว เราต้องรู้จักทำเพื่อคนอื่นด้วย
    โดยการยินยอมให้เขากระทำไม่ถูกต้องต่อตัวเราเพื่อให้เขารู้สึกว่า..
    ตนเองมีคุณค่าและเพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้กระทำในสิ่งทีถูกต้อง
    ต่อตัวเราในครั้งต่อไป

    อ่านข้อความนี้มาประทับใจ เพราะมันกำลังเกิดขึ้นกับตนเองเพื่อเตือนตนเอง
    สนใจตนเองด้วยค่ะ อย่างน้อยเมื่อปราถนานิพพาน บารมี 10 ทัศ
    ขันติบารมีก็เป็นหนึ่งในนั้น...และที่เราหยุดยั้งการทำผิดบาปต่อผู้อื่น
    การขาดความอดทนก็เป็นสาเหตุหนึ่งในนั้น

    การใช้สติควบคุมตนเองกับผัสสะข้างนอกภายในจิตใจของตน
    ที่จะเป็นอุปสรรคทำลายความสงบสุขของจิตใจ
    ความมีสติอย่างเดียวไม่พอที่จะมีอำนาจเหนี่ยวรั้งจิตใจตนได้
    จะต้องใช้ความมีสัมปชัญญะเข้าช่วยด้วย

    สติควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ให้ไหวไปกับสิ่งกระทบภายนอกเมื่อถูกกระตุ้น

    สัมปชัญญะ จะมีไว้เพื่อควบคุมกิเลสภายในจิตใจไม่ให้แสดงออก
    หรือ กระทำใด ๆ ไปในทางเสียสมดุล...
    ข้อมูลพลังงานใหม่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • น7.jpg
      น7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.6 KB
      เปิดดู:
      50
    • imagesCAUE94PO.jpg
      imagesCAUE94PO.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.9 KB
      เปิดดู:
      64
    • น8.jpg
      น8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7 KB
      เปิดดู:
      46
    • น6.jpg
      น6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.7 KB
      เปิดดู:
      57
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    นกพวกนี้ไม่สู้ความลำบาก ชอบเอาแต่ความสบาย (เป็นนกประเภทหนึ่งจำไม่ได้ว่านกอะไรค่ะ)
    พอประสบความลำบากเข้าก็หลีกเลี่ยง ไม่ทนร้อนทนหนาว
    ไม่ปรับตัวให้สู้กับความลำบาก ในที่สุดก็อยู่ในโลกไม่ได้
    มนุษย์เราก็เช่นกัน ชาติใดตระกูลใด หรือ บุคคลใด
    เอาแต่ความสบายคอยหลบเลี่ยงงความลำบากอยู่เสมอ
    หนักไม่เอา เบาไม่สู้ ถูกฝุ่นไม่ได้ ไม่กล้าเผชิญอุปสรรค
    รู้สึกหวั่นวิตกแม้แต่เพียงคิดว่า ความลำบากน่าจะมีอยู่บ้างเท่านั้น
    คนประเภทนี้จะหมดทางก้าวหน้าในชีวิต
    จะมองเห็นแต่ความสุขความสำเร็จของผู้อื่นแล้วทอดถอนปลงอนิจจังว่า
    ตัวเองเกิดมาอาภัพ ได้แต่ตีโพยตีพาย คนซิมีบุญ
    ตัวเองเกิดมาอาภัพ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยได้ลงมือพยายามทำอะไรเลย
    ได้แต่ตีโพยตีพายโทษโชควาสนา เมื่อไม่ค่อยมีความอดทน
    เห็นอะไรเป็นเรื่องลำบากไปเสียหมด ในที่สุดก็ล้มเหลวไม่ดีไม่ได้สักอย่าง
    ตรงกันข้าม.....การดิ้นรนขนขวายความเจริญก้าวหน้าให้แก่ชีวิต
    ประสบอุปสรรคนานาประการ ถ้าเขาสามารถผ่านอุปสรรคมาได้
    ด้วยการต่อสู้ด้วยกำลังใจ ชีวิตของเขาผู้นั้นก็จะเจริญอย่างมั่นคงแน่นอน

    พระพุทธองค์ตรัสสอนเราไว้ว่า.....
    เป็นคนควรพยายามจนกว่าจะประสบสำเร็จประโยชน์ที่ประสงค์
    แต่ขอให้ความพยายามนั้น เป็นไปในทางที่ถูกที่ชอบ
    คนไม่พยายามอะไร ไม่ทำอะไรในที่ใด ก็ไม่ควรได้รับผลอะไรจากที่นั้น
    เราต้องยุุติธรรมให้ความเป็นธรรมแก่ตัวเอง
    ตนย่อมได้รับสิ่งที่เขาควรได้อยู่เสมอ นอกจากเขาจะตัดสินใจอย่างไม่เป็นธรรม
    แล้วโวยวายอยากได้ผลจากสิ่งที่เขามิได้ทำเหตุไว้ อย่างนี้เป็นเรื่องช่วยอะไรมิได้

    ท้าวสักกะ จอมเทพชั้นดาวดึงส์ พูดกับสุวีระเทพบุตรว่า....
    "ดูก่อน สุวีระ บุรุษเกียจคร้าน ไม่ใช้ความพยายามเลยแล้วประสบสุขที่ใด
    เจ้าจงไปที่นั้นและพาเราไปด้วย".....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • น2.jpg
      น2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.3 KB
      เปิดดู:
      54
    • น.jpg
      น.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.1 KB
      เปิดดู:
      46
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2016
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ใคร ๆ เคยรู้สึกกลัวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ทราบสาเหตุบ้างหรือเปล่าค่ะ
    ว่าทำไมบางทีเรากลัวอะไรบางอย่างที่อยู่ในใจแล้วบอกตนเองไม่ถูก
    ว่าเพราะอะไร ?ทำไม? และความรู้สึกนั้นมันก็ผลักดันอะไรบางอย่าง
    ออกมาจากใจ

    เช่น เราไปเจอใครบางคนหรือ เหตุการณ์อะไรบางอย่างที่เข้ามาในชีวิต
    ก็มีความรู้สึกว่ากลัวอะไรบางอย่างลึก ๆ อยู่ในใจ หรือ เหมือนกับว่าเรา
    กำลังจะเผชิญกับสถานการณ์กับมันอีกครั้ง

    สถานการณ์แบบนี้ทำไมรู้สึกว่าเจ็บปวด หรือ กลัวมันมากเลย
    รู้สึกทีไรก็รู้หวั่นไหวในหัวใจ เกลียดไม่อยากเจอ รู้สึกทีไรก็รู้ว่าความเจ็บ
    มันดันออกมาภายใน ดันออกมาให้เรารู้สึกรับรู้อยู่เสมอ ๆ ไม่หายไปเสียที
    บางทีก็มานั่งคิดว่ามันต้องเป็นไปตามนั้นเสมอ มันเหมือนเป็นแรงดึงดูด
    ให้เราต้องได้รับหรือต้องสัมผัสกับมันอยู่ตลอดมันไม่หลุดออกไปจากใจเสียที

    สิ่งนี้เขาเรียกว่า "แรงของกรรม" ค่ะ

    การรับรู้ความคิดและความรู้สึกนี้หากเราไม่ฝึกสติปัฏฐาน 4 ดูกาย เวทนา
    จิต ธรรม เราจะไม่รู้เลยว่า "มันคืออะไร"

    แต่ถ้าเราจะลองสังเกตุสักนิดกับเหตุการณ์ที่มาผ่านมา
    ในชีวิตตั้งแต่เกิดมาจนทุกวันนี้
    เราจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ซำกันหลายครั้ง
    เหตุการณ์คล้าย ๆ จะเหมือนเดิม หรือ ใกล้เคียงกัน
    เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่และตัวบุคคลเท่านั้น

    และส่วนใหญหากเราลองย้อนมองเรื่องราวเข้าใจ
    เราจะเห็นได้เลยว่าเราจะตัดสินใจแบบเดิม
    รู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร ก็ตัดสินใจแบบนั้น

    การตัดสินใจนี่แหละค่ะที่เรียกว่าเราได้สร้าง รหัสกรรมไว้ในจิตใจเราแล้ว

    เมื่อเก็บเอาไว้ มันก็ต้องมีแรงดึงดูดให้ได้พบเจอกับเหตุการณ์นั้น
    นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรากลัวอะไรลึกๆ อยู่ในใจ
    หรือ กลัวว่าต้องเจอเพราะอะไร ....

    เพราะเราได้ฝึกสติอยู่กับกายใจของตัวเองอยู่เสมอ...เราจึงเห็นมันได้

    ทำไมเรื่องบางเรื่องมันจึงมีอิทธิพลต่อจิตใจของเรามากนัก...ก็อยู่ที่ว่าเรา
    รู้สึกเจ็บปวดต่อเหตุการณ์นั้นมากเพียงใด ....ถ้ามากแรงดึงดูดของกรรม
    ก็มากตาม ถ้าน้อยแรงดึงก็น้อยตาม


    นี่แหละค่ะเขาจึงเรียกว่า "วงเวียนกรรม"

    ปัจจุบันที่เห็นอยู่นี้ > เกิดจากการกระทำในอดีต > ส่งผลให้อนาคตต้องเจอ

    แล้วที่นี้เราจะหยุดที่ปัจจุบันได้อย่างไร...เพราะอดีตที่เกิดจากความไม่รู้
    เราได้ตัดสินใจผิดพลาดไปแล้ว
    เมื่อเราเก็บพลังงานอารมณ์เอาไว้เป็นรหัสกรรมไว้แล้ว
    เราจะแก้ไขอย่างไร...เพื่อจะให้มันหมดไปจากใจ
    ไม่ให้มันมีแรงดึงดูดพลังงานอารมณ์ในแรงกรรมเรื่องนั้นอีก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.8 KB
      เปิดดู:
      45
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.9 KB
      เปิดดู:
      45
    • 1c.jpg
      1c.jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.2 KB
      เปิดดู:
      42
    • 1b.jpg
      1b.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.3 KB
      เปิดดู:
      47
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ก็เลยได้คำตอบออกมาว่า หากจะหยุดยั้งแรงดึงดูดในเรื่องนั้น ๆ
    เราต้องตัดสินใจต่อเหตุการณ์....แบบทวนกระแสโลก...ทวนกระแสอารมณ์

    คนส่วนใหญ่มักจะตัดสินใจไปตามกิเลส ตามความชอบใจ พอใจ ของตนเอง
    ถึงแม้จะอยากหรือไม่อยากก็ตาม ตนเองก็จะตัดสินใจไปตามที่ตนเองพอใจ
    ที่ต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น หรือ ตามใจตนเอง

    กระแสของตัณหา หรือ กระแสที่ไหลไปตามกระแสน้ำ

    หากเราต้องการหยุดยั้งแรงดึงของกรรม เราต้องตัดความอยาก
    ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ความพอใจ ความไม่พอใจ ออกเสียก่อน

    แล้วพิจารณาเหตุผลให้กระทำย้อนกลับรอยเดิมของเรื่องราวนั้น ๆ
    ถึงแม้มันจะต้องแลกด้วยความเจ็บปวดใจในครั้งแรก
    เนื่องจากกิเลสตัณหาของตนเองที่ต้องฝืน

    แต่เมื่อเราทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ สิ่งที่วัดได้ผลออกมาคือ ความสบายใจ
    และภูมิใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราได้แก้ไขใหม่เกิดการกระทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
    ผลแห่งดึงดูดของกรรมนั้นก็อ่อนแรงลง หรือ หมดแรงดึงต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...