น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ***สมองของเด็กที่เพิ่มเกิดมาใหม่ๆจะยังไม่ข้อมูลอะไรทั้งนั้น เราก็เห็นๆกันอยู่***

    ***มันจะมีก็เพียง สัญชาติญาณ(ความรู้ที่เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติพร้อมชีวิตโดยไม่มีใครสอน)ว่ามีตนเองอยู่เพียงเบางบางเท่านั้น**

    ***แต่มันสามารถจดจำได้ และมันก็ค่อยๆเรียนรู้ทีละนิดๆ จนรู้มากขึ้น จึงค่อยจำ และคิดได้มากขึ้น ก็เห็นๆกันอยู่ ***

    ***มันน่าอัศจรรย์ตรงที่มันเรียนรู้ด้วยตัวของมันเองได้ และพัฒนาความคิดได้จนเกิดความยึดถือว่ามีตนเองขึ้นมา(แล้วก็เป็นทุกข์เพราะความคิดที่โง่เขลา)***
    ................................................................................................

    สมองเด็กยังไม่มีข้อมูลใด ๆ นั้น...ผมจะยังไม่โต้แย้ง เพราะมันพิสูจน์ได้ยาก
    (ความจริงก็พออ้างอิงได้กล่าวคือ กรณีที่พระพุทธเจ้าทรงระลึกชาติได้ แสดงว่า ต้องมีข้อมูลเก่าบันทึกไว้ในภวังคจิต ภวังคจิตก็ทำหน้าที่เหมือนฮาร์ดไดร้ฟของคอมพิเตอร์)

    ที่ท่านกล่าวว่า สัญชาตญาณ ความนึกคิด และการเรียนรู้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินั้น...ผมเห็นว่า มันค่อนข้าง กำปั้นทุบดินไปสักหน่อย
    ก็ท่านเองมิใช่หรือที่กล่าวในเชิงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นมาได้ต้องมีเหตุปัจจัย โดยไม่มีข้อยกเว้น
    ฮาร์ดแวร์สมองชีวภาพของมนุษย์นั้นมันไม่สามารถคิดรู้ ประมวลผล วิเคราะห์สิ่งใดได้เลย หากขาดเสียซึ่งซอร์ฟแวร์(จิตวิญญาณ) เช่นเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์Hardwareที่ปราศจากBios,ระบบปฏิบัตการณ์WindowsหรือLinuxฯลฯ และApplicationsต่าง ๆ ก็จะเป็นเพียงแค่เศษเหล็กเท่านั้น แม้ว่าจะพยายามป้อนข้อมูลเข้าไปสักเท่าไร มันก็จะไม่มีคำตอบใด ๆ ออกมา
     
  2. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ***นี่เป็นกฎอิทัปปัจจยตา ที่เป็นกฎสากล หรือกฏสูงสุดของจัรกวาล ที่ครอบงำทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ และนำมาใช้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างได้ ทำให้เกิดดวงตาเห็นธรรมได้***
    ....................................................................................................

    แล้วกฎของจักรวาลล่ะครับ อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น?
    ใครเป็นผู้สร้างกฎ?ใครเป็นผู้เขียนกฎ?
    บรรดากฎหมายต่าง ๆ เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง ยังต้องมีคนเขียน/สร้างขึ้น
    กฎแห่งกรรมและกฎอื่น ๆ ของจักรวาล เป็นเรื่องพิศดารพันลึก แยบคาย ลึกซึ้ง เกินขอบเขตสติปัญญาของมนุษย์ แม้คนที่ฉลาดที่สุด อัจฉริยะที่สุด
    หากพิจารณาจากความพิศดาร แยบคาย ลึกซึ้งสุดประมาณแล้ว กฎเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดย"ภูมิปัญญาสูงสุด"ซึ่งเราอาจยังไม่เคยล่วงรู้
    ธรรมชาติใดสามารถคิดรู้ได้ ธรรมชาตินั้นมีคุณสมบัติของ"จิต"???
     
  3. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    สิ่งใดสร้างกฎ สิ่งใดควบคุมกฎ
    สิ่งนั้นไม่ใช่"ผู้เล่น"
     
  4. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ****ต้นตอของปัญหาทั้งหมดมันอยู่ที่ ความจริงว่า "มีเรา" หรือ "ไม่มีเรา" ***

    ***ถ้ามันมีเรา แน่นอว่ามันก็ต้องมีนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า และเรื่องเวรกรรมจากชาติปางก่อน เป็นต้น อย่างที่พวกคุณโยมเชื่อกันอยู่***

    ***แต่ถ้ามันไม่มีเราอยู่จริง ก็แน่อนว่าเรื่องเหล่านี้ก็ย่อมที่จะไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นไปได้***

    ***ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องอื่น มาค้นหาสิ่งที่เป็นเรา หรือตัวเรา ให้เจอ แล้วปัญหาทั้งหลายก็จะยุติ***

    ***ถ้ามัวแต่ไปยุ่งเรื่องอื่น ก็ไม่มีวันยุติ ไม่มีวันเข้าใจ***

    ***แต่คุณโยมทั้งหลายก็พยายามที่จะโยงไปเรื่องอื่น เพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่มันเจ็บปวดใช่หรือไม่?(กลัวจะไม่มีตนเอง)***

    ***ถ้าเป็นคนจริงก็ตอบคำถามนี้มาก่อน ว่า "ยอมรับหรือไม่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่ต้องมาจากเหตุปัจจัย?" ***

    ***และสิ่งที่เป็นเรา หรือตัวเรานั้น มันมีเหตุปัจจัยอะไรมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่?***

    ***รู้สึกพวกคุณโยมทุกท่าน จะกลัวคำถามนี้กันมาก จึงไม่มีใครเลยที่จะกล้าตอบ ทั้งๆที่มันก็เป็นคำถามพื้นฐานง่ายๆ ที่ใครๆก็ต้องยอมรับอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง***

    ***แต่คุณโยมทุกท่านก็พยายามที่จะบ่ายเบี่ยงหนีความจริง ด้วยการเอาเรื่องไร้สาระมาเสนออย่างมากมาย เพื่อบ่ายเบี่ยงเนื้อหาสำคัญให้หมดความสำคัญลงไป***

    ***แล้วอย่างนี้จะพบความจริงได้อย่างไร เมื่อไม่เป็นคนจริงใจ?***

    ***สิ่งที่รู้ ก็เป็นแค่ "การรับรู้" ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ "ไม่มีตัวตนของใครที่รู้" ***

    ***แม้ว่าทุกชีวิต จะรู้สึกว่ามีตัวตนเป็นผู้รู้ แต่ นั่นก็เป็นแค่เหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งขึ้นมาหลอกธรรมชาติที่ว่างเปล่าให้รู้สึกว่ามีตนเองเท่านั้น (เรียกว่า อวิชชา) ***

    ***แม้จะเชื่ออย่างไรว่ามีตนเอง หรือยึดถืออย่างไรว่ามีตนเอง มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะความจริงมันฟ้องอยู่ในทุกๆสิ่ง ไม่มีอะไรอยบู่เหนือความจริงไปได้***

    ***ระวังอย่าให้โทสะครอบงำ มันจะทำให้จิตมืดบอด ไร้สติปัญญา และจะไม่ได้พบความจริง***

    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    (แล้วกฎของจักรวาลล่ะครับ อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น?
    ใครเป็นผู้สร้างกฎ?ใครเป็นผู้เขียนกฎ?)

    ---------------

    ****อันนี้เป็นคำถามที่ดี น่าตอบ****

    ****กฏของจัดรวาล เป็นสิ่งที่ไม่มีการเกิดและดับ มันมีอยู่ของมันเช่นนั้นเองตามธรรชาติ โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆ(ถ้ามันอาศัยเหตุปัจจัย มันก็ต้องมีเกิดและดับ)***

    ****กฏนี้พิจารณาง่ายๆว่า เหมือนกับว่า มีดินเหนี่ยวกับน้ำ อยู่ในห้องว่างๆเท่านั้น ดังนั้น ก็จะมีกฏอยู่เองว่า สิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาในห้องนี้อีก มันจะต้องเกิดมาจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น (คือต้องอาศัยดินเหนียวและน้ำมาสร้างขึ้นเท่านั้น)***

    ***คือเพราะเดิมมันไม่มีสิ่งใดๆเกิดขึ้นมาก่อน แต่เมื่อเอาดินเหนียวและน้ำมาผสมกัน แล้วปั้นเป็นรูปสิ่งนั้น สิ่งนี้ขึ้นมา สิ่งนั้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้นมา แล้วก็มาสมมติเรียกกันเพื่อใช้สื่อสารให้เข้าใจ****

    ****คือเพียงกฏนี้กฏเดียว มันก็ทำให้เกิดกฏอื่นๆตามมาอีกมากมาย เช่นกฏไตรลักษณ์ และกฏทางวัตถุทั้งหลาย***

    ***เราต้องทำความเข้าใจกฏนี้ให้ได้อย่างถ่องแท้ก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องอื่น เพราะจะทำให้ไขว้เขว ต่อเมื่อเข้าใจกฏนี้แล้วก็จะเข้าใจเรื่องอื่นๆไปได้เอง เพราะเข้าใจต้นตอของมันเสียแล้ว***

    ***ถ้าเรายอมรับเหตุผล และยอมรับความจริง ไม่โลเล แล้วตั้งใจแน่แน่ว โดยการเดินตามกฏนี้อย่างจริงจัง โดยไม่กลัวว่าใครจะว่าบ้า หรือโง่ หรืออวดอุตริ (มารผจญ) เราก็จะพบกับความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนี้คือจุดเริ่มต้นแห่งการค้นพบ(ตรัสรู้)***

    ***เหตุผลและความจริงมันเป็นตัวบังคับให้ไปพบสัจจธรรม(ความจริงแท้ของธรรมชาติ) แต่เมื่อเราไม่ยอมรับเหตุผล และหนีความจริง แล้วจะพบความจริงได้อย่างไร?***


    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  6. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    (ความจริงก็พออ้างอิงได้กล่าวคือ กรณีที่พระพุทธเจ้าทรงระลึกชาติได้ แสดงว่า ต้องมีข้อมูลเก่าบันทึกไว้ในภวังคจิต ภวังคจิตก็ทำหน้าที่เหมือนฮาร์ดไดร้ฟของคอมพิเตอร์)
    ---------------------

    ***สงสัยนี่คงไม่เคยศึกษาหลักกาลามสูตรมาก่อน อย่างนี้ต้องมาเถียงกันเรื่องหลักความเชื่อในพุทธศาสนาอีก***

    ***พระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่า ตำรานั้นสามารถถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิมได้ จึงไม่ทรงสอนให้เชื่อจากตำราใดๆ***

    ***แม้จากครูอาจารย์ของเราเองด้วย เพราะถ้าท่านมีความเห็นผิดมาก่อนโดยตัวท่านเองก็ไม่รู้ตัว และเราเชื่อท่าน เราก็จะพลอยมีความเห็นผิดตามท่านไปด้วยทันที***

    ***พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราค้บพบสัจจธรรม(ความจริงแท้ของธรรมชาติ) ด้วยตัวของเราเอง(ตามที่สมมติเรียก) โดยการพิจารณาโดยแยบคายด้วยสมาธิ(ความตั้งใจอย่างมาก) ไม่ใช่ให้ไปเชื่อจากคนอื่นจะไม่มีวันพบความจริง***

    ****ถ้าไม่ยอมรับหลักกาลามสูตรนี้ ก็คงพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะหลักนี้ก็เป็นสัจจะอันหนึ่งที่ไม่มีวันผิด***

    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  7. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    (ซึ่งเราอาจยังไม่เคยล่วงรู้)
    --------------------

    ****ถ้าสิ่งใดเรายังไม่ล่วงรู้ ก็อย่าไปสนใจศึกษามัน จะทำให้หลงจมอยู่แต่ในความเพ้อฝันเสียเปล่าๆ เพราะไม่มีของจริงมาให้ศึกษา***

    ***ทำไมเราไม่มาศึกษาจากของจริงที่มีอยู่จริงในชีวิตของเราเล่า? เพราะมันทำให้ค้นพบความจริงได้แน่นอน***
    -----------------------------

    (ที่ท่านกล่าวว่า สัญชาตญาณ ความนึกคิด และการเรียนรู้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินั้น...ผมเห็นว่า มันค่อนข้าง กำปั้นทุบดินไปสักหน่อย
    ก็ท่านเองมิใช่หรือที่กล่าวในเชิงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นมาได้ต้องมีเหตุปัจจัย โดยไม่มีข้อยกเว้น)
    ------------------------

    ****คำว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาตนี้ หมายถึงว่า มันเกิดขึ้นมาพร้อมกับจิตได้เองตามธรรมาติ คือมันก็ต้องมีจิตเป็นเหตุ และมีร่างกาย(สมอง)เป็นปัจจัย ไม่ใช่มันจะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆ***


    (ฮาร์ดแวร์สมองชีวภาพของมนุษย์นั้นมันไม่สามารถคิดรู้ ประมวลผล วิเคราะห์สิ่งใดได้เลย หากขาดเสียซึ่งซอร์ฟแวร์(จิตวิญญาณ) เช่นเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์Hardwareที่ปราศจากBios,ระบบปฏิบัตการณ์WindowsหรือLinuxฯลฯ และApplicationsต่าง ๆ ก็จะเป็นเพียงแค่เศษเหล็กเท่านั้น แม้ว่าจะพยายามป้อนข้อมูลเข้าไปสักเท่าไร มันก็จะไม่มีคำตอบใด ๆ ออกมา)
    --------------------

    **** ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีแต่ซอร์ฟแวร์ แล้วไม่มีฮาร์ดแวร์ มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมาได้จริงหรือไม่?***

    ***แท้จริงแล้ว ซอร์ฟแวร์ของคอมพิวเตอร์ มันก็เป็นแค่ระหัสทางไฟฟ้าของฮาร์ดแวร์ ที่มีไว้เพื่อให้ฮาร์ดแวร์ทำงานเท่านั้น แม้ตัวกระแสไฟฟ้าเองก็ไม่ใช่ซอร์ฟแวร์มิใช่หรือ?***

    ***ซึ่งก็เท่ากับว่า ตัวซอร์ฟแวร์(ระบบปฏิบัติการณ์)จริงๆแล้ว มันไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นแค่การสมมติเรียกระบบปฏิบัติการณ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น***

    ***ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับจิตของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย ที่ต้องอาศัยร่างกายเพื่อเกิดขึ้นมาเสมอ และอาศัยข้อมูลจากสมองเพื่อมาใช้คิดนึก-ปรุงแต่ง มันไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุปัจจัย ตามกฏอิทัปปัจจยตา ที่ไม่มีใครจะคัดค้านด้วยเหตุผลได้***

    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2008
  8. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***คำว่า อัตตา แปลว่า ตน ตนเอง หรือหมายถึงตัวตนที่แท้จริง ซึ่งนี่เป็นคำสอนของศาสนาฮินดู(พราหมณ์) ที่เขาสอนว่า จิต หรือวิญญาณ(ตามแต่จะเรียก)ของคนและสัตว์นี้เป็นอัตตา ที่เที่ยงแท้ถาวร ไม่มีวันดับอย่างเด็ดขาด (เป็นอมตะ) และมีแต่สุข โดยอัตตานี้จะไม่อาศัยเหตุปัจจัยใดๆเพื่อปรุงแต่งมันขึ้นมา ***

    ***ในทางพุทธศาสนาจะไม่ยอมรับว่าจะมีสภาวะใดที่จะเป็นอัตตาตามความเชื่อของฮินดูได้ จึงได้เกิดคำว่า อนัตตา ที่แปลว่า ไม่ใช่อัตตา หรือไม่มีอัตตา***

    ****พระพุทธเจ้าก็ตรัสอยู่ตรงๆว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา สิ่งทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน แต่ทำไมเราไม่ยอมรับ พยายามบ่ายเบี่ยงที่จะกล่าวถึงคำนี้กันจริงๆ**

    ***ส่วนคำที่ว่า อัตตาหิ อัตตโนนาโถ - ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้น เป็นแค่การกล่าวตามสมมติของชาวโลก เพื่อสอนบุคคลในระดับศีลธรรมเท่านั้น ***

    ***พุทธศาสนามีคำสอนอยู่ ๒ ระดับ คือศีลธรรม (ธรรมมะง่ายๆ) สำหรับสอนชาวบ้าน และปรมัตถธรรม(ธรรมะลึกซึ้ง) สำหรับสอนคนมีปัญญามาก(อัจฉริยะ)***


    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  9. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    คุณเตชสงสัยคงอ่านแบบข้ามๆโดดๆเลยไม่เห็นทักข้าพเจ้าสักที เลยต้องให้โพสให่่เรื่อยๆ ขี้เกียจโพสซ้ำๆแล้วนะ

    ก่อนอื่น คุณเตชก่อนที่จะพูดถึงธรรมมะอันดับสูงๆๆคุณก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราต้องมีความเข้าใจที่ถูกตรงหรือสัมมาทิฏฐิเสียก่อน

    ข้าพเจ้าและทุกคนในที่นี้โต้แย้งคุณเพราะคุณเข้าใจผิดในเรื่อง บุญบาป กรรมวิบากวิบาก นรก สวรรค์ แล้วคุณจะเข้าใจเข้าถึงความเป็นอนัตตาได้อย่างไร คน เราถ้าตั้งต้นหรือตั้งโจทย์ผิด มันก็ทำให้คำตอบผิดไปด้วย

    หากคุณคิดว่าคุณเป็นอัฉริยะ นั่นก็เท่ากับ มี "คุณ" หรือความเป็นตัวตนในสภาวะนั้น และ หาก คุณยังคงมี ความเป็นสภาวะ นั่น ย่อมหมายถึง คุณยังไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสภาวะนั้น แล้วจะ เรียกว่า เป็นอนัตตา ได้อย่างไร

    **ที่ข้าพเจ้าบอกคุณให้ไปท่องคาถา "สุปินานัง" แล้วให้ไปกินนอนในป่าช้าเพื่อซึมซับบรรยากาศ และ ความกลัวในดวงจิตคุณเองทำหรือยัง
    ทำไมไม่ลองพิสูจน์ดูเล่า หากคุณคิดว่าคุณ "แน่จริง"

    คุณโพสซ้ำไปซ้ำมาทั้งๆที่ทุกคำถามข้าพเจ้าและเพื่อนๆได้ตอบไปแล้ว
    นั่นเท่ากับว่า คุณอ่านจับประเด็นไม่เป็นไม่เป็น กรุณาย้อนกลับไปอ่านที่ข้าพเจ้าโพสๆๆ มาทั้งหมดใหม่นะ ค่อยๆอ่าน ค่อยๆทำความเข้าใจ
    ก่อนจะทำอะไรอื่นกรุณท่านไปทำตาม ** นี้ก่อน

    **อย่าลืมอ่านที่เพื่อนๆทุกคนโพสด้วยนะอ่านบ่อยๆๆซ้ำๆ ค่อยๆคิด เพราะนั่นคือการอ่านจับประเด็นและอ่านทำความเข้าใจ

    อย่าเสียเวลามาโพสซ้ำๆๆกันอยู่เลย มานั่งพิสูจน์กันเป็นเปราะๆให้เห็นจริงกันดีกว่าที่จะโต้กันทางความคิดอนิจจังใช่ไหม ถ้าคุณแน่จริงเดินสายทั่วประเทศท้าพิสูจน์ ผี ตามป่าช้าทั่วประเทศ ไปเลย เมื่อคุณคิดว่าตายแล้วสูญจะกลัวตายไปทำไม
    แต่ก็นั่นแหละอาจเป็นวิธีโง่ๆเกินไปเพราะถ้าตายไปตอนนี้จริงๆก็หมดโอกาสกลับตัวกลับใจไปเลย เอาแค่เบาะๆๆ ท่องสุปานานัง ทั้งวันทั้งคืนสักอาทิตย์ลองก่อนถ้าไม่ได้ผลก็ไปกินนอนในป่าช้าแล้วกันนะกลัวคุณจะช้อคตายแล้วเสียดายโอกาสแย่ เอาแค่นี้ก่อน ทำแล้วบอกผลด้วยนะพวกเราทุกคนเป็นกำลังใจให้
     
  10. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ท่อง "สุปินานัง" ถ้าจิตยังไม่สามารถเข้าถึง อุปจารสมาธิแล้ว อาจจะไม่ได้พบนะค่ะ อาจจะนั่ง ๆ เดินแล้วคอพับไปเฉย ๆ ค่ะ...ถ้าเข้าใจผิดก็ขอขมาท่านข้างบนด้วยค่ะ

    ท่านก็เถียงเอาสีข้างเข้าถูไปเรื่อย ๆ ค่ะ ตั้งแต่ไม่เชื่อ สวรรค์ นรก พรหมฯ เทวดา นางฟ้าตลอดจนเบื้องล่าง และอภิญญาต่าง ๆ ล่ะค่ะ....เพราะตัวเองไม่ได้ ไม่ถึง...จึงเชื่อว่าไม่มี

    ถ้าอย่างไรท่านห่มเหลืองจะกรุณาลองพิจารณาวิธีที่ยิ้มเคยกล่าวแนะนำไว้ว่าให้ไปจุดธูปเทียนหน้าพระประธานที่ท่านนับถือ ... แล้วลองกล่าวถึงความเชื่อและสิ่งที่ท่านกล่าวมาแล้วทั้งหมดต่อท่าน ขอเมตตาให้ท่านสงเคราะห์ให้ท่านเห็นในความเป็นจริงเถอะค่ะ...ถ้าไม่โดนสงเคราะห์จนจม ธรณีไปก่อน....ยิ้มก็จะขอร่วมโมทนาบุญด้วยค่ะ
     
  11. นาคเสน55

    นาคเสน55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +682
    เเน่จริงก็เถียงมาซิว่าที่โพสต์มาไม่จริงไม่ถูกต้องตรงไหน
    ถ้าท่านค้าน คำสอนของพระพุทธเจ้า พระไตรปิฎก ก็คิดเอาเองล่ะกันว่าจะเป็นยังไง

    ไม่เห็นท่านจะค้าน จะปฏิเสธกระทู้ข้าพเจ้าที่โพสต์ไว้ได้เลย

    ขอให้อ่านตั้งเเต่ต้นจนจบนะ

    จะเข้าใจ เเละเกิดประโยชน์มาก จะได้สว่างสักที


    อ้างอิง
    ***สมองของเด็กที่เพิ่มเกิดมาใหม่ๆจะยังไม่ข้อมูลอะไรทั้งนั้น เราก็เห็นๆกันอยู่***

    ***มันจะมีก็เพียง สัญชาติญาณ(ความรู้ที่เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติพร้อมชีวิตโดยไม่มีใครสอน)ว่ามีตนเองอยู่เพียงเบางบางเท่านั้น**

    ***แต่มันสามารถจดจำได้ และมันก็ค่อยๆเรียนรู้ทีละนิดๆ จนรู้มากขึ้น จึงค่อยจำ และคิดได้มากขึ้น ก็เห็นๆกันอยู่ ***

    ***มันน่าอัศจรรย์ตรงที่มันเรียนรู้ด้วยตัวของมันเองได้ และพัฒนาความคิดได้จนเกิดความยึดถือว่ามีตนเองขึ้นมา(แล้วก็เป็นทุกข์เพราะความคิดที่โง่เขลา)***

    ***ถ้ามองเห็นว่าชีวิตคือหุ่นยนต์ มันก็เข้าหลัก สัพเพ ธัมมา อนัตตา และดับทุกข์ได้เมื่อมองเห็นอนัตตาจริง***

    ***ถ้ามองว่ายังมีตัวตนมาเกิด หรือไปเกิด มันก็ผิดหลักนี้แน่นอน และดับทุกข์ไมใด้ เพะราะมองไม่เห็นอนัตตา***




    เด็กที่เพิ่งจะเกิด ไม่ได้บริสุทธิ์อย่างที่ท่านคิดหรอกนะ โปรดเข้าใจไว้ด้วย


    เเค่กิเลสมันยังไม่เผย ไม่เเสดงออกมา มันอยู่ข้างในจิตของเด็กนั่นเเหละ


    (ซึ่งก็เกิดเเละติดตามมาด้วยกรรมของตัวเองที่ได้ทำ ได้สะสมไว้)


    เเค่เพียงยังไม่สามารถเเสดงออกมาได้เต็มที่

    เพราะร่างกาย สังขารขันธ์ยังไม่พร้อมเท่านั้น


    อีกเรื่องนึง คือ ความรู้สึกต่างๆก็ดี ความดี ความชั่วก็ดี ควมคิดต่างๆ

    ของคนเรา ไม่ได้เกิดที่สมอง อย่างที่ท่านเข้าใจหรอกนะ


    มันอยู่ที่จิต เกิดที่จิตต่างหาก ลองอ่าน และใช้จิตดู อย่าใช้สมองคิด

    หรือดู เพราะมันก็เเค่ก้อนเนื้อสกปรกเท่านั้น

    เป็นเเค่ทางผ่าน เป็นเเค่สิ่งเชื่อมต่อ เพื่อเข้ามาสู่จิตเราเท่านั้น


    ความเข้าใจเกี่ยวกับ
     
  12. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ****ต้นตอของปัญหาทั้งหมดมันอยู่ที่ ความจริงว่า "มีเรา" หรือ "ไม่มีเรา" ***
    ***ถ้ามันมีเรา แน่นอว่ามันก็ต้องมีนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า และเรื่องเวรกรรมจากชาติปางก่อน เป็นต้น อย่างที่พวกคุณโยมเชื่อกันอยู่***

    ถ้าไม่มีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้ของมนุษย์ทุกคนแล้ว เหตุใดมนุษย์แต่ละคนจึงเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน เช่น ฐานะครอบครัว รูปร่างหน้าตา สีผิว สติปัญญา ฯลฯ
    เป็นเพราะธรรมชาติลำเอียงอย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย
    แต่เป็นเพราะเหตุปัจจัยที่มนุษย์แต่ละคนเคยสร้างกรรมในอดีตไว้ไม่เหมือนกัน ผลจึงแตกต่างกัน
    นั่นแสดงว่า ต้องมีอดีตชาติ เมื่อมีอดีตชาติก็ต้องมีแก่นแท้(จิตวิญญาณ)เป็นผู้สืบต่อวิบากกรรมนั้น
    ***ถ้าเป็นคนจริงก็ตอบคำถามนี้มาก่อน ว่า "ยอมรับหรือไม่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่ต้องมาจากเหตุปัจจัย?" ***
    ^^^
    ^^^
    ^^^
    ขอยืมข้อความของท่านใช้คืนท่านหน่อยนะครับ หวังว่าคงไม่สงวนลิขสิทธิ์
    ................................................................................................

    ***แต่คุณโยมทั้งหลายก็พยายามที่จะโยงไปเรื่องอื่น เพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่มันเจ็บปวดใช่หรือไม่?(กลัวจะไม่มีตนเอง)***

    เอ...คนที่เจ็บปวดน่าจะเป็นท่านนะ ที่รู้ว่ามี"ตนเอง"
    ................................................................................................

    ****กฏของจัดรวาล เป็นสิ่งที่ไม่มีการเกิดและดับ มันมีอยู่ของมันเช่นนั้นเองตามธรรชาติ โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆ(ถ้ามันอาศัยเหตุปัจจัย มันก็ต้องมีเกิดและดับ)***

    ทีประเด็นนี้ทำไมท่านไม่อ้างว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ต้องมีเหตุปัจจัย
    กรุณาอย่าใช้สองมาตรฐาน?

    แล้ว"ธรรมชาติ"คืออะไรกันแน่? ช่วยขยายความหน่อยซิครับท่านผู้รู้แจ้ง
    กฎของจักรวาล เป็นระบบและมีระเบียบ ไม่ใช่ความไร้ระเบียบหรือความบังเอิญ เช่นดวงดาวต่าง ๆ โคจรในวงโคจรของตนเองโดยไม่ชนกัน น่าประหลาดที่ดวงดาวนับล้านล้านดวงเหล่านั้นไม่ชนกัน
    มันไม่ใช่ความบังเอิญ มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเอง? มันต้องมีพลังบางอย่างควบคุมมันไว้ พลังนั้นคืออะไร? และมาจากไหน?
    ................................................................................................

    ****กฏนี้พิจารณาง่ายๆว่า เหมือนกับว่า มีดินเหนี่ยวกับน้ำ อยู่ในห้องว่างๆเท่านั้น ดังนั้น ก็จะมีกฏอยู่เองว่า สิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาในห้องนี้อีก มันจะต้องเกิดมาจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น (คือต้องอาศัยดินเหนียวและน้ำมาสร้างขึ้นเท่านั้น)***
    ***คือเพราะเดิมมันไม่มีสิ่งใดๆเกิดขึ้นมาก่อน แต่เมื่อเอาดินเหนียวและน้ำมาผสมกัน แล้วปั้นเป็นรูปสิ่งนั้น สิ่งนี้ขึ้นมา สิ่งนั้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้นมา แล้วก็มาสมมติเรียกกันเพื่อใช้สื่อสารให้เข้าใจ****

    ทำไมกรณีดินเหนียวกับน้ำจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่เองแล้วโดยไม่ต้องมีเหตุปัจจัย
    แล้วทำไม"จิต/ความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา"จึงไม่อาจมีอยู่เองได้บ้างล่ะครับ?
    กรุณาอย่าใช้สองมาตรฐาน
    แล้วใคร?ปั้นดินเหนียวให้เป็นภูเขา ต้นไม้ สรรพสัตว์ และสรรพสิ่ง?
    ***เหตุผลและความจริงมันเป็นตัวบังคับให้ไปพบสัจจธรรม(ความจริงแท้ของธรรมชาติ) แต่เมื่อเราไม่ยอมรับเหตุผล และหนีความจริง แล้วจะพบความจริงได้อย่างไร?***
    ขอยืมใช้ข้อความของท่านอีกครั้งนะครับ
    ................................................................................................

    ***พระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่า ตำรานั้นสามารถถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิมได้ จึงไม่ทรงสอนให้เชื่อจากตำราใดๆ***
    ***แม้จากครูอาจารย์ของเราเองด้วย เพราะถ้าท่านมีความเห็นผิดมาก่อนโดยตัวท่านเองก็ไม่รู้ตัว และเราเชื่อท่าน เราก็จะพลอยมีความเห็นผิดตามท่านไปด้วยทันที***

    เพราะเหตุที่หลายคนในบอร์ดนี้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงไม่เชื่อแนวคิดของท่านเตชะปัญโญไงครับ?
    ................................................................................................

    ***พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราค้บพบสัจจธรรม(ความจริงแท้ของธรรมชาติ) ด้วยตัวของเราเอง(ตามที่สมมติเรียก) โดยการพิจารณาโดยแยบคายด้วยสมาธิ(ความตั้งใจอย่างมาก) ไม่ใช่ให้ไปเชื่อจากคนอื่นจะไม่มีวันพบความจริง***

    ผมได้กระทำสิ่งนี้มานานมากแล้วครับ
    ................................................................................................

    กรณีการระลึกชาติได้ของพระพุทธเจ้าที่ผมเสนอความเห็นแล้วนั้น ท่านตอบไม่ตรงคำถาม
    ทำไมท่านไม่ชี้แจงอธิบายให้เคลียร์ไปเลยว่า "พระพุทธเจ้าไม่ได้ระลึกชาติจริง เป็นเพราะอะไร?"

    ถ้าประเด็นใดที่ผมเสนอไปขัดแย้งกับความเชื่อของท่าน ท่านก็จะอ้างกาลามสูตร
    แต่ประเด็นใดของท่านที่ท่านต้องการการอ้างอิงสนับสนุน ท่านก็จะอ้างคำสอนของพระพุทธเจ้า(พระไตรปิฎก/ตำรา)
    โอ...ท่านสองมาตรฐานจริง ๆ เหมือนกระบวนการยุติธรรมในยุคนี้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2008
  13. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ****ถ้าสิ่งใดเรายังไม่ล่วงรู้ ก็อย่าไปสนใจศึกษามัน จะทำให้หลงจมอยู่แต่ในความเพ้อฝันเสียเปล่าๆ เพราะไม่มีของจริงมาให้ศึกษา***

    ของจริงนั้นมีอยู่แล้ว แต่ท่านเองต่างหากที่ปฏิเสธที่จะศึกษาความจริงแท้นั้น
    แก่นแท้ของเราก็เป็นส่วนหนึ่งของความจริงแท้นั้น
    ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้าแก่นแท้ของเราก็จะต้องไปหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความจริงแท้นั้น
    ท่านต่างหากที่ต้องตื่นจากความฝันเรื่องไม่มี"ตนเอง"เสียที

    โลกของเราคือ "โรงเรียน/สถาบันการศึกษาแห่งการพัฒนาจิตวิญญาณ"
    เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตที่เราประสบ ส่วนหนึ่งคือข้อสอบ/บททดสอบ/บทเรียนแห่งการพัฒนาจิตวิญญาณ/บทเรียนแห่งความรู้แจ้ง
    ถ้าเราสอบตกในบทเรียนใด เราต้องสอบซ่อมหรือกลับมาสอบใหม่ในบทเรียนนั้น จนกว่าจะสอบผ่าน
    อีกส่วนหนึ่งคือวิบากแห่งกรรมชั่วที่เราได้ทำข้อสอบผิดพลาดไว้ในอดีต หรือวิบากแห่งกรรมดีที่เราทำข้อสอบได้คะแนนดี
    (การทำข้อสอบในสถาบันการศึกษาโลกนี้ มีทั้งระบบการลงโทษและระบบการให้รางวัล)
    พระพุทธเจ้าคือบุคคลที่มีปัญญาสูงสุด เป็นผู้รู้แจ้งโลกและจักรวาล เป็นผู้มาช่วยเฉลยข้อสอบของบทเรียนชีวิตให้แก่มนุษยชาติ ว่า สิ่งใดเป็นบุญ สิ่งใดเป็นบาป สิ่งใดคือทางแห่งความพ้นทุกข์ ทำอย่างไรจึงจะจบหลักสูตรจากสถาบันการศึกษาโลกนี้ไปให้ได้
     
  14. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ****คำว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาตนี้ หมายถึงว่า มันเกิดขึ้นมาพร้อมกับจิตได้เองตามธรรมาติ คือมันก็ต้องมีจิตเป็นเหตุ และมีร่างกาย(สมอง)เป็นปัจจัย ไม่ใช่มันจะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆ***

    "จิตและความนึกคิดเกิดขึ้นเองพร้อมร่างกายตามธรรมชาติ"...มันก็ยัง กำปั้นทุบดิน อยู่นั่นเอง
    ท่านต้องอธิบายให้ได้ว่า กระบวนการให้เกิดจิตและความนึกคิดนั้น เป็นอย่างไร?

    **** ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีแต่ซอร์ฟแวร์ แล้วไม่มีฮาร์ดแวร์ มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมาได้จริงหรือไม่?***

    ถูกต้องครับ ถ้ามีแต่ซอร์ฟแวร์โดยไม่มีฮาร์ดแวร์ มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาได้จริง แต่จริงเฉพาะกรณีทั่วไปของโลกแห่งวัตถุเท่านั้น
    แต่จะสรุปว่า ในเมื่อไม่สามารถมองเห็นด้วยตา ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยอายตนะอื่น ๆ แสดงว่า จิตวิญญาณไม่มีอยู่จริงนั้น ไม่ได้
    ท่านมองเห็นคลื่นวิทยุในอากาศหรือไม่?ท่านได้ยินเสียงคลื่นวิทยุในอากาศหรือไม่? แล้วท่านจะสรุปว่า มันไม่มีอยู่จริง ได้หรือไม่?

    ***แท้จริงแล้ว ซอร์ฟแวร์ของคอมพิวเตอร์ มันก็เป็นแค่ระหัสทางไฟฟ้าของฮาร์ดแวร์ ที่มีไว้เพื่อให้ฮาร์ดแวร์ทำงานเท่านั้น แม้ตัวกระแสไฟฟ้าเองก็ไม่ใช่ซอร์ฟแวร์มิใช่หรือ?***

    ใช่ครับ เรื่องของจิตวิญญาณและสมองมนุษย์ มันไม่เหมือนกับ ซอร์ฟแวร์และฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์100%เต็ม แต่เหตุที่ผมต้องนำเอาระบบคอมพิวเตอร์มาเทียบเคียง ก็เพื่อให้เห็นถึงหลักการทำงานของ"สิ่งที่สามารถประมวลผลได้"ว่า จำเป็นต้องประกอบด้วยส่วนสำคัญอะไรบ้าง

    ***ซึ่งก็เท่ากับว่า ตัวซอร์ฟแวร์(ระบบปฏิบัติการณ์)จริงๆแล้ว มันไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นแค่การสมมติเรียกระบบปฏิบัติการณ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น***
    ***ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับจิตของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย ที่ต้องอาศัยร่างกายเพื่อเกิดขึ้นมาเสมอ และอาศัยข้อมูลจากสมองเพื่อมาใช้คิดนึก-ปรุงแต่ง มันไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุปัจจัย ตามกฏอิทัปปัจจยตา ที่ไม่มีใครจะคัดค้านด้วยเหตุผลได้***

    ถ้าท่านเห็นว่า จิตและความนึกคิดในสมองของมนุษย์ เป็นเพียงชุดระหัสคำสั่งที่เกิดขึ้นในสมองมนุษย์(ไม่ได้มีอยู่จริง)แล้ว
    ถ้าเช่นนั้น ใคร?เป็นคนเขียนCodeชุดระหัสคำสั่งดังกล่าวเหล่านั้น ให้ฮาร์ดแวร์สมองชีวภาพของมนุษย์ สามารถRunได้?
    บิดามารดาของมนุษย์ผู้นั้นหรือ? คงไม่ใช่แน่นอน
    แล้วชุดระหัสคำสั่งเหล่านั้นมันมาจากไหน? กรุณาอย่าบอกว่า มันเกิดขึ้นเอง เพราะจะกลายเป็น ระบบกำปั้นทุบดินซ้ำแล้วซ้ำอีก
    ก็ท่านเองมิใช่หรือที่มักกล่าวอ้างว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ต้องมีเหตุปัจจัย
     
  15. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +9,766
    ใคร เป็นผู้สมมติ แบ่งเขต เหล่านี้ ครับ ว่า อะไรคือง่าย อะไรยาก

    อ้างอิงในพระไตรปิฎก หรือ อรรถกถา ฎีกา ให้ดูหน่อย

    ความจริง ปรมัตถ ยังมีเป็น ระดับ ๆ อีกหรือครับ
     
  16. นิรันตรพินทุ

    นิรันตรพินทุ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +10
    จริงๆก็เข้าใจวัตถุประสงค์ของการถกเถียงซักถามนี้นะครับ
    แต่ว่า เนื้อหาที่ีไร้ภาษาวาจา เช่น การปฏิบัติธรรม ต่างหากที่พระพุทธศาสนาเน้นย้ำ

    เรื่อง ภาษา อันเป็นการปรุงแต่งของตำรา คัมภีร์ หรือแม้แต่ ความคิด ทิฐิ(ความเห็น)
    เราคงนำไปใส่ในระบบการศึกษาแบบตะวันตกที่มาจากรากฐานของอีกศาสนานึงคงไม่เข้าที
    เพราะ พุทธ เน้นปฏิบัติ ไม่ใช่ ทฤษฏี

    อนึ่งที่ถกเถียงซักถามกันตามที่ผมอ่านมาก็ถูกทั้งนั้นตาม วาระ ของบุคคล
    อุปมาเหมือนเสาต้นนึงที่มีที่พอให้คนๆนึงยืน อยู่ในที่ไกลกันมาก คนนึงบอกว่า
    มีนกบินผ่านเขาไปทางซ้าย คนนึงบอกว่านกบินไปทางขวา คนนึงบอกว่านกไม่มี
    อีกคนบอกว่านกกำลังมาหา
    ทุกคนพูดถูกหมด เพราะว่า อยู่ในตำแหน่งพิกัดของตนทั้งสิ้น

    ความเห็นเรื่องการศึกษาพระศาสนาให้ยั่งยืนสืบไปนั้น
    ผมคิดว่าควรเน้นการ ปฏิบัติ ให้มาก และ ลดทอน ทฤษฏี ให้เหลือเท่าที่พิสูจน์ได้ในชีวิต
    ประจำวันง่ายๆ เพื่อให้เด็กๆ ได้เข้าใจ

    ส่วนเรื่อง ทฤษฏี แบบ ปรัชญากรีก ที่เพิ่มเติมมาหลังจากพระเจ้ามิลินท์ เป็นอนิจจังต่อไป
     
  17. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ไม่มีตัวเรา
    ไม่มีเกิด
    ไม่มีตาย
    ไม่มีตายแล้วเกิด
    ไม่มีตายแล้วสูญ
     
  18. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    การเกิดจากครรภ์มารดา การสืบต่อเนื่องทางพันธุกรรม...ธรรมชาติของวัตถุิุมีเหตุให้เป็นไป
    การตาย ร่างกายเสื่อมสภาพจนไม่สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้...ธรรมชาติของวัตถุุมีเหตุให้เป็นไป

    คนเกิดมามีบ้านใหญ่โต มีเงินทองมากมาย...ธรรมชาติของวัตถุุมีเหตุให้เป็นไป
    คนเกิดมายากจน มีหนี้สินล้นพ้นตัว...ธรรมชาติของวัตถุมีเหตุให้เป็นไป

    แต่ คนรวยทุกข์ก็มี คนจนทุกข์ก็มี คนรวยสุขก็มี คนจนสุขก็มี

    นี่ต่างหากที่น่าจะเป็นคำถาม

    "ทำไมคนเกิดมารวย(จน)เหมือนกันแต่ก็ยังมีสุข(ทุกข์)ต่างกัน"
     
  19. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    (ถ้าไม่มีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้ของมนุษย์ทุกคนแล้ว เหตุใดมนุษย์แต่ละคนจึงเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน เช่น ฐานะครอบครัว รูปร่างหน้าตา สีผิว สติปัญญา ฯลฯ เป็นเพราะธรรมชาติลำเอียงอย่างนั้นหรือ?)
    -----------------

    ***ก็ในเมื่อมันไม่มีใครเกิดจริง มีแต่หุ่นยนต์ มันก็ไม่ต้องพูดถึงความยุติธรรม เพราะไม่มีใครแพ้ ใครชนะ ไม่มีใครได้ปรียบเสียเปรียบ***

    ***ทุกสิ่งย่อมีเหตุปัจจัยให้เกิดเสมอ ..อย่างเช่น ยีนส์ที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่เป็นตัวกำหนดสีผิว รูปร่าง ตามหลักวิทยาศาสตร์ ส่วนความรวยความจนก็เกิดมาจากพ่อแม่ หรือการทำงาน สติปัญญาก็เกิดมาจากการศึกษา***

    ***ถ้าใครเชื่อเรื่องเรื่องพระพรหมดลบันดาล หรือสิ่งอื่นดลบันดาล เขาก็ต้องอ้างว่าคนเราถูกกำหนดมาจากสิ่งที่เขาเชื่อเหมือนกัน แล้วเราก็ต้องเห็นแย้งกับเขา เพราะเราเชือ่ไม่ตรงกันกับเขา ถ้าทุกคนเชื่ออย่างมีเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ ปัญหาความขัดแย้งก็จะไม่มี***

    *** เราต้องคิดอย่างวิทยาศาสตร์ อย่าเอาแต่เชื่องมงาย จะไม่พบความจริง ซึ่งความจริงเราก็รู้กันอยู่ เห็นกันอยู่ แต่เราไม่ยอมรับ เรามัวแต่มองข้ามความจริงกันไปหมด เลยไม่พบความจริง***

    ***เมื่อมองเห็นอนัตตา ปัญหาทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าไม่เห็นอนัตตา ก็มีแต่ปัญหาโลกแตก***

    ----------------------------------------------
    (****กฏของจัดรวาล เป็นสิ่งที่ไม่มีการเกิดและดับ มันมีอยู่ของมันเช่นนั้นเองตามธรรชาติ โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆ(ถ้ามันอาศัยเหตุปัจจัย มันก็ต้องมีเกิดและดับ)***

    ทีประเด็นนี้ทำไมท่านไม่อ้างว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ต้องมีเหตุปัจจัย
    กรุณาอย่าใช้สองมาตรฐาน?)

    -------------------------------------
    ****คำว่ากฏของธรรมชาติ เป็นแค่การเปรียบเทียบสิ่งที่มีอยู่ของธรรมชาติที่เป็นความจริงอย่างหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายกฏเกณฑ์ที่มนุษย์ชอบบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย***

    ***ถ้าจะให้ชัดเจน เราต้องใช้คำว่า "ความจริง" (สัจจะ) จะถูกต้องที่สุด ซึ่งกฎของธรรมชาตินี้ก็คือความจริงที่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา จะต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัยเท่านั้น***

    ***และความจริงมันก็ไม่ต้องมีเหตุปัจจัยอะไรมาทำให้เกิดขึ้น มันก็มีอยู่ของมันเองตามธรรมชาติ***
    -----------------------------------
    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  20. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ****กฏของจัดรวาล เป็นสิ่งที่ไม่มีการเกิดและดับ มันมีอยู่ของมันเช่นนั้นเองตามธรรชาติ โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆ(ถ้ามันอาศัยเหตุปัจจัย มันก็ต้องมีเกิดและดับ)***

    ทีประเด็นนี้ทำไมท่านไม่อ้างว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ต้องมีเหตุปัจจัย
    กรุณาอย่าใช้สองมาตรฐาน?

    ----------------------------
    ***ก็กฎของธรรมชาตินี้มันไม่มีการ"เกิดและดับ" แต่มันมีอยู่ของมันเองตามธรรมชาติ ดังนั้น มันจึงไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆเกิดขึ้นมา****

    ***เหมือนสุญญากาศ ที่ไม่ต้องมีอะไรมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมา เพราะมันไม่มีการเกิด เราต้องเอาสิ่งต่างๆออกไปให้หมด ไม่มีแม้อากาศ สุญญากาศจึงจะปรากฏ(ไม่ใช้คำว่าเกิด)***
    -------------------------
    แล้ว"ธรรมชาติ"คืออะไรกันแน่? ช่วยขยายความหน่อยซิครับท่านผู้รู้แจ้ง
    กฎของจักรวาล เป็นระบบและมีระเบียบ ไม่ใช่ความไร้ระเบียบหรือความบังเอิญ เช่นดวงดาวต่าง ๆ โคจรในวงโคจรของตนเองโดยไม่ชนกัน น่าประหลาดที่ดวงดาวนับล้านล้านดวงเหล่านั้นไม่ชนกัน
    มันไม่ใช่ความบังเอิญ มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเอง? มันต้องมีพลังบางอย่างควบคุมมันไว้ พลังนั้นคืออะไร? และมาจากไหน?

    --------------------
    ****ทุกอย่างเป็นไปกฏที่ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี***

    ***เราไม่จำเป็นต้องไปรู้ว่าธรรมชาติคืออะไรก็ได้ เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่การดับทุกข์ แต่ขอให้เรารู้แต่เพียงว่า ชีวิตเรานี้คืออะไร? เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?ตายแล้วเป็นอย่างไร? เกิดทุกข์เพราะอะไร? และจะดับมันได้อย่างไรเท่านี้ก็พอแล้ว ถึงรู้มากไปแต่ดับทุกข์ไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์***
    --------------------
    ทำไมกรณีดินเหนียวกับน้ำจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่เองแล้วโดยไม่ต้องมีเหตุปัจจัย
    --------------------
    ***ดินเหนี่ยวและน้ำถ้าพิจารณาตามหลักวิทยาศาสตร์ มักฯเกิดมาจากอะตอมจำนวนมากมารวมตัวกันขึ้น แม้อะตอมก็เกิดมาจากอนุภาคของโปรตรอน นิวตรอน และอิเล็กตอนอีก แม้อนุภาคเหล่านี้ก็เป็นแค่พลังงานอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง(อย่าไปสนใจมากกว่านี้เลยเพราะเราพิสูจน์กันไม่ได้)***

    ***แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่เป็นพื้นฐานให้เกิดวัตถุต่างๆขึ้นมาก็มีแค่ธาตุ ๔ คือ ของแข็ง ของเหลว อุณหภูมิ ก๊าซ เท่านั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นแค่วัตถุธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่ได้เป็นธาตุเฉพาะของใคร แต่มันเป็นพื้นฐานที่มาปรุงแต่งให้เกิดสิ่งของต่างๆรวมทั้งร่างกายของมนุษย์เรานี้ขึ้นมา***

    ***ส่วนจิต ก็ยังเป็นแค่ธาตุอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นธาตุที่ต้องอาศัยร่างกายที่ยังดีอยู่เพื่อเกิดขึ้นมา ถ้าไม่มีร่างกายมันก็ดเกิดขึ้นมาไม่ได้ (ตามกฏอิทัปปัจจยตา)***

    ***หรือคุณโยมเชื่อว่า จิตสามารถเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุปัจจัย ถ้าเชื่ออย่างนี้ก็ คงคุยกันไม่ได้ เพราะไม่ยอมรับความจริง***
    --------------------
    เพราะเหตุที่หลายคนในบอร์ดนี้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงไม่เชื่อแนวคิดของท่านเตชะปัญโญไงครับ?
    -------------------
    ***แล้วคุณโยมทั้งหลาย เชื่อจากใคร? หรือจากอะไร?(กรุณาตอบให้ชัดเจน ถ้าเป็นคนจริง)***
    ---------------------
    กรณีการระลึกชาติได้ของพระพุทธเจ้าที่ผมเสนอความเห็นแล้วนั้น ท่านตอบไม่ตรงคำถาม ทำไมท่านไม่ชี้แจงอธิบายให้เคลียร์ไปเลยว่า "พระพุทธเจ้าไม่ได้ระลึกชาติจริง เป็นเพราะอะไร?"
    -------------------

    ***ถ้าเข้าใจว่า "มันไม่มีเราจริงเสียแล้ว" มันก็ไม่มีใครอีกเหมือนกัน ยิ่งการละลึกชาติยิ่งไม่ต้องพูดถึง หาตัวเราให้พบก่อน แล้วปัญหานี้ก็จะกระจ่าง ถ้ามัวมายุ่งกับปัญหาพวกนี้ ก็ไม่มีวันกระจ่าง***
    -------------------
    ถ้าประเด็นใดที่ผมเสนอไปขัดแย้งกับความเชื่อของท่าน ท่านก็จะอ้างกาลามสูตร แต่ประเด็นใดของท่านที่ท่านต้องการการอ้างอิงสนับสนุน ท่านก็จะอ้างคำสอนของพระพุทธเจ้า(พระไตรปิฎก/ตำรา)
    โอ...ท่านสองมาตรฐานจริง ๆ เหมือนกระบวนการยุติธรรมในยุคนี้เลย

    -----------------------
    ***การอ้างพระพุทธเจ้าของอาตมาก็หมายถึง การอ้างถึงควงามจริงนั่นเอง แต่เป็นการใช้โวหารเพื่อให้คนสนใจเท่านั้น กรุณาตามให้ทัน เพราะทุกประโยคที่อาตคมาอ้างว่าพระพุทธเจ้านั้น ล้วนเป็นความจริงที่บิดพริ้วไม่ได้ทั้งสิ้น***

    **อย่างเช่นพระพุทะเจ้าสอนว่า อย่าเชื่อจากตำรา ก็เพราะความจริงแล้วตำรามันสามารถที่จะถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิมได้ จริงหรือไม่? ยอมรับหรือไม่?***

    ***หรือแม้ครูอาจารย์ก็สามารถโง่ได้ ถ้าเราเชื่อท่าน เราก็โง่ตามท่านอีก จริงหรือไม่?***

    ****ความจริงย่อมมีมาตรฐานเดียว แต่คนไม่เข้าใจ ก็เลยคิดว่ามีสองมาตรฐาน***
    ----------------------
    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     

แชร์หน้านี้

Loading...