ผลของการโต้ตอบธรรมที่รุนแรง

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

[ แนะนำเรื่องเด่น ] ​

</TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>บุคคลทั่วไป 3 คน*, วิมุตติ </TD></TR></TBODY></TABLE>

 

อิอิ

 

เฮ้อ... เอาแต่ส่องกันเอง

อืม... แต่ก็ ขำขำ ใช้ได้นะ

 

แบบนี้เขาเรียกว่าอ่านนแล้วตีความสุดโต่งไปตามทัสนะตนเอง ไม่เข้าถึงเนื้อความที่แท้จริงอันบ่งบอกถึงทัสนะอันคับแคบ อ่านแล้วต้องรู้จักพิจารณา ไม่ใช่คิดอะไรแย้งแล้วเหมาว่าความที่เราเข้าใจนั้นเป็นดังความคิดตน เพราะจะกลายเป็น ตรรกะของตนไม่ใช่อรรถที่แท้จริง

 

ขออนุโมทนากับ พระคุณเจ้าSujinno ที่ได้เพียรบำเพ็ญเพื่อความดับทุกข์ ในพระพุทธศาสนาครับ ^-^

 

สืบเนื่องจากลำดับที่ 4 ของกระทู้(หน้าแรก)
แต่ถ้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ตนโดยไม่รับผิดชอบต่อความถูกผิดละ จำได้ว่าชื่อนี้ jinny95<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1545291", true); </SCRIPT> ได้นำพระปลอมออกมาจำหน่ายในเวบพระเครื่อง กรรมท่านได้กระทำแล้วท่านสำนึกบ้างเปล่า
ถ้านึกไม่ออก ยังจำพระผงที่บอกว่ามีรูปคล้ายร.5ได้หรือไม่

แก้ไขข้อมูลและขอภัยคุณjinny95<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1545291", true); </SCRIPT>
จากข้อความข้างบนของข้าพเจ้าที่ได้กล่าวหาคุณjinny95<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1545291", true); </SCRIPT> นั้น ตอนนี้ผมได้ไล่เช็คข้อมูลอย่างละเอียดแล้วjinny95<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1545291", true); </SCRIPT> เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องจริง ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆเลยกับการข้อกล่าวหาดังกล่าว ที่จริงชื่อนั้นเป็นjanny29 ครับ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขออภัยคุณjinny95<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1545291", true); </SCRIPT> ที่ได้ในความเข้าใจผิด กรรมใดๆที่ข้าพเจ้าได้ทำผิดลงไปท่านใดที่ได้กดอนุโมทนาให้แก่คนกลับใจในข้อความกล่าวหานั้นจงอย่าได้มีผลใดๆเลย และขอให้คุณjinny95<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1545291", true); </SCRIPT> ได้โปรดยกโทษและให้อภัยแก่กรรมที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินท่านในครั้งนี้ด้วย

ขอให้คุณjinny95<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1545291", true); </SCRIPT> และครอบครัวจงมีแต่ความสุขความเจริญทั้งในทางโลกและทางธรรม ขอให้มีความก้าวหน้าในธรรมได้ดวงตาเห็นธรรมสู่พระนิพพานในเร็วพลันเทอญ

 

สาธุ......ไม่มีคำว่าสายสำหรับท่านแล้ว....
พ่อคนดีกลับใจ......
ท่านเห็นชื่อคนผิด......ท่านรู้ตัว...
ท่านมาขอโทษ..........ท่านทำดีแล้ว....
ท่านเอย...55+

 

ขออนุโมทนากับ พระคุณเจ้าSujinno ที่ได้เพียรบำเพ็ญเพื่อความดับทุกข์ ในพระพุทธศาสนาครับ

เจริญพร โยม Jinny 95

อาตมาตั้งใจว่าจะเป็นพระที่เป็นพระอาชีพ ไม่ใช่มีอาชีพพระ
สาธุ

 

บทสวดว่า เรารู้สึกนี้ สำหรับคนที่ จิตยังไม่เเตก ยังเป็นมนุษย์ ที่ รัก โลภ โกรธ หลง อยู่

แต่ ของสันโดษ อาการโคม่า จิตแตกกระจาย ถึงขั้น ค้นหา จักรวาล อภิญญาเกิด มนุษย์ต่างดาวมาหา ผี ปีศาจ วิญญาณ นรกแตก ฯลฯ

ต้องบอก สติให้รู้ตัว ว่า สติไม่ได้คิดอะไรนะคะ (ตอนนั้นร้องไห้กอดเข่ากลัวเสียงที่ได้ยินในหัวมั๊กมัก)

ไอ้ที่มันคิดฟุ้งซ่านนะ มันจิต คิด ลิเก หลง โรง

ดูจิต เเบบ Begin นะ แค่ รู้สึกไง เจ็บ เสียใจ อะไร เงี๊ย

เเต่ ดูจิต ของ สันโดษ Advance โดนจิต พาไป ทดสอบหนักหนา

ต้องเตือน สติ ว่าไม่ได้ คิด ดูอย่างเดียวนะเอย นะเอย

 

เมื่อ จิตเป็นใหญ่ สติ หายไป

เมื่อ จิตไม่มีผู้คุม จิตจึงเเสดงอำนาจ

เมื่อ จิตเเสดงอำนาจ จึงรู้ถึงพลังซ่อนเร้น

เมื่อ จิตรู้ถึงพลังซ่อนเร้น จึงรู้ว่าตัวตนเป็นใคร

เมื่อ จิตรู้ว่า ตัวตนเป็นใคร จึงค่อยๆหายไป

เพราะ จิตนั้นรู้เเล้ว ไซร์ว่า พวกเขาไม่มีตัวตน อีกครา

ทุกอย่างจึงหยุดและทำหน้าที่ของตนดังเดิม

จิตรู้ จิตดู จิตเห็น ในสิ่งที่เป็น ปัจจุบัน ไม่มีอะไรมากไปกว่า สิ่งที่ทำ

นั้นคือ การรู้ตัว ณ ปัจจุบัน นะเอย นะเอย


สูงสุด คืน สู่ สามัญ ส่วน สติ ก็ ดู จิต ต่อไป ไม่คิดอะไร เหมือนเดิม

 

บอกเเล้วนะ ว่า จิต คือ คิด

ส่วน สติ คือ รู้

แต่ สิ่งทั้งสองสิ่ง ถึงอยู่รวมกัน เเต่ ก็ ไม่ใช่ สิ่งเดียวกัน

เมื่อ เป็น สติ จึงรู้ว่า จิต ไม่ได้ คิด อะไร

เเละที่ทำก็ เป็น เพียง สิ่งภายนอกที่เข้ามากระทบให้เกิด การกระทำ

ถ้า ไม่มีอะไร เข้ามา กระทบ จิต ก็ ไม่เกิด ความรู้สึก เท่านั้นเอง ง่ายจะตาย

 

ยุง กัด กาย จิตเกิด คัน

คนเหยียบตีน จิตเกิด เเค้น

ของสวยงาม จิตเกิด ชอบ

ของน่ากิน จิตเกิด อยาก

เห็น หรือ ยังว่า จิตไม่ได้คิดอะไร

มีแต่สิ่งอื่นเข้ามาทำให้ เรา คิดทั้งนั้นเลย

ถ้าไม่เห็น ไม่สัมผัส มันก็ไม่เกิด คิด ง่ายจะตาย

 

แปลจาก อินเดียให้ เป็น ภาษาไทย ลีลาวดี

พวกปริยัติสอนกันเองได้ เเต่ ก็ ไม่เข้าใจคำว่า

ไม่คิดอะไรอยู่ดี โฮะ โฮะ โฮะ กระจอก

 

เเจ่ม.................จิต นิ่ง โต้ตอบ ด้วย สติ มิใช่ อารมณ์ นะเอย นะเอย

 

ขอโทษ ไม่ชอบคุยกับคน อินเดีย ไปดีกว่า

 

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

[ แนะนำเรื่องเด่น ] ​

</TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>สันโดษ, รักความสันโดษ, jinny95 </TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

[ แนะนำเรื่องเด่น ] ​

</TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>รักความสันโดษ, อดุลย์ เมธีกุล </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- currently active users -->
<!-- popup menu contents -->

 

ฟู่ว ฟู่ว ฟู่ว ......ซู๊ฟฟฟวววว อย่อย หายเหนื่อย ขอบคุณจ้ะ

 

การเห็นอย่างสนโดษ มันยังไม่พอ มันเป็นการเห็นแบบพื้นฐานธรรมดา

จะกล่าวว่า ผัสสะกระทบ เลยทำให้จิต คิด มันก็ถูก แต่การจะไปดับผัสสะ
นั้นไม่มีทางเป็นไปได้ แล้วจริงๆ จิต มันกระทบผัสสะ แล้วคิด มันมีเหตุมาก
กว่านั้น คือ มันมีความชอบใจ(ตัณหา) หรืออุปทาน หรืออวิชชา(ความไม่รู้)
ซึ่งทั้งสามจะเป็นส่วนทำให้จิต มัน คิด เมื่อเกิดผัสสะกระทบ การดับผัสสะ
จึงไม่ใช่การดบที่เหตุ หากจะดับต้องสาวไปที่ ตัณหา อุปาทาน อวิชชาของ
จิต

แต่การจะสาวตัณหา อุปทาน ของจิตมันทำไม่ได้โดยภาวะไม่เคยอบรมจิต

ตัณหา อุปทาน อวิชชา ที่คนทั่วไปเห็น โดยคิดว่าตัวเองเห็น ล้วนแต่เกิดจาก
ผลที่ทำโดย ตัณหา อุปาทาน อวิชชาในระดับจิตมาก่อนแล้ว เราเพียงแต่รับ
ผลการกระทำเอามารู้ ที่สันโดษเรียกว่า คิด

ตัณหา อุปาทาน อวิชชานั้น กระทำอยู่ในระดับจิต พ้นการรู้แบบคนธรรมที่ไม่
เคยอบรมจิตจะระลึกลงไปดูได้ มันยังลึกกว่านั้น

แต่ไม่ว่าอย่างไร ตัณหา อุปาทาน อวิชชา ก็ไม่ใช่เรื่องจะไปดับมันได้ ถึงลงไปรู้
แล้วก็ดบไม่ได้ การไปดับ หรือ สำคัญว่าดับ จะทำได้กับคนที่ทำสมาธิมาในสาย
ศาสนานิครณฑ์ คือ ทำสมาธิเพื่อน้อมเอานิโรธน แบบดับสัญญา ดับเวทนา ทำให้
เหลือแต่ร่างที่แข็งเป็นหิน พอร่างแข็งเป็นหินก็คิดไปว่านี่คือภาวะพ้นกิเลส กิเลส
มันแทรกไม่ได้หากร่างกายไม่ขยับไปกระทบผัสสะ ไม่ต้องไปได้ยิน ไม่ต้องไปเดิน
ให้ใครเหยียบ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด คิดว่านี้คือ นิพพาน ตามแบบศาสนานิครณฑ์

ทางของพระพุทธองค์ ก็อยู่ตรงตัว สติ ที่สันโดษบอกให้ทิ้ง แต่พระพุทธองค์ไม่ได้
ให้ทิ้ง ให้เอาตัวนั้นมารู้ แทนที่จะหนีทุกข์ ทำสุญญตาสมาบัติ นิพพานสมาบัติ ให้เอา
สติมาระลึกรู้ แค่รู้เท่านั้น จะทำให้เห็นทันทีว่า สิ่งที่พยายามหนี หรือ ไปทำสมาบัติ ล้วน
แต่เป็นสภาวะธรรมที่ใช้ จิต ไปรู้ ไม่มีการละวางจิตจริง จึงไม่ใช่นิพพาน และไม่ใช่
การพ้นกิเลสที่แท้จริง

และการไปรู้ ใช้รู้โดยสติ จะทำให้เห็นว่า อะไรที่ถูกรู้โดยจิต ล้วนแต่เป็นเพียงสภาวะธรรม
ที่ผ่านมาผ่านไป ชั่วคราว จิตมีตัณหาเลยไปหมายเอามารู้ จิตมีอุปทานเลยไปหยิบเอามารู้
จิตมีอวิชชาจึงไปฉวยขึ้นมาเพราะไม่รู้ พอเห็นแบบนี้ เห็นว่ามันเป็นเพียงสภาวะธรรมที่จิต
ไปรู้เข้า แล้วไปฉวยขึ้นมา หากไม่ฉวยมันก็ดับไปเป็นธรรมดา ตรงนี้คือมี วิชชา พอมีวิชชา
ก็จะทำให้จิตไม่ฉวยผิดอีก ทำให้อวิชชาเกิดขึ้นไม่ได้ สังขารก็ไม่เกิด การกระทบก็ไม่เกิด
สัญญาเลยไม่เกิด เวทนาก็ไม่เกิด ภพ ชาติ ก็ไม่เกิด