นิมิต - กรรมฐาน

การสวดคาถาเงินล้านควบลมหายใจ
จำเป็นต้อง หายใจเข้า-สัมปะจิตฉามิ
หายใจออก-นาสังสิโม
หรือท่องคาถาไปเรื่อยๆ
คาถาที่ท่องจะอยู่ตรงช่วงหายใจเข้าหรือออก
ไม่ต้องเหมือนกันทุกรอบก็ได้?
---------------------------------------------------------------------------------------
ตอบ : อย่างไรก็ได้ให้เรารู้สึกว่า
"ภาวนาได้คล่องตัว"
ตามลมหายใจเท่านั้น
ไม่จำเป็นที่ต้องไปบังคับว่า
ตรงไหนจบตรงไหนขึ้น
อนุโมทนากับทุกท่านที่ร่วมกัน
สวดพระคาถาเงินล้าน “บูชาครู”

 

อวิชชา นี่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ๒ อย่างคือ ฉันทะ กับ ราคะ คนที่มี ฉันทะ คือมีความพอใจในการเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดาหรือการเกิดเป็นพรหม มี ฉันทะ กิเลส ว่าได้ยังมีการติดอยู่ แล้ว ราคะ เห็นว่า มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลกดี ยังเป็นกิเลสเบา ๆ คือไม่สามารถจะพ้นทุกข์ ฉะนั้นถ้าจะตัด อวิชชา ให้ตัด ฉันทะ กับ ราคะ ในอารมณ์ใจ คิดว่า มนุษยโลก พรหมโลก เทวโลก ทั้ง ๓ ภพ นี้ ไม่เป็นที่หมายของเรา คือ เป็นแดนของความทุกข์ เทวโลก พรหมโลก เป็นแดนของความสุขชั่วคราว เราไม่ต้องการ ต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน ถ้าในขณะใด เวลาใดของพุทธบริษัททั้งหลาย ในใจของท่านต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์ เป็น เอกัคคตารมณ์ ใน อุปสมานุสสติกรรมฐาน ถ้าเป็น พระโสดาบัน แล้วใกล้จะตายเมื่อไร เป็น พระอรหันต์ เมื่อนั้น ไปนิพพานเมื่อนั้น

จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๑ หน้าที่ ๑๐๖
โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

 

มีพระรูปหนึ่ง เวลานั่งสมาธิภาวนาจะง่วงนอนมาก
จึงคิดอยากขึ้นไปนั่งภาวนาบนหน้าผา ด้วยความคิดว่า”ตายเป็นตาย” ถ้าไม่มีสติก็ให้มันตาย
...จึงไปถามหลวงปู่ ก่อน
หลวงปู่ จึงตอบว่า”อย่าพึ่งขึ้นไป”
ให้ฝึกนั่งภาวนาบนขอบเตียงก่อน
...พระรูปนั้นก็ทำตาม
นั่งได้ไม่นาน ก็หล่นตกขอบเตียง
...นั่นเห็นไหม หลวงปู่ ให้โอวาทเพิ่มอีก
ถ้าขึ้นไปหน้าผา ก็ตายทิ้งเปล่าๆ
เพราะฉะนั้น ให้เริ่มต้นที่ขอบเตียงก่อน
และค่อยขึ้นไปนั่งบนขอบกุฏิ
ให้เพิ่มความสูงขึ้นไปเป็นลำดับ
ส่วนหนึ่งในคำสอนหลวงปู่ไม อินทรสิริ

 

“ปฏิบัติด้วยตัวเองดีที่สุด”

มีนักปฏิบัติหลายท่าน ใช้เวลาว่างของตัวเองในการไปแสวงบุญในสถานที่ต่างๆ หรือไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เป็นต้น อาตมาก็ขออนุโมทนาความดีเหล่านี้ด้วย... แต่ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเราไม่สร้างตัวภาวนาไว้ให้ดี แม้จะไปกราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายเท่าใดก็ตาม เมื่อกลับถึงบ้าน อยู่คนเดียวนานๆ ก็ยังรู้สึกเหงาอยู่ดี ดังนั้นเราควรสร้างความดีในด้านภาวนานี้ไว้จะดีกว่า เพราะเป็นความดีที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา จงหมั่นให้เวลากับใจของตน และหาอารมณ์เดียวให้พบ เราจะ...
ดูเพิ่มเติม

 

“ซึมเศร้า เหงาใจ เพราะไม่มีสมาธิ”

ลองสังเกตตัวเองดูว่า เรามีความรู้สึกอย่างไรเมื่อไม่มีคนกดไลค์เฟสบุ๊ค หรือมีคนอ่านไลน์แล้วไม่ตอบเรา หวั่นไหวบ้างไหม เราเกิดอาการเหงา ซึมเศร้าในจิตใจ รู้สึกไร้ค่าเมื่อไม่มีใครให้ความสนใจบ้างหรือเปล่า..? ผลกระทบเหล่านี้เกิดจากการที่เราส่งจิตออกนอกตัว ไปจดจ่อกับเรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวไม่พอ ยังสู้วิ่งเข้าไปหาเรื่องในโซเชียลต่างๆ จนลืมดูใจของตัวเอง... ดังนั้นขอนักปฏิบัติที่ตั้งใจจะไปพระนิพพานชาตินี้ จงนำจิตกลับมาอยู่กับตัวเองได้แล้ว อย่าได้ส่งใจให้ไหลไปตามกระแสของโลกออนไลน์มากเกินเหตุ แล้วเราจะพบความก้าวหน้าในการปฏิบัติ

คำสอนของพระอาจารย์เอ

 

***ทำกรรมฐานให้จิตนิ่ง ***


ผู้ถาม : ฝึกกรรมฐานทำอย่างไรให้จิตนิ่ง จิตนิ่งแล้วผมควรปฏิบัติอย่างไรต่อครับ ?
หลวงพ่อ : ฝึกกรรมฐานต้องการให้จิตนิ่งคือเราเป็นรูปปั้นเสีย ถ้าไม่ปั้นไม่หล่อจิตมันไม่นิ่ง(หัวเราะ)
พระพุทธเจ้าเมื่อทรงพระชนม์อยู่ก็ไม่นิ่ง เวลาตอนเช้ามืด ตรวจดูอุปนิสัยของสัตว์ ว่าใครจะบรรลุมรรคผลบ้าง ก็ต้องคิดใช่ใหม เวลาสว่างขึ้นมาก็บิณฑบาต เวลาตอนสายขึ้นมาก็ฉันข้าว ฉันเสร็จก็เทศน์ จิตก็ไม่นิ่ง แล้วก็ตอนหัวค่ำ ตอบปัญหาเทวดาชั้นกามาวจรสวรรค์ สองยามไปแล้วก็ตอบปัญหากับพรหม ท่านก็ไม่นิ่ง ถ้าต้องการให้จิตนิ่งจริงๆ ก็ใช้สติ๊กนินนะเป็นกรรมฐานกองที่ ๔๑
ไอ้คำว่า ”จิตนิ่ง” นี่มันไม่มี อย่าลืมนะ จิตของปุถุชน คนที่ทรงฌานจิตเข้าถึงฌาน ๔ ก็ไม่นิ่ง อารมณ์มันทรงตัว
คำว่า “อารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์” นี่มันไม่นิ่งนะ มันจับอารมณ์อย่างเดียว เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็ไม่นิ่ง เพราะจิตมันอิ่มด้านกุศลอย่างเดียว เป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่นิ่ง จิตอยู่ในมหากรุณาธิคุณ
คำว่า “ นิ่ง ” หมายความว่า จิตนิ่งจากอกุศล คือไม่คิดชั่ว คิดดีอย่างเดียว เข้าใจไหม นิ่งจากอกุศล คือไม่นิ่งในเรื่องของกุศล
-----------------------------------------------
จาก : นิตยสารธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๑๐
ประจำเดือน มกราคม ๒๕๕๐ หน้าที่ ๗๙ - ๘๐

 

https://palungjit.org/threads/สิ่งที่สร้างความสะเทือนใจมากที่สุด-คือ-อารมณ์ฟุ้ง.738338/

 

#หลวงตาพิจารณาตัวเองเสมอว่า
การที่ไม่ตำหนิติโทษตัวเองนี่
เสียโอกาสของการเกิด
การที่ตำหนิติโทษผู้อื่นนี่
ถือว่าเสียชาติเกิด....

หลวงตาวัชรชัย วัดเขาวง

 

ถาม : การที่เราคิดพิจารณากายคตาฯ เป็นของยากกว่าการที่เราใช้สมาธิกดทับใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ยากกว่า แต่ถ้าทำได้ จะได้แล้วได้เลย ส่วนสมาธิกดทับง่ายกว่า หลุดเมื่อไรก็โดนงัดหงายท้อง ก็เลือกเอาว่าจะทำอย่างไร

ถาม : ตอนที่จิตยอมรับได้จริง ๆ ก็ต้องฝึกตั้งคำถามกับตัวเองบ่อย ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตอนแรกเป็นการคิดในลักษณะของสัญญา ก็คือจำได้ รู้ว่าต้องคิดอย่างนี้ ๆ แต่พอซักซ้อมไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดจะเห็นจริงตามนั้น ก็จะเป็นปัญญา

ถ้าอยากจะดูในเรื่องกายคตาสติให้ชัดเจน ก็ไปเปิดกรรมฐาน ๔๐ หลวงพ่อวัดท่าซุง บทที่ ๑๓ ดู

ถาม : ถ้าเกิดว่าเรามีเวลาสั้น ๆ ในการปฏิบัติ เช่น ครั้งละ ๑๕ นาทีต่อวัน เราควรจะฝึกอย่างไรให้เกิดผลที่สุดครับ ?
ตอบ : เข้าสมาธิให้เร็วที่สุด แล้วคลายออกมาพิจารณา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐
ที่มา : www.watthakhanun.com

 

พุทธนิมิตเพื่อพระนิพพาน ตอนที่ ๑

การฝึกพุทธนิมิตเพื่อพระนิพพานถือเป็นการฝึกกรรมฐานกองหนึ่ง เรียกว่า
#พุทธานุสติกรรมฐาน คือ การระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
▪︎นึกถึงความดีของพระองค์
▪︎นึกถึงพระพุทธรูปที่เรารัก
▪︎นึกถึงพระรูปโฉมของพระพุทธเจ้าที่เรามีความเคารพ

จะเป็นองค์หนึ่งองค์ใดก็สามารถทำได้《ไม่ต้องรีบในการจำหลายองค์ 》และสีขององค์พระก็ยังเป็นกสิณ อีกด้วย
~ ถ้าสีขาวเป็นโอทาตกสิณ
~ ถ้าสีเหลืองหรือสีทอง เป็นปีตกสิณ
~ ถ้าสีสว่างใสเป็นอาโลกกสิณ อย่างนี้เป็นต้น

ทุกครั้งที่จะฝึกพุทธนิมิตต้องฝึกควบคู่กับอานาปานุสติกรรมฐานคือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก...ให้ใจสบายเสียก่อนจึงค่อยเริ่มฝึก

ดังนั้น... การฝึกพุทธนิมิตจึงประกอบไปด้วยกรรมฐาน ๔ กองด้วยกัน
๑. คือพุทธานุสติกรรมฐาน
๒. คืออานาปานุสติกรรมฐาน
๓. สีของพระพุทธรูปที่เราฝึกเป็นกสิณ
๔. เราฝึกเพื่อพระนิพพานถือเป็นอุปสมานุสติกรรมฐานอีก ๑ กอง

เริ่มแรกที่เราฝึกเราควรจับภาพพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูป #เพียงพระองค์เดียวก่อนให้มั่นคง เมื่อเราจับพุทธนิมิตมั่นคงจนองค์พระแจ่มใสเป็นแก้วประกายพรึกทั้งองค์ แล้วต่อไปเราจะจับพุทธนิมิต หลายองค์เพิ่มเติมก็สามารถทำได้อย่างคล่องตัว #ถือเป็นการฝึกกรรมฐานที่ให้ผลดีที่สุด"

เป็นทางลัดให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่ายที่สุด ที่พระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงได้ให้กับพวกเราไว้

เริ่มต้นของการฝึกพุทธนิมิต ขอให้ระลึกถึงพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธรูปที่เราเคารพรักและชอบเป็นที่สุด ขอให้เลือกองค์ที่เราเคารพรักและชอบ เพราะใจของแต่ละบุคคล เมื่อมีใจที่เคารพรักหรือใจที่ชอบขึ้นมาแล้ว #จะทำให้เรานั้นจดจำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

พระอาจารย์เอกลักษณ์ ปญฺญาคโม
วัดพุทธพรหมยาน เกาะลัด จังหวัดฉะเชิงเทรา

Cr.ธรรมะ : พระเอกณพัชร์ ศิษย์ลูกนอกวัง

 

เวลาเจริญวิปัสสนา เขาต้องใช้สมถะคุม ถ้าไม่ใช้สมถะคุมก็ไหลลงนรกไป

ไม่ใช่วิปัสสนาเป็นวิปัสสนอน แล้วไปนอนในนรก

เพราะว่าถ้าไม่มีสมถะคุม มันไปไม่ได้ ให้เห็นว่าร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเกิดได้ มันก็แก่ มันป่วยไข้ไม่สบาย แล้วมันก็ตาย ไอ้ตัวตายเป็นสมถะ
ทีนี้พิจารณาไป มันสลายตัวได้ เมื่อพิจารณามันตาย มันไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาคือสลายตัว นี่เป็นวิปัสสนาญาณ ถ้าพิจารณาว่า เออ ร่างกายเกิดแล้วก็ตาย ตายแน่ นี่มันตัว สมถะ ตัวคิดมันตัวคล้ายกัน

เราก็คิดว่าในเมื่อ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือร่างกายเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ เมื่อมีลมปราณอยู่เพียงใด มีแต่ความทุกข์ เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวกระหาย เดี๋ยวอยากมีผัว อยากมีเมีย อยากมีลูก แล้วก็อยากมีหลาน อยากได้เงินเท่านี้ อยากได้ทรัพย์เท่าโน้น หาความพอไม่ได้ จนกระทั่งแก่จะตาย หายใจไม่ค่อยไหวอยู่แล้ว ยังไม่นึกว่าจะตาย ยังอยากโน่น อยากนี่
นี่สภาพของการเกิดมาภายใต้อำนาจของกิเลสตัณหานี่มันไม่ดีเห็นว่าไม่เป็นเรื่อง หาความเป็นจริงว่าร่างกายเรามันต้องตาย มันต้องพัง เมื่อเราอยู่มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ แล้วในเมื่อมันเป็นทุกข์แล้ว มันสะอาดหรือมันสกปรก เราก็หาความจริง ถ้าหาจริง ๆ มีปัญญาจริง ๆ มันไม่ต้องใช้อะไรมาก ของมันเห็นอยู่ เราก็รู้ว่ามันสกปรก
ในเมื่อร่างกายของเราสกปรก ร่างกายของเราไม่ดี แล้วร่างกายเทวดาที่ไหนมันจะดี ไอ้คนที่เกิดมาในโลกนี้ กายของใครมันวิเศษกว่ากันมีไหม ไม่มี ถ้าเราสกปรกเสียคนเดียว ชาวบ้านสกปรกหมด ไอ้คนไหนที่มันจะสะอาด บอกมันทีเวลามันขี้มา เอาให้มันกินขี้เข้าไป สะอาดแล้วต้องกินได้สิ ใช่ไหม มันก็ไม่กล้ากิน อย่าว่าแต่ขี้เลย น้ำลายของมันเอง บ้วนออกมาจากปากมันก็แตะไม่ได้ จะอวดตัวว่าผู้วิเศษได้อย่างไร
นี่หาความไม่ดีของร่างกายให้ปรากฏ แล้วมันก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ วางร่างกายเสียได้ ที่เรียกว่า เตสัง วูปสโม สุโข เป็นอันว่าเห็นร่างกายเป็นโทษ เห็นร่างกายเป็นทุกข์ นี่พระอรหันต์ทั้งหลายพิจารณาร่างกายแบบนี้

จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๒ หน้าที่ ๑๒๓ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

 

#พุทธนิมิตเพื่อพระนิพพาน : ตอนที่ ๖

เมื่อท่านทั้งหลายจำพุทธนิมิตประจำจิตของท่านได้อย่างแจ่มใสแล้ว #จะทำอะไรทางโลกก็เจริญรุ่งเรือง_ทางธรรมก็จะก้าวหน้าเป็นอย่างมาก กิเลส ตัณหา อุปาทานต่าง ๆ ก็จะบรรเทาและเบาบางลงไปเรื่อย ๆ

เช้า ๆ ก่อนออกจากบ้าน ก่อนไปทำงานเราก็อาราธนาบารมีพระพุทธนิมิต ที่เรากำหนดไว้ประจำจิตของเรา ให้ท่านคุ้มครองเราให้ปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งปวง จะทำกิจการสิ่งใดให้สมความปรารถนาทุกอย่าง...

" ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธนิมิต " จะทำให้เราสมความปรารถนาตามความตั้งใจทุกอย่างตามอำนาจบุญของเรา

เรามีพระที่เราเคารพบูชาเราก็ควรอาราธนา พระองค์ท่านให้คุ้มครองเรา #จะเป็นการทำให้เราเข้าถึงคุณพระได้ไว้ยิ่งขึ้น

เพราะบางคนมีพระก็ไม่ได้อาราธนา เปรียบเหมือนมีของดี แต่ใช้ไม่เป็น

การอาราธนาเราควรทำดังนี้ เช้าก่อนออกเดินทางออกไปทำงานหรือจะไปทำสิ่งไดก็ตาม #ให้อาราธนาบารมีคุณพระ_โดยกำหนดจิตนึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ ณ เบื้องหน้าของเรามีความชัดเจนสว่างไสว เท่าที่เราสามารถกำหนดได้แล้วจึงกล่าวขอพรท่านว่าตลอดเวลา...

▪︎วันทั้งวันเราจะเดินทางไปไหนขอให้ปลอดภัย
▪︎ทำงานสิ่งใดขอให้สำเร็จตามใจปรารถนา
▪︎จะค้าขายก็ให้ซื้อง่ายขายคล่อง
▪︎จะรับราชการก็ให้ผู้ใหญ่เมตตารักใคร่ตำแหน่งหน้าที่การงานขึ้นไว ๆ
▪︎จะประกอบอาชีพอะไรก็ขอให้สำเร็จตามใจปรารถนา #แล้วก็ปักใจลงไปว่าให้ท่านสงเคราะห์เรื่องใด

กำหนดใจของเราให้หยุดอยู่กับพุทธนิมิตอยู่กับพระพุทธเจ้า จากนั้นเราก็เดินทางไปไหนทำงานสิ่งใดความโชคดี ความสุขจะบังเกิดกับเราอย่างมหาศาล
เมื่อเดินทางกลับถึงบ้านถึงที่พักในช่วงเย็น เมื่อเราถอดพระจะเก็บนั้นเราควร

"... นำพระใส่มือของเรา ตั้งจิตกำหนดระลึกถึงพระพุทธเจ้าคือ พุทธนิมิตให้ชัดเจนอยู่เบื้องหน้าของเรา แล้วอาราธนากราบขอบพระคุณในบารมีพระรัตนตรัยคือ คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ คุณครูบาอาจารย์ที่เมตตาสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้า... ประสบความสำเร็จด้วยดี และปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งปวง และจึงกล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัย_ เป็นอันสมบูรณ์ "

ถือเป็นการฝึกให้ใจเราอยู่กับคุณพระพุทธเจ้าคือ พุทธนิมิตตลอดเวลาและมีความแจ่มใสยิ่ง ๆ ขึ้นไป

พระอาจารย์เอกลักษณ์ ปญฺญาคโม
วัดพุทธพรหมยาน เกาะลัด จังหวัดฉะเชิงเทรา

Cr.ธรรมะ : พระเอกณพัชร์ ศิษย์ลูกนอกวัง

 

วิธีตัดง่าย ๆ ก็ใช้กำลังของ ทิพจักขุญาณ มองดูภายในของเราให้เป็นปกติ เห็นร่างกายเราดูข้างใน เห็นร่างกายคนอื่น เราก็ดูข้างในอีก มองลึกเข้าไปเห็นน้ำเลือด น้ำหนอง อุจจาระ ปัสสาวะ ภายในร่างกายว่ามันเต็มไปด้วยความโสโครก ตัวนี้เป็นตัวสมถภาวนา
สำหรับด้านวิปัสสนาภาวนา ก็ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาว่า ร่างกายของคนนี้ กายของเราก็ดี มันไม่ทรงอยู่แค่นี้ ขณะที่ทรงอยู่มันเต็มไปด้วยความสกปรก ต้องประกอบการงานเหน็ดเหนื่อย มันก็มีความป่วยไข้ไม่สบาย เข้ามาแทรกอยู่เสมอ ทำให้เราป่วยมากขึ้น นอกจากนั้นร่างกายมันต้องพัง พังแล้วเราก็อยู่ไม่ได้ เราต้องไป ก็คิดอย่างนี้เสมอ
เห็นหน้าคนเมื่อไร อย่ามองหน้า อย่ามองผิว มองทะลุเข้าไปในท้องเลย ทะลุหนังเข้าหาเนื้อ ทะลุเนื้อเข้าหา ตับ ไต ไส้ ปอด มองต่อไปถึงความแก่ ความป่วย ความตาย ในที่สุดใจของเรามีความเบื่อหน่ายในกาย ถ้าใจของเราไม่ต้องการกายเมื่อไร เรียกว่า กายคตานุสสติกรรมฐาน ท่านเป็นอริยเจ้าเบื้องสูง คือเป็นพระอรหันต์



จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๒ หน้าที่ ๑๒๖ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน