น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ความเข้าใจผิดในกรรมและการเกิดใหม่<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กรรมมิได้เป็นเหตุเกิดชาติภพใหม่ ไม่มีบอกไว้ในพระไตรปิฏก แต่ “อวิชชา” อันส่งผลต่อเนื่องต่างหากเป็นเหตุให้เกิดใหม่ ตามหลักปฏิจจสมุทบาท ดังนี้ หากกล่าวว่าพระอรหันต์แล้ว ไม่มีกรรม เพราะไม่เกิดอีก จึงกล่าวผิด การบอกว่าทุกสิ่งที่พระอรหันต์ทำไม่มีกรรม เป็นเพียงกริยาจึงกล่าวผิด พระอรหันต์มีกรรมต่อได้ แต่สิ้นแล้วซึ่งอวิชชาจึงไม่เกิดใหม่อีก ดังนี้ พระอรหันต์จึงต้องสำรวมอินทรีย์ อย่าก่อกรรมอีก เพราะจะได้รับผลทันทีในชาตินั้นๆ เนื่องจากไม่เกิดใหม่อีกนั่นเอง พระอรหันต์จึงก่อกรรมได้ตลอดทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม จึงต้องอยู่ในศีลต้องสำรวมอินทรีย์นั่นเอง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    การเกิดใหม่ด้วยปณิธาน, บารมี ฯลฯ แต่ไม่ใช่อวิชชาเดิมก็มี เช่น การเกิดใหม่ของพระมหาโพธิสัตว์ ซึ่งต้องหาเหตุเกิด เป็นอวิชชาเพิ่มเข้าไป? ดังนี้ แรกเกิดจึงยังไม่บรรลุธรรม ต้องบำเพ็ญเพียรต่อขจัดกิเลสและขุดรากอวิชชาเมื่อปฏิสนธิจิตเข้ามา จึงอรหันต์ ดังเช่น การเกิดของพระอวโลกิเตศวร ในชาติที่เป็นเจ้าแม่กวนอิม ต้องบำเพ็ญเพียรก่อนจึงบรรลุธรรม ทว่าชาติก่อนหน้านี้ก็บรรลุธรรมแล้ว จึงแสดงว่าก่อนเกิด (ก่อนปฏิสนธิจิต) ได้มีการดึงเอาอวิชชาจากที่อื่นมาร่วมเข้าด้วยก่อน ให้มโนวิญญาณธาตุไม่บริสุทธิ์มีอวิชชาปน จึงเป็นเหตุเกิดใหม่ตามปฏิจจสมุทบาท แล้วต้องมาขจัดกิเลสและอวิชชาภายหลัง จึงค่อยอรหันต์อีกชาติหนึ่ง ดังนี้ หากบำเพ็ญเพียรเป็นพระมหาโพธิสัตว์ในชาติสุดท้ายที่อรหันต์แล้วเกิดใหม่ได้ จึงต้องหัดดึงกิเลสกลับมาให้ได้ เมื่อเกิดใหม่อีก ตอนจุติจึงจะดึงอวิชชามาได้ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทั้งนี้พระอรหันต์บางรูปได้เทศนาประมาณว่า พระอรหันต์ไม่ก่อกรรมแล้ว เพราะสิ่งที่กระทำเป็นเพียง “กริยา” จึงกล่าวผิดตามหลักพระไตรปิฏกด้วยประการฉะนี้ ทั้งนี้ อย่าลืมว่าการที่ท่านเทศนาผิด ไม่ได้แปลว่าท่านไม่อรหันต์แต่อย่างใด เป็นเพียงการยืมใช้ “สมมุติบัญญัติ” โดยมิได้ศึกษาไตรปิฏกให้ลึกซึ้งเท่านั้น ดังนี้ การเทศนาธรรม จึงทำให้สาธุชนเข้าใจคลาดเคลื่อนในธรรมได้เช่นกัน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ดังนี้ ในการใช้ศัพท์ธรรม ที่มิใช่ศัพท์ไทย แม้บรรลุอรหันต์แล้ว ก็ยังควรต้องศึกษาไตรปิฏกให้ลึกซึ้งก่อนใช้ เพราะการบรรลุธรรมเอง ไม่ได้แปลว่าจะเข้าใจศัพท์ในพระไตรปิฏกทั้งหมดนั่นเอง อย่างไรก็ตามในการเทศนาธรรมโดยไม่ใช้ศัพท์ธรรม ใช้ศัพท์ไทยก็สามารถทำได้ เช่นนี้ พระไตรปิฏก จึงจะไม่ถูกบิดเบือน โดยไม่มีเจตนาร้าย แต่หากพลั้งไปก็ต้องรับกรรมแน่นอนในชาตินั้นเอง เช่นนี้ จึงสังเกตุได้ว่าเหตุใดพระอรหันต์บางรูปเทศนาน้อยมาก บางรูปเทศน์แต่สิ่งที่รู้จริงเท่านั้นก็มี<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    “กริยา” ส่งให้เกิดผลที่เรียกว่า “กรรม” เสมอ ดังนี้เมื่อเกิดกริยาจึงเกิดผลเป็นกรรมเสมอ เพราะกริยามีสภาพธรรมเป็นผลให้เกิดสิ่งอื่นๆ ดังนี้จะกล่าวว่ามีแต่กริยาไม่เกิดกรรมอีกไม่ได้ แต่การเกิดกรรมมีทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรมตลอด เช่น การที่พระอรหันต์สำรวมอินทรีย์จิตระวังไม่เหยียบมดด้วยเมตตา นี่มิใช่ไม่เกิดอะไร เกิดแล้วเพราะกริยาที่จิตดำเนินนั้น ส่งให้เกิดเมตตา เป็นกุศลจิต อันส่งผลเป็นมโนกรรม ที่เรียกว่ามโนกุศลกรรม นั่นเอง ดังนี้ จะกล่าวว่าเมื่อระวังตนไม่เหยียบมด จึงไม่เกิดกรรม เป็นเพียงกริยาไปเฉยๆ ไม่ได้ เพราะเกิดมโนกรรมอันเป็นกุศลกรรมแล้ว เป็นต้น กรรมดีกรรมชั่วจึงเกิดมากมายทุกขณะนับไม่ถ้วน ดังนี้จึงไม่ควรคิดว่า ไม่เกิดกรรมอีกแล้วเพราะอรหันต์แล้ว เพราะพระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนแบบนี้ ท่านตรัสแต่ว่าไม่เกิดชาติภพใหม่อีก ไม่ทุกข์อีก เพราะอรหันต์แล้ว แต่ท่านมิได้ทรงเทศนาเลยว่า อรหันต์แล้วไม่เกิดกรรมอีก? มีเพียง “กริยา” เท่านั้น ซึ่งพระอรหันต์บางท่านกล่าวไว้ ซึ่งไม่ทราบว่าได้อ้างอิงจากพระไตรปิฎกส่วนใด? เช่นนี้พระไตรปิฎกจึงถูกบิดเบือน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กรรมที่ส่งออกไปกระทบธรรมชาติรอบด้านจะเกิดการตอบโต้กลับเรียกว่า “วิบากรรม” ซึ่งจะเกิดย้อนผลมาช้าเร็วเมื่อใดนั้นก็มีสามระดับ คือ เกิดทันที, เกิดในชาติต่อไป แล้วผลรวมไปในทุกชาติข้างหน้า เป็นต้น ส่วนพระอรหันต์เหลือชาติสุดท้ายแล้ว จึงเกิดในชาตินั้นเอง ไม่มีส่งผลต่อชาติอื่น ทั้งนี้ต้องแยกแยะว่า การส่งผลให้เกิดชาติภพ ก็เรื่องหนึ่ง การเกิดวิบากกรรมตามมาก็เรื่องหนึ่ง เกิดชาติใหม่ กับรับกรรมเก่าที่ทำ คนละเรื่องกัน ไม่จำเป็นต้องเกิดพร้อมกัน และไม่ใช่เหตุผลซึ่งกันและกัน แต่เกิดทั้งคู่ ตามหลักอิทัปปัจยตา พูดง่ายๆ คือ มันคนละเรื่องกัน เอามาอธิบายข้ามไขว้เหตุผลกันก็มิได้ (อวิชชาเป็นเหตุแห่งชาติภพใหม่, อุปทานเป็นเหตุแห่งทุกข์, กรรมเป็นเหตุแห่งวิบากกรรม)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เจตนาไม่ได้แปลว่า “ความจงใจ” ซึ่งในพระไตรปิฏกฉบับประชาชนหลายฉบับมักแปลเช่นนั้น แต่ทว่า ความเจาะจงใจ นั้นคือ เจตนาทางใจ หรือใช้ศัพท์ธรรมว่า “มโนธาตุสัมผัสสชา เจตนา” ต่างหาก ดังนี้ คำว่าเจตนา จึงไม่ควรแปลว่าความจงใจอย่างเดียว เพราะมีการเจาะจงทางอายตนะอื่นๆ ที่ไม่ใช่ใจด้วย เช่น “จักขุสัมผัสสชา เจตนา” คือ ความเจาะจงทางตา ซึ่งไม่ใช่ทางใจ จะเรียกว่าความจงใจมิได้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระอรหันต์บางท่านเทศนาว่า “เจตนาคือตัวกรรม” ซึ่งผิดตามหลักพระไตรปิฏก กล่าวคือ กรรมเป็นผลแห่งกริยาต่างหาก โดยกริยามีเจตนาเป็นคุณศัพท์อธิบายเพิ่มเติมไปว่ามีการเจาะจงเท่านั้นเอง ดังนี้ ศัพท์ธรรมว่า “เจตนา” ก็คือ “เจตนา” จะไปแปลว่าเป็น “ตัวกรรม” มิได้ ตัวกรรมก็คือตัวกรรม แต่คนละตัวกัน กับตัวเจตนา เจตนาเกิดก่อน เป็นความจำเพาะเจาะจงของอาตนะลงไป ในกริยานั้นๆ จึงออกผลมาเป็น “กรรม” อีกที หากจะหล่าวว่าเจตนาคือตัวกรรม เท่ากันเป็นการบอกว่าคุณศัพท์อธิบายสาเหตุแห่งกรรม คือ ผลของมัน หรือคือกรรม ซึ่งผิดหลักอิทัปปัจยตา การที่เหตุจะเป็นผลเป็นไปมิได้ เหตุ (กริยาที่มีเจตนา) จะเป็นผล (กรรม) มิได้ “เหตุ คือ เหตุ” และ “ผล คือ ผล” จึงอธิบายแยกกันดีกว่า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    นอกจากนี้พระอรหันต์บางรูปก็เทศนาว่า “พระอรหันต์ดับอารมณ์แล้วไม่มีอารมณ์อีก” เป็นต้น ซึ่งผิดหลักพระไตรปิฏก เป็นการบิดเบือนพระไตรปิฏกโดยไม่ได้เจตนาให้เกิดอกุศลกรรม แท้แล้วอารมณ์มีลักษณะเป็นการท่องเที่ยวไปแห่งการรับรู้ทางกายใจทั้งหก (หมายถึงอายตนะหก?) คือ อารมณ์หก ซึ่งอารมณ์ในแต่ละอารมณ์นั้นมีสามประเภทตามลักษณะเวทนาทั้งสาม (สุขเวทนา, ทุกขเวทนา, อุเบกขาเวทนา) รวมทั้งสิ้นเป็น สิบแปดเวทนาแห่งอารมณ์ หรือเรียกว่า สิบแปด “มโนปวิจารย์” <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หากการพิจารณาเวทนาในสติปัฏฐานสี่ ว่าผู้ถึงอรหันต์นี้ ไม่มีลักษณะ ทุกขเวทนา และสุขเวทนาแล้ว นั่นย่อมหมายถึงเหลือเพียงอุเบกขาเวทนา เท่านั้น หมายความได้ว่า พระอรหันต์จะมีหกมโนปจารย์ หรืออารมณ์หกแบบที่มีแต่อุเบกขาเท่านั้น หมายความว่าพระอรหันต์มีอารมณ์ได้ หกแบบ ในหกแบบนี้ล้วนเป็นอุเบกขาในอารมณ์ทั้งสิ้น ที่เหลืออีกสิบสองอารมณ์แห่งเวทนา (มโนปจารย์) ไม่ใช่ลักษณะของพระอรหันต์ การน้อมอารมณ์นี้ ใช้คำศัพท์ว่า “มโน” เช่น มโนมยิทธิ คือ ผลจากการน้อมอารมณ์ จนมีฤทธิ์ทางใจ รับรู้สิ่งเหนือปุถุชนได้ด้วยใจ (รับรู้เหลือปกตินี้มีหลายแบบ เช่น ทางตา คือ ทิพยจักขุ, ทางหู คือ ทิพยโสต เป็นต้น) การเทศนาของพระอรหันต์บางรูปจึงผิดหลักพระไตรปิฎกด้วยเหตุนี้เอง (ข้อมูลอ้างอิงจากพระไตรปิฏก ฉบับสำหรับประชาชน หน้า 510 พิมพ์ครั้งที่ 16/2539 ย่อความจากพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี โดยมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชนูปถัมภ์)<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    พระอรหันต์ไม่เกิดใหม่อีกเพราะสิ้นอวิชชา คือ เชื้อเกิดใหม่ตามวงจรปฏิจสมุทบาท และที่ไม่ทุกข์เพราะไม่มีอุปทาน นี่เอง ส่วนพระอนาคามียังต้องไปเกิดใหม่ภพสวรรค์ เพราะยังมีอวิชชาอยู่ เช่นยังหลงยึดว่าตนเป็นพระอรหันต์ เลยต้องไปเกิดใหม่ แล้วไม่กลับมาเกิดบนโลกอีก (พระอนาคามีแปลว่าผู้ไม่กลับมา) แต่จุติเกิดใหม่แน่นอนบนสวรรค์นั่นเอง แล้วไปนิพพานเอาบนนั้น มิได้ตรัสรู้เอง แต่มีพระพุทธะเบื้องบนมาโปรด เช่น พระอมิตาพุทธ เป็นต้น ส่วนท่านที่ไม่บรรลุอรหันต์แม้นไปเกิดบนสวรรค์ก็ยังมีสุขและทุกข์เสมอเพราะยังมีอวิชชายังยึดมั่นอยู่ มิได้สุขตลอด เรียกว่าเป็นภพภูมิที่ยังมีสุขอยู่บ้าง แต่มิได้มีสุขแท้ตลอดไปเหมือนนิพพาน นอกจากนี้กรรมก็มีทุกภพ เทวดาหากก่อกรรมก็ได้รับกรรมบนสวรรค์เช่นกัน การหวังทำบุญมากๆ ไปสวรรค์จึงเป็นการสอนที่ผิด เพราะไม่ทำให้พ้นการจุติใหม่, ความทุกข์, วิบากกรรม ไปได้เลย เพียงแค่อยู่กับคนระดับเดียวกัน แยกจากคนเลวเท่านั้นเอง ส่วนการทำบุญนั้นบนสวรรค์ก็ทำได้ มิได้ขยับไม่ได้ สามารถขยับไปสะสมบุญได้เสมอ เช่น การไปบูชาพระธาตุเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ เป็นต้น จึงมิต้องกังวลกับการสะสมบุญในชาติที่เป็นคน ชาติที่เป็นอย่างอื่นภพอื่นก็ทำบุญได้ แต่ควรกังวลว่า มีชาติที่เป็นมนุษย์เพียงชาติเดียวเท่านั้นที่ตัดกิเลสและนิพพานได้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ส่วนบางท่านตัดเหตุแห่งกิเลสผิด เช่นไปดับสัญญาขันธ์ มิได้ขุดรากเหง้าอวิชชา เพราะหลงผิดคิดว่าสัญญาขันธ์ หรือขันธ์ห้าเป็นสิ่งต้องดับ แท้แล้วมันเกิดและดับของมันเอง หากเราไปดับเพราะหลงผิด ไม่ได้ขุดรากอวิชชา ก็ยังมีอวิชชา จึงยังไปเกิดใหม่ เช่น ท้าวพกาพรหม ผู้ไม่มีสัญญาขันธ์ เป็นต้น นอกจากนี้บางท่านไปดับวิญญาณขันธ์ก็มี การดับผิดทำให้จุติใหม่เป็นพวก อสัญญีสัตว์ เป็นต้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทั้งนี้พระอรหันต์ใช่ว่าจะช่วยพาคนไปนิพพานได้ทั้งหมด เพราะบุญบารมีอาจไม่เพียงพอ ดั่งพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบารมีมาก จึงเทศนาสอนคนไปนิพพานได้มาก ใครบารมีน้อยก็เทศนาคนไปนิพพานได้น้อย การบรรลุนิพพานเป็นบุญบารมีเฉพาะตน ส่วนการเป็น “ครู” ผู้สอนคนไปนิพพาน เป็นการสะสมบุญบารมีอีกแบบ ซึ่งไม่ใช่ว่าพระอรหันต์ทุกคน จะเทศนาให้คนไปนิพพานได้ การไปหลงพระอรหันต์มากๆ ไม่สนใจพระอรหันต์ที่มีชีวิตหรือฆารวาสบางคนที่อาจมีทั้งชีวิตอยู่สอนคนได้ มีบารมีเพียงพอช่วยให้ไปอรหันต์ได้ กลับไปหลงคนตายแล้วที่ไม่อาจสอนธรรมได้อีก เพราะต้องการสิ่งศักดิ์สิทธิ์วิเศษทั้งหลาย จึงเป็น “มิจฉาฑิฐิ” อีกแบบหนึ่ง การแสดงตนเป็นครู แสดงตนว่าสอนผู้อื่นทางธรรมได้โดยตนยังไม่นิพพาน หรือไม่สามารถเทศนาให้คนไปนิพพานได้ ก็เป็นกรรมได้เช่นกัน แต่การเทศนาเท่าที่รู้, การสนทนาธรรมเท่าที่รู้, การนำธรรมะมาให้ทาน โดยไม่มีเจตนาโน้มน้าวจิตใจไปทางอื่นที่ไม่ใช่นิพพาน ถือว่าไม่ผิด เป็นบุญกุศล นอกนั้นเป็นอกุศลกรรมทั้งสิ้น ทั้งนี้ต้องกล่าวให้เข้าใจด้วยเช่นกัน การบอกให้คนอื่นทำตามความคิดตนอย่างนั้นอย่างนี้ โดยตนไม่รู้จริง ทำให้ผู้อื่นหลงทาง การแสดงตนให้คนมายึดติด การทำให้ตนโด่งดัง เช่น กล่าวว่า “ทำตัวเองให้ดีก่อนเถอะ” ทั้งๆ ที่ผู้กล่าวก็ยังทำไม่ได้และไม่รู้จริงว่าผู้รับฟังได้ทำดีแล้วหรือไม่ ก็เกิดอกุศลกรรมปรามาสได้เช่นกัน จึงเป็นสิ่งที่พึงระวังละเว้นอย่างยิ่ง อันจะนำกรรมมาได้ในภายหลัง และจะไปเกิดเป็นมารสวรรค์ได้ในที่สุด<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นอกจากนี้ “ภูมิธรรม” ของคนมีหลายระดับ การได้ยินได้ฟังอะไรที่ตนไม่เคยได้ยิน แล้วกล่าวปรามาสว่าไม่มี ทั้งที่ตนยังไม่เห็น, ไม่ปฏิบัติ, และไม่พิสูจน์ให้รู้แจ้ง จึงเป็นการปรามาสอย่างโง่เขลาที่สุด ได้รับกรรมไป โดยมิได้รับผลตอบแทนใดๆ เลย ดังนี้ หากบางท่านพูดเรื่องอจิณไตย แล้วเราไม่แน่ใจพึงละหนีเสีย หากจะตักเตือนผู้อื่นก็ต้องพิจารณาโดยแจ้งชัดว่าผู้นั้นจักก่ออกุศลกรรมจริงๆ มิใช่ กล่าวปรามาสแบบไม่ยั้งคิด โดยไม่รู้ว่าธรรมนั้น เหนือภูมิธรรมของตนไปแล้ว อันจะก่อให้เกิดกรรมชั่วนั่นเอง การถกสนทนาธรรม จึงควรกระทำอย่างมีศีลธรรมกำกับอย่างยิ่งยวด มิใช่ถกเพื่อปรามาสกัน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น คือ คนเลวที่ทำบุญมากอยู่บนสวรรค์ก็มี เช่น คนชอบครอบงำคนอื่นให้หลงและอิจฉาริษยา แต่ทำบุญมากมาย ได้ขึ้นสวรรค์ไปไม่มีความสุขเหมือนคนอื่น ก็มาชักชวนให้เทวดาที่ดีทำผิดเสีย สุดท้ายก็ตกสวรรค์รับกรรมไปอย่างน่าสงสารที่สุด ที่อุตส่าห์ทำบุญกันมามากมาย ดังนี้ การทำบุญควรอธิษฐานของให้ได้เป็นบริวารของท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วย เพราะท่านจะดูแลปกครองคุ้มครองเราบนสวรรค์ไม่ให้พวกมารสวรรค์มายุยงให้ทำผิดจนรับกรรมตกสวรรค์ เช่น ทำบุญแล้วอธิษฐานให้ได้ไปเป็นสาวกของพระศรีอาริยเมตไตรย์ผู้จะตรัสรู้ในกาลข้างหน้า ท่านก็จะมาโปรดสั่งสอนได้ ปกครองดูแลเราได้ และไม่ให้พวกมารสวรรค์มาทำร้ายเรา ทั้งนี้ ควรเลือกท่านที่บุญพอๆ กันตนเอง หากพระศรีอาริยเมตไตรย์มีบุญมาก แต่เรามีบุญน้อย อธิษฐานไป เราก็ไปไม่ถึง เพราะท่านอยู่สูงไป อย่างนี้ให้อธิษฐานหรือทำบุญร่วมสัมพันธ์กับพระสงฆ์ที่ไม่มีมิจฉาฑิฐิแทน เพื่อได้ไปเกิดบนสวรรค์แล้วท่านจะปกป้องปกครองคุ้มครองเรา ส่วนการทำบุญแล้วอธิษฐานให้ไปเกิดเป็นสาวกของพระอรหันต์นั้นคิดผิด เพราะท่านเข้านิพพาน ส่วนเราไปสวรรค์ คนละที่กัน ท่านจะมาโปรดบ่อยๆ ก็ไม่ได้นัก เราจึงควรสร้างบุญสัมพันธ์ร่วมกับพระโพธิสัตว์ที่ตนศรัทธาและบารมีเราพอไปไหวจะดีกว่า ไม่เช่นนั้น ก็ต้องค้นหาเทพที่เรานับถือแทน เช่น พระอินทร์, พระพรหม, เจริญพรหมวิหารสี่ เป็นต้น แบบนี้ก็ได้ไปจุติในภพสวรรค์ที่มีเทพเหล่านี้ปกครองดูแลเราได้ เช่นกัน แต่ไม่ควรขาดศรัทธา ไม่ควรคิดว่าตนแน่และไม่ต้องพึ่งพาใคร ไปสวรรค์โดดๆ มักถูกมารสวรรค์หลอกให้เป็นมิจฉาฑิฐิโดยง่าย การมีเทพคุ้มครอง การศรัทธาในเทพที่ปฏิบัติดีแท้ไม่ใช่มารสวรรค์แปลงมา จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ปกป้องเราได้ ตราบใดที่จิตเราไม่พุ่งตรงต่อกระแสพระนิพพาน (ยังไม่โสดาบัน) จึงออกนอกลู่นอกทางได้เสมอ แม้นทำบุญมากเพียงใด หรือได้ขึ้นสวรรค์สูงขนาดไหนก็ตาม ล้วนเป็นมิจฉาฑิฐิ เป็นมารได้ทั้งสิ้น <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จะเห็นได้ว่าความหมายของคำว่า “ชีวิต” มิได้มีเพียงบนโลกตอนนี้เท่านั้น มันช่างยาวไกลและเปลี่ยนแปลงไปดั่ง “อนิจจัง” คือ เปลี่ยนภพนั้นไปภพนี้ วงจรปฏิจสมุทบาทหมุนไปเรื่อยไม่มีทางหยุดลงเสียได้ ทุกข์แล้วทุกข์ใหม่ไม่มีจบสิ้น ชาตินี้มีบุญได้ห่มเหลืองสงบดีไม่มีใครรบกวนมีคนทำบุญให้สบายๆ พอหมดบุญไปเกิดใหม่เป็นหมู, หมา, กา, ไก่ อีกก็ได้ก็มี เป็นสัตว์ชนิดนั้นชนิดนี้ โอกาสที่สำคัญที่สุดคือ ภพที่ได้เกิดเป็นคนนี่เอง เป็นโอกาสที่สำคัญที่สุดที่เราจะได้ฝึกจิตให้ตรงสู่พระนิพพาน อย่างน้อยเมื่อจิตเป็นโสดาบันแล้ว ไปภพไหนก็ไม่หลงออกนอกกระแสพระนิพพาน ไม่ถูกมารสวรรค์หลอกให้ทำผิด และหากไม่อยากเสี่ยงทุกข์แล้วทุกข์อีก “นิพพาน” คือ ทางออกทางเดียวเท่านั้นเอง <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    โปรดจำไว้ว่าเกิดเป็นคนเพื่อให้ได้ “นิพพาน” แม้นไม่ได้นิพพาน ขอให้ได้ “โสดาบัน” ก็ยังดี<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หัวอ่อนยอมก้มรับธรรมจากผู้ต่ำต้อย<o:p></o:p>​
    เห็นธรรมเป็นธรรมไม่ลังเล<o:p></o:p>​
    ไม่ปฏิเสธศีลป้องกันกาย<o:p></o:p>​
    โสดาบันได้สบายแฮ...<o:p></o:p>​
     
  2. กูจะบ้า

    กูจะบ้า สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +11
    มันก็แล้วแต่โรงเรียน แล้วแต่บุคคลกรที่สอน ส่วนมาอาจารย์ที่สอนเรื่องพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนแบบว่า เราต้องจำบทสวดมนต์ได้ แต่สอนแกนของพระพุทธ สอนว่าที่มี ศีล5 เพราะว่าทำไม สอนว่าทำไมถึงต้องปฏิบัติตามพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าให้เราเชื่อทุกอย่างจากคำพูดเขา แต่ให้เอา ตรรกของแต่ละคนที่เชื่อหรืปฎิบัติตามอะ
     
  3. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ---> ด่วนพระศรีอาริยเมตไตรย์จะมาเป็นนายกคนใหม่ของไทย!?!
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->พุทธะถามตอบเกี่ยวกับชาติและประชาธิปไตย

    พุทธะถาม “ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยดีที่สุดใช่ไหม”
    พุทธะตอบ “ผิดถนัด ทุกคนรู้ดีว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เรากำลังร่างรัฐธรรมนูญ แต่เรายังหลงประชาธิปไตย เพราะเราไม่คิดนอกกรอบ ทุกวันนี้เราเห็นอยู่ ความล่มสลายของเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากระบบทุนนิยม ที่ขายพ่วงมากับระบอบประชาธิปไตย แต่เราไม่มองย้อนความเจริญของเราในอดีต อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่เราเชื่อคำใส่ร้ายป้ายสีของฝรั่งมังค่าว่า พระมหากษัตริย์ของเราปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะระบอบการปกครองของเรานั้นเป็นระบอบพุทธะ ที่เต็มเปี่ยมด้วยทศบารมี เรียกว่า “ทศพิธราชธรรม” มีฐานะเป็นพระโพธิสัตว์มาสร้างความผาสุกให้กับคนในชาติและความเจริญรุ่งเรืองของศาสนา ในขณะที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช พระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ และมีแนวคิดว่าตนเป็นพรหมมาจุติ พรหมลิขิตชีวิตคนได้ ทว่าในอดีตพระพุทธเจ้าสมณโคดม ท่านทรงโปรดสั่งสอนให้ละฑิฐิและหันมาใช้ระบอบการปกครองแบบพุทธะ”

    พุทธะถาม “แล้วมีระบบอบได้ที่ดีกว่านี้อีก”
    พุทธะตอบ “มีแน่นอน หากเราไม่หยุดที่จะพัฒนาหรือค้นหา ความจริงระบอบการปกครองของไทยในหลายยุคเป็นระบอบการปกครองที่ดีกว่าระบอบประชาธิปไตย หากเราจะเปรียบเทียบความเจริญรุ่งเรืองและความสงบร่มเย็นแล้ว ตั้งแต่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินมา เราย่ำแย่และล้มเหลวมากที่สุดกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะทรราชที่ชื่อว่า “คณะราช” ก่อกบถปล้นราชวงค์ ทำไมเราไม่หันกลับไปมองความดีงามที่เรามีมาแต่ครั้งอดีตละ ระบอบการปกครองแบบพุทธะที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมทรงโปรดสั่งสอนและถ่ายทอดเป็นสิ่งล้ำค่าที่ประเทศใดไม่อาจเสมอเสมือนได้ นำมาพัฒนาปรับปรุงให้เข้ากับเราเอง และปรับตัวให้เข้ากับภายนอกได้ ทำไมเรายังหลงเดินตามก้นฝรั่งอยู่อีก”

    พุทธะถาม “หมายความว่าอย่างไร กรุณาอธิบายประวัติศาสตร์ความเป็นมาให้กระจ่าง”
    พุทธะตอบ “ระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน เราถือว่าดีที่สุด แต่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ก็ด้วยความเจริญทางวัตถุ และแรงขับดันจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ยังผลผลิตให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ จนคนพอใจกับความสำเร็จทางอุตสาหกรรม แต่มิใช่ความสำเร็จทางการปกครองเลยแม้นแต่น้อย เพราะขาดมุมมองทางด้านผลกระทบทางสังคม ทำให้คนหยุดพัฒนาปรัชญาการปกครองแบบประชาธิปไตยของ “อดัม สมิทธ” คนคิดว่ามันสมบูรณ์แล้ว แท้จริงแล้วไม่ใช่ การนำเสนอต่อไปนี้จะแสดงจุดอ่อนทั้งหมดและสิ่งที่ “คาร์ล มาร์ก” เตือนให้ระวัง ถึงความเลวร้ายของระบบทุนนิยมที่พ่วงมากับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย “คาร์ล มาร์ก” ไม่ได้ต่อต้านแนวคิดเสรีนิยม และสังคมนิยม ทว่าเขาแต่ยังหาทางออกให้ไม่ได้ จึงเสนอให้ประชาชนได้แก่แรงงาน ลุกขึ้นประท้วง ก่อการนองเลือดเป็นสงครามกลางเมือง ซึ่งผมคิดว่าเป็นการคิดที่ไม่จบ และเป็นทางออกที่ไม่ถูกต้อง เป็นเพียงจุดเริ่มคิดเท่านั้น”

    พุทธะถาม “แล้วอย่างไรต่อ ระบอบไหนที่ว่าดีกว่าประชาธิปไตย แล้วเรื่องที่กล่าวหาคณะราชละ”
    พุทธะตอบ “ประวัติศาสตร์ที่ผิดเพี้ยนของไทย ระบุว่า คณะราชคือผู้ยึดคืนอำนาจประชาธิปไตยมาให้ประชาชน เพราะระบอบการปกครองของไทยเป็นแบบ “สมบูรณาญาสิทธิราช” ซึ่งแท้แล้ว ร. เจ็ด ทรงกำลังวางรากฐาน อย่างรอบคอบเพื่อมอบประชาธิปไตยให้ประชาชน ทว่าทรราชเหล่านี้ รวมตัวกันปล้นพระราชอำนาจก่อน ด้วยความเกรงกลัวว่าหากท่านสละราชแล้วตนเองอาจมิได้รับเลือกครองอำนาจ จึงรวมตัวกันมาปล้นพระราชอำนาจ แล้วแสดงตนว่าเป็นวีรบุรุษ ทั้งหล่าวหาระบอบการปกครองเก่าแก่ของไทยว่าเป็น “สมบูรณาญาสิทธิราช” ซึ่งผิดมหันต์ดังที่กล่าวมาข้างต้น การกระทำนี้เกิดจากการที่พวกเขาได้ไปร่ำเรียนเมืองนอก แล้วหลงใหลแนวคิดตะวันตก จนไม่มองดูความเป็นไทย ใจร้อน เรียกว่าไหลตามกระแสการต่อต้านพระมหากษัตริย์ในยุคนั้น ทั้งที่จริงแล้ว ร. เจ็ด ทรงปกครองด้วยความเมตตา แต่ปัญหาเศรษฐกิจขณะนั้น ยากเกินเยียวยา ซึ่งเป็นเหมือนกันหมดทั้งโลก โทษใครไม่ได้ พวกเขาก็อาศัยโอกาสนี้ ในการปล้นราชวงค์ แล้วยัดเยียดข้อหาให้ราชวงค์ไทยเพื่อชิงอำนาจ”

    พุทธะถาม “สรุปไม่ได้นะ ว่านายกที่ผ่านมาใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยแล้วไม่ดี”
    พุทธะตอบ “ได้สิ ลองย้อนกลับไปดูอดีต นายกของเราแต่ละคนแทบไม่ได้ปกครองประเทศให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ด้วยประชาธิปไตยเลย ยกเว้นนายกบางท่านที่เจริญรอยตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันเท่านั้น ที่เห็นตึกรางบ้านช่องเยอะขึ้นมานี้ เป็นผลจากการทะลวงไหลเข้ามาลงทุนทำลายทรัพยากรของไทย โดยฝีมือนักลงทุนชาวต่างชาติทั้งนั้น เมื่อได้กำไรสมใจอยากแล้วก้ถอนทุนหนีไป ไม่สนใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศของเรา ในขณะที่องค์พระมหากษัตริย์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ตรากตรำพระวรกายอย่างหนัก เหยียบย่ำไปทั่วแดนดิน ที่ห่างไกลและไร้ความเจริญ เพื่อหวังเป็นแนวทางให้นายกเดินตาม ทว่า เหล่านายกที่ผ่านมาจะมีสักกี่คนที่เห็นแนวทางนั้น มีใครสักกี่คนที่เดินออกไปดูชาวไร่ชาวนาแล้วนั่งลงคุยกับเขาโดยตรงเหมือนพระองค์ท่าน มีแต่ออกข่าวอยู่ในทำเนียบ คุยกันแต่เรื่องกล่าวโทษผู้นั้นผู้นี้ ไม่ได้คุยกันเรื่องความคืบหน้าของงาน บ้างก็เสนอโครงการให้ประชาชนสนใจ เลือกไปเป็นนายก แต่ไม่เคยลงดูชาวไร่ชาวนาจริงๆ การตัดสินใจก็ผิดพลาด ซ้ำยังโกงกินชาติบ้านเมืองก็มี เราได้พิสูจน์มายาวนานแล้วครับว่านายกทั้งหลายปกครองประเทศสู้ในหลวงไม่ได้ ใจคนไทยทุกคนตอนนี้เป็นดวงเดียวกันหมด แต่เราติดตรงที่ประชาธิปไตย มันดักห้ามไว้ ว่าห้ามถอยหลังกลับไปเป็นสมบูรณาญาสิทธิราช ในขณะที่ผมกำลังบอกว่าเราไม่ได้ถอยหลังไปแบบนั้น แต่เราก้าวใหม่ให้ถูกต้องจากระบอบการปกครองแบบพุทธะต่างหาก ซึ่งนั่นคือสิ่งที่คนไทยทุกคนต้องการ”

    พุทธะถาม “แปลว่าให้ต้องกลับไปเป็นอย่างเก่า เราไม่ถอยหลังเข้าคลองหรอกหรือ”
    พุทธะตอบ “ไม่ใช่ เราย้อนกลับไปชำระประวัติศาสตร์ ใช้สติหยุดคิด เลิกยึดติดในคำพูดโฆษณากล่อมหัวใดๆ ที่เคยหลอกเรามา แล้วดูด้วยใจอันใสซื่อบริสุทธิ์ แล้วย้อนกลับไปทบทวนความเป็ฯมาของประวัติศาสตร์ไทยใหม่ ตรองดีๆ นานๆ ลึกๆ อย่าหยาบคายแบบฝรั่งมังค่า ก็จะได้สติคิดได้ว่ามันถึงเวลาที่เราจะปลดตัวเองจากการเป็นทาสระบอบทุนนิยมที่ครอบงำเรามานานโดยที่เราไม่รู้ตัวแล้ว ทั้งนี้ไม่ใช่แต่เรา มาเลเซียเองก็กำลังปลดตัวเองจากการเป็นทาส ตั้งแต่สมัยมหาเธ หรือแม้แต่ไต้หวัน ผู้คนก็กำลังหาทางออกใหม่ๆ ดูได้จากการรวมคนได้เป็นล้านๆ เพื่อประท้วงของ ซือ หมิง เต๋อ หรือแม้นแต่ภูฏานก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างรวดเร็วคาดไม่ถึง เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงสละราชบัลลังก์ให้แก่มกุฏราชกุมาร “จิกมี” เมื่อทรงเห็นว่าเป็นกาลเวลาอันควร และมกุฏราชกุมารมีพระสติปัญญาพร้อม ตั้งแต่ทรงเสด็จมาเยี่ยมเยือนประเทศไทย และประกาศว่าจะเดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อปกครองประเทศโดยใช้ดัชนีชี้วัดความสุขของคนในชาติ เห็นชัดหรือยังว่า อิทธิพลทางความคิดด้านการปกครองของพระมหากษัตริย์ไทยเราปัจจุบัน ยิ่งใหญ่แค่ไหน ทีนี้ตาแจ้งสว่างหรือยัง”

    พุทธะถาม “แล้วการร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้จะช่วยได้ไหม”
    พุทธะตอบ “ตราบใดที่ยังคิดในกรอบ ก็ยังเดินในกรอบที่ประเทศมหาอำนาจเขาวางกรอบไว้ให้เดิน แล้วเราจะเหนือเขาได้อย่างไร อันที่จริงเราไม่ได้อยากเหนือใคร แต่ถ้าเขากดขี่เราด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจ ครอบงำให้เราไม่มีความผาสุก ทุกคนเป็นโรคเบื่อวันจันทร์ เครียดกับการทำงาน และเคยคิดไหมว่าจะทำเงินไปทำไมนักหนา แล้วหลอกตัวเองว่าทำไปเหอะน่า ให้ลูกหลานเราไง สะสมไว้เป็นมหาเศรษฐี แล้วก็ทำงานตะบี้ตะบันแข่งขันจะเป็นจะตายไร้ความสุข อย่างไม่มีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ลูกไม่ได้เห็นหน้าแม่ แม่ไม่เคยได้มีเวลาให้นมลูก แม้แต่เวลาจะใส่บาตรตอนเช้ายังไม่มี จะเข้าวัดก็ทำไม่ได้ เพราะต้องถ่อสังขารออกไปไกล ทำงานหกวัน แค่เรื่องในบ้านก็ชำระไม่ไหวแล้ว สิ่งเรานี้ละคือระบบทาสแนวใหม่ ที่เรียกว่า “ทาสจำยอม” โดยที่เราไม่รู้ตัว ถึงเวลาแล้วที่เราจะลุกขึ้นมาบอกว่าเราไม่ใช่หมูในคอกที่จะมาจำกัดอิสรภาพในการใช้ชีวิตของเรา แล้วกลบเกลื่อนว่าเรามีอิสรภาพที่จะซื้ออะไรมาสนองกิเลสตัญหาเราก็ได้ เพราะเราไม่ได้ต้องการเป็นหมูที่เรียกร้องและเลือกอาหารการกินได้อย่างเสรี แต่คนไทยเราเป็นนกที่รักอิสรภาพ ต้องการอิสระเวลาส่วนตัวในชีวิต จะมากักขังเราดั่งหมูมิได้ ภาวะ “ทาสจำยอม” นี้ ไม่เคยรู้ตัวมาก่อน และไม่มีในการปกครองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำไมเราไม่เรียกร้องให้พระองค์ปลดเราออกจากการเป็นทาสเหมือนกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้าทรงช่วยชาวไทยละ หากเราไม่พึ่งบารมีของพระมหากษัตริย์แล้ว อยากถามว่านายกหน้าไหนจะทำให้เรา ในเมื่อนายกทั้งหลายเป็นพวกเดียวกับนายทุน มิใช่พวกเดียวกับประชาชน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราต่างหากที่เป็นพวกเดียวกับประชาชนอย่างแท้จริง และจริงใจ”

    พุทธะถาม “อย่างนั้นแสดงว่า ไม่มีนายกคนไหนที่ดีเลยหรือ”
    พุทธะตอบ “มีแน่ ถ้านายกคนนั้นเดินตามรอยในหลวงอย่างแท้จริง แต่เราต้องยอมรับก่อนว่าการปกครองที่ดีที่สุดคือระบอบพุทธะ และนายกจะมีอำนาจเหนือพระมหากษัตริย์เป็นไปไม่ได้ เราต้องทวงความยุติธรรมคืนให้กับพระมหากษัตริย์ของเรา พระราชวงค์ท่านทรงถูกปล้นโดยคณะราช และถูกใส่ร้ายว่าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชโดยไม่รู้จริง แล้วพวกเขาก็เอาประเทศไปปกครองโดยไม่เข้าใจอะไรเลย พวกเขาไม่เข้าใจประเทศตัวเอง ไม่เข้าใจระบอบพุทธะ ไม่เข้าใจแม้นกระทั่งระบอบประชาธิปไตยที่เขาอ้างมาอย่างแท้จริง แล้วทำชาติพินาศย่อยยับ โกงกินบ้านเมืองมาตลอดเวลา”
    <!--MsgFile=0-->

    พุทธะถาม “เช่นนั้น เราควรทำอย่างไร ประท้วงหรือ”
    พุทธะตอบ “ไม่ใช่ ระบอบการปกครองแบบพุทธะไม่ได้เปลี่ยนแปลงแบบนองเลือด การประท้วงเป็นแนวคิด “มาร์ก ซิส” จากโบราณกาลมา ยกตัวอย่างเช่น การทูลอัญเชิญพระนางจามเทวีขึ้นครองราช โดยเหล่าพราหมณ์ เป็นต้น หรือแม้นแต่การทูลอัญเชิญพระมหากษัตริย์พระองค์ต่างๆ ของไทยขึ้นครองราช โดยราชการผู้ใหญ่ผู้มีสายตายาวไกลและรักชาติอย่างแท้จริง นี่คือ การเปลี่ยนแปลงอย่างมีวัฒนธรรม มิใช่การเปลี่ยนแปลงแบบป่าเถื่อน การถวายคืนพระราชอำนาจ จะไม่มีการนองเลือดแต่อย่างใด เพราะเราจะใช้วิธีนักปราชญ์ นำเสนอข้อมูลความเป็นจริงและเหตุผลให้ประชาชนทราบ แล้วให้ประชาชนออกความเห็นร่วมกัน ซึ่งผมทายได้ว่าของขวัญชิ้นนี้เป็นของขวัญล้ำค่าที่สุดที่ชาวไทยรอมานาน ทุกคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน เพราะเราเบื่อพวกชนชั้นนายทุนมากดขี่เราจนจะไม่ไหวแล้ว”

    พุทธะถาม “แล้วนายกจะมีไหม ต่างชาติจะยอมรับได้หรือ”
    พุทธะตอบ “ต้องมีสิ เพราะเราพัฒนาไปข้างหน้า ไม่ได้แปลว่าย่ำเหมือนเดิม เป็นระบอบประชาธิปไตยภายใต้การปกครองแบบพุทธะโดยมีพระมหากษัตริย์เป็ฯประมุขสูงสุด มีสิทธิ์ขาดที่จะทรงวินิจฉัยตัดสินใดๆ ให้ใครเข้ามารับตำแหน่งหรือออกจากตำแหน่งเมื่อใดก็ได้ โดยให้ประชาชนนำโดยข้าราชกาลผู้มีความจงรักภักดีต่อชาติร่วมเสนอชื่อนายกเข้ามา นี่ละวัฒนธรรมการอัญเชิญผู้ปกครองของไทย ท่านถวายอำนาจให้เหล่าขุนนางเสนอชื่อมานานแล้ว จากนั้นขุนนางก็เสนอชื่อนายก ให้ท่านทรงตัดสินพระทัย เช่นนี้ จึงเรียกว่า ท่านทรงเป็นประมุขของประเทศที่แท้จริง ซึ่งคณะราชได้สร้างเครื่องปิดกั้นพระราชอำนาจนี้ไว้นาน แล้วยึดเอาอำนาจให้ชนชั้นนายทุนเสียเอง โดยการให้ประชาชนตาดำๆ ที่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในจุดอ่อนของระบอบประชาธิปไตย จำต้องเลือกแบบ “มัดมือชก” คือ เลือกผู้นำที่ตนไม่ต้องการ แต่เสนอหน้ามาได้ด้วยอำนาจเงินและอำนาจตระกูลเก่าหรือชื่อเสียงจอมปลอมจากการเป็นดารา เป็นต้น ประชาชนไม่มีทางเลือกก็ต้องเลือกกันไป สุดท้ายได้นายกคนเดียว มัดมือชกพระมหากษัตริย์ให้ทรงลงพระปรมาภิธัยอีก ลองคิดดูว่าไม่มีตัวเลือกให้ทรงวินิจฉัย แล้วจะเรียกว่าทรงมีอำนาจตัดสินพระทัยได้อย่างไร นี่ละ กลอุบายแห่งทรราชปล้นบัลลังก์ ที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชนชั้นนายทุน หาใช่ฉบับที่พระบาทสมเด็จพระเข้าอยู่หัวรัชกาลที่เจ็ดทรงเตรียมไว้ให้ไม่ ทั้งที่แท้แล้วระบอบการปกครองแบบพุทธะอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนี้ มีความเป็นเสรีภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกกษัตริย์ด้วยการอัญเชิญขึ้นครองราช ด้วยเหล่าขุนนางผู้ภักดีและมีสติปัญญาสูง หรือแม้แต่การที่ทรงให้ประชาชนเลือกนายกได้อิสระเป็นเบื้องต้นก่อน แล้วทรงมีพระราชอำนาจในการตัดสินพระทัยเด็ดขาด แบบนี้จึงเรียกได้ว่าพระองค์ทรงเป็นประมุขของประเทศอย่างแท้จริง มิใช่ในนาม หรือแม้นแต่การปกครองตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง ผู้ทรงให้อิสระภาพในทุกด้านอย่างสูงสุดในประวัติศาสตร์ไทย เช่น การยกเว้นภาษีการค้าขายได้อย่างเสรี ไม่มีการกีดกัดการค้าแบบฝรั่งมังค่า แล้วเชิดหน้าว่าตนนั้นเปิดเสรีแต่ลับหลังกลับใช้ความเอาเปรียบด้านสัญญาต่างๆ ต่อคู่ค้า แบบนี้หน้าซื่อใจคด ปากปราศัยน้ำใจเชือดคอ ซึ่งไม่เคยมีในน้ำพระราชหฤทัยแห่งองค์พระมหากษัตริย์ไทย มีแต่พวกยักษ์มารฝรั่งมังค่า และนายทุนไทยทรราชแผ่นดินที่ก้มหัวให้นายทุนฝรั่งเท่านั้นที่ทำแบบนี้กับคนไทย แล้วใช้ประเทศเป็นทุนในการลงทำกำไรจนฉิบหายวอดวายไปมากมายอย่างที่เห็นอยู่ นอกจากนี้ระบอบการปกครองแบบพุทธะโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนี้ ยังมีความเป็นสังคมนิยมสูงสุด กล่าวคือมีประสิทธิภาพมากกว่าสังคมนิยมคอมมิวนิส เพราะทรงปกครองด้วยทศพิธราชธรรม อันเป็นไปเพื่อการจรรโลงสังคมโดยแท้ แตกต่างจากนายกจากประชาธิปไตยที่มักอ้างตนว่ารู้เรื่องประชาธิปไตยแต่กลับใช้ความรู้โกงกิน เพื่อตนเอง แล้วข่มเหงปล่อยทอดทิ้งสังคม ไม่ดูแลประชาชนในประเทศ”

    พุทธะถาม “ได้สติเลยครับ ตาสว่าง รู้อย่างนี้แล้วประชาชนคนไทยควรทำอย่างไรดีครับ”
    พุทธะตอบ “เราต้องแสดงออกทางความคิดเห็นผ่านสื่อต่างๆ เจตจำนงค์ว่าเราต้องการใครกันแน่มาปกครองประเทศ อย่างใสซื่อจริงใจ โดยไม่คิดวนแต่อยู่ในกรอบ แล้วใช้วิธีแบบผู้มีวัฒนธรรมที่ดีงามเขาทำกัน คือ แสดงออกทางความคิดเห็นแบบปราชณ์ แล้วเสนอให้ขุนนางที่จงรักภักดีต่อชาติ ถวายคืนพระราชอำนาจ เพื่อให้ประชาชนและขุนนางร่วมกันเสนอชื่อนายกแล้วถวายแด่ท่านให้ทรงวินิจฉัยแต่งตั้งนายกใหม่ นี่ไม่ใช่การถอยหลัง แต่เป็นการก้าวหน้าที่ถูกต้องต่างหาก มิเช่นนั้น ประเทศเราจะอยู่ได้อย่างไรต่อไปละ ลองตรองดูเถิด เราไม่อยากออกไปเลือก สส. หน้าเก่ากันแล้ว สมัครมาอีกก็วนรอบโกงกินเหมือนเดิม เราไม่อยากได้คนมีอำนาจและเงิน แต่เราอยากได้คนดีมีความสามารถ ซึ่งตอนนี้เขาไม่มีโอกาสได้เข้ามาปกครองเพราะพรรคการเมืองเก่าต่างๆ เผด็จการครอบครองไว้ด้วยอำนาจเงินและอำนาจการเมือง มันอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้จริงไหม ผมคิดว่าถึงจุดนี้แล้วคนไทยทุกคนเห็นตรงกันนะ”

    จบ บทสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีในอนาคต โดยธุลีกองฟอน.....
     
  4. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** เมื่อมีเป้าหมาย คือ นิพพาน **** "สัจจะ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" ก็ต้องทำให้ได้ - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  5. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ถามตอบระบบเศรษฐกิจพอเพียง​

    ธุลีกองฟอน "ระบบเศรษฐกิจพอเพียงไม่ทำให้คนยากจนดอกหรือท่าน"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ไม่หรอก เราต้องพิจารณาจากทรัพยากรธรรมชาติที่เรามีทั้งโลก (Total global resource) แบบตรงไปตรงมา แล้วเปรียบเทียบกับผลผลิตที่เราทำได้ ซึ่งเราพบว่าเมื่อเราทำงานหนักด้วยแรงขับดับทางด้านทุนนิยม ทำให้เราได้ผลผลิตล้นเกินพอดี เสื้อผ้าเรามีมากมาย สองสามตู้ไม่ได้หยิบมาใช้ ยังไม่ทันเก่า และไม่ขาดวิ่น บ้านเราหลังใหญ่พอที่จะจัดงานบวชลูกชายได้ แต่เราใช้นอนจริงๆ ไม่เท่าไร รถยนต์เรามีหลายคัน วิ่งเปลืองน้ำมันหมดเงิน สิ้นรอบไปมาเพราะการวางผังเมืองที่ไม่ดี แต่นั่นก็ไม่เพียงพอแต่การสนองตอบต่อความเบื่อของเราได้ อาหารเรากินเต็มโต๊ะแต่ว่ามีเศษอาหารเหลือมากมายในแต่ละจาน จริงๆ แล้วผลิตผลมวลรวม (GDP) ของเราสามารถเลี้ยงคนได้ทั้งโลกด้วยซ้ำไป นี่เกิดจากการผลิตแบบปกตินะ ชาวไร่ชาวนายังไม่ได้ทำงานเต็มที่ (Full-employment) ด้วยซ้ำ นั่นแปลว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้มีปัญหาด้านความขาดแคลนหรือปริมาณในผลิตผลที่ทำได้ แต่เรามีปัญหาด้านประเภทผลิตภัณฑ์ (Product variety and quality) และการกระจายผลิตภัณฑ์ (Total distribution) มากกว่า จุดนี้เอง ทำให้ผลผลิตมวลรวมที่ได้ปริมาณมากเกินพอดีแล้ว (Over productivity) เป็นไปในด้านที่ขาดคุณภาพ (Low quality) บางอย่างสร้างขึ้นมาสนองกิเลสตัญหา และช่วยก่ออาชญากรรม ทั้งนี้ความเหลื่อมล้ำทางการกระจายรายได้ (Unbalance of product distribution) ยังกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมสูงขึ้นอีก ทำให้รัฐบาลมีต้นทุนค่าดูแลสังคมเพิ่มขึ้น (High social capital)"

    ธุลีกองฟอน "แล้วปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่เราเจอทุกวันนี้ที่แท้จริงมันอยู่ที่ไหนครับ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "เราต้องมีสติ อย่าไปวิ่งตามเงา ความหมายก็คือ การที่เราวิ่งไล่กำไรซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะภายใต้ระบบทุนนิยมนี้ เราเป็นปลาเล็ก ไม่อาจต้านทานกระแสเศรษฐกิจโลก เราต้องไหลตามน้ำเขาอย่างเดียว นี่คือ ลักษณะปกติของทุนนิยม ใครมีทุนมากก็ได้เปรียบ แต่เราเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อกระแสมันไหลต่อไปไม่ได้แล้ว พอเราวิ่งต่อไปไม่ได้ เงาที่ไล่หลังเรามา (ดอกเบี้ยเงินกู้) ก็แสดงฤทธิ์ เจ้าหนี้เริ่มฟ้องล้มละลาย ผู้บริหารเริ่มสร้างภาพลักษณ์ออกโฆษณาสร้างความน่าเชื่อถือ มีแต่ภาพลักษณ์และอนาคต แต่ไม่มีผลงานทั้งในด้านทางการตลาดซึ่งวัดง่ายๆ ด้วยยอดขาย (Sale volume), ความภักดีต่อตราสินค้า (Brand loyalty) และในการอัตราการทำกำไร (Profit margin) หรือแม้นแต่ปริมาณการผลิตที่คุ้มทุน (Economic of scale uncontrollable) เราก็ควบคุมไม่ได้ เพราะผลิตยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน คู่แข่งขันก็ออกสินค้าตัวใหม่ ลูกค้าเห่อก็ไปซื้อตัวใหม่ กรณีนี้เห็นบ่อยในอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิก ซึ่งกำลังจะล้มละลายอีกมาก มีทางเดียวคือหาตลาดใหม่เมื่อตลาดคลายตัวลง (Decline) นี่คือปัญหาที่แท้จริงของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งก็คือ ตัวระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนั่นแหละที่เป็นตัวปัญหา ไม่ใช่ปริมาณทรัพยากรที่มี (Resource quantity) หรือด้านแรงงาน (Labor force) ใดๆ เลย"

    ธุลีกองฟอน "ที่กล่าวว่าปัญหาน้ำมันแพง, ต้นทุนแรงงานสูง, ตลาดหดตัว ไม่ใช่ปัญหารึ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ไม่ใช่ นั่นเป็นธรรมชาติของการล่มสลายของระบบทุนนิยมต่างหาก เป็นธรรมชาติในช่วงถดถอยของระบบ (Decline stage) เป็นปกติของมัน ทีนี้ทางแก้ของระบบทุนนิยมของเขาก็คือ การวิ่งหาตลาดใหม่ (New market explanation) เพื่อจะได้ต้นทุนที่ต่ำลง (Lower cost) และได้ฐานตลาดที่กว้างขึ้น (High target market) มันไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริง มันเป็นปัญหาของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมต่างหาก เหมือนเราไถนา แล้วเครื่องไถนามันเสีย จะไปโทษที่นาฟ้าดินไม่ได้"

    ธุลีกองฟอน "แล้วปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริงคืออะไรครับ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริง ข้อที่หนึ่งคือ เราไม่สามารถควบคุมทิศทางการผลิตสินค้าที่ควรผลิตเพื่อพัฒนาประเทศชาติได้ (Uncontrolled production) เพราะระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เป็นระบบปล่อยปละเลยเลยให้เอกชนแข่งขันกันเอง (Non-direction in competition) แล้วให้ประชาชนตัดสินใจ โดยไร้ทิศทางการนำไปสู่การพัฒนาชาติ (Non-direction in social development) เช่น การผลิตเหล้าสนองความต้องการคนจนที่เครียด ยิ่งจนยิ่งเครียด เลยยิ่งกินเหล้า เราเห็นในโฆษณาไหม นั่งขำแย่ นั่นแหละประเทศเราเอง มันย่ำแย่อยู่ให้เราเห็นแล้วนั่งขำ แต่ช่วยอะไรกันไม่ได้ แบบนี้ ลูกค้าเป็นคนตัดสิน ซึ่งเราไม่มีใครนำทางว่าควรนำเงินไปซื้ออะไร แต่เขามีความเครียดจากการแข่งขันในระบบทุนนิยม แน่นอนว่าเขาต้องเลือกระบายความเครียดกับสิ่งที่ให้ผลเร็ว (High speed response but high bad side effect) ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันให้ผลเสียที่รุนแรงตามมาต่อสุขภาพกายและใจ และต่อสังคมโดยรวม เขาจะไม่เลือกสิ่งที่ต้องใช้เวลานานๆ ในการสร้างความสุขที่แท้จริง เขาจะไม่เลือกไปนั่งสมาธิแก้เครียด เพราะระบบทุนนิยมไม่อนุญาติให้เขาได้มีเวลาในชีวิตแบบนั้น ระบบทุนนิยมอนุญาติให้เขาเป็นหมูในคอกที่เลือกกินอะไรก็ได้ อ้วนแล้วรอขึ้นเขียงตายไปเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่ สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคือเวลาในชีวิตของคนที่หดหายไปกับการทำงาน แต่ไม่ว่าทำงานได้เงินมาเท่าไร ทว่าซื้อกลับมาไม่ได้ ปัญหาข้อที่สองคือ ด้านการบริโภค ที่กระตุ้นลัทธิวัตถุนิยมขึ้น เป็นข้อเสียที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันของระบบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนไม่มีเวลาได้รับความรักจากพ่อแม่ เลยไปเล่นเกมออนไลน์ เล่นไปเล่นมา มีแต่เกมยิงฆ่าทำลาย ก็เกิดความก้าวร้าว พ่อแม่สอนไม่ได้ สถาบันครอบครัวก็ล่มสลาย ทีนี้สังคมไทยก็รอถึงยุคเด็กนรก "แล๊กน่าร๊อก" ขึ้นมาเป็นนายก แถมใช้ประชานิยมอีกที สงสัยเกมฆ่ากันนอกจออาจเกิดขึ้นสนุกกันคราวนี้ ปัญหานี้มีมานาน จนแม่บางคนต้องโดดตึกตายเพราะลูกไปเล่นเกมไม่เชื่อฟังพ่อแม่เป็นข่าวมาแล้ว พอโตขึ้นความที่เกเรเลยไม่สามารถสอบแข่งขันได้ตำแหน่งดีๆ เลยไม่มีงานทำ จึงไปปล้นไปก่ออาชญากรรม แล้วก็เข้าสู่วังวนยาเสพติด บ้างก็มีพรรคพวกสนับสนุนให้ลองก่อการร้ายดู เห็นว่าทำได้ ตำรวจจับไม่ได้ เลยคึกคะนองทำบ่อยๆ ท้าทายดี เพราะมันฝึกจิตมาแบบนี้ตั้งแต่เด็ก อีกพวกหนึ่งแข่งขันสอบได้ตำแหน่งดีๆ เป็ฯชนชั้นกลางของสังคม พอโตขึ้นทำงานเครียดก็ต้องโกยเงินให้คุ้มค่าการทำงานที่เครียดนั้น แล้วขยับตัวเองขึ้นมาเป็ฯชนชั้นนายทุน ทีนี้วังวนการโกงกินก็เกิดขึ้นทุกระดับ ต่อยอดไปสู่วังวนอำนาจการเมืองต่อ ไม่มีใครหนีวังวนความเครียดไปได้ เครียดมากก็ไประบายความเครียดผ่านความใคร่และความรุนแรง จึงไม่แปลกที่ทุกสื่อของอเมริกันจะต้องมีเซ๊กและความรุนแรง เช่น ภาพผู้หญิงยั่วยวนและการระเบิดเตะต่อย อยู่ในงานสื่อนั้นเสมอ นี่คือ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นรสนิยมที่เปลี่ยนไปอันเป็นผลร้ายจากลัทธิวัตถุนิยม ลูกน้องของระบบทุนนิยมเขานั่นเอง"

    ธุลีกองฟอน "ฟังดูแล้วมันเหมือนไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันเลย"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "แน่นอน เพราะพวกเขาไม่คิดว่านี่คือปัญหาเศรษฐกิจที่กระทบไปสู่ปัญหาสังคมและภาพรวมของประเทศชาติ เขาคิดแต่จะตามก้นฝรั่งมังค่า แก้ปัญหาวนเวียนตามเขาไปแบบนั้น ซึ่งตราบใดที่กระแสเศรษฐกิจไม่ดี เราไปควบคุมอะไรไม่ได้เด็ดขาด เพราะเราไม่ใช่ปลาใหญ่ ไม่ใช่เซตใหญ่ ไม่ใช่ต้นกระแส เราเดินกลยุทธตามกระแส จะแข่งขันกับเขาอย่างไรก็ไม่มีทางทันในทุกด้าน ดังนี้ การไปปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (Interest rate), ค่าใช้จ่ายภาครัฐบาล (Government expenditure) ฯลฯ มันยิ่งทำให้เกิดการเสียความสมดุลภายในของตัวเราเอง (Internal dis-balancing) การเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงภายนอก เช่นการปรับอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้ เพราะปัญหาใหญ่คือ เราไหลตามกระแสโลก ตราบใดที่กระแสโลกยังไม่ดี เราจะดีขึ้นมากกว่าได้อย่างไร ในเมื่อเราเดินเกมทุนนิยมตามก้นเขาอยู่ การส่งเสริมธุรกิจขนาดย่อมก็ไม่มีทางเป็นไปได้ (Low business feasibility) อย่างที่เห็นอยู่ ว่าเราไม่มีสายป่านเงินทุนหนุนพอ (Short capital support) เราไม่มีความชำนาญในการควบคุมคุณภาพได้ตามมาตรฐานเพราะเราเป็นมือใหม่ (Low quality control skill) เราไม่มีฐานลูกค้าเก่าเพราะเราเพิ่งเข้าตลาด (Narrow target market) เราไม่มีความเข้มแข็งหลักที่แท้จริงของเราเลย (Core competitive) เรามีเพียงความแปลกใหม่ที่หลอกหลอนและเหลวแหลกสร้างฝันหล่อเลี้ยงให้เราเชื่อคำโฆษณาของรัฐบาลไปเท่านั้นเอง ในขณะที่เราต้องแข่งขันกับคู่แข่งขันคือใครเรายังไม่รู้เลย แล้วเราไม่รู้เขา เราจะเอาตัวรอดในท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดกลางสมรภูมิการตลาดโลกได้อย่างไร นโยบายที่ฝันเฟื่องไม่ลงไปดูสภาพปัญหาจริงนี้ เปรียบเสมือนแม่ทัพที่สั่งพลทหารออกไปรบโดยคิดเอาเองในมุ้ง ไม่ออกไปตรวจจุดยุทธศาสตร์และข้าศึกเลยแม้แต่น้อย จึงผิดพลาดทั้งหมด"

    ธุลีกองฟอน "ฟังดูเหมือนมืดมนไม่มีทางออกเลยนะท่านแก้อะไรไม่ได้เลยหรือ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "มี เศรษฐกิจพอเพียงไงละ คือทางแก้ที่มีนานแล้ว แต่เสียดายไม่มีใครทำเสียที ถึงตอนนี้ก็สายไปแล้ว เพราะเรามัวหลงฝรั่งมังค่า ลืมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เราไม่เชื่อท่าน แต่เราดันไปเชื่อฝรั่งหยาบด้าน การเดินในทางที่ตนอ่อนแอและเสียเปรียบ ก็แพ้ทัพตั้งแต่แรก ดังนี้ ต่อให้เราวิ่งตามระบบทุนนิยมขนาดไหน เราก็ไม่มีทางทันเวียดนาม, จีน, อเมริกา เรายิ่งรีบวิ่งเพื่อจะไปเป็นเสือตัวที่ห้า ในที่สุดเราก็ขัดขาตัวเองล้ม เป็นต้มยำกุ้งไครซีสอย่างที่เห็นนั่นไง ถึงตอนนี้เราต้องรับกรรมร่วมกันแล้ว เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ ใครจะหนีพ้นสงครามไปได้ ระบบเศรษฐกิจล่ม ระบบการเมืองการปกครองก็ต้องพังตาม มันเป็นธรรมชาติที่พึ่งพากันแบบนี้นี่แหละ เมื่อคนอดอยาก คนก็ขาดความเชื่อถือในการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล ฝ่ายตรงข้ามที่แย่งชิงอำนาจก็จะใช้โอกาสนี้ ใส่ความก่อม๊อบขึ้นมา เช่น การเลียนแบบการถล่มตึกเวิล์ดเทรด โดยการวางระเบิดในที่สำคัญ ใช้ระเบิดแบบโจรใต้ แต่วิธีการแบบโจรใต้เป็นวิธีเฉพาะ เลยทำเลียนแบบไม่ได้ แล้วแสร้งเขียนเครื่องหมายบ้าๆ บอๆ ให้คนคิดว่าเป็ฯผู้ก่อการร้ายไปเสียนี่ เพื่อให้ภาพลักษณ์การบริหารประเทศตกต่ำ คนขาดความมั่นใจในเศรษฐกิจ แล้วปั่นม๊อบขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล ที่นี้คนไทยก็ฆ่ากันเองเหมือนอดีต แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังก็กลับมายึดอำนาจแสดงตนเป็นวีรบุรุษไป ที่ทำไปเพราะกำลังถูกริบทรัพย์ฐานฉ้อโกง ที่เล่านี้เป็นเหตุการณ์สมมุตินะ ไม่ว่าใคร อย่าคิดมาก แต่ถ้าคิดน้อยแล้วคิดได้ก็ไม่ว่ากัน ความคิดใครความคิดมันผมห้ามไม่ได้"

    ธุลีกองฟอน "เศรษฐกิจพอเพียงแก้ปัญหาได้อย่างไร ในเมื่อให้คนยังจนอยู่จะพอได้หรือ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "พอได้อยู่แล้ว อย่างที่ผมเรียนเบื้องต้นว่าแท้แล้วผลิตภัณฑ์ที่เราต้องการในการหล่อเลี้ยงประเทศคืออะไรละ ไม่ใช่เหล้านะ ไม่ใช่มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดนะ แค่ปัจจัยสี่เราก็รอดได้ทั้งประเทศ ที่นี้ถ้าเรากระจายสินค้าและปัจจัยสี่ทั่วถึง มันก็ลดปัญหาอาชญากรรม ต้นทุนรัฐบาลก็ลดลง ไม่เห็นว่าจะต้องใช้เงินรัฐบาลมากขึ้น มีแต่ได้กับได้ ลดต้นทุนรัฐบาล ด้วยการลดช่องว่างสังคม ไม่ต้องไปใช้เงินรัฐบาลเพิ่มขึ้น เพื่อแก้ปัญหาให้คนรวย จนไปเพิ่มช่องว่างทางสังคมให้เพิ่มขึ้นเลย แต่ที่เราจะล่มจมเพราะนายทุนจะถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย เพราะยอดขายไม่ทำกำไร เพราะการผลิตและการแข่งขันที่ไปหดกำไรส่วนต่างลงต่างหากละ มันเป็นปัญหาของระบบทุนนิยม ระบบเงินกู้ และระบบบริโภคนิยม ที่ก่อตัวขึ้นในทันทีที่กระแสทุนนิยมหยุดไหล ทุกอย่างมันถูกจุดให้วิ่งไปหยุดไม่ได้ นี่ละ ระบบทุนนิยม มันหยุดไม่ได้จริงๆ มันไม่มีสมดุลในตัวมันเอง มันขาดเสถียรภาพที่แท้จริงในตัวมัน มันเป็นแรงผลักเปิดให้พุ่งไปเรื่อยๆ เท่านั้น ซึ่งขัดแย้งกับธรรมชาติที่มีขึ้นมีลงทุกอย่างเป็นอนิจจัง แม้นแต่การผลิตที่มากเกินไปสุดท้ายก็ทำให้ต้นทุนเพิ่ม การแข่งขันที่มากเกินไปสุดท้ายก็ทำให้อัตราส่วนกำไรลดลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยวิ่งไปข้างหน้าตลอด มันย้อนถอยหลังไม่ได้อย่างแท้จริง เจ้าหนี้เขาจะฟ้องเอา"

    ธุลีกองฟอน "ฟังๆ ดูเศรษฐกิจพอเพียงไม่ไห้ให้คำตอบของคนอยากรวยอยู่ดี"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "คุณอาจคิดว่าระบบนี้ อยู่แบบจนๆ แล้วสมดุลในตัวเองไปวันๆ อย่างนั้นเอง แท้จริงแล้วไม่ใช่ เพราะคุณนิยามความรวยว่าอะไรละ ความรวยในหุ้นตัวเลขที่หวังให้ลูกได้รวยต่อ รวยในเงินที่ซื้อกินอ้วนจนต้องเอาเงินมากๆ ไปผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ หรือรวยจนเอาเงินไปมัวผู้หญิงจนต้องจ้างคนคุ้มครองด้วยเงินจำนวนมากเพราะถูกตามฆ่า ชีวิตทำงานวันๆ เป็นเถ้าแก่จากเมืองจีน ทำงานหนักมาก กินให้อ้วนเป็นหมู สร้างบ้านให้ใหญ่แต่นอนตายแต่นิดเดียว สุดท้ายชีวิตทั้งชีวิตจบลง อ้าวจบแล้วหรือ ไม่ได้ทำอเไรเลย นอกจากงานอย่างเดียว อิสรภาพไม่มีจริง จ้างตัวเองทำงาน จ้างทาสมาประจำคอกต่อ แล้วจ้างลูกให้เป็นเศรษฐีโง่ ที่ใช้เงินไปทำร้ายตัวเองแบบโง่ๆ อย่างที่ลูกเศรษฐีเขาตกเป็นข่าวกัน เป็นความรวยแบบนี้หรือที่คุณต้องการ หรือคุณต้องการรวยอิสระ มีเวลาที่จะค้นหาความหมายในชีวิต จาริกแสวงบุญ หรือออกไปท่องเที่ยวราวกับกามนิตหนุ่มผู้ค้นหาความหมายของชีวิตแล้วพบรักต่างแดนอันแน่นแฟ้น ซึ่งคุณอาจได้แต่งงานกัน และจดจำไปจนวันตายไม่รู้ลืม ไม่ใช่เอาเหอะวะ แก่แล้ว พร้อมแล้วทั้งคู่อย่าเลือกมากเลย ไม่มีเวลาดูใจหรอก เดี๋ยวก็ไม่มีสามีกันพอดี หน้าตาพอดูได้ ทำงานใกล้ๆ กัน เอาเหอะวะ แบบนี้มันขาดรสชาติชีวิต คนนะครับ ขาดอิสระภาพแห่งความเป็นคน เพื่อไปเป็นหมูในกรง ถึงเวลาผสมพันธุ์ก็เอากันข้างๆ คอกนี่หรือไง นี่หรือระบบทุนนิยม ทำให้ความเป็นคนตกต่ำไปหมดทุกอย่าง ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงนี้ คุณได้มีเวลาอยู่กับลูกตั้งแต่แรกเกิด แบบที่เศรษฐีไม่มีแม้นแต่เวลาจะให้ลูกกินนม แต่มีเงินเยอะนะ ไปจ้างเขาเลี้ยง ราคาแพงเหมือนหมาชั้นดีเลย แล้วเอามาเล่าในวงสังคมว่าชั้นส่งลูกไปเลี้ยงโรงหมาราคาแพงดี ในขณะที่ชาวนาที่ดำรงชีพแบบพอเพียงได้เห็นหน้าตากันตลอด ช่วยกันทำงานตลอด เขาจึงรักกันมาก แม้นยากจนมากก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้วัตถุนิยม เพราะกระแสทุนนิยมมันบีบบังคับให้เขาทิ้งไร่ทิ้งนา อันมีแต่ความสุขสงบไป"

    ธุลีกองฟอน "แล้วจุดมุ่งหมายสูงสุดของระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงคืออะไร"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "อย่างแรกเลย เราต้องพอเพียงเลี้ยงตัวรอดยืนบนลำแข้งตัวเองได้ไม่อดตาย มีปัจจัยสี่สมบูรณ์ซึ่งรัฐบาลสามารถจัดสรรค์ให้ได้ไม่ต้องกลัว เรามีผลิตผลเยอะ ขอแค่มีความเมตตาและยุติธรรม ย่อมแบ่งปันแจกจ่ายทั่วถึงแน่ พอถึงจุดนี้แล้ว ต่อไปเป็ฯกำไรชีวิต ซึ่งเราจะให้กำไรที่สูงค่าที่สุดในชีวิต ซึ่งก็คือ เวลาในชีวิต และการค้นหาสิ่งสูงค่าในชีวิตของแต่ละคน นั่นก็อาจหมายถึงความสุขนิรันดร์ คือ ธรรมอันนำทางไปสู่พระนิพพาน ซึ่งคนคิดว่าเป็ฯเรื่องน่าเบื่อของคนเบื่อโลก ซึ่งผิดถนัด ตัวอย่างเพื่อนของผมก็หลุดพ้นนิพพานแล้ว ทำงานในบริษัทเอกชน เจ้านายยังต้องนับถือเกรงใจ ผลงานก็ดีใช้ปัญญาทำงานได้ดีเวลาน้อย แถมมีรอยยิ้มให้คนรอบข้างตลอดวัน มีอิสระในทุกที่ทุกเวลา ไม่เห็ฯว่าจะไม่ดีตรงไหน อย่างที่อธิบายว่าเงินมากมาย ของต่างๆ มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น เพราะดูความต้องการทางร่างกายของเราสิ มันต้องการแค่ไหน เราไปสนองความต้องการทางใจด้วยวัตถุ ซึ่งเป็นความผิดที่โง่เขลา การสนองความต้องการทางกายที่พอเพียงแล้ว ตามหลักความต้องการห้าขั้นของมาสโลว์ คือ การสนองความต้องการทางสังคมและจิตใจ ซึ่งความต้องการทางสังคมนี้ มันเกิดเมื่อเราปรับตัวเข้าสังคมได้ดี อันเป็นลักษณะของพระอรหันต์ ส่วนความต้องการทางจิตใจ มันก็ต้องสนองด้วยจิตนิยม ใช่ไหม มันจะไปสนองจิตใจด้วยวัตถุนิยมได้อย่างไรละ ผิดชัดๆ ตรงๆ อย่างโง่งมที่สุด ของตรงไปตรงมา แต่ไปหลงทางผิด มันก็ตอบผิดอยู่วันยังค่ำ ดังนี้ มนุษย์เราไม่ได้ต้องการวัตถุมากหรอก ลองถามใจตัวเองลึกๆ ดูก็ได้ เพียงแต่เราไม่เคยสัมผัสสินค้าที่สนองคุณค่าทางใจให้เราได้มาก่อนเลยนั่นเอง เราเลยไปลองยึดนั่นยึดนี่ ซึ่งมันไม่ใช่สักที เราถึงได้เบื่อไง เพราะว่าเราทดลองแล้วว่ามันไม่ใช่ อย่าโกหกใจตัวเองเลย ในเมื่อมันไม่ใช่ ใจมันเบื่อ มันก็ไม่ใช่ยาแก้เบื่อ ไม่ให้สุขแท้ทางใจ พูดอย่างนี้อย่าคิดว่าผมบังคับให้คุณบวช หรือไปนิพพานเท่านั้นนะ เพราะความสุขทางใจนี้มีมากมายในทุกศาสนา คุณเคยเห็ฯไหม ใครหลายคนที่ผ่านโลกมามากๆ สุดท้ายก็มาหยุดตรงนี้ ที่ศาสนาทั้งนั้น แต่คนที่ยังไม่หยุด ยังหลง ยังทดลอง ลองผิดๆ แล้วผิดอีก เพราะยังเสียดายความสุขไม่แท้ ที่ยังพอมีความสุขอยู่บ้าง และฉาบฉวยรวยเร็ว สัมผัสสุขได้ทันทีทันใด ทันใจมากกว่า เปิดฝาก็สุขได้ แถมลุ้นโชคชิงเงินล้านได้อีกต่างหาก มันเลยละเลยที่จะค้นหาความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงภายใต้ระบอบการปกครองแบบพุทธะนี้ จะปลดทาสจำยอม ให้มีอิสระในชีวิต สามารถจาริกแสวงบุญ ท่องเที่ยวไปตามใจต้องการได้ หากโครงการดีก็ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล ถามว่ารัฐบาลปล่อยให้ลางานไป ใครจะทำแทน ปริมาณแรงงานไม่ลดลงหรือ รัฐบาลเอาเงินที่ไหนมาสนับสนุน ก็ตอบได้ง่ายๆ เลยว่าประสิทธิภาพการทำงานจะเพิ่มขึ้น จึงลดปริมาณแรงงานลงได้ คนที่ทำงานทั้งวันเครียดมากประสิทธิภาพการทำงานก็ลดลงอย่างที่เห็นอยู่ งานทุกวันนี้เราใช้สมองไม่ใช่หรือครับ ทำไมมันคิดนานจัง แสงดว่าสมองเราไม่ปลอดโปร่ง หรือเราเครียดเรามีอีโก้ อัตตาสูง เถียงกันไม่จบ แบบนี้ถ้าลดอีโก้หรืออัตตา โดยวิธีการทางพุทธศาสนาก็ใช้เวลาประชุมน้อยลง ได้ข้อสรุปแบบผู้มีปัญญามากขึ้นจริงไหมครับ นอกจากนี้การสนับสนุนให้คนไปจาริกแสวงบุญและเดินทางสู่ธรรม จะทำให้ผลิตคนดีให้ประเทศมาปกครองประเทศโดยธรรมต่อไป ระบบแบบนี้จึงเป็นเสมือนเครื่องผลิตคนดี ให้คนดีมาช่วยคนอื่นเช่นนี้เรื่อยไป แต่เรามักคิดว่าคนดีเป็นคนโง่ ซึ่งผิดอย่างแรง คนเลวต่างหากที่โง่บัดซบ แต่อาศัยเล่ห์เหลี่ยมกลโกง เช่น การประจบสอพลอบ้าง, การใส่ร้ายป้ายีบ้าง, การแย่งผลงานบ้าง, การพูดดูดีพรีเซ้นตืเก่งแต่ลงงานจริงไม่เป็นบ้าง ฯลฯ ในขณะที่คนดีมักมองรอบด้านรอบคอบ จึงคิดช้ากว่า บ้างก็มองลึกซึ้งจนอธิบายยากบ้าง, บ้างก็เห็นปัญหาในอนาคตที่คนไม่มองจึงไม่กล้าเสนอออกมาบ้าง ดังนี้ เราจึงเสียบุคลากรที่ดี ทั้งที่เขาอยู่ในองค์กรของเรานี่เอง เพราะอะไรละ เพราะผู้บริหารไม่ใช่เจ้าของเงิน เขาย่อมบริหารเพื่อความพึงใจของเขา ไม่ได้เห็นประโยชน์ของคนดีที่ทำเพื่อองค์กร แต่เข้าข้างคนเลวที่เข้าได้กับตนได้ด้สนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ฯการโกงกินหรือประจบสอพลอ ดูประเทศเราก็ได้ คุณเชื่อไหมว่าคนดีมีความสามารถยังมีอยู่ในประเทศไทย ผมคิดว่าคุณมีคำตอบในใจมากกว่าหนึ่งคนนะ แต่เขาเหล่านั้นไม่ได้มาเสนอหน้าลงสมัครให้คุณเลือกเลยสักคน เพราะเขาไม่ต้องการลงไปอยู่ท่านกลางสงครามขว้างขี้ ของนักการเมืองในอดีต (ปัจจุบันดีแล้วระดับหนึ่ง) ที่ถามอะไรก็ตอบว่าไม่รู้ ยังไม่ได้รับรายงาน รู้อย่างอย่างเดียว คือ ผมมีหลักฐานทำลายฝ่ายตรงข้ามอยู่เป็นตระกร้า และจะนำมาแสดงสาดใส่กันให้ฟังเร็วๆ นี้ จบข่าว สุดท้าย ความเบื่อของประชาชน ก็หันไปดูข่าวเม้าท์ดาราแทน ดาราดังมากๆ ก็หันมาเข้าวงการการเมือง มีแต่อะไรที่น่าเบื่อน้ำเน่าวนเวียนอยู่แบบนี้ ผมคิดว่าคนไทยฉลาดกว่าคนอเมริกันด้วยซ้ำ ในการการมองคน และมุมมองการเมืองการปกครอง แต่เราอ่อนด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจเท่านั้นเอง สังเกตุได้ว่าการพัฒนาประชาธิปไตยของเรา แม้นเริ่มต้นที่หลังอเมริกาแต่เราไปได้เร็วกว่านะ ที่เห็นว่าอเมริการุ่งเรืองนั้น รุ่งเรืองเพราะการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจ ให้นานประเทศอยู่ภายใต้ระบบทาสจำยอม แค่นั้นเอง แต่ในด้านการปกครองเขาตกต่ำมาก ต่างกันอย่างไร ชัดเจนครับ เศรษฐกิจไม่ใช่การปกครอง เศรษฐกิจก็แค่รวยผลิตได้มาก ได้เงินมาก แต่การปกครองหมายรวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาสังคม การสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม การลดอาชญากรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อเมริกันสอบตกหมดทุกประตู เมื่อเศรษฐกิจเขาพัง ทุกอย่างก็ล่มสลายลง เพราะความเคยชินในการใช้เงินแก้ปัญหามันทำให้เขาไม่มีเครื่องมืออื่นในการแก้ไขปัญหาสังคมและการปกครองประเทศ"

    ธุลีกองฟอน "สรุปสุดท้ายสั้นๆ ครับ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ศึกษาเศรษฐกิจพอเพียงให้ลึกซึ้งทุกแง่มุมก่อนตัดสินใจครับ"

    ..............
    จบการสัมภาษณ์โดยธุลีกองฟอน
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** เมื่อมีเป้าหมาย คือ นิพพาน **** "สัจจะ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" ก็ต้องทำให้ได้ - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  7. tawatd

    tawatd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    506
    ค่าพลัง:
    +2,020
    เรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงมากเป็นการกระทำของพวกมารนอกศาสนา(ขรก.นักการเมืองบางหมู่บางคนและนักบวชแอบแฝง)ที่จะทำให้ศานาพุทธอ่อนแอลงแน่ๆ เราชาวเวปพลังจิตควรรวมกลุ่มเป็นทีมงานตรวจสอบข้อผิดพลาดแล้วนำเสนอกระทรวงศึกษาให้แก้ไขและต่อไปให้นำเสนอหนังสือหลักสูตรพระพุทธศาสนาที่จะสอนในโรงเรียนผ่านการรับรองของมหาเถระสมาคมก่อนจึงใช้สอนในโรงเรียนได้ และหาแนวร่วมในการแก้ไขความไม่ถูกต้องของหลักสูตรเนื้อหาวิชาพุทธศานาที่ใช้สอนในโรงเรียนและหลักสูตรนักธรรม โดยส่งทางหนังสือ อีเมล์ ให้ผู้รู้และหวังดีในชมรม สมาคม และวัดต่างๆทราบเพื่อรวมพลังกันแก้ไขต่อไป
     
  8. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่หลงเข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    **ทำไมเงียบจัง ไม่เห็นสำนักงานพระพุทธศาสนาที่ไหนมาตรวจสอบอาตมาเลยสักคน<o:p></o:p>
    ***เขาก็คงเห็นแล้วว่าใครผิด ใครถูก ใครโง่ ใครฉลาด เขาจึงไม่มาสนใจ<o:p></o:p>
    ***ทุกอย่างมันก็เป็นของมัน
     
  9. พระใหม่เพิ่งบวช

    พระใหม่เพิ่งบวช สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +4
    " โยมจ๋า..เรื่องนี้พักไว้ก่อนอย่าเพิ่งด่วนหาข้อสรุป.เราต่างพายเรืออยู่ในอ่างไฉนเลยจะรู้จักถึงน้ำทะเลในมหาสมุทร มีหรือไม่นั้นเป็นปัจจัตตัง(รู้ได้เฉพาะตน)พระพุทธองค์ท่านทรงสรรเสริญการปฏิบัติเพื่อให้รู้เอง เห็นเอง แต่ไม่ได้ให้เชื่อโดยความเชื่อที่ถือสืบต่อกันมา หากเราอยากรู้เรื่องนรก สวรรค์ นิพพาน จริงก็ต้องปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนจริงๆ ไม่ใช่ใช้แต่ปัญญา(ในขอบเขตอันจำกัด)ไปวินิจฉัยความรู้อันละเอียดลึกซึ้ง เหมือนฝนเชือกฟางเข้าไปในรูเข็มมันจะไปเข้ากันได้อย่างไร ความยึดตึดในตัวตน ทำให้ตัดสินใจในสิ่งที่เห็นจากความเป็นตน จะถูกกับสภาวะที่เป็นอิสระ ทั้งหยาบ กลาง และ ละเอียดสูงสุดได้อย่างไร ภายใต้ขอบเขตอันถูกจำกัดด้วยอวิชชา(ความไม่รู้จริง) จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริง เมื่อกำหนดยืนในความมองเห็นแล้ว เราก็จะไม่ต้องทะเลาะถกเถียงกันถึงเรื่องต่างๆเหล่านี้อีกต่อไป
    สำคัญว่าในปัจจุบันนี้ ผู้ที่รู้จริง เข้าถึงจริงนั้นมีเพียงใด เข้าถึงจริงหรือไม่ ที่ได้ที่ถึงก็สำคัญหมายมั่นว่านั่นใช่ นี่ใช่ ก็ไม่ต่างไปจากการพายเรือในอ่างแถมวนอยู่แต่ขอบอ่างอีกต่างหาก ต่อเมื่อท้ายที่สุดแล้ว เบื่อทั้งอ่างหน่ายทั้งพายสละแล้วซึ่งเรือ เมื่อนั้นก็ไม่ต้องพาย หรือพายก็เหมือนกับไม่พาย เพราะทั้งพายทั้งอ่างและเรือนั้นไม่มีตัวตนอยู่จริงฯ จิตยกสู่สภาวะที่ไร้เครื่องข้องแวะ ก็จะเห็นผู้คนที่กำลังพายเรือเวียนวนอยู่ในอ่างนั่นเอง
    สภาวะของขันธ์5 หรือร่างกาย มาจากเหตุปัจจัยของอายตนะที่เมื่อถูกผัสสะแล้วจึงเกิดเวทนา ตัณหา และ อุปปาทานจึงตามเข้าเสวยจึงเกิดเป็น ชาติภพ เป็นส่วนหยาบ ส่วนที่ละเอียด เมื่อมีปัจจัยปรุงแต่งเหตุให้จิตเจือด้วยกุศล ยังให้จิตไปเสวยในส่วนที่เป็นกุศลภูมิต่างๆกันไปตามเหตุปัจจัยเรียกสมมุติบัญญัติว่าสวรรค์ เมื่อดับกุศลจิตโดยกำหนดให้หยุดนิ่งอยู่ เป็นไปตามกำลังที่ควบคุมอยู่ชื่อว่าสร้างเหตุอันมีจิตเป็นพื้นในการสร้างพื้นที่อยู่ตามกำลังจิตที่ตั้งสนามพลังไว้โดยไม่รู้ตัว เรียกว่าสมาธิ อันมีรากเหง้ามาจากอวิชชา(ความไม่รู้แจ้งชัด)จึงไปเสวยภพภูมิตามกำลังแห่งจิต สมมุติบัญญัติว่าชั้นพรหม ต่อเมื่อพ้นจากสภาวะการพันธนาการตามกำลังด้วยความรู้แจ้งชัดแห่งวิถีจิตด้วยองค์แห่งวิปัสสนาฯ อันมีพื้นฐานมาจากศีล สมาธิ และ ปัญญา (จริงๆ ปราศจากการยึดมั่นในขันธ์ทั้ง5 เห็นออกมาจากตาของปัญญามิใช่คาดเดาหรือคาดคะเน)ก็จะเข้าใจในระบบของการพายเรือวนอยู่ในอ่าง หรือ สภาวะที่สมมุติบัญญัติว่านิพพาน ได้เองโดยที่ไม่ต้องไปเที่ยวถามหรือทะเลาะกับใครในเรื่องที่เกี่ยวกับความคิดเห็นในเรื่องต่างๆเหล่านี้ ดังที่อาตมาภาพได้แสดงออกมาให้เห็นโดยสภาวะสมมุติ อันมีพื้นฐานและรากฐานมาจากความรู้ในทางพระพุทธศานาโดยแท้จริง "
     
  10. บุตรบุเรงนอง

    บุตรบุเรงนอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +167
    ประเด็นเรื่องพราหมณ์สอนผิด พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยญาณว่าต้นเหตุจาก
    ท้าวผกาพรหมณ์ซึ่งจุติเป็นพรหมณ์ตนแรกในช่วงที่พรหมณ์โลกว่างพอดี จึง
    ได้ทรงเสด็จไปโปรดเพื่อให้ละฑิฐิ

    ด้วยความที่สอนผิด พระพรหมณ์ตนอื่นๆ ที่จุติลงมาบนโลกก่อนหน้านี้จึง
    เล่าเรื่องราวว่าพระพรหมณ์เป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก ซึ่งผิด เพราะพระพรหมณ์
    ไม่ได้เป็นผู้สร้างโลก แต่มีวิชาทำนายอนาคต จึงไม่ใช่ผู้ลิขิตชีวิตใคร

    ลัทธิ "พรหมณ์ลิขิต" นี้แพร่หลายมาก ในหมู่พระมหากษัตริย์ดั้งเดิม จึงกระทำ
    ต่อประชาชนดุจทาสที่โหดร้าย เพราะคิดว่าตนเป็นผู้สร้าง เป็นพรหมณ์จุติมายัง
    โลก พระพุทธองค์ทรงเมตตา จะช่วยคนมากมายให้ได้ปกครองแบบ "พุทธะ"
    จึงได้ทรงเสด็จไปเทศนาท้าวผกาพรหมณ์ดังกล่าวข้างต้น

    ส่วนฮินดูอื่นๆ ก้บิดเบือนไปด้วย เพราะคนที่สืบทอดจากเทพต่างๆ นั้นไม่อรหันต์
    ย่อมมีอัตตายึดเทพของตนเป็นใหญ่เป็นสำคัญ ยุคหลังๆ ฮินดูจึงบิดเบือนไปด้วย
     
  11. บุตรบุเรงนอง

    บุตรบุเรงนอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +167
    ประเด็นพระพุทธทาส ท่าน "อรหันต์" แล้ว
    แต่ท่านเทศนาให้คนละการยึดมั่นทุกอย่างในทันที
    โดยไม่สนใจและไม่ยึดติดอะไร จึงใช้คำ "เฉพาะ"
    ที่สอนเฉพาะคน เช่น บางคำดูปรามาสพระพุทธองค์
    เพราะเหตุว่าจะให้คนเลิกยึดติด ให้ฟังธรรมจากท่านที่
    ยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้า

    ท่านจึงได้รับกรรมปรามาสพระพุทธองค์ในขณะนี้
    แต่ท่านอรหันต์แล้ว พระธรรมจากพระอรหันต์ท่านเทศนา
    เฉพาะบุคคลตามแต่ละบริบท จำต้องพิจารณาบริบทก่อน
    วิจารย์ มิฉะนั้น เราเองก็ได้รับบาปกรรมไปด้วยครับ


    เตือนให้ระวัง
     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** นิสัยคนไทยวันนี้ ... มิใช่สยามเก่าก่อน ****

    เมื่อมองภาพรวม
    คนไทยวันนี้...
    เหมือน...."สุนัขกัดหางตัวเอง"

    ที่จริง.... คนไทยมีพร้อมทุกอย่างอยู่ในตัว
    ระเบียบ วินัย เคร่งครัด .......

    แต่ พอมีทางได้...ก็แสดงให้คนดูว่า...
    แม้ตัวเองก็ไม่ละเว้น... กัดหางตัวเอง !!!

    "เสือ มันยังไม่กัดหางตัวเองเลย" .......

    นิสัยนี้ เรียกว่า ...
     
  13. nuza

    nuza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2007
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +263
    โชคดีที่โรงเรียนระดับประถมศึกษา ใช้คนละหลักสูตร เพราะเด็กที่บ้านเรียน ป.2 เขาชอบวิชาพระพุทธศาสนา เพราะพระอาจาร์ยสอนสนุก (พระสงฆ์) เคยถามเขาว่า แล้วเชื่อหรือป่าว ว่า นรก-สวรรค์ มีจริง เขาบอก เขา เชื่อ ถามว่าทำไมถึงเชื่อ เขาว่า พระอาจาร์ยเอามาให้ดูแล้ว เราเลย งง เอามาให้ดูกันได้ด้วยเหรอ ถามไป ถามมา อ้อ พระท่านมีการทำเป็นสารคดี จำรองเอาไว้ แล้วนำมาฉายให้เด็กๆดู นี่ทันสมัยจริงๆ ต้องช่วยกันส่งเสริม ตั้งแต่เด็ก ใครที่บ้าน มีลูกหลาน ต้องช่วยกันบอก เด็กๆเขาจะจำ ตอนเป็น เด็กเล็กนี่แหล่ะ ให้มันซึมซับเข้าไป
     
  14. รัตนประทีปกร

    รัตนประทีปกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +121
    เป็นไปตามพระพุทธทำนายแน่นอนครับ กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมสนอง แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์เถิดครับ โลภ โกรธ หลง เป็นเรื่องธรรมดา สาธุ
     
  15. kk008

    kk008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +148
    เอาหละครับพี่น้องผมรู้ว่าท่านเริ่มหนักใจและเป็นทุกแล้ว แต่ผมยังปราถนาให้ท่านมีทุกมากขึ้นอีกนิดนึง(พูดเล่นครับ)
    *สมัยผมเรียนหลักสูตรถูกอยู่นะ แต่อาจารผู้สอบบางท่านก็เล่นมั่วซะเอง
    มีสอนว่าทำบุญมีเป็นคะแนนด้วย ทำบุญนี้ได้เท่านี้ ทำบุญนี้ได้เท่านั้น
    มีสอบเรื่อง UFO อีก
    *แต่ยังไงเด็กส่วนใหญ่เขาไม่สนใจกันแล้วครับ จะสอนถูกสอนผิด
    วิชานี้ก็น่าเบื่ออยู่ดี ถ้ามีพระอาจารมาสอนนี่ก็ดีขึ้นหน่อย แต่อาจารสอนเนี่ย
    เห็นว่าพวกผมไม่คอยสนใจจะฝังกันนะครับ อันนี้เป็นสถิต ไม่รู้เหตุผล
    *เดี๋ยวนี้ลัทธิ ใหม่ๆมาเอาเด็กนักศึกษาไปเยอะครับ(พลังเงี่ยบ) เยอะจริงๆครับ
    ไม่ใช่น้อย ก็เด็กเขาไม่สนใจวิชาพุทธศาสนาอยู่แล้ว เวลาโดนชักจูงก็ง่ายขึ้นมากครับ

    เอาแค่นี้ก่อนนะครับ...เท่านี้ก็หนักใจมากแล้ว
     
  16. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,739
    เรียนท่านทั้งหลายผมว่ากระทู้ที่คุณ websnow ตั้งขึ้นมานี้มีข้อดีอยู่ไม่น้อย ทำให้ได้แสดงความคิดเห็นกันต่าง ๆ ที่ทุกคนก็มีจุดหมายของตนแม้จะวิธีไม่เหมือนกันเพราะประสบการณ์ต่างกัน

    ส่วนข้อความที่ 476 ของคุณ brushed แรงไปนิด อย่าไปว่าแบบเหมารวม ๆเพราะต่างคนก็มีข้อคิด หลายข้อความอ่านแล้วได้ประโยชน์มากถ้าเราใช้ปัญญาแค่ทางโลก ๆ ตรึกตรองให้ดี ถ้าที่ไม่ดีไม่เหมาะไม่น่าจะถูกเราก็เอามาเผาทำฟืนให้ความอบอุ่นที่ดีมีประโยชน์ก็กินเป็นหัวอาหาร ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร

    However, ผมยืนยันเห็นด้วยกับ websnow ที่เสนอข้อที่ควรแก้ไขในหนังสือแบบเรียนนั้นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและควรติดตามด้วยว่าไปถึงไหน ไม่ใช่รับ ๆ เรื่อง ไปแล้วเงียบหาย มีที่ผิดเพี้ยนมากตามที่หลายท่านทราบแล้ว

    อ่านมาถึงหน้าที่ 16 หลายท่านคงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเพราะผู้เขียนพยายามอธิบายข้อสงสัยต่าง ๆ เหมือนกับต้นตอของการที่ได้มาของตำรานั้น มันเป็นวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ คือ อ่านรวบรวมข้อมูลจากตำรา แล้วก็พินิจพิเคราะห์ และสังเคราะห์เอาตามความเห็นของตนเอง ก็ทราบกันดีอยู่ ตราบใดที่ยังไม่หมดกิเลส การสอนย่อมไม่เที่ยงตรงดังนั้นจึงต้องยึดพระไตรปิฎกเป็นแก่นไว้ แล้วขณะเดียวก็ก็ควรปฏิบัติไปด้วย มรรคมีองค์แปดไปข้อสุดท้ายสัมมาสมาธิ คือ ตั้งแต่ฌาน 4 ข้อสงสัยหลายอย่างจะได้หมดไป

    ผมกราบแนะนำท่านเตชปญโญละวางตำราและข้อคิดเห็นต่าง ๆ ก่อน แล้วหาที่สงบเอาจริงเอาจังกับสมาธิจนให้ได้อย่างน้อยฌาน 3-4 สำหรับท่านไม่น่าจะยาก ฆารวาสยังทำได้เลย แต่ท่านอย่าเผลอหลงแช่อยู่ในฌานนะเพราะมันจะหลอกเอา ให้รู้ตัวแล้ววิปัสสนาไปด้วย ไม่ใช่นึก ๆ เอาดังที่ท่านอธิบายเรื่องขันธ์ 5 ตามข้อเขียนที่ผ่านมา ถ้าเป็นวิปัสสนาญาณของแท้มันจะตรวจสอบเนื้อหาในตำราที่ท่านเขียวว่าถูกไหม ไม่ใช่นึก ๆ เอาตามเหตุผลอธิบายแบบวิทยาศาสตร์ เพราะความไม่รู้จึงพยายามหาเหตุผลอธิบายสนับสนุน ธรรมะมันไม่ใช่แบบนั้น

    ธรรมะที่ผุดขึ้นจากวิปัสนาญาณมันเป็นธรรมมะเดียวกันกับในพระไตรปิฎก (ถ้าของแท้แล้วจะไม่คลาดเคลื่อน นะท่าน)

    ในฐานะที่เป้นคนมาท้าย ๆ ผมขอเสนอแนะดังนี้

    (1) ยังไง ต้องแก้ไข หาทางทำให้แบบเรียนพระพุทธศาสนาถูกต้องให้ได้

    (2) ท่านเตชปญโญ ยังไง ๆ ท่านต้องทำกรรมฐาน เพราะท่านเป็นพระพอมีเวลาว่างมาก ท่านเป็นต้นเหตุของปัญหาข้อโต้แย้งนี้ ท่านต้องเป็นคนแก้ ทางแก้ที่ถูกต้องมีทางเดียว คือ ทำกรรมัฏฐาน พอได้สิ่งที่ถูกต้องแล้วท่านก็เอามาแก้ตำราของท่านอีกทางหนึ่ง ผมมั่นใจว่าท่านเองก็มีข้อสงสัยข้อเขียนของท่านเองอยู่มาก แล้วเขียนไปให้คนอื่นเรียน ถ้ามีที่ผิดแล้วท่านไม่แก้ ท่านก็จะต้องรับผลกรรมนี้ไปเอง กรรมหนักขนาดไหนท่านเองและหลายท่านในที่นี้รู้ดี ท่านจะพยายามอธิบายอะไรก็ตามก็จะยิ่งบอกว่าท่านคิดเอาเอง ท่านไม่ได้มาจากวิปัสสนากรรมัฏฐาน ท่านยิ่งดิ้นยิ่งเปรอะ ส่วนฝ่ายที่เขาจะช่วยแก้ไขให้เขาแก้ล่วงหน้ากันไปก่อน แล้วมาบรรจบกันกับที่ท่านแก้ไขในภายหลัง

    (3) พวกเราสหายธรรมทั้งหลายเรามีเป้าหมายเดียวกัน ได้ออกฤทธิ์กันพอสมควรแก่เวลา ก็ศึกษาหาความรู้และปฏิบัติกันต่อไปมีทางเดียวที่จะเดินข้ามฝั่ง คือ ไปทางกรรมัฏฐาน สมาธิ-ฌาน และวิปัสนาเท่านั้น
     
  17. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อช้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ****ว่างเว้นไปนาน คิดว่าจะจบแล้ว ไม่เห็นมีใครกล้ามาตรวจสอบอาตมาเลยสักกะหน่วยงาน ทำไม???? สงสัยกันบ้างใหม???? ใช้สมองคิดกันบ้างซิ ไม่ใช่เอาไว้แค่จำอย่างเดียว***<o:p></o:p>
    ***ใครๆก็คิดว่าตนเองรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ก็เลยอวดอ้างกันใหญ่ นี่หรือธรรมะ พระพุทธเจ้าทรงสอนเช่นนี้หรือ หัดศึกษากันให้มากกว่านี้ ***<o:p></o:p>
    ***ประเทศเรามีแต่คนปัญญาอ่อนเต็มบ้านเต็มเมืองจริงๆ ***<o:p></o:p>
    ***ก็ปัญญาอ่อนกันเสียหมด ก็เลยคิดว่าตนเองฉลาด ไม่ยอมลืมหูลืมตามองดูคนอื่นเขาบ้าง***<o:p></o:p>
    ***พอเจอเหตุผลเข้าหน่อยก็เดือดร้อน รับไม่ได้ เอาแต่เฉไฉข้างๆคูๆ อ้างว่าให้ไปปฏิบัติ ถึงจะรู้เอง**<o:p></o:p>
    ***เมื่อไรประเทศชาติจะเจริญถ้าคนไทยยังโง่งมงายกันอยู่เช่นนี้***<o:p></o:p>
    ***การแก้ปัญหามันต้องมาแก้กันที่ต้นเหตุ คือที่ความเชื่อที่ผิดๆ ที่งมงายไร้เหตุผล ไม่สาระ ไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง***<o:p></o:p>
    ***ขอย้ำว่า ถ้าเอ็งดีข้าก็บ้า แต่ถ้าเอ็งบ้าล่ะ ก็แสดงว่าข้าดี หรือไม่คิดดูให้ดี ทั้งเอ็งกะข้านั้นสงสัยบ้าด้วยกันทั้งคู่***<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เตชปญฺโญ ภิกขุ <o:p></o:p>
    http://members.thai.net/whatami/<o:p></o:p>
     
  18. oun_narak

    oun_narak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +265
    เจริญพรหลวงพี่ถ้าคนโง่ไม่มีสิทธิบรรลุธรรรมหรือครับ คนโง่ผมว่าดีกว่าคนฉลาด โกงกินบ้านเมืองนะครับ
     
  19. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,739
    ข้อความที่ 480 เข้าไปแล้ว ท่านผู้มีปัญญาดั่งไฟ เตชปญโญ ท่านยังไขข้อข้องใจของสาธุชนทั้งหลายไม่หมด สังเกตจาก

    (1) อธิบายวกวนเหมือนเดิมคือนึกคิดเอาเอง
    (2) ท่านปฏิเสธการปฏิบัติให้เห็นจริง
    (3) ท่านไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ เลยใช้คำพูดว่ากล่าวผู้อื่นแบบไม่มีเหตุผล แบบกำปั้นทุบดิน สบประมาทผู้อื่น พูดส่อเสียดท้าทายหลายต่อหลายครั้ง ผิดศีลข้อ 4 แสดงว่าหมดภูมิแล้ว
    (4) ท่านเป็นผู้ทรงศีล ท่านทำแบบนี้นะ แล้วไปเขียนตำราให้คนเอื่นเรียน มันถึงยุ่ง

    นี่แหละตามที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่าไม่มีบาปกรรมอะไรจะใหญ่หลวงเท่าการมีทิฏฐิที่ผิด


    มาถึงตรงนี้ท่านทั้งหลาย พอสรุปได้แล้วว่า อะไรเป็นอะไร

    ขอให้คุณ websnow ช่วยกันขับเคลื่อนแก้ไขที่ไม่ถูก ให้ถูต้องนะครับ เพราะถ้าไม่แก้ตำรานี้ความวุ่นวายใหญ่หลวงจะตามมา แล้วถ้าเด็กนักเรียนเชื่อถือสิ่งที่ไม่ถูกต้องก่อนที่จะเจอของที่ถูกแล้วจะแก้ยาก จะสายเกินแก้ ดังตัวอย่างที่ท่านผู้มีปัญญาดั่งไฟท่านนี้เป็น เห็นกันชัด ๆ จะ ๆ ไหมครับ นี่แค่คนเดียวนะ ยังขนาดนี้นะ ท่านทั้งหลาย เข้าไปที่ข้อความที่ 480 แล้วก็ยังดื้อดึงถูไถ ทิฏฐิ มานะมาก

    เป้าหมายและหน้าที่ของเราทั้งหลายในฐานะที่เป็นพุทธสาวกผู้เกิดก่อน ก็น่าจะช่วยกันปูทาง ชี้ทาง แนะนำให้ลูกหลาน คนรุ่นต่อ ๆ มามีสัมมาทิฏฐิเป็นบาทฐาน แล้วเขาจะค่อย เดินตาม มรรคคาคือหนทางข้อที่ 2 ....3.... จนถึงข้อ 8 ด้วยปัญญาของเขาเอง แล้วเขาก็จะใช้เครื่องมือนั่นคือ สัมมาสมาธิ ที่เขาหลาวไว้เองจนแหลมคมฟาดพันกับอุปสรรคเพื่อเดินทางให้ข้ามฝั่ง.... ดังนี้แล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2007
  20. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780

    ***ประเทศเรามีแต่คนปัญญาอ่อนเต็มบ้านเต็มเมืองจริงๆ *** <o:p></o:p>
    ***ก็ปัญญาอ่อนกันเสียหมด ก็เลยคิดว่าตนเองฉลาด ไม่ยอมลืมหูลืมตามองดูคนอื่นเขาบ้าง***<o:p></o:p>
    ***พอเจอเหตุผลเข้าหน่อยก็เดือดร้อน รับไม่ได้ เอาแต่เฉไฉข้างๆคูๆ อ้างว่าให้ไปปฏิบัติ ถึงจะรู้เอง** <o:p></o:p>
    ***เมื่อไรประเทศชาติจะเจริญถ้าคนไทยยังโง่งมงายกันอยู่เช่นนี้***<o:p></o:p>
    ***การแก้ปัญหามันต้องมาแก้กันที่ต้นเหตุ คือที่ความเชื่อที่ผิดๆ ที่งมงายไร้เหตุผล ไม่สาระ ไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง***<o:p></o:p>
    ***ขอย้ำว่า ถ้าเอ็งดีข้าก็บ้า แต่ถ้าเอ็งบ้าล่ะ ก็แสดงว่าข้าดี หรือไม่คิดดูให้ดี ทั้งเอ็งกะข้านั้นสงสัยบ้าด้วยกันทั้งคู่***<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>--------------------------------------------------------------------

    อ่านท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ แล้วก็นึกขำ เที่ยวด่าใครๆที่คิดไม่เหมือนกับท่านเละเทะไปหมด ภิกษุเช่นนี้น่าสรรเสริฐจริงๆเลย สาธุ.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...