ที่อนุมานนิพพานไม่ได้เพราะสักกายทิฎฐิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 25 กรกฎาคม 2009.

  1. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ครับแต่คงต้องอุเบกขาแล้วละครับ กระแสเชี่ยวล่วงไปจะเพี้ยงพร่ำ เอาเฉพาะคนที่ติดตลิ่งดีกว่า จะได้ไม่เป็นกรรมแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าครับ ขอให้ลุงเจริญในธรรม และเกิดญาณด้วยเทอญ(เกิดให้ครบ) ถึงซึ่งนิพพานครับ
     
  2. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    อนุโมทนา สาธุ
     
  3. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ทีนี้ คนมีกำลังมีอำนาจ ก็มีฌาณ มีสมาธิ เอาไว้หลบกำลังแห่ง มาร แห่งกิเลสมาร ดังที่พระศาสดากล่าวเอาไว้ในพระสูตร เพื่อให้ สาวกของพระองค์รู้ัจักที่จะหลบไปอยู่ใน ฌาณ ระหว่างเดินทางไป สู่พระนิพพาน

    แต่สาวกของเทวทัต ได้ตามมาเกิดในยุคนี้ บอกว่า สมาธิไม่จำเป็น อย่าไปเพียร

    เริ่มต้นนั้น เราอาจจะเริ่มด้วย ศีล หรือ สมาธิ หรือ ปัญญา ตามจริต แต่ว่า สามตัวนั้นต้องอบรมไปทั้งหมด ให้เกิดความสมดุล แห่งจิต ระหว่างเดินไปตามทางพระนิพพาน

    ขอยืนยัน นอนยัน ว่า การปฏิบัติธรรม ต้อง ทำให้ครบ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ตามภูมิของตน เท่าที่จะทำได้ และ ต้องฝึก ต้องพัฒนา ทั้งสาม ให้สมบูรณ์

    เห็นด้วย เห็นด้วย เดี๋ยวนี้ พวกเก่งกว่า พระพุทธเจ้ามีแยะซะด้วยซิ บางคนไม่ไช่พระด้วยซ้ำ
    ไม่ต้องไปถามหรอกว่า เป็นพระอรหันหรือ
    ดันเก่งกว่าพระศาสดานี่แย่จริงๆ

    ขออำภัยลุงด้วยที่ตอบไม่ตรงประเด็น ไม่ไช่เพราะอ่านกระทู้ไม่ออกนะครับ
    หุหุ
     
  4. อู๋ซิน

    อู๋ซิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +45
    ตอนแรกก็รู้ว่าเราไม่มีตัวตน แล้วค่อยหาเหตุผลมาสนันสนุนความเชื่อนี้(โยนิโมนสิการ) ให้ขันธ์ 5 มันเชื่ออย่างสนิทใจว่าเราไม่มีตัวตนจริงๆ ก็ละสักกายทิฐิ ได้ละครับ เหตุผลบางอย่างที่เราหามาสนับสนุนให้ขันธ์ 5 มันเชื่อว่าตัวเราไม่มีตัวตนจริง คนแต่ละคนก็หาเหตุผลได้ต่างๆกันไป แต่ถ้ามันละสักกายทิฐิได้ก็ใช้ได้ทั้งนั้นล่ะครับ แล้วไม่ต้องมีอภิญญาอะไรมาบอกเราก็ได้ว่าเราละสักกายทิฐิได้ไม่จำเป็น คือวันนึงเรามีแขนเขา ตื่นขึ้นมาแขนขาเราหายไปเรายังรู้ สักกายทิฐิเราหายไปวันไหนก็รู้วันนั้นล่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2009
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านอู๋ซินครับ ตอนแรกรู้ว่า "เรา"ไม่มีตัวตน(ขันธ์๕)
    แต่ต่อมาหาเหตุผลให้ขันธ์๕เชื่ออย่างสนิทใจ....
    ว่าขันธ์๕ไม่มีตัวตนจริง ตกลงขันธ์๕หลอกขันธ์๕เองใช่มั้ยครับ???

    การละสักกายทิฐินั้น เพราะขันธ์๕ละขันธ์๕ได้เองหรือครับ???
    หรือว่าเรา(จิต)ที่รู้เห็นตามความเป็นจริง ละขันธ์๕ได้?
    ว่านั่นไม่ใช่เรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

    การอาศัยความนึกคิดเพื่อหาเหตุผลในการละขันธ์๕
    คนในโลกส่วนใหญ่นั้น ย่อมรู้อยู่เต็มอกจากการศึกษาอยู่แล้วว่า
    ขันธ์๕พึ่งอาศัยไม่ได้ เปลี่ยนแปรไปเรื่อยตามอารมณ์ที่เข้ามากระทบ

    ทำไมผมเห็นผู้คนที่มีความรู้ดีการศึกษาดียังยึดเหนี่ยวเจ้าขันธ์๕ อย่างเอาเป็นเอาตาย
    ใครก็ทบกระทั่งความรู้สึกนึกคิดแม้สักนิดเป็นไม่ได้
    ดีแต่ปากพูดได้น่ารักน่าชังว่า "เราไม่ยึดหรอก(หลอก)ขันธ์๕นะ"
    แต่กับไม่เคยหันกลับมามองว่าตัวเองว่า
    ที่มาเกิดนั้นเพราะยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นจึงต้องมาเกิด(อนุสัย)

    ส่วนวิธีที่จะให้รู้จักขันธ์๕ตามความเป็นนั้น
    เพียงแค่มีความรู้(การศึกษา)นึกๆคิดๆก็ละได้ ยังไม่พอครับ
    แม้แต่ฝันนั้นยังไม่เป็นจริงเลยครับท่าน
    การจะแยกได้ตามความเป็นจริงนั้น

    ท่านต้องปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาจนชำนาญเป็นวสีเท่านั้น
    กระทั่งจิตรวมใหญ่แยกกาย(ขันธ์๕)แยกจิตออกจากกันโดยเด็ดขาด
    จึงจะเรียกได้ว่ารู้เห็นตามความเป็นจริง เห็นจะๆ(ตาใน)ว่าแยกออกจากกันจริงๆครับ

    ;aa24

     
  6. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ที่เห็นอย่างนั้นเพราะมันยังไม่เข้าใจสัจธรรม ว่างๆลองไปเดินเล่นในโรงพยาบาลดูสิและสังเกตอาการต่างๆของผู้คนแต่อย่าลืมป้องกันตัวเองด้วยนะครับ จากนั้นก็ไปที่ที่เขามีงานฌาปนกิจ ลองพิจารณาตอนที่เขารดน้ำศพดูว่า อะไรที่ทำให้เราเศร้าและเวทนาในจิตนั้นเกิดได้อย่างไรทั้งๆที่นั่นไม่ใช่ร่างกายของเราซักหน่อย เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วที่กล่าวมานี้เรียกว่า ธรรมสังเวช ก็จะมีกุศลจิตเกิดขึ้นและจะเริ่มต้นค้นหาสัจธรรมอันเที่ยงแท้อย่างตั้งใจ และไม่สงสัยอีกต่อไป ครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เมื่อวันอาทิตย์ ไปงานสวดศพ อาเจ็กเพื่อนพ่อ รู้จักอาเจ็กมาตั้งแต่เด็กๆ
    เลยคิดถึงความหลัง เคยไปเที่ยวบางแสน นอนทับพุงอาเจ็กแทนหมอน
    วันคืนมันผ่านไปเร็วจริงๆ อาเจ็กเป็นอัมพาตมาได้ปีกว่าๆ สุดท้ายมาตรวจเจอ
    มะเร็งตับ เสียชีวิต รวมอายุขัย 65 ปี ตอนไปงานสวด ก็จุดธูปขอขมา อุทิศบุญกุศล
    ให้อาเจ็กร่วมอนุโมทนา แล้วก็ขอให้ไปสู่สุขคติภพ เสร็จแล้วก็มารอฟังพระสวด
    ก็พิจารณารูปภาพ กับโลงศพที่บรรจุศพ พิจารณาใจเราไปด้วย ก็พบว่า ใจเราสงบดี
    ไม่กลัวคนตายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไม่มีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนดูเป็น เหลือแต่ธาตุ
    มี ดิน น้ำ ขาดลม ขาดไฟ ก็ขาดชีวิต สายพานหยุดเดิน กายก็เหลือแต่ดินกับน้ำ
    รอเวลาเน่าเปื่อย เพราะหมดสภาพจะดำเนินชีวิตต่อไปได้ จิตวิญญาณก็คงไปจุติใหม่แล้ว
    เหลือแต่ร่างไร้วิญญาณให้คนข้างหลังทำพิธีกรรมตามประเพณีกันไป รอเวลารักษาใจคน
    ข้างหลังให้คลายจากความเศร้า จากความสูญเสีย บุคคลอันเป็นที่รัก จบกันไปสำหรับ
    เรื่องราวของคนๆหนึ่ง จบการชดใช้เวรกรรมไปอีกชาติหนึ่ง เหลือแต่ความดีงามที่สถิตย์อยู่
    ในใจของคนที่อยู่ข้างหลัง
     
  8. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ครับจริงๆไม่มีอะไรน่ากลัว การที่เรารู้เป็นเพราะว่าจิตยอมรับความเป็นจริงว่าสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยงแท้และแน่นอนครับ จึงเป็นเหตุให้เราทุกคนต้องมีสติรับกับสิ่งต่างๆเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับบุคคลที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริงๆนั้นเขาจะเห็นยิ่งกว่านั้นครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ครั้งก่อนไปงานสวดศพ ป้าคนโตของสามี
    มองโลงแล้วใจมันหวิวๆ แล้วก็รู้สึกแปลกๆ
    เหมือนรู้สึกสับสนอยู่ในใจ

    ครั้งก่อนโน้น(6ปีแล้ว) ไปงานสวดศพ ป้าคนรองของสามี
    พอเปิดโลงมา ให้ญาติดูก่อนที่จะเผาจริง
    เรา ร้องไห้เลย ร้องไม่เลิก จนสามีต้องมาบอกให้ระงับร้องไห้บ้าง
    ตอนนั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเอง ว่าร้องไห้ทำไม แต่ห้ามไม่ได้ ต้องปล่อย
    ให้ร้องจนพอ แล้วหยุดเอง (สงสัยตอนนั้นจะกลัวตายมาก)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2009
  10. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    นั่นแหละเรียกว่าไม่ต้องไปถึงป่าช้าก็ถึงซึ่งสัจธรรมนั้นได้ ความทุกข์และความเสียใจเกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนรัก นั้นเหตุมาจากเรายังมีความรู้สึกถึงความมีตนมีตัวไม่ละคลายไปมันจึงเกิดการกระทบปรุงแต่งถึงอนาคต เกิดความเศร้าเสียใจ เป็นเรื่องปกติครับ เมื่อก่อนผมก็เป็น เพราะยังไม่เข้าใจกฏของธรรมชาติ และยังไม่ยอมรับความเป็นจริง ว่าวันหนึ่งเราก็ไม่เหลืออะไรเหมือนกัน ไฟเผากายไปเสียสิ้นเหลือเพียงแค่ความดีและความชั่วที่เคยทำไว้แต่หนหลัง เมื่อเป็นอย่างนั้นจึงสมเหตุสมผลที่เราจะต้องละต้องคลายความทุกข์นั้นออกไปจากจิต ให้เข้าใกล้ความจริงของธรรมชาติได้มากที่สุดเราจะรู้สึกโล่งสบายครับ
    ว่างๆลองไปอ่าน กระทู้อธิมุติดูนะครับ เป็นสิ่งที่ผมปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์หลายๆท่านเอาสิ่งดีงามทั้งหลายมาประพฤติปฏิบัติ และทำให้จิตใจที่สกปรกโสโครกของผม ละคลายความทุกข์และสุขลงได้เป็นอย่างดีครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  11. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    สับ สน ใน คำ พูด ของ ตัว เอง หรือ เปล่า ท่าน

    การ กล่าว ธรรม เพื่อ แสง ลาภ ผล นั้น ไม่ ดี

    สักกายทิดฐิ

    ท่าน ยัง หลง ติด ในตัวอยู่ ชื่อเสียง ตัวตน การยอมรับของสังคม

    ท่านยังสลัดไม่หลุดเลย อย่าเที่ยว ลักเอาคำสอนอันสูงส่งมาทำให้คนเข้าใจผิดอยู่เลยว่าท่านเห็นตามนั้นแล้ว ท่านทำได้แล้ว

    บาปกรรมจะติดตัวท่านไปนะท่าน

    รัก นะ จุ๊บ จุ๊บ
     
  12. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    จริงๆแล้วมันเป็นสิ่งที่ทุกคนมีและทำได้เองครับ เป็นธรรมที่อยู่ในตัวเองทั้งนั้นครับไม่มีใครพาใครหรือจับมือใครไปที่ไหนๆได้ครับ เมื่อบางทีมันอาจจะเหมาะสมกับบางท่านแต่ก็ไม่เหมาะสมกับบางท่าน ไม่มีหรอกครับลักโขมยธรรม ถ้าการกระทำนั้นทำแล้วจิตใจดีขึ้นถือเป็นสิ่งดีหมดครับ แต่ถ้าการทำสิ่งใดแล้วจิตใจมีแต่ต่ำลงๆ ก็ต้องมองย้อนว่ามันเป็นไปเพราะอะไร ผมก็ถือว่าสงเคราะห์กันตามประสาครับ ถ้าเป็นนรก ผมก็คงไม่กล้ามากล่าวกับเพื่อนร่วมโลกเช่นท่านหรอกครับ ชื่อเสียง ไม่สำคัญครับ สำคัญที่อะไรคือชื่อเสียง ถ้าไม่สบายใจจะทำตามหรือรู้สึกว่าไม่ดีก็มีหลายวิธีครับ เช่น ไปวัดฟังธรรมะจากหลวงปู่หรือหลวงพ่อครับ จะได้สบายใจ แล้วแต่ชอบครับ เพราะที่กล่าวออกไปเพื่อให้ได้เป็นกำลังใจกับทุกๆท่านครับ ผมไม่เคยรู้มาก่อนด้วยว่าที่คนในนี้เขาช่วยเหลือกันนั้นเขาทำไปเพื่อการสรรเสริญ เยินยอ อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ แต่กลับคิดว่าเจตนาส่งเสริมสิ่งดีที่มีในแต่ละคนเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากกว่าครับ แต่ท่านจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน เพราะธรรมะที่ดีงามนั้นเป็นของสาธารณะ ควรนำมาประกาศและยืนยันความเป็นจริงของธรรมนั้นให้ได้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นครับ อีกอย่างหนึ่งครับที่ผมกล่าวมานั้นเอาทั้งหมดทั้งใจผมเลยก็ได้ครับว่า ไม่ใช่ธรรมะและคำสั่งสอนของผมครับแต่เป็นธรรมะและคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถ่ายทอดมายังพระอริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหลายครับ ผมไม่ได้เป็นผู้คิดค้นธรรมะนี้ด้วยตัวเองครับ ผมก็ปฏิบัติตามท่านเหล่านั้นอีกทีหนึ่งครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2009
  13. haha4959

    haha4959 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +85
    ขอโทษ คุณ เก่ง ครับ

    ผม ตั้ง ใจ ว่า กระทบท่าน ขันแตกครับ

    เคยตั้งใจไว้ครับพอเห็น ท่านขันแล้วมันเลยอดไม่ได้

    อย่า เข้า ใจ ช๊านผิด โปรดอย่าเข้าใจชั้นผิด
    ชั้นคิด อาราย อารายไม่ต่างจากใจเทอเหมียนกัล

    อะ ล้อ เล่ง ล้อ เล่ง
     
  14. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ครับขออภัยเช่นกันครับ แต่ช่างเขาเถอะครับ
     
  15. อู๋ซิน

    อู๋ซิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +45
    ขันธ์ 5 มีอยู่แล้ว ผมไม่ได้บอกว่าขันธ์ 5 ไม่มี แต่ตัวเราน่ะมันไม่มี มันเป็นสิ่งสมมุติ สมมุติยังงัยน่ะเหรอ
    ก็เวลาขันธ์ 5 นี่มันกระทำ รู้ รู้สึก คิด จำ อะไร ขันธ์ 5 มันก็เป็นไปของมันเองอยู่แล้ว เสือกไปว่าความเป็นไป
    ของขันธ์ 5 นั้นเป็นความเป็นไปของเรา ไปว่าเรากระทำ รู้ รู้สึก คิด จำ นี่สมมุติปะ ตัวเราไม่มีตัวตนครับผม
    ยืนยัน แต่ขันธ์ 5 มี ขันธ์ 5 จะเรียกง่ายว่า จิตใจกับร่างกายที่ทำงานร่วมกัน ก็ไม่ผิด ถึงเราไม่สมมุติว่าขันธ์ 5
    เป็นตัวเรา ขันธ์ 5 มันก็ควบคุมตัวมันเองได้ครับ
    ละสักกายทิฐิ ไม่ใช่การละขันธ์ 5 นะครับ แค่ละความเข้าใจผิดว่า ขันธ์ 5คือตัวเรา รู้ว่าตัวเราไม่มีตัวตน
    เท่านั้น
    จิตก็ไม่ใช่ตัวเราครับ ขันธ์ 5 หรือจิตใจกับร่างกายที่ทำงานร่วมกัน ล้วนแต่ไม่ใช่ตัวเราสักอย่าง จิตจะเป็นตัวเราได้งัยครับ
    ก็บอกแล้วว่า ตัวเรา มันเป็นแค่สิ่งสมมุติ ขันธ์ 5 มันมีอยู่แล้ว แต่เราไปสมมุติว่ามันเป็นตัวเรา แค่นั้น
    นั่นมันก็
    เราหลงเข้าใจผิดว่าขันธ์ 5 คือตัวเรามานานพอเรารู้ทันว่าขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราก็เลยไม่มี
    มันก็มีแต่ขันธ์ 5 แต่ขันธ์ 5 ไม่ใช่ว่าจะให้มันหายไปเลยมันจะหายไปได้ยังงัย มันไม่หาย แต่เราเลือกจะไม่ยึดติด
    ไม่เชื่อถือ ไม่อุปทาน ในขันธ์ 5 นั้นได้ แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังมีขันธ์ 5 ครบ ครับ

    ถ้าไม่ละสักกายทิฐิเสียก่อน จะเลิกเชื่อถือในขันธ์ 5 ที่มันต้องติดตัวเราไปจนตายมันเลิกเชื่อถือไม่ได้ง่ายๆหรอก
    ครับ มันต้องเป็นไปตาม step ๆๆๆๆ ถ้าเราละสักกายทิฐิได้ ละการเชื่อถือในขันธ์ 5 มันก็ง่ายหน่อย

    วิธีใครวิธีมันดีกว่าครับ เพราะผมก็มีอาจารย์ เหมือนกัน แต่วิธีของผมไม่ได้คิดอย่างเดียวหรอกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2009
  16. อู๋ซิน

    อู๋ซิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +45
    เพราะว่าขันธ์ 5 มันรู้สึกเศร้าของมันเอง พอเราไปสมมุติว่ามันเป็นตัวเรา เราก็คิดว่าเราเศร้า แต่พอเราละสักกายทิฐิได้ ละตัวเราออกจากขันธ์ 5 แล้ว ขันธ์ 5 มันก็รู้สึกเศร้าของมันเองได้ ครับ ถึงมันจะไม่ถูกสมมุติว่าเป็นตัวเรามันก็ยังเศร้าได้อยู่ ขันธ์ 5 ทำงานได้เองโดยที่ไม่ถูกสมมุติว่าเป็นตัวเรา
    แต่ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ ผมว่าคุณพี่เป็นคนน่าคบนะครับ
     
  17. อู๋ซิน

    อู๋ซิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +45
    นี่ ในเว๊บบอร์ด นะครับ แนะนำอะไรบ้างสิ อยากฟังประสบการณ์ ปฏิบัติธรรมนายบ้าง
     
  18. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    จริงๆเรื่องพวกนั้นผมรู้ตั้งแต่ผมเริ่มพิจารณาธรรมนั้นแล้วว่ามันไม่ใช่ของเราเลยครับ แต่ต้องจำไว้นะครับว่า จิตที่พัฒนาดีแล้วจะไม่มาสับสนวุ่นวายกับเรื่องแบบนี้ หมายถึงไม่ฝืนกรรมของผู้อื่น บางอย่างก็ต้องให้เขาเข้าใจด้วยตัวเขาเองครับ ขอให้ท่านพิจารณาธรรมนั้น และหาความหมายของไตรลักษณ์ให้พบให้เกิดวิปัสสนาญาณอย่างแท้จริงหากท่านยังไม่พร้อมก็ให้ท่านฝึกสติสมาธิให้กล้ากำจัดกิเลสออกจากจิตแล้วจึงทำการพิจารณาธรรมนั้นครับ แล้วจะเห็นจริงตามความเป็นจริงครับ นั่นเป็นทางแห่งอริยะสัจ และอริยะมรรค ครับ
     
  19. อู๋ซิน

    อู๋ซิน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +45
    อีกนิด ได้ มะ ครับ ไม่สับสนวุ่นวายคือ ไม่สงสัยหรือ อะไร ครับ วานช่วยอธิบายครับ คุณพี่
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ไม่สงสัยครับคือเห็นในสิ่งที่จิตเรายอมรับว่ามันเป็นจริงครับโดยไม่ฝืนครับ ไม่วุ่นวายคือไม่สนใจว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร เพราะถ้าสิ่งที่เราเห็นมีผลทำให้จิตนั้นละเอียดปราณีตปราศจากกิเลสหรือละคลายจากกิเลสได้ครับ และเพราะว่าการฝึกนั้นความที่สะสมกิเลสในจิตมากน้อยแตกต่างกันจึงทำให้การมองเห็นพระสัทธรรมนั้นต่างกันครับ แต่เชื่อเถอะครับว่าถ้าท่านเพียรมองหาเหตุนั้นด้วยจิตที่ปราศจากกิเลสที่นอนเนื่องในจิตนั้นจริงๆท่านก็จะเห็นความจริงแล้วจะรองรับสมมุติฐานของท่านทั้งหมดด้วยตัวท่านเองครับ ส่วนคนอื่นก็ตามที่กล่าวครับเพราะความแตกต่างของจิต ดังนั้นเวลาผมกล่าวผมก็จะให้สติไปพร้อมกับสมาธิมากกว่า เพื่อป้องกันการหลงผิดที่เกิดขึ้นทุกขณะจิตครับ ทั้งหมดที่กล่าวท่านต้องพิจารณาด้วยตัวท่านเองนะครับ คนอื่นอย่าไปสนเลยครับ สนตนเองดีกว่าครับ เมื่อละแล้วจิตสงบง่าย เมื่อจิตสงบง่าย จิตก็จะเป็นสมาธิง่ายประกอบกับมีสติอย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดๆหายๆ ก็จะนำมาใช้เพื่ออะไรก็ไม่ยากครับ ส่วนเรื่องอัตตานั้นคุณก็เคยเห็นผมตอบคนอื่นอยู่บ่อยนี่ การพิจารณาธรรมเพื่อความหลุดพ้นนั้นทุกสรรพสิ่งนั้นจะต้องมีความเป็นอัตตาในเบื้องต้นและไม่มีอัตตาในเบื้องปลายจึงจะละคลายความยึดมั่นถือมั่นได้ จึงไม่มีทั้งเขาและไม่มีทั้งเรานั่นเอง ที่กล่าวนี้ไม่ได้คิดเองมันเป็นกฏสัจธรรม ของพระศาสนานี้ครับ
    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...