ลป.สุภา๑๑๑ปี พระสมเด็จ๙อรหันต์ สายกรรมฐาน เหรียญรุ่น๒ลพ.ตั๋ง วัดโพธิ์เอน

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    พระไพรีพินาศ วัดบวรนิเวศวิหาร ๖๘ พรรษา ปี๒๕๓๖
    ให้บูชา 130 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240212_195507.jpg IMG_20240212_195538.jpg IMG_20240212_195438.jpg IMG_20240212_200943.jpg
     
  2. ktv

    ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +1,190
    จอง พระสมเด็จหลวงพ่อชมวัดโป่งนาเกลือปี 33
     
  3. ktv

    ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +1,190
    โอนแล้วครับ 12/02/67 จำนวน 450 บ. เวลา 21.39 น.จัดส่งที่เดิมครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    พระพุทธวิสุทธิเทพ เป็นพระประธานประจำศูนย์วิปัสสนายุวพุทธ ของคุณแม่สิริ กริณชัย

    ประกอบพิธีพุทธาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ปี 2535

    สมเด็จพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากรมหาเถร) ได้มอบพระบรมสารีริกธาตุ บรรจุไว้ในพระทุกองค์

    เนื้อผงอิทธิเจ 100 ปี จากสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรฯ พระสายกรรมฐานทั่วประเทศร่วมอธิษฐานจิต

    ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ดำนินการจัดสร้างศูนย์วิปัสสนากรรมฐานเพื่อสนองกุศลเจตนาของพุทธศาสนิกชนให้ได้มีไอกาสเข้ามาสัมผัสและดื่มรสพระธรรม ตามการเรียกร้องจากสมาชิกประชาชน หน่วยงานองค์กรสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่มีความ
    ประสงค์จะขอเข้ารับการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แต่ทั้งนี้ยังขาดแคลนสถานที่ในการฝึกปฏิบัติ ทางยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย จึงได้จัดสร้าง วัตถุมงคล พระพุทธวิสุทธิเทพ ชนิดโลหะและเนื้อผงอิทธิเจร้อยปี เพื่อสนับสนุนการหาทุนสร้างศูนย์วิปัสสนากรรมฐาน อันจะยังประใยชน์ ต่อพระพุทธศาสนาและสังคมสืบไป
    พระพุทรวิสุทธิเทพชนิดผงอิทธิเจร้อยปีได้รับพระเมตตาประทานพระนามจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก อีกทั้งยังทรงพระเมตตาให้นำอักษรย่อ "ญสส." จารึกไว้ด้านหลังพระเครื่องเพื่อเป็นมิ่งมหามงคลและยังทรงรับเป็นประธานในพิธีมหาพุทธาภิเษก จุดเทียนชัยในวันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎคม 2535 เวลา 13.09 น. โดยมี
    สมด็จพระพุทธปาพจนบดี เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ออกแบบควบคุมการสร้าง ตลอดจนพิธีมหาพุทธาภิเษก และดับเทียนชัย
    เวลา 21:09 น ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
    วัตถุมงคลที่สร้าง ได้บรรจุพระพุทธานุภาพในพระพุทรวิสุทธิเทพ ซึ่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังมราชฯ
    สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี พระเกจิทั่วประเทศร่วมพิธีสมโภชพุทธาภิเษกได้แก่
    หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
    หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม
    หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาลวัน
    หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ
    หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน
    หลวงปู่หลอด วัดใหม่เสนา
    หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม
    และพระเกจิอาจารย์ ภาคต่าง ๆ อธิษฐานจิต ลงเลขยันต์และอักขระหลอมเป็นชนวนในการสร้างพระเครื่องทองคำ เงิน นวะ
    มวลสาร วัตถุมงคลที่สร้างและบรรจุในพระพุทรวิสุทธิเทพ
    เนื้อผงอิทธิเจร้อยปี มีผงอิทริเจร้อยปีสมเด็จพุมาจารย์(โต พรหมรังสี) วัดอินทรวิหาร, วัดใหม่อมตรส, วัดระฆัง, วัดไชโยวรวิหาร, ผงพุทธคุณพระสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี), ผงหักพระสมเด็จ(สุก ไก่เถื่อน) ดอกไม้และผงธูป
    รวมทั้งน้ำพระพุทธมนต์ที่ใช้บูชาพระพุทธรูปจากวัดในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ รวม 41 แห่ง ในองค์พระบรรจุพระธาตุจำนวน 3-5 องค์ ซึ่งได้รับความกรุณาจากพระพุทธปาพจนบดี อัญเชิญบรรจุไว้ทุกองค์
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จพระพุทธวิสุทธิเทพเนื้อผงอิทธิเจบรรจุพระธาตุพิมพ์ใหญ่ องค์นี้พิเศษเห็นพระธาตุชัดเจนใต้ฐาน 3 องค์ สภาพองค์พระสมบูรณ์พิมพ์ใหญ่ แต่กล่องบรรจุแตกชำรุด
    ให้บูชา
    150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240213_011735.jpg IMG_20240213_011800.jpg IMG_20240213_011658.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2024
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    23472007_1923532687675632_1905894844418332082_n (1).jpg 15327318_1513925148636390_3637630174714643600_n.jpg 15420976_1513925425303029_8166201948312875128_n.jpg 15326418_1513925451969693_5982491791462270294_n.jpg
    หลวงพ่อจ้อย สีลเสฏโฐ วัดพันลาน

    บูชาด่วนวัตถุมงคลรุ่นฉลองอายุ 85 ปีหลวงปู่จ้อย สีลเสฏโฐ วัดพันลาน เป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ท่านอนุญาตให้หล่อรูทปเหมือนและทำเหรียญโลหะ ที่ทำจากขันลงหินนำมาหลอมใหม่ ด่วนเชิญบูชาพระสมเด็จรุ่นไตรมาสปี 2529 ปลุกเสกตลอดไตรมาส 3 เดือน พระสมเด็จในรุ่นนี้ได้มีคณะศิษย์ของหลวงปู่จ้อย ได้รวบรวมมวลสารผงวัตถุมงคลและผงพระต่างๆ เช่นพระสมเด็จวัดระฆัง พระสมเด็จวัดอินทรวิหารบางขุนพรหม พระผงแตกหัก ต่างๆ ทั้งผงวิเศษต่างๆมีทั้งผง นะปถมัง นะอธิเจ นะตรีนิสิงเห นะมหาราช เป็นเป็นต้น ได้อาราธนามารวมกันเพื่อนำมาพิมพ์เป็นพระสมเด็จให้หลวงปู่จ้อยปลุกเสกนอกจากนี้แล้วก็ได้ขอเมตตาจากหลวงปู่เพื่อนำเกศาของท่านมาผสมด้วยหลวงปู่ท่านก็อนุญาตและก็มีเมตตามอบผงมงคลของท่านผสมลงไปในพระสมเด็จรุ่นไตรมาสปี 2529 ด้วย และท่านยังเมตตาอธิษฐานจิตเดี่ยว ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง สำหรับพระสมเด็จในรุ่นนี้ เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อหลวงปู่ได้ปลุกเสกพระประมาณ 15 วันได้มีพ่อของเด็กคนหนึ่ง ได้มาขอพระจากหลวงปู่ เพื่อจะไปให้ลูกคล้องคอหลวงปู่ได้มอบพระสมเด็จรุ่นนี้ให้เป็นเลี่ยม ตอนเย็นในวันต่อมา ก็ได้นำตัวลูกของตนมาหาหลวงปู่ ในระหว่างที่นั่งสนทนาธรรมกับหลวงปู่นั้น เด็กน้อยเล่นอยู่บนศาลา ไปเหยียบตรงร่องพลัดตกลงไปใต้ถุนศาลา ซึ่งสูงประมาณ 4 เมตรเศษแล้วไปกระทบกับแท่นหินที่อยู่ข้างล่าง
    ประชาชนที่มาสนทนากับหลวงปู่ในที่นั้น ทั้งหมดตกตะลึงคิดว่าเด็กต้องแย่แน่ๆแล้วแต่เมื่อไปช่วยเด็กปรากฏว่าเด็กไม่เป็นอะไรเลย เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์แก่ผู้พบเห็นอย่างยิ่ง บางคนก็พูดไปต่างๆว่า หลวงปู่ลองของ ทั้งที่หลวงปู่ยังปลุกเสกไม่ครบพรรษาเลย จึงมีคนนำไปบูชาเป็นจำนวนมาก เพราะเชื่อมั่นในพุทธานุภาพ ที่หลวงปู่ได้อธิษฐานจิต ในกาลครั้งนี้หลวงปู่ยังได้ลงตะกรุดโทน ประมาณ 90 ดอก ลูกศิษย์ของหลวงปู่ได้จัดกฐินไปถวายที่วัดพันลาน ตำบลพันลาน อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ใน วันที่ 2 พฤศจิกายน ปีพ.ศ 2529 หลวงปู่จึงมอบวัตถุมงคลรุ่นนี้ ให้แก่ท่านที่ร่วมทำบุญทอดกฐินในครั้งนี้ และคณะ 10 ตกลงกันว่า
    1.ผู้ที่บริจาค 50 บาท จะได้รับสมเด็จ 1 องค์
    2.ผู้ที่บริจาค 100 บาท จะได้รับตระกรุดโทน 1 ดอก

    หลวงปู่จ้อยนับเป็นพระเถระที่ชาวพันล้านเคารพนับถือยิ่งองค์หนึ่งในโอกาสนี้ที่ท่านมีอายุครบ 85 ปีคณะศิษย์ยานุศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือได้พร้อมใจกันทำบุญฉลองอายุของท่านโดยกำหนดใน วันที่ 10 มีนาคมพ.ศ 2530 และได้ขอเมตตาบารมีจากท่านเพื่อทำวัตถุมงคลแจกในงานและให้ท่านที่เคารพนับถือโดยทั่วไปติดตัว เพื่อเป็นสิริมงคลท่านอนุญาตแล้วโดยกำหนดวันทำพิธีปลุกเสกในวันที่ 10 มีนาคมพ.ศ 2530 เวลา 8.00 นาทีถึงเวลา 19.30 นาที โดยได้อาราธนานิมนต์พระเกจิอาจารย์ถ่ายรูปมานั่งปรกปลุกเสกเสริมเพื่อให้เกิดความขลังยิ่งขึ้น

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จรุ่นแรกหลวงพ่อจ้อยวัดพันลานไตรมาส ๒๕๒๙ ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240213_023755.jpg IMG_20240213_023828.jpg IMG_20240213_023720.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2024
  6. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,925
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ขอจองครับ
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    วันนี่จัดส่ง
    1707813411638.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    พระพิฆเนศวัดหน้าพระเมรุรุ่นรวยสุดยอดพิธีใหญ่
    และพระพิฆเนศวัดญาณเสน๒องค์ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240213_173421.jpg IMG_20240213_173442.jpg IMG_20240213_173400.jpg
    IMG_20240213_182749.jpg IMG_20240213_182848.jpg IMG_20240213_182910.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2024
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    FB_IMG_1707829776307.jpg
    พ่อท่านทอง สุสังวโร (หลวงปู่ทวดทอง สุสังวโร)
    วัดป่ากอสุวรรณาราม อ.นาหม่อม จ.สงขลา
    พระอริยะเจ้าโพธิสัตว์แดนใต้ผู้ทรงญาณวิเศษ
    โดย ศุภักษร ลอยสุวรรณ์
    ประวัติของพ่อท่านทอง สุสังวโร...พ่อท่านทอง สุสังวโร เกิดเมื่อวันเสาร์ เดือน 4 ปีระกา พ.ศ. 2452 เป็นบุตรของนายนวน และนางเภาทอง ห่อเพชร บิดาและมารดาของพ่อท่านทอง มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ นายแดง นายทอง (พ่อท่านทอง สุสังวโร) ส่วนคนที่ 3 นั้นเสียชีวิตตั้งแต่เด็กๆ เมื่อพ่อท่านทอง สุสังวโร อายุได้ 3 ขวบ มารดา (นางเภาทอง ห่อเพชร) ได้ถึงแก่กรรม บิดา (นายนวน ห่อเพชร) พาไปฝากไว้กับลุงยอด กับป้าหนุ้ย เลี้ยงที่บ้านลุงและป้าของพ่อท่านทอง สุสังวโร ด้านการศึกษา พออายุได้ 6 ขวบ ลุงยอด ห่อเพชร ได้พาพ่อท่านทองไปเข้าโรงเรียนที่วัดแม่เปียะ พ่อท่านทองเรียนหนังสือยังมิได้จบชั้น ป.4 ป้าดำซึ่งเป็นญาติของอีกคนได้พาพ่อท่านทองไปเรียนอยู่ที่บ้านไร่ คลองปอม ให้พ่อท่านทองช่วยทำไร่จนอายุครบ 20 ปี บรรพชาและอุปสมบท ป้าดำได้ชักนำพ่อท่านทอง กลับมาบวชที่วัดแม่เปียะ ตำบลนาหม่อม อำเภอนาหม่อมจังหวัดสงขลา ในสมัยนั้น มีท่านพระคุณใช้ เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชเมื่อ พ.ศ. 2473 ได้ฉายาว่า พระทอง ธรรมเสโน
    พ่อท่านทอง จำพรรษาอยู่ที่วัดแม่เปียะไม่นาน หลวงพ่อสี ซึ่งเป็นคนแม่เปียะ บวชที่วัดแม่เปียะ แต่ได้ไปสร้างวัดอยู่ที่ประเทศมาเลเซียได้กลับมาเยี่ยมเยียนบ้าน พบพ่อท่านทอง และได้ชวนหลวงปู่ทองไปอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ณ วัดสีตะวัน ปัจจุบัน เรียกว่า...วัดบุญญาราม หรือวัดธรรมนุ่ม คนจีนจะเรียกวัดธรรมบุญ อยู่ที่รัฐอีโป ประเทศมาเลเซีย พ่อท่านทอง อยู่ที่วัดบุญญารามได้ไม่นาน พ่อท่านเพชร สิ้นบุญ (มรณภาพ) ที่วัดแม่เปียะ เผาศพพ่อท่านเพชรที่ต้นโพธิ์ใกล้ ๆ กับวัด นั่นเอง พ่อท่านทอง ได้เดินทางกลับมาที่วัดแม่เปียะ เมื่อพ่อท่านทอง เดินทางมาแล้ว ก็ได้สร้างกุฎิอยู่ที่ต้นโพธิ์ใกล้ๆ เมรุเผาศพของหลวงพ่อเพชร ต่อมามีโยมมาตามหาพ่อท่านเส้ง ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพ่อท่านพลอย ซึ่งท่านเก่งในทางปฏิบัติวิปัสสนา และท่านเป็นคนบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มาอยู่ที่วัดพลีควาย (วัดพรหมประดิษย์ฐาราม) เมื่อได้พบกันแล้ว พ่อท่านทองได้ฟังคำสอนและนึกเลื่อมใสพ่อท่านเส้งสืบหาโยมคนหนึ่ง คือ แม่ชีเนียม พ่อท่านเส้งได้เดินทางมาจังหวัดสงขลา ที่บ้านนายปรีดาได้เจอกับแม่ชีเนียมตอนเช้าออกมาบิณฑบาต พ่อท่านเส้งได้นิมนต์แม่ชีเนียมมาเทศน์ที่วัดพลีควาย เพราะว่า..แม่ชีเนียมทานอาหารเจ ถือปฏิบัติเทศน์สอนประชาชนได้ลึกซึ้ง ชื่อของแม่ชีเนียมโด่งดังมาก แม่ชีเนียมได้รับนิมนต์พ่อท่านเส้งมาเทศน์ที่ วัดพลีควาย พ่อท่านทองไปที่วัดพลีควายที่พ่อท่านเส้งอยู่ได้พบแม่ชีเนียมเป็นครั้งแรก ได้ถามความเป็นจนมาเป็นที่เข้าใจ ต่อจากนั้นไม่นานพ่อท่านเส้งก็กลับ จังหวัดสุราษฏร์ธานี พ่อท่านทอง ก็ออกธุดงค์ไปจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้กราบขอศึกษาวิชาการเป่ากระหม่อมจากพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ ท่านเดินเท้าไปอำเภอทุ่งสง และจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้พบกับพ่อท่านเส้งอีกครั้ง พ่อท่านเส้งลูบหลังพ่อท่านทอง 3 ครั้ง พร้อมกับให้พรแล้วกลับไปบ้านดอน
    พ่อท่านทองได้เดินทางกลับนาม่วง อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา ได้พบกับแม่ชีเนียม ซึ่งกลับจากกรุงเทพมหานคร มาพร้อมกับนายคง แม่ชีเนียมได้ถามพ่อท่านทองว่าปีนี้ท่านจะจำพรรษาที่ไหน พ่อท่านทองตอบว่าท่านจะจำพรรษาที่บ้านไร่ เพราะว่าเป็นบ้านเดิมของป้าดำผู้มีพระคุณ แม่ชีเนียมบอกว่า...อย่าไปคนเดียว จะไม่สบาย แต่พ่อท่านทองบอกว่า...รับปากโยมไว้แล้วก็ต้องไป พอใกล้วันเข้าพรรษาพ่อท่านทองก็ล้มป่วย พระอุปัชฌาย์ช่วยรักษาจนหายจากอาการป่วย ที่วัดแม่เปียะ อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา พ่อท่านทองจึงได้ลาสิกขาบท ออกไปอยู่ที่บ้านของป้าดำ ต่อมาได้ลาป้าดำตั้งใจจะตามหาพ่อท่านเส้ง พ่อท่านทองได้ไปหาแม่ชีเนียมในตัวเมืองสงขลา เมื่อไปถึงบอกความประสงค์กับแม่ชีเนียม แม่ชีบอกจะไปด้วยให้อยู่ที่นี่ก่อนแล้วค่อยไป ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่กับแม่ชีเนียมตลอดมา พ่อท่านทอง อุปสมบทครั้งแรก 7 พรรษา พอสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2484 ช่วงนั้นท่านได้ลาแม่ชีเนียมมาที่นาม่วง อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลาอีกครั้ง
    ต่อมาได้อุปสมบทเป็นครั้งที่ 2 ณ พัทสีมาวัดทุ่งฆ้อโฆษิตาราม มีพระครูวิจารย์ธรรมโฆษิต (แช่ม) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านสุกแก้ว วัดพลีควาย เป็นพระคู่สวด กำนันผ่อง เป็นเจ้าภาพฝ่ายรับรอง ได้รับฉายา สุสังวโร..ประมาณ พ.ศ. 2485 อยู่จำพรรษา 1 พรรษา แล้วไปอยู่ที่วัดพลีควายได้ออกธุดงค์ไปเกาะแก้วพิสดาร จังหวัดภูเก็ต จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดชุมพร จังหวัดสุโขทัย ในสมัยนั้น การเดินทางแสนลำบากสองข้างทางเต็มไปด้วยป่าเขาและสัตว์ดุร้าย แต่ท่านไม่เคยกลัว ท่านเดินทางกลับจากการธุดงค์ก็มาจำพรรษาอยู่ที่พรุเกษา อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา ต่อมาออกจากพรุเกษาก็ก็มาอยู่วัดกลางใจงาม (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งอำเภอนาหม่อม) พอได้ 7 พรรษา ไปอยู่ที่ป่าบ้านนา 2 พรรษา และไปอยู่ที่ป่าช้าวัดโคกนาว อยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัย มอ. หาดใหญ่ ในสมัยก่อนเป็นเป็นป่าช้าใหญ่มาก วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2501-2502 ออกพรรษาไปอยู่บ้านนาทองสุก ตำบลทุ่งขมิ้น อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา อยู่ได้ 9 พรรษา ก็ได้กลับมาอยู่ที่ป่าช้าวัดโคกนาวอีก ครั้งต่อมาได้ออกจากป่าช้าโคกนาว และได้ไปอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี 1 ปี พ่อท่านทองได้กลับมาที่เขารูปช้าง อยู่ได้ 6 พรรษา แล้วมาอยู่ที่ต้นแซะ (ปัจจุบันเป็นสำนักสงฆ์ต้นแซะ ใกล้วัดปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา) อยู่ได้ 2 พรรษา มีพระธุดงค์แนะนำให้ไปหมู่บ้านกระเหรี่ยงแถวจังหวัดเพชรบุรี พ่อท่านทองเกิดล้มป่วยเป็นไข้ป่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด จึงได้ธุดงค์กลับจากหมู่บ้านกระเหรี่ยง เมื่อกลับมาทุกคนช่วยกันรักษาท่านจนหายจากอาการป่วย ด้วยโรคไข้ป่า พ่อท่านทอง สุสังวโร ได้พบญาติ คือ นายแคล้ว อยู่บ้านควนโตน ซึ่งเป็นญาติในฐานะน้องชาย อยู่ได้ไม่กี่วันจึงชวนสามเณร ที่มาพร้อมกับพ่อท่านทองเมื่อธุดงค์มาที่ป่ากอ ซี่งเป็นที่ของนายแดง พ่อท่านทองจึงได้จำวัดที่ป่ากอเนื่องจากเป็นสถานที่สัปปายะสงบสงัด...
    ที่บริเวณป่ากอนี้สมัยก่อน เคยเป็นวัด มีพ่อท่านองค์หนึ่งและสามเณรมาอยู่ในสมัยก่อน เสือได้กินสามเณร พ่อท่านเลยไปจากป่ากอ ต่อมาได้มีนายแดง เป็นคนหนุ่มโสด ยังไม่มีครอบครัว เพื่อนบ้านเรียกว่าท่านแดง ได้พาหลานชื่อ นายสี อินอุทัย มาอยู่ด้วย ตั้งรกราก ช่วยกันทำมาหากิน มีต้นไผ่อยู่หลายกอ พันธุ์ไม้อื่นๆ อีกจำนวนมาก หากใครเข้ามาส่วนใหญ่จะหลงทาง เดินทางกลับไม่ถูก พ่อท่านทอง สุสังวโร รู้ประวัติที่นี่ดี จึงเรียกนายแดง มาคุยเพื่อปลูกศาลา เมื่อพ่อท่านทอง กลับจากธุดงค์จะได้มาพักผ่อนและได้อยู่ใกล้ลูกหลาน เพราะว่าเป็นบ้านเกิด นายแดงได้ยกที่ดินให้ประมาณ 3 ไร่ ในปี พ.ศ. 2518 พ่อท่านทอง สุสังวโร ได้มาจำพรรษาที่วัดป่ากอ เป็นครั้งแรก จึงได้ถือกำเนิดสำนักสงฆ์ป่ากอขึ้นในปีนี้เอง
    ความศรัทธาของชาวต่างชาติที่มีต่อ...พ่อท่านทอง สุสังวโร เป็นพระปฏิบัติเช่นเดียวกับพระนักปฏิบัติโดยทั่วไป ความศรัทธาของประชาชน ชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ได้ฟังธรรมะของพ่อท่านท่านจะแสดงธรรมง่ายๆ ให้นำไปปฏิบัติ เมื่อผู้ฟังนำไปปฏิบัติแล้วก็เกิดผล จึงทำให้ประชาชน
    ชาวต่างชาติได้ทราบกิตติศัพท์ ของพ่อท่านทอง สุสังวโร พากันเดินทางไปนมัสการและฟังธรรมกันจนวัดป่ากอสุวรรณารามเปลี่ยนแปลงจากสำนักสงฆ์ที่ไม่มีถาวรวัตถุจนเวลานี้มีกุฎิ ศาลา และอาคารก่อสร้างต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมายด้วยแรงศรัทธา จากประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งชาวต่างชาติที่เข้ามากราบไหว้พ่อท่านทอง ได้แก่ ชาวมาเลเซีย ชาวสิงคโปร์ ชาวจีนและชาวอินโดนีเซีย นับเป็นความลึกล้ำทางจิตของพระรูปหนึ่งที่ท่านไม่ได้มีเจตนาอยากตั้งตัวเป็นอาจารย์ขลังอะไรหรอก แต่...ด้วยญาณวิเศษของท่านกลับมาบันดาลให้เป็นไปตามครรลองปาฏิหาริย์ เสกเป่าอธิษฐานจิต ก็ขลังขึ้นมาด้วยบารมีพระโพธิสัตว์และพลังกรรมฐาน และดังจนนักธรรมะ นักกรรมฐาน นักปราชญ์ต่างสงกาในพลังบารมี...
    “พ่อท่านทอง” เสกเป่าที่ไหนเป็นต้องเกิดความอัศจรรย์ใจ..เสกน้ำมนต์ด้วยคำอธิษฐานจิตไม่กี่จบ แล้วเป่าเพี้ยง!!! ก็ขลัง รักษาโรคภัย หายป่วยกันทั้งนั้น!!!ท่านให้พรให้มนต์คาถาลงนะหน้าทองด้วยสีผึ้งมหาเสน่ห์เจิมแป้งเสกให้วัตถุมงคลกลับไปก็ร่ำรวยเจริญรุ่งทันตาทันใจ...
    เมื่อครั้งยังทรงสังขารธรรมพ่อท่านมักจะ เดินทางไป วัดศรีมหาโพธิ์ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานีบ่อยๆ เพราะท่านสนิทสนมกับ พ่อท่านแดง วัดศรีมหาโพธิ์ และ เป็นเครือญาติกัน นอกจากนี้ท่านได้รับนิมนต์ไปยังสถานที่ ต่างๆตามแนวชายแดน ไทย-มาเลย์ ท่านจึงมีศิษย์ทางสายมาเลเซีย เป็นจำนวนมาก ท่านเป็นพระที่มี ความเก่งในหลายด้านเช่น ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดี ถือสัตย์ปฏิญาณ ท่านได้ถือสัตย์ปฏิญาณ ฉันท์เจ ตลอดชีวิต...และไม่พูดกล่าวสนทนากับสตรีเพศทั้งต่อหน้าและลับหลัง.ด้วยสัจจาธิษฐานและการถือปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดนี่เองทำให้พ่อท่านมีคุณวิเศษเหนือภิกษุรูปอื่นๆ ทั้งยังเป็นเกจิอาจารย์ที่ปลุกเสก พระเครื่องได้โด่งดังในสายใต้ จะรู้จักพระเครื่องที่ท่านได้ปลุกเสก เช่น หลวงพ่อทวด ลิ้นดำ , เหรียญรุ่นปี2526จะเป็นเหรียญที่นิยมสูง เพราะมีประสบการณ์มาก คนในพื้นที่หากมีเหรียญรุ่นนี้จะหวงแหนเป็นพิเศษ
    วัดป่ากอสุวรรณาราม ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลนาหม่อมเดินทางจากหาดใหญ่มาทางถนนสายเอเชีย หาดใหญ่ – จะนะในวัดมีอุโบสถสวยงามมีพระแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่ศักดิ์สิทธิ์ มีศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนมีที่เคารพนับถือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่จอดรถกว้างมากสะดวกสบาย.
    ผลงานและการกุศลในชีวิตสมณเพศของพ่อท่านทอง สุสังวโร ได้ใช้ชีวิตคุ้มค่าในการปฏิบัติธรรมและบำเพ็ญประโยชน์แก่พระพุทธศานา และประเทศชาติ เฉพาะที่ประมวลในปี พ.ศ. 2542 ได้ช่วยทางราชการเพื่อการกุศล ดังนี้
    - ซื้อที่ดินบ้านชายนา ให้ผู้ใหญ่บ้านทวี รับมอบและสร้างศาลาพักร้อน
    - ซื้อเครื่องเอ็กซเรย์ มอบให้โรงพยาบาลกองบิน 56 อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา
    - ช่วยเหลือชาติ มอบเงินให้นายชวน หลีกภัย (ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) เป็นผู้รับมอบ
    - สร้างที่พักสายตรวจให้ สภอ.นาหม่อม อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา
    - บริจาควัสดุอุปกรณ์ให้แก่โรงพยาบาลนาหม่อม อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา

    วัดป่ากอสุวรรณารามคงมนต์ขลังอมตะ!!!สานุศิษย์ทั้งชาวไทย มาเลเซีย และสิงค์โปร์ต่างศรัทธาเคารพเลื่อมใส..พ่อท่านทอง สุสังวโร ภิกษุผู้มีปฏิปทางดงามแห่งภาคใต้ ประชาชนเชื่อว่าท่านเป็นพระอริยสงฆ์ผู้บรรลุมรรคผลและทรงอภิญญา ท่านคือผู้มีญาณวิเศษติดต่อกับหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดได้..ดังนั้นจึงมีสานุศิษย์เลื่อมใสศรัทธากล่าวขานกันมาก นับตั้งแต่ท่านยังไม่ละสังขาร และก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พุทธบริษัทชาวมาเลเซีย ชาวสิงคโปร์ เดินทางมาแสวงบุญยังวัดป่ากอ...พ่อท่านทอง สุสังวโร อายุ 92 ปี พรรษา 54 อดีตเจ้าอาวาสองค์แรกวัดป่ากอสุวรรณาราม ตำบลนาหม่อม อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา ท่านมรณภาพด้วยอาการสงบเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2543 เวลา 12.08 น. ณ กุฎิของท่านเอง ปัจจุบันร่างสังขารของพ่อท่านบรรจุในโกศทองประดิษฐานบนมณฑปพ่อท่านทอง สภาพสังขารของพ่อท่านแห้งกลายเป็นหิน เส้นผม เล็บมือ เล็บเท้า งอกยาวขึ้น เห็นได้ชัดเจนมาก ทุกวันจะมีบรรดาศิษย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เช่น ชาวมาเลเซีย ชาวจีน ...ชาวสิงคโปร์ เดินทางมาเคารพร่างสังขารของพ่อท่านทอง สุสังวโร จำนวนมากมาย เปรียบเสมือนท่านยังมีชีวิตอยู่.....ท่านมรณภาพด้วยโรคชราภาพ.... เช้าวันที่ท่านละสังขาร ท่านได้กล่าววาจาครั้งสุดท้ายกับศิษยานุศิษย์ที่มาเฝ้าอาการอาพาธของท่าน...และเป็นการเตือนภัยแก่ชาวหาดใหญ่ สงขลา ว่า...ให้ระวังจะเกิดวาตภัย และอุทกภัยใหญ่ภายในหลังจากที่อาตมาภาพละสังขารไปแล้ว ภัยธรรมชาติจะสร้างความสูญสียอย่างใหญ่หลวงมีผู้คนล้มตายจำนวนมาก ประชาชนจะอดอยาก น้ำตานองหน้าไปทั่วทุกหนแห่ง...พ่อท่านทองกล่าวจบแล้ว ได้มีศิษย์ซักถามแต่ท่านไม่ได้พูดอะไร และอีกไม่กี่ชั่วยาม...ท่านก็ละสังขารอย่างสงบดับสิ้นเวทนาทั้งปวง...วันนั้นทางวัดได้จัดพิธีอาบน้ำศพพ่อท่านทอง...พอทำพิธีแล้วเสร็จเท่านั้นแหละ...ฝนฟ้าก็ตกลงมาอย่างหนัก และหนักขึ้นเรื่อย ๆ ติดต่อกันจนเกิดน้ำป่าไหลหลากจมเมืองหาดใหญ่เป็นอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่เป็นครั้งประวัติศาสตร์ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมาก...เรื่องนี้ชาวหาดใหญ่และชาวสงขลาต่างร่ำลือกันยกใหญ่ว่า...พ่อท่านทองมีตาทิพย์สามารถรู้อนาคตกาลกลายเป็นเรื่องกล่าวขานสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้...ท่านแผ่บารมีสร้างบุญมาตลอดชีวิตแม้จะลาโลกท่านก็ยังได้แสดงอภินิหารบอกกล่าวเตือนลูกหลานลูกศิษย์ให้ทราบก่อนที่ท่านจะสิ้นบุญ...ภายหลังที่ท่านมรณภาพทางวัดได้สวดพระอภิธรรมและเก็บศพไว้จนกาลเวลาดำเนินถึงร้อยวันการมรณภาพ...สังขารตอนนั้นที่อยู่ในโลงแก้วบนศาลาการเปรียญ เกิดสิ่งเหนือโลกสามัญเหนือธรรมชาติที่ทำให้บรรดาลูกศิษย์ต้องมุงดูและวิพากษ์วิจารณ์อย่างทึ่ง..ระทึกใจในสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า...นั่นคือ..ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ให้สรีระธรรมของท่านไม่เน่าเปื่อย สังขารของท่านนิ่งสงบไม่ต่างกับตอนที่ท่านยังทรงสังขาร...เนื้อหนังมังสายังคงสภาพไม่แห้งติดกระดูกโดยเฉพาะใบหน้าของท่านยังแลดูอิ่มเอิบเหมือนท่านมีชีวิตลมหายใจแต่เพียงแค่นอนหลับ...ยิ่งกว่านั้นคือ เส้นผมของท่านยาวออกมาได้ทั้ง ๆ ที่ศิษย์ใกล้ชิดยืนยันว่า...พ่อท่านทองท่านได้ปลงเกศาก่อนมรณภาพเพียงวันเดียว..นอกจากนี้เล็บมือเล็บเท้าก็งอกยาวยื่นออกมาด้วย...จึงเป็นที่ร่ำลือไปทั่วภาคใต้ถึงความเป็นอริยสงฆ์ของพ่อท่านทอง การมรณภาพแล้งศพไม่เน่าเปื่อย เส้นผม และเล็บงอกยาวได้โด่งดังไปถึงมาเลเซียและสิงคโปร์ซึ่งคอยฟังดูข่าวคราวของท่านโดยตลอด...เพราะที่มาเลเซีย และสิงคโปร์มีศิษยานุศิษย์เลื่อมใสศรัทธาพ่อท่านทองเป็นจำนวนมากและเขาเหล่านั้นก็มักมานิมนต์ท่านไปประกอบพิธีทางศาสนาอยู่เสมอในยามที่ท่านยังไม่สิ้นบุญ
    คุณงามความดีและอัจฉริยคุณอันยอดยิ่งของ “พ่อท่านทอง” ก็ยังได้จุดประกายแก่ผู้ศรัทธาพระภิกษุสงฆ์ชาวมาเลเซีย ชาวสิงคโปร์ที่มีความเพียรในธรรมและมี “นัยน์ตาถึง” จนมองทะลุถึงอธิคุณพิเศษที่ได้บรรลุธรรมแต่เยาว์พรรษาแห่งพระคุณท่านได้อย่างแจ่มแจ้ง ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในทางธรรมอย่างสำคัญ จนเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ได้เจริญในบวรพระพุทธศาสนาเป็น “พระอริยะ” ชั้นสุดยอดและมีเกียรติคุณเลื่องลือไกลที่สุดก็หลายรูป
    วัดป่ากอสุวรรณาราม ในวันนี้มีพระอาจารย์มหาวิชิต ฐิตธัมโม เปรียญธรรม9ประโยค ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่ากอสุวรรณาราม ยังเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของสงขลา นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียและสิงคโปร์ จำนวนมากยังศรัทธาเข้ามากราบไว้และทำบุญที่วัดแห่งนี้อย่างต่อเนื่องกันเป็นจำนวนมาก ทุกวันจะมีคนหลั่งไหลไปวัดป่ากอไม่เคยขาดเพื่อไปกราบสังขารธรรมพ่อท่านทองและกราบพระครูสุวรรณธรรมรักขิต พระอาจารย์นิพนธ์ รองเจ้าอาวาสวัดป่ากอสุวรรณาราม นาหม่อม สงขลา ซึ่งเป็นศิษย์พ่อท่านทอง สุสังวโร...มีผู้ทุกข์ร้อนมากมายมาพบท่านด้วยปัญหาร้อยแปดพันประการ ทั้งมาอาบน้ำมนต์ ทั้งมาให้พระอาจารย์สักเสกยันต์ปลุกเสกวัตถุมงคล ลงนะหน้าทองตำรับพ่อท่านทอง สุสังวโร คนรับราชการมาให้ท่านเจิมหวังเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง.... สารพัดสารพันกิจธุระ ในวันหนึ่งๆกว่าจะเสร็จกิจสงเคราะห์ให้กับญาติโยมก็เกือบค่ำ...
    พ่อท่านทอง สุสังวโร ท่านสอนศิษย์ให้บำเพ็ญตนเหมือนพระโพธิสัตว์ ช่วยผู้คนให้พ้นบ่วงทุกข์ร้อน ใครนิมนต์ไปไหนก็ไป ไม่มีอะไรมาก เป็นกันเอง...
    ทำบุญอย่างเดียวก็เหมือนหลวงพ่อสมเด็จโตวัดระฆังว่า...
    “เราจะไปขออะไรจากเทพพรหม เทวดาล่ะ บางทีท่านก็ให้ไม่ได้ แต่ถ้าเราไม่ขอแต่มุ่งเน้นทำบุญแต่ประการเดียวเรื่อยๆ ทำจนถึงที่สุด ถึงวาระแล้ว กรรมดีก็ต้องส่งผลมาให้เรา”
    กัลยาณมิตรทานบดี...ท่านใดได้อ่านบัญชรนี้แล้วมีศรัทธาก็ขอเชิญขอพรสร้างบุญที่วัดป่ากอสุวรรณาราม อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา...สาธุขออนุโมทนาบุญ...
    ประวัติ ความเป็นมาครับ
    วัดป่ากอสุวรรณาราม อ.นาหม่อม จ.สงขลา
    พระอริยะเจ้าโพธิสัตว์แดนใต้ผู้ทรงญาณวิเศษ
    โดย ศุภักษร ลอยสุวรรณ์
    ตอน3
    ประวัติของพ่อท่านทอง สุสังวโร...พ่อท่านทอง สุสังวโร เกิดเมื่อวันเสาร์ เดือน 4 ปีระกา พ.ศ. 2452 เป็นบุตรของนายนวน และนางเภาทอง ห่อเพชร บิดาและมารดาของพ่อท่านทอง มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ นายแดง นายทอง (พ่อท่านทอง สุสังวโร) ส่วนคนที่ 3 นั้นเสียชีวิตตั้งแต่เด็กๆ เมื่อพ่อท่านทอง สุสังวโร อายุได้ 3 ขวบ มารดา (นางเภาทอง ห่อเพชร) ได้ถึงแก่กรรม บิดา (นายนวน ห่อเพชร) พาไปฝากไว้กับลุงยอด กับป้าหนุ้ย เลี้ยงที่บ้านลุงและป้าของพ่อท่านทอง สุสังวโร ด้านการศึกษา พออายุได้ 6 ขวบ ลุงยอด ห่อเพชร ได้พาพ่อท่านทองไปเข้าโรงเรียนที่วัดแม่เปียะ พ่อท่านทองเรียนหนังสือยังมิได้จบชั้น ป.4 ป้าดำซึ่งเป็นญาติของอีกคนได้พาพ่อท่านทองไปเรียนอยู่ที่บ้านไร่ คลองปอม ให้หลวงปู่ทองช่วยทำไร่จนอายุครบ 20 ปี บรรพชาและอุปสมบท ป้าดำได้ชักนำพ่อท่านทอง กลับมาบวชที่วัดแม่เปียะ ตำบลนาหม่อม อำเภอนาหม่อมจังหวัดสงขลา ในสมัยนั้น มีท่านพระคุณใช้ เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชเมื่อ พ.ศ. 2473 ได้ฉายาว่า พระทอง ธรรมเสโน
    พ่อท่านทอง จำพรรษาอยู่ที่วัดแม่เปียะไม่นาน หลวงพ่อสี ซึ่งเป็นคนแม่เปียะ บวชที่วัดแม่เปียะ แต่ได้ไปสร้างวัดอยู่ที่ประเทศมาเลเซียได้กลับมาเยี่ยมเยียนบ้าน พบพ่อท่านทอง และได้ชวนหลวงปู่ทองไปอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ณ วัดสีตะวัน ปัจจุบัน เรียกว่า...วัดบุญญาราม หรือวัดธรรมนุ่ม คนจีนจะเรียกวัดธรรมบุญ อยู่ที่รัฐอีโป ประเทศมาเลเซีย พ่อท่านทอง อยู่ที่วัดบุญญารามได้ไม่นาน พ่อท่านเพชร สิ้นบุญ (มรณภาพ) ที่วัดแม่เปียะ เผาศพพ่อท่านเพชรที่ต้นโพธิ์ใกล้ ๆ กับวัด นั่นเอง พ่อท่านทอง ได้เดินทางกลับมาที่วัดแม่เปียะ เมื่อพ่อท่านทอง เดินทางมาแล้ว ก็ได้สร้างกุฎิอยู่ที่ต้นโพธิ์ใกล้ๆ เมรุเผาศพของหลวงพ่อเพชร ต่อมามีโยมมาตามหาพ่อท่านเส้ง ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพ่อท่านพลอย ซึ่งท่านเก่งในทางปฏิบัติวิปัสสนา และท่านเป็นคนบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มาอยู่ที่วัดพลีควาย (วัดพรหมประดิษย์ฐาราม) เมื่อได้พบกันแล้ว พ่อท่านทองได้ฟังคำสอนและนึกเลื่อมใสพ่อท่านเส้งสืบหาโยมคนหนึ่ง คือ แม่ชีเนียม พ่อท่านเส้งได้เดินทางมาจังหวัดสงขลา ที่บ้านนายปรีดาได้เจอกับแม่ชีเนียมตอนเช้าออกมาบิณฑบาต พ่อท่านเส้งได้นิมนต์แม่ชีเนียมมาเทศน์ที่วัดพลีควาย เพราะว่า..แม่ชีเนียมทานอาหารเจ ถือปฏิบัติเทศน์สอนประชาชนได้ลึกซึ้ง ชื่อของแม่ชีเนียมโด่งดังมาก แม่ชีเนียมได้รับนิมนต์พ่อท่านเส้งมาเทศน์ที่ วัดพลีควาย พ่อท่านทองไปที่วัดพลีควายที่พ่อท่านเส้งอยู่ได้พบแม่ชีเนียมเป็นครั้งแรก ได้ถามความเป็นจนมาเป็นที่เข้าใจ ต่อจากนั้นไม่นานพ่อท่านเส้งก็กลับ จังหวัดสุราษฏร์ธานี พ่อท่านทอง ก็ออกธุดงค์ไปจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้กราบขอศึกษาวิชาการเป่ากระหม่อมจากพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ ท่านเดินเท้าไปอำเภอทุ่งสง และจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้พบกับพ่อท่านเส้งอีกครั้ง พ่อท่านเส้งลูบหลังพ่อท่านทอง 3 ครั้ง พร้อมกับให้พรแล้วกลับไปบ้านดอน
    พ่อท่านทองได้เดินทางกลับนาม่วง อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา ได้พบกับแม่ชีเนียม ซึ่งกลับจากกรุงเทพมหานคร มาพร้อมกับนายคง แม่ชีเนียมได้ถามพ่อท่านทองว่าปีนี้ท่านจะจำพรรษาที่ไหน พ่อท่านทองตอบว่าท่านจะจำพรรษาที่บ้านไร่ เพราะว่าเป็นบ้านเดิมของป้าดำผู้มีพระคุณ แม่ชีเนียมบอกว่า...อย่าไปคนเดียว จะไม่สบาย แต่พ่อท่านทองบอกว่า...รับปากโยมไว้แล้วก็ต้องไป พอใกล้วันเข้าพรรษาพ่อท่านทองก็ล้มป่วย พระอุปัชฌาย์ช่วยรักษาจนหายจากอาการป่วย ที่วัดแม่เปียะ อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา พ่อท่านทองจึงได้ลาสิกขาบท ออกไปอยู่ที่บ้านของป้าดำ ต่อมาได้ลาป้าดำตั้งใจจะตามหาพ่อท่านเส้ง พ่อท่านทองได้ไปหาแม่ชีเนียมในตัวเมืองสงขลา เมื่อไปถึงบอกความประสงค์กับแม่ชีเนียม แม่ชีบอกจะไปด้วยให้อยู่ที่นี่ก่อนแล้วค่อยไป ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่กับแม่ชีเนียมตลอดมา พ่อท่านทอง อุปสมบทครั้งแรก 7 พรรษา พอสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2484 ช่วงนั้นท่านได้ลาแม่ชีเนียมมาที่นาม่วง อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลาอีกครั้ง
    ต่อมาได้อุปสมบทเป็นครั้งที่ 2 ณ พัทสีมาวัดทุ่งฆ้อโฆษิตาราม มีพระครูวิจารย์ธรรมโฆษิต (แช่ม) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านสุกแก้ว วัดพลีควาย เป็นพระคู่สวด กำนันผ่อง เป็นเจ้าภาพฝ่ายรับรอง ได้รับฉายา สุสังวโร..ประมาณ พ.ศ. 2485 อยู่จำพรรษา 1 พรรษา แล้วไปอยู่ที่วัดพลีควายได้ออกธุดงค์ไปเกาะแก้วพิสดาร จังหวัดภูเก็ต จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดชุมพร จังหวัดสุโขทัย ในสมัยนั้น การเดินทางแสนลำบากสองข้างทางเต็มไปด้วยป่าเขาและสัตว์ดุร้าย แต่ท่านไม่เคยกลัว ท่านเดินทางกลับจากการธุดงค์ก็มาจำพรรษาอยู่ที่พรุเกษา อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา ต่อมาออกจากพรุเกษาก็ก็มาอยู่วัดกลางใจงาม (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งอำเภอนาหม่อม) พอได้ 7 พรรษา ไปอยู่ที่ป่าบ้านนา 2 พรรษา และไปอยู่ที่ป่าช้าวัดโคกนาว อยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัย มอ. หาดใหญ่ ในสมัยก่อนเป็นเป็นป่าช้าใหญ่มาก วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2501-2502 ออกพรรษาไปอยู่บ้านนาทองสุก ตำบลทุ่งขมิ้น อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา อยู่ได้ 9 พรรษา ก็ได้กลับมาอยู่ที่ป่าช้าวัดโคกนาวอีก ครั้งต่อมาได้ออกจากป่าช้าโคกนาว และได้ไปอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี 1 ปี พ่อท่านทองได้กลับมาที่เขารูปช้าง อยู่ได้ 6 พรรษา แล้วมาอยู่ที่ต้นแซะ (ปัจจุบันเป็นสำนักสงฆ์ต้นแซะ ใกล้วัดปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา) อยู่ได้ 2 พรรษา มีพระธุดงค์แนะนำให้ไปหมู่บ้านกระเหรี่ยงแถวจังหวัดเพชรบุรี พ่อท่านทองเกิดล้มป่วยเป็นไข้ป่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด จึงได้ธุดงค์กลับจากหมู่บ้านกระเหรี่ยง เมื่อกลับมาทุกคนช่วยกันรักษาท่านจนหายจากอาการป่วย ด้วยโรคไข้ป่า พ่อท่านทอง สุสังวโร ได้พบญาติ คือ นายแคล้ว อยู่บ้านควนโตน ซึ่งเป็นญาติในฐานะน้องชาย อยู่ได้ไม่กี่วันจึงชวนสามเณร ที่มาพร้อมกับพ่อท่านทองเมื่อธุดงค์มาที่ป่ากอ ซี่งเป็นที่ของนายแดง พ่อท่านทองจึงได้จำวัดที่ป่ากอเนื่องจากเป็นสถานที่สัปปายะสงบสงัด...
    ที่บริเวณป่ากอนี้สมัยก่อน เคยเป็นวัด มีพ่อท่านองค์หนึ่งและสามเณรมาอยู่ในสมัยก่อน เสือได้กินสามเณร พ่อท่านเลยไปจากป่ากอ ต่อมาได้มีนายแดง เป็นคนหนุ่มโสด ยังไม่มีครอบครัว เพื่อนบ้านเรียกว่าท่านแดง ได้พาหลานชื่อ นายสี อินอุทัย มาอยู่ด้วย ตั้งรกราก ช่วยกันทำมาหากิน มีต้นไผ่อยู่หลายกอ พันธุ์ไม้อื่นๆ อีกจำนวนมาก หากใครเข้ามาส่วนใหญ่จะหลงทาง เดินทางกลับไม่ถูก พ่อท่านทอง สุสังวโร รู้ประวัติที่นี่ดี จึงเรียกนายแดง มาคุยเพื่อปลูกศาลา เมื่อพ่อท่านทอง กลับจากธุดงค์จะได้มาพักผ่อนและได้อยู่ใกล้ลูกหลาน เพราะว่าเป็นบ้านเกิด นายแดงได้ยกที่ดินให้ประมาณ 3 ไร่ ในปี พ.ศ. 2518 พ่อท่านทอง สุสังวโร ได้มาจำพรรษาที่วัดป่ากอ เป็นครั้งแรก จึงได้ถือกำเนิดสำนักสงฆ์ป่ากอขึ้นในปีนี้เอง
    ความศรัทธาของชาวต่างชาติที่มีต่อ...พ่อท่านทอง สุสังวโร เป็นพระปฏิบัติเช่นเดียวกับพระนักปฏิบัติโดยทั่วไป ความศรัทธาของประชาชน ชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ได้ฟังธรรมะของพ่อท่านท่านจะแสดงธรรมง่ายๆ ให้นำไปปฏิบัติ เมื่อผู้ฟังนำไปปฏิบัติแล้วก็เกิดผล จึงทำให้ประชาชน
    ชาวต่างชาติได้ทราบกิตติศัพท์ ของพ่อท่านทอง สุสังวโร พากันเดินทางไปนมัสการและฟังธรรมกันจนวัดป่ากอสุวรรณารามเปลี่ยนแปลงจากสำนักสงฆ์ที่ไม่มีถาวรวัตถุจนเวลานี้มีกุฎิ ศาลา และอาคารก่อสร้างต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมายด้วยแรงศรัทธา จากประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งชาวต่างชาติที่เข้ามากราบไหว้พ่อท่านทอง ได้แก่ ชาวมาเลเซีย ชาวสิงคโปร์ ชาวจีนและชาวอินโดนีเซีย นับเป็นความลึกล้ำทางจิตของพระรูปหนึ่งที่ท่านไม่ได้มีเจตนาอยากตั้งตัวเป็นอาจารย์ขลังอะไรหรอก แต่...ด้วยญาณวิเศษของท่านกลับมาบันดาลให้เป็นไปตามครรลองปาฏิหาริย์ เสกเป่าอธิษฐานจิต ก็ขลังขึ้นมาด้วยบารมีพระโพธิสัตว์และพลังกรรมฐาน และดังจนนักธรรมะ นักกรรมฐาน นักปราชญ์ต่างสงกาในพลังบารมี...
    “พ่อท่านทอง” เสกเป่าที่ไหนเป็นต้องเกิดความอัศจรรย์ใจ..เสกน้ำมนต์ด้วยคำอธิษฐานจิตไม่กี่จบ แล้วเป่าเพี้ยง!!! ก็ขลัง รักษาโรคภัย หายป่วยกันทั้งนั้น!!!ท่านให้พรให้มนต์คาถาลงนะหน้าทองด้วยสีผึ้งมหาเสน่ห์เจิมแป้งเสกให้วัตถุมงคลกลับไปก็ร่ำรวยเจริญรุ่งทันตาทันใจ...
    เมื่อครั้งยังทรงสังขารธรรมพ่อท่านมักจะ เดินทางไป วัดศรีมหาโพธิ์ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานีบ่อยๆ เพราะท่านสนิทสนมกับ พ่อท่านแดง วัดศรีมหาโพธิ์ และ เป็นเครือญาติกัน นอกจากนี้ท่านได้รับนิมนต์ไปยังสถานที่ ต่างๆตามแนวชายแดน ไทย-มาเลย์ ท่านจึงมีศิษย์ทางสายมาเลเซีย เป็นจำนวนมาก ท่านเป็นพระที่มี ความเก่งในหลายด้านเช่น ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดี ถือสัตย์ปฏิญาณ ท่านได้ถือสัตย์ปฏิญาณ ฉันท์เจ ตลอดชีวิต...และไม่พูดกล่าวสนทนากับสตรีเพศทั้งต่อหน้าและลับหลัง.ด้วยสัจจาธิษฐานและการถือปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดนี่เองทำให้พ่อท่านมีคุณวิเศษเหนือภิกษุรูปอื่นๆ ทั้งยังเป็นเกจิอาจารย์ที่ปลุกเสก พระเครื่องได้โด่งดังในสายใต้ จะรู้จักพระเครื่องที่ท่านได้ปลุกเสก เช่น หลวงพ่อทวด ลิ้นดำ , เหรียญรุ่นปี2526จะเป็นเหรียญที่นิยมสูง เพราะมีประสบการณ์มาก คนในพื้นที่หากมีเหรียญรุ่นนี้จะหวงแหนเป็นพิเศษ
    วัดป่ากอสุวรรณาราม ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลนาหม่อมเดินทางจากหาดใหญ่มาทางถนนสายเอเชีย หาดใหญ่ – จะนะในวัดมีอุโบสถสวยงามมีพระแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่ศักดิ์สิทธิ์ มีศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนมีที่เคารพนับถือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่จอดรถกว้างมากสะดวกสบาย.
    ผลงานและการกุศลในชีวิตสมณเพศของพ่อท่านทอง สุสังวโร ได้ใช้ชีวิตคุ้มค่าในการปฏิบัติธรรมและบำเพ็ญประโยชน์แก่พระพุทธศานา และประเทศชาติ เฉพาะที่ประมวลในปี พ.ศ. 2542 ได้ช่วยทางราชการเพื่อการกุศล ดังนี้
    - ซื้อที่ดินบ้านชายนา ให้ผู้ใหญ่บ้านทวี รับมอบและสร้างศาลาพักร้อน
    - ซื้อเครื่องเอ็กซเรย์ มอบให้โรงพยาบาลกองบิน 56 อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา
    - ช่วยเหลือชาติ มอบเงินให้นายชวน หลีกภัย (ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) เป็นผู้รับมอบ
    - สร้างที่พักสายตรวจให้ สภอ.นาหม่อม อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา
    - บริจาควัสดุอุปกรณ์ให้แก่โรงพยาบาลนาหม่อม อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา

    วัดป่ากอสุวรรณารามคงมนต์ขลังอมตะ!!!สานุศิษย์ทั้งชาวไทย มาเลเซีย และสิงค์โปร์ต่างศรัทธาเคารพเลื่อมใส..พ่อท่านทอง สุสังวโร ภิกษุผู้มีปฏิปทางดงามแห่งภาคใต้ ประชาชนเชื่อว่าท่านเป็นพระอริยสงฆ์ผู้บรรลุมรรคผลและทรงอภิญญา ท่านคือผู้มีญาณวิเศษติดต่อกับหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดได้..ดังนั้นจึงมีสานุศิษย์เลื่อมใสศรัทธากล่าวขานกันมาก นับตั้งแต่ท่านยังไม่ละสังขาร และก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พุทธบริษัทชาวมาเลเซีย ชาวสิงคโปร์ เดินทางมาแสวงบุญยังวัดป่ากอ...พ่อท่านทอง สุสังวโร อายุ 92 ปี พรรษา 54 อดีตเจ้าอาวาสองค์แรกวัดป่ากอสุวรรณาราม ตำบลนาหม่อม อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา ท่านมรณภาพด้วยอาการสงบเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2543 เวลา 12.08 น. ณ กุฎิของท่านเอง ปัจจุบันร่างสังขารของพ่อท่านบรรจุในโกศทองประดิษฐานบนมณฑปพ่อท่านทอง สภาพสังขารของพ่อท่านแห้งกลายเป็นหิน เส้นผม เล็บมือ เล็บเท้า งอกยาวขึ้น เห็นได้ชัดเจนมาก ทุกวันจะมีบรรดาศิษย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เช่น ชาวมาเลเซีย ชาวจีน ...ชาวสิงคโปร์ เดินทางมาเคารพร่างสังขารของพ่อท่านทอง สุสังวโร จำนวนมากมาย เปรียบเสมือนท่านยังมีชีวิตอยู่.....ท่านมรณภาพด้วยโรคชราภาพ.... เช้าวันที่ท่านละสังขาร ท่านได้กล่าววาจาครั้งสุดท้ายกับศิษยานุศิษย์ที่มาเฝ้าอาการอาพาธของท่าน...และเป็นการเตือนภัยแก่ชาวหาดใหญ่ สงขลา ว่า...ให้ระวังจะเกิดวาตภัย และอุทกภัยใหญ่ภายในหลังจากที่อาตมาภาพละสังขารไปแล้ว ภัยธรรมชาติจะสร้างความสูญสียอย่างใหญ่หลวงมีผู้คนล้มตายจำนวนมาก ประชาชนจะอดอยาก น้ำตานองหน้าไปทั่วทุกหนแห่ง...พ่อท่านทองกล่าวจบแล้ว ได้มีศิษย์ซักถามแต่ท่านไม่ได้พูดอะไร และอีกไม่กี่ชั่วยาม...ท่านก็ละสังขารอย่างสงบดับสิ้นเวทนาทั้งปวง...วันนั้นทางวัดได้จัดพิธีอาบน้ำศพพ่อท่านทอง...พอทำพิธีแล้วเสร็จเท่านั้นแหละ...ฝนฟ้าก็ตกลงมาอย่างหนัก และหนักขึ้นเรื


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญกะไหล่ทองลงยาสีแดง หลังหนุมาน พ่อท่านทองวัดป่ากอ นาหม่อม สงขลา
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240213_194706.jpg IMG_20240213_194735.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    fb_img_1707674627335-jpg.jpg


    ประวัติของหลวงพ่อพยุง สุนฺทโร วัดบัลลังก์ อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี ตอนที่ ๑. ปฐมวัย หลวงพ่อท่านมีนามเดิมว่า พยุง เกตุประทุม ท่านเป็นชาวสุพรรณบุรีโดยกำเนิด ท่านเป็นบุตรของ นายเจิม นางปั่น เกตุประทุม ตามหลักฐานที่บันทึกไว้ในสมุดข่อยซึ่งน่าจะเป็นลายมือของบิดาท่านได้บันทึกไว้ว่า ท่านเกิดเมื่อ วันศุกร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะแม พ.ศ.๒๔๗๔ ที่บ้านปู่เจ้า อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี (แล้วย้ายมาทำนาที่บ้านห้วยมะซาง)แต่เมื่อตรวจสอบทางปฏิทิน ๑๐๐ ปีแล้ว ในปี ๒๔๗๔ นั้น ไม่มีวันศุกร์ที่ตรงกับขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๗ เลย แต่ไปปรากฏอยู่ในปีถัดไปคือ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ปี ๒๔๗๕ ตรงกับ วันศุกร์ ขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๗ ตามหลักฐานการเกิดของท่าน หลวงพ่อท่านมีพี่น้องรวมกัน ๗ คน คือ ๑.นายน้อม พลอยสุข ๒.นางน่วม เกตุประทุม ๓.นางเนี่ยม จันทนา ๔.นางละออง เกตุประทุม ๕.หลวงพ่อพยุง สุนฺทโร ๖.นายประคอง เกตุประทุม ๗.นายสุรินทร์ พลอยสุข วัยเด็กของท่านนั้น ท่านเป็นคนสุภาพ ใฝ่รู้ ขยันหมั่นเพียร ตื่นแต่เช้า ทำอะไรทำจริงเมื่อท่านตั้งใจทำงานอะไรแล้วถ้าไม่เสร็จจะไม่ยอมเลิกเด็ดขาด ท่านมีความอดทนไม่หวั่นต่ออากาศร้อนหนาว จึงเป็นที่รักใคร่ของบิดามารดาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถึงเกณฑ์ที่เข้ารับการศึกษาบิดาจึงส่งเข้าเรียนที่โรงเรียนวัดบัลลังก์ แต่เรียนได้แค่ ป.๓ คืออายุได้ ๙ ปี ในช่วงปิดเทอมในเดือน เมษายน ท่านไปเลี้ยงควายกับนางโน้มพี่สาวของท่าน ช่วงเย็นระหว่างกลับบ้านท่านขี่หลังควายมาด้วย อาจเป็นเพราะว่าเหนื่อยจากการตากแดดตากลมและตื่นแต่เช้าด้วย ทำให้ท่านเพลียจึงหลับมาบนหลังควาย เมื่อควายข้ามคันนา ท่านจึงตกจากหลังควายทำให้ช้ำใน นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาท่านจึงเป็นโรคหอบหืดอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอากาศหนาวๆอาการจะกำเริบจนไม่ได้หลับได้นอนเพราะหายใจไม่ออก จึงไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้อีก แต่บิดาของท่านมีความรู้เกี่ยวกับการรักษาด้านสมุนไพรและคาถาอาคม ตลอดทั้งอักระเลขยันต์และการทำนาย เห็นว่าบุตรชายมีความสนใจเรียนจึงถ่ายทอดวิชาต่างๆให้ โดยเฉพาะวิชาการทำนายแบบ จันทกลา คือการดูลมหายใจเข้าออกแบบวิปัสสนาณาณ ท่านจะสนใจเป็นพิเศษ ท่านเล่าว่าการเพ่งดูลมหายใจเข้าออกนี้ทำให้จิตเป็นสมาธิและเข้าสู่ฌาณได้เร็ว ท่านทำเป็นปกติไม่ว่าจะอยู่ในอริยาบทใด ท่านเล่าว่าไปเลี้ยงควายก็ปล่อยให้มันกินหญ้าไปส่วนเราก็นั่งสมาธิดูลมกายใจไปจนจิตนิ่งสงบมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมทั้งหลับตาและลืมตา ท่านจึงลองเพ่งกิ่งไม้มะซางที่ห้อยลงมาแล้วพิจารณา เมื่อเราจะตัดกิ่งไม้นั้นให้ขาดเราเพ่งดูแล้วนึกว่าขาด กิ่งไม้นั้นก็ขาดทันที ทำให้อัศจรรย์ในสมาธิเป็นอย่างยิ่ง เมื่อจิตถึงจุดนี้แล้วทำให้มีความศรัทธาในพระรัตนตรัยเป็นอย่างยิ่ง จึงตั้งความปรารถนาว่าจะบวชให้จงได้ แต่เนื่องจากตัวท่านไม่แข็งแรงด้วย และต้องช่วยทางบ้านด้วยจึงไม่สามารถออกบวชได้ในขณะนั้น อีกประการหนึ่งครอบครัวของท่านก็ชอบทำบุญให้ทานรักษาศีลอยู่เนืองนิจ ฝึกหัดอยู่ที่บ้านนั้นเอง จึงนับได้ว่าท่านเกิดในตระกูลที่ดี เป็นสัมมาทิฏฐิ ทั้งครอบครัว..สมดังมงคลข้อที่ว่า ปฏิรูปเทสวาโส นั่นเอง....โปรดติดตามตอนต่อไปนะ
    ..ประวัติของหลวงพ่อพยุง สุนทโร ตอนที่ ๒ อุปสมบท หลังจากช่วยงานบิดามารดาและศึกษาวิชาความรู้จากบิดาด้วยความเอาใจใส่อยู่เป็นนิจตามปกตินิสัยของท่านแล้ว เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีจึงขออนุญาติบิดามารดาไปบวช ตามความตั้งใจเดิมที่มีมาตั้งแต่เด็ก นายเจิมและนางปั่น เกตุประทุม ผู้เป็นบิดามารดา มีความยินดีเป็นยิ่งนัก จึงไปปรึกษากับเจ้าอาวาสวัดหนองหลวง เรื่องการบวชและเดินทางไปนิมนต์พระครูศรีคณานุรักษ์(หลวงพ่อสม คงฺคสุวณฺโณ)พระอุปัชฌาย์ วัดดอนบุพผาราม อ.ศรีประจันต์ เพื่อกำหนดวันบวช สมัยนั้ยหนทางสัญจรไปมาลำบาก ถ้าไม่เดินก็ต้องใช้วัวเทียมเกวียน และพระอุปัชฌาย์ก็มีอยู่เพียงรูปเดียวคือหลวงพ่อสมเท่านั้น จะจัดงานบวชแต่ละครั้งก็ต้องบวชพร้อมกันหลายองค์ เพราะวัดพระอุปัชฌาย์อยู่ไกลไปมาลำบาก ไม่สะดวกสบายเหมือนปัจจุบัน เมื่อกำหนดวันบวชแล้วจึงนำท่านไปฝากวัดเพื่อฝึกหัดท่องขานนาคและดูอุปนิสัย ท่านเล่าว่าการบวชในสมัยนั้นต้องท่องขานนาคให้ได้ด้วยตนเอง เพราะเวลาบวชไม่มีใครสอน ไม่ได้บอกไม่ได้สอนกันทีละคำเหมือนสมัยนี้ ใครท่องไม่ได้พระอุปัชฌาย์ก็ไม่บวชให้ ดังนั้นผู้ใดจะบวชต้องมีศรัทธาและความเพียรอย่างจริงจัง ในปีนั้นมีนาคที่จะบวชในคราวเดียวกัน ๒๐ องค์ เมื่อถึงกำหนดท่านจึงอุปสมบทในวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๔ ณ.วัดหนองหลวง อ.สามชุก (ปัจจุบันอยู่ในเขตอ.หนองหญ้าไซ) โดยมีพระครูศรีคณานุรักษ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาผล วัดพังม่วง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดเตี้ยม อาภสฺสโร วัดดอนบุพผาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายานามว่า สุนฺทโร เมื่อบวชแล้วท่านจึงเดินทางไปจำพรรษาที่วัดปู่เจ้า อ.ศรีประจันต์ อันเป็นบ้านเกิดและเป็นบ้านมารดาของท่าน อีกทั้งญาติพี่น้องก็อยู่อาศัยที่บ้านปู่เจ้ากันมาก....โปรดติดตามตอนต่อไป
    ประวัติหลวงพ่อพยุง สุนฺทโร ตอนที่ ๓ หลังจากบวชแล้วท่านมีความปรารถนาที่จะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้ถึงมรรคผลนิพพานในชาตินี้จึงมุ่งมั่นฝึกฝนตนเองตามธรรมวินัย แต่เนื่องจากไม่มีพระที่ชำนาญในด้านนี้โดยตรง เจ้าอาวาสเห็นความตั้งใจของท่านที่เด็ดเดี่ยวจริงจังจึงแนะนำให้ไปศึกษาวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อสด ที่วัดปากน้ำ เมื่อออกพรรษาที่วัดปู่เจ้าแล้วปลายปี พ.ศ.๒๔๙๕ จึงกราบลาเจ้าอาวาสเพื่อเดินทางไปศึกษาวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อสด จนฺทสโร วัดปากน้ำภาษีเจริญ เมื่อกราบเรียนจุดประสงค์ให้หลวงพ่อสดทราบแล้ว ท่านมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่คนบ้านเดียวกันมีความสนใจ จึงได้แนะนำด้วยความเมตตา เมื่อฝึกหัดตามแนวทางของหลวงพ่อสดได้แล้วสภาวจิตของท่านก็เข้าสู่สมาธิได้เร็วยิ่งขึ้น จนสำเร็จวิชาธรรมกายดังใจหวัง เมื่อกราบเรียนความเป็นไปของจิตที่ปฏิบัติมาให้หลวงพ่อสดทราบ ท่านก็กล่าวชืนชมอย่างมีเมตตาว่า" เออ..ท่านพยุงนี่มีความตั้งใจดี เอาล่ะใช้ได้ ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งของญาติโยม" เมื่อพิจารณาคำของหลวงพ่อสดแล้ว สามารถตีความได้สองนัยคือ ๑.หลวงพ่อสดท่านชื่นชมในความตั้งใจที่ปฏิบัติจริง ๒.หลวงพ่อสดท่านเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าว่าท่านจะบวชไม่สึกจึงพยากรณ์ว่าจะได้เป็นที่พึ่งของญาติโยม ดังนี้ เมื่อเรียนวิชาธรรมกายจนได้ผลเป็นที่พอใจแล้วจึงกราบลาเจ้าหลวงพ่อสดกลับไปยังวัดปู่เจ้าอีกครั้งหนึ่ง รวมเวลาที่ท่านได้ศึกษาอยู่กับหลวงพ่อสดที่วัดปากน้ำเป็นเวลา ๔ เดือน....
    ประวัติ หลวงพ่อพยุง สุนฺทโร ตอนที่ ๔ ในปีพ.ศ.๒๔๙๘ อันเป็นพรรษาที่ ๕ ทางวัดบัลลังก์ขาดพระคอยดูแลเพราะพระพร มุนินาโภ เจ้าอาวาสได้ลาสิกขาไป ญาติโยมจึงพร้อมใจกันไปกราบอาราธนานิมนต์หลวงพ่อซึ่งขณะนั้นอยู่ที่วัดปู่เจ้า ให้มาช่วยดูแลวัดบัลลังก์เพื่อโยมจะได้มีโอกาสทำบุญตักบาตรสืบต่อไป สภาพวัดบัลลังก์ในขณะนั้นมีเพียงแท่นหินศิลาแลงที่ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่มาของการสร้างวัดอยู่ในเพิงเล็กๆ กับศาลาดินและกุฏิมุงแฝกเพียงสองหลังเท่านั้น เมื่อท่านมาอยู่ก็เริ่มพัฒนาวัดขึ้นเรื่อยๆ วัดในถิ่นทุรกันดารอย่างวัดบัลลังก์นั้นยากที่จะหาพระมาอยู่ได้เพราะไม่มีเอกลาภอะไร มีเพียงอาหารบิณฑบาตรที่พอฉันเพียงวันละมื้อเท่านนั้น ซึ่งท่านก็มีความพึงพอใจเพราะท่านถือธุดงควัตรเป็นประจำอยู่แล้วจึงไม่เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติแต่อย่างใด แต่น้ำที่จะใช้และฉันนั้นต้องเดินไปตักที่บ่อของบ้านโยมซึ่งอยู่ไกล บางครั้งญาติโยมก็ตักหาบมาใส่โอ่งไว้ให้ใช้ที่วัด น้ำในสมัยนั้นจะดื่มจะใช้ต้องประหยัดเพราะหายาก พอถึงหน้าฝนก็ต้องรองน้ำฝนไว้ใช้ แต่ท่านก็ไม่ท้อถอยยังคงรักษาปฏิปทาการปฏิบัติไว้อย่างมั่นคง ถึงกระนั้นท่านก็ยังรักการศึกษา และเรียนรู้สิ่งต่างๆอีกมากมาย เมื่อได้ยินข่าวว่ามีครูบาอาจารย์ที่ไหนดีก็สนใจที่จะไปศึกษาธรรมด้วย เช่นเดียวกันในถิ่นแถบนั้นพระที่มีชื่อเสียงที่สุดของสุพรรณบุรีก็คือพระครูสุวรรณวุฒาจารย์(หลวงพ่อมุ่ย)วัดดอนไร่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดบัลลังก์มากนัก ท่านจึงเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ เพื่อศึกษาวิชาอาคมจากหลวงมุ่ย ในเบื้องต้นท่านให้ท่องสาธยายบทสวดมนต์สูตรต่างๆทั้งสิบสองตำนานและเจ็ดตำนาน ซึ่งท่านก็ท่องได้หมดแล้วหลวงพ่อมุ่ยจึงให้สวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร อนัตตลักขณสูตร อาทิตตปริยายสูตร สติปัฏฐาน มหาสมัย คิริมานนท์ และสูตรต่างๆจนกระทั่งสวดพระปาฏิโมกข์จนคล่องแคล่วชำนาญในการสวดมนต์ เรื่องนี้เด่นชัดมากในยุคหลังเพราะพระที่บวชรุ่นหลังในวัดบัลลังก์นั้นไม่มีใครสวดมนต์เก่งเท่าหลวงพ่อได้เลยเพราะท่านสวดได้ทุกบท เมื่อสวดได้แล้วหลวงพ่อมุ่ยจึงให้เรียนอักขระเลขยันต์ ต่างๆในคำภีร์สมุดข่อยและสมุดไทยดำ ตลอดทั้งวิธีการลบผง การปลุกเสกพระ และการทำนายทายทักต่างๆ ทุกอย่างต้องใช้สมาธิจนจิตสงบถึงฌานเป็นหลักจึงจะสามารถทำได้ แต่การไปศึกษากับหลวงพ่อมุ่ยนั้นไม่ได้ไปค้างแรมจำพรรษาเหมือนที่ผ่านมา เพราะท่านมีหน้าที่ต้องดูแลวัดบัลลังก์ด้วย เมื่อได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อมุ่ยแล้วก็จะมาฝึกหัดทำที่วัดบัลลังก์ จนเกิดผลเป็นที่พอใจ จึงจะไปกราบเรียนให้หลวงพ่อมุ่ยทราบ เมื่อหลวงพ่อมุ่ยเห็นความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวและจริงจังของท่านแล้ว จึงมอบตำราสมุดข่อยและสมุดไทยดำอันเป็นมรดกสืบทอดมาแต่โบราณกาลให้ท่านมาศึกษาเพิ่มเติม อีกทั้งอุปนิสัยใจคอของท่านนั้นก็คล้ายกับหลวงพ่อมุ่ยยิ่งนัก คือท่านเป็นพระพูดน้อย มีความสำรวมอินทรีย์เป็นอย่างยิ่ง ผู้เขียนเคยกราบเรียนถามท่านว่าทำไมหลวงพ่อไม่ค่อยพูดเลย ท่านตอบว่า "สมัยเป็นฆราวาสพูดมาเยอะแล้วเป็นพระจึงไม่อยากพูด เอาเวลาไปสวดมนต์ดีกว่า" เพราะการไปศึกษากับหลวงพ่อมุ่ย จนมีความสนิทคุ้นเคยฉันท์ศิษย์กับอาจารย์แล้วเมื่อทางวัดบัลลังก์ขาดสิ่งใดหลวงพ่อมุ่ยก็จะเมตตาช่วยเหลือทุกอย่าง แม้กระทั่งกุฏิ หลวงพ่อมุ่ยก็ยังเมตตาเอาไม้มาสร้างให้หลังหนึ่งด้วย และเวลาท่านผ่านมาทางวัดบัลลังก์ก็มักแวะเยี่ยมเยียมเสมอซึ่งก็มีบ่อยครั้งที่หลวงพ่อมุ่ยมาพักค้างคืนอยู่ที่วัดบัลลังก์ด้วย .....โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้
    ประวัติหลวงพ่อพยุง สุนฺทโร ตอนที่ ๖ ตั้งแต่หลวงพ่อพยุง สุนฺทโร ได้มาอยู่ที่วัดบัลลังก์ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ นั้นท่านก็พัฒนาวัดเรื่อยมา พร้อมกับศึกษาวิทยาคมกับหลวงพ่อมุ่ยไปด้วย จนถึงปี พ.ศ.๒๕๐๕ ท่านจึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นต้นมา จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ท่านดำริที่จะสร้างศาลาการเปรียญ จึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาหลวงพ่อมุ่ย ผู้เป็นอาจารย์ หลวงพ่อมุ่ยท่านว่างานนี้เป็นงานใหญ่ ต้องใช้เงินจำนวนมากและเวลานาน ควรที่จะสร้างวัตถุมงคลไว้บ้างเพื่อเป็นของที่ระลึกให้กับผู้มีศรัทธา ดังนั้นท่านจึงทำพิมพ์พระสมเด็จปรกโพธิ์ขึ้นมา ในปีนั้นเมื่อหลวงพ่อมุ่ยได้เดินทางไปกิจนิมนต์ที่ตลาดหนองหญ้าไซ เวลากลับได้ มาพักค้างแรมที่วัดบัลลังก์ จึงได้แนะนำวิธีการลบผงสูตรต่างๆให้เป็นการเพิ่มเติม ซึ่งขณะนั้น คุณลุงสนิท พลอยสุข ได้บวชอยู่กับหลวงพ่อ จึงได้อุปฐากรับใช้หลวงพ่อมุ่ยด้วย วิชาที่หลวงพ่อมุ่ยแนะนำในวันนั้นคือวิชาทำ นะปัดตลอด หลวงพ่อมุ่ยเขียนตัวนะที่ฝ่ามือแล้วเป่าพ้วงเดียวนะทะลุไปถึงหลังมือของท่านเลยทีเดียว แล้วท่านก็ให้หลวงพ่อพยุงหัดทำบ้าง ซึ่งท่านก็ทำได้ในเวลาเพียงคืนเดียวเท่านั้น หลังจากฉันเช้าแล้วหลวงพ่อมุ่ยก็เดินทางกลับวัดดอนไร่ เมื่อสำเร็จวิชานะปัดตลอดแล้วท่านจึงได้ลบผงตามแบบอักขระเลขยันต์ในสมุดข่อยที่หลวงพ่อมุ่ยมอบให้มา และหามวลสารเพิ่มเติมจนเพียงพอแล้วจึงได้สร้างพระขึ้นมาเป็นรุ่นแรกของท่านเรียกว่า"สมเด็จปรกโพธิ์" ซึ่งสร้างเพียงแค่ ๕๐๐ องค์เท่านั้น ในภาพนี้ถ่ายเมื่อมองไปที่ด้านหลังพระจะเห็นหมู่กุฏิอยู่ หลังแรกที่เห็นนั้นแหละเป็นไม้ที่หลวงพ่อมุ่ยมอบให้มาสร้าง นับเป็นความเมตตาอย่างหาที่สุดไม่ได้ แม้ปัจจุบันผุพังไปแล้ว แต่ความเมตตาของหลวงพ่อมุ่ยก็ยังคงจารึกอยู่ในใจของหมู่ศิษย์หลวงพ่อตลอดมา ส่วนโยมที่นั่นอยู่ด้านหน้าหลวงพ่อพยุงนั้น คือนายเจิม เกตุประทุม บิดาของหลวงพ่อนั่นเอง จากการที่ท่านเป็นคนจริงทำอะไรก็ทำจริงท่านจึงทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจในการพัฒนาวัดคู่กับการปฏิบัติเรื่อยมา จะเห็นได้ว่าท่านผ่ายผอมมาก แต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังคงรักษาความเพียรคือการเดินจงกลม หลังจากทำวัตรเช้าหรือเย็นแล้วต้องนำพาพระเณรนั่งกรรมฐานอย่างน้อย ๑ ชั่วโมง เป็นต้น บางครั้งนั่งถึงเที่ยงคืนก็มี เรียกว่างานหลวงไม่ขาด งานราฏษ์ไม่เสียเลย....โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้
    เรื่อง....หลวงพ่อปราบผี
    เรื่ิองที่จะเล่าให้ท่านทั้งหลายได้ฟังนี้ เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๖ ซึ่งในขณะนั้น อาตมาอายุ ๑๔ ปี ในปีนั้นมีพระจำพรรษา ๑๐ กว่ารูป สามเณรมี ๒ องค์ คืออาตมาและสามเณรหัส เดิมทีอาตมามีความศรัทธาหลวงพ่ออยู่แล้ว เพราะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของท่านมาจากบิดา ของอาตมาเอง ซึ่งแกจะเล่าเรื่องของหลวงพ่อให้ฟังมาตั้งแต้ยังเด็ก คล้ายนิทานที่ผู้ใหญ่เล่าให้เด็กฟังก่อนนอน เรื่องที่แกเล่าให้ฟังนั้นส่วนมากเป็นเรื่องในสมัยที่แกบวชอยู่จำพรรษา กับหลวงพ่อที่วัดบัลลังก์ โดยแกเล่าให้ฟังถึงปฏิปทา และอิทธิปาฏิหารของหลวงพ่อให้ฟังอยู่เป็นประจำ แต่อาตมาไม่เคยเห็นกับตาเลยสักครั้ง จนได้มาบวชอยู่กับท่าน จึงได้เห็นปฏิปทาของท่าน ว่าเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ตามที่โยมบิดาเล่าให้ฟังทุกประการ และในปีนั้นเอง อาตมาได้เห็นอิทธิฤทธิ์ ในพลังจิต และวิชาอาคมของท่านอย่างแท้จริง

    เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยนั้นจะมีญาติโยมเดินทางมาหาหลวงพ่อเป็นประจำ เรียกว่าไม่ขาดสาย เลยในแต่ละวัน ซึ่งหลวงพ่อท่านก็จะนั่งพับเพียบต้อนรับสาธุชนที่เดินทางมากราบนมัสการ อยู่ที่กุฏิหลังเก่า ซึ่งกุฏิหลังนี้ ท่านอยู่จำพรรษามาตั้งแต่ปี ๒๕๒๕ เป็นต้นมา
    การนั่งของท่านนั้นเป็นภาพที่คุ้นตากันดีในหมู่สานุศิษย์ ที่เดินทางไปกราบท่าน คือท่านนั่งพับเพียบตลอดทั้งวัน ไม่ขยับเลย ไม่ว่าใครจะไปจะมา ท่านก็นั่งอยู่อย่างนั้น แต่การต้อนรับญาติโยมนั้น โดยปกติก็ตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ น. จนถึง ๑๑.๐๐ น.และช่วงเวลา ๑๓ .๐๐ น.จนถึง ๑๘.๐๐ น.เป็นประจำ ถ้าวันไหนมีญาติโยมมากันมาก ฉันเพลเสร็จท่านก็ออกมารับญาติโยมเลย บรรดาพระเณรที่เป็นอุปฐาก จะรู้หน้าที่ดี คือหลังจาก ๑๘.๐๐น.แล้ว ท่านจะสรงน้ำ พระเณรที่อุปฐากก็จะปิดประตูเหล็ก ที่ท่านนั่งรับแขกอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งในพรรษานั้น ก่อนที่ท่านจะเข้าสรงน้ำ ท่านได้สั่งอาตมาไว้ว่า วันนี้อย่างเพิ่งปิดประตู เดี๋ยวจะมีคนมาหา แล้วท่านก็เข้าห้องไป อาตมาจึงเข้าไปเตรียมน้ำสรง และบริขารถวาย น้ำที่สรงนั้นจะเป็นน้ำอุ่น ในขณะนั้นที่วัดไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ต้องต้มน้ำใส่กา แล้วนำไปเทผสมน้ำเย็นให้ได้หนื่งถัง ส่วนผ้าบริขารของท่านที่ใช้ในการสรงน้ำก็มี สบง ๑ ผืน อังสะ ๑ ผืน ผ้าขนหนู ๓ ผืน คือ สำหรับเช็ดหน้าผืนหนึ่ง เช็ดตัวผืนหนึ่ง เช็ดเท้าผืนหนึ่ง การถวายน้ำสรงท่านนั้น พระเณรอุปฐากต้องทำด้วยความนอบน้อม คล่องแคล่ว และรวดเร็ว จึงจะถูกนิสัยกับองค์ท่าน
    . ดังนั้นพระเณรที่คอยอุปฐากหลวงพ่อจึงมีเพียงสองรูปเท่านั้น คือ พระอรุณ(พระใหญ่) และอาตมาซึ่งเป็นสามเณรอีกองค์หนึ่ง เท่านั้น ส่วนมากบรรดาพระเณรทั้งหลายไม่ค่อยเข้าไปอุปฐากองค์ท่าน เพราะถ้าเข้าไปสนิทกับองค์ท่านแล้ว เกรงว่าจะไม่ได้สึก ซึ่งองค์ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะปกติองค์ท่านก็นิ่งเฉยอยู่แล้ว หลังจากองค์ท่านสรงน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พักอิริยาบท อยู่ในห้องโดยมีอาตมาเป็นผู้ถวายการนวด จนถึงทุ่มครึ่ง องค์ท่านก็ลุกขึ้นครองจีวร แล้วออกมานั่งที่รับแขกของท่าน .ซึ่งขณะนั้นอาตมาคิดว่าท่านหรือโยมคงนัดกันไว้ อาตมาก็นั่งอยู่แถวนั้นเผื่อองค์ท่านจะเรียกใช้ อีกอย่างเป็นเวลาวิกาล หากผู้ที่มาเป็นผู้หญิงทั้งหมดก็ไม่ต้องด้วยพระวินัย อาตมาจึงคอยสังเกตุการณ์อยู่แถวนั้น
    จนกระทั้งเวลาล่วงไปถึง ๒๐.๐๐ น.กว่าๆ ได้มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาในวัด ในขณะที่รถคันนั้นแล่นเข้ามา บรรดาสุนัขทั้งหลายก็พากันส่งเสียงเห่าหอนจนดังไปทั้งวัด รถคันนั้นแล่นมาจอดใต้ต้นพิกุล หน้าหอสวดมนต์ ครู่หนึ่งก็มีผู้ชาย ๕ คน ผู้หญิง ๒ คน ลงจากรถ แล้วช่วยกันฉุดกระชากลากจูงผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ลงจากกระบะรถ ซึ่งมีหลังคาอยู่ด้วย ผู้หญิงคนนั้นปากก็พูดว่า กูไม่ไป อย่ามายุ่งกับกู พูดอยู่อย่างนี้ บรรดาสุนัขเจ้ากรรมทั้งหลายก็ส่งเสียงหอนกันไม่เลิก จนอาตมาขนลุกไปทั้งตัว ต้องเข้าไปอยู่ใกล้ๆหลวงพ่อ จึงพอหายกลัวไปได้บ้าง ส่วนคนพวกนั้นกว่าจะขึ้นมาได้ ก็ต้องช่วยกันจับแขน จับขาผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา พอมาถึงหลวงพ่อ ผู้หญิงคนนั่นก็ด่าหลวงพ่อเป็นการใหญ่ ซึ่งท่านก็เฉยไม่แสดงอาการอะไร จนผู้หญิงคนนั้นเลิกด่า ท่านจึงถามโยมที่มาว่า #มาแต่ไหนกันเล่า โยมตอบว่ามาจากหนองปลาไหลครับ ท่านก็ถามอีกว่า เป็นอะไรมาล่ะ โยมที่มาก็แย่งกันเล่าให้ท่านฟังว่า ไม่รู้มันเป็นอะไรหลวงพ่อ มันไปไร่กลับมาตอนค่ำ มันก็มีอาการแปลกๆ กลางวันมันเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ปิดประตูหน้าต่างหมด ข้าวปลาไม่กินเลย มันจะกินแต่ของสดๆคาวๆเท่านั้นแหละ พาไปหาหมอ หมอตรวจดูก็ไม่เป็นอะไร บางคนก็ว่าผีเข้า หมอผีที่เขาว่าเก่งๆก็ไปหามาทั่วก็ไม่หาย พระอะไรที่ว่าเก่งๆก็ตระเวนไปหามาหลายวัดแล้วหลวงพ่อ จนมีคนเขาบอกว่าให้พามาหาหลวงพ่อนี่แหละ จึงได้พากันมา กว่าจะมาถึงก็ต้องถามเขามาเรื่ิิอย นี่ก็เป็นมา ๗ วันแล้ว ถ้าหลวงพ่อรักษาไม่หาย ก็จะไม่รักษาแล้วล่ะ จะปล่อยให้มันตายไปนี่แหละ ไม่รู้ตะทำยังไงแล้วหลวงพ่อ
    . เมื่ิอถึงตอนนี้หลวงพ่อท่านได้ถามผู้หญิงที่ป่วยว่า เอ็งเป็นอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ตอบ ท่านจึงถามอีกว่า เอ็งชื่ออะไร ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า บอกไม่ได้ ท่านก็ถามอีกว่า ใครใข้เอ็งมา ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า ยอกไม่ได้ โยมที่มาด้วยกันก็ช่วยถามอีกว่า มึงก็บอกท่านไปสิ ผู้หญิงคนนั่นก็ตอบว่าบอกไม่ได้ เขาไม่ให้บอก โยมก็ถามอีกว่าใครไม่ให้บอก เขาก็ตอบว่าบอกไม่ได้ เขาไม่ให้บอก ตอบอยู่อย่างนั้น หลวงพ่อจึงถามว่า เอ็งจะเอาอะไร รึจะกินอะไร ผู้หญิงคนนั่นตอบทันทีเลยว่า อยากจะกินใส้หมู ไส้ไก้ หลวงพ่อท่านก็ตอบไปว่า ที่วัดนี้ไม่มีให้หรอก ไส้หมู ไส้ไก่อะไรนั้นน่ะ มีแต่น้ำมนต์นี่แหละ เอาไปกินก่อน ว่าแล้วท่านก็ใช้แก้วตักน้ำมนต์ในบาตร ซึ่งอยู่ข้างๆท่านส่งให้ โยมที่เป็นผู้ชายค่อนข้างอายุมากหน่อยก็รับน้ำมนต์จากท่านไปให้หญิงคนนั้นกิน แต่หญิงคนนั้นไม่ยอมกินปัดป้องเป็นพัลวัน พอน้ำมนต์หก รดถูกตัว ก็กรีดร้องอย่างโหยหวล จนพระเณรที่อยู่ตามกุฏิแตกตื่นมาดูกันทั้งวัด เมื่อหญิงคนนั้นไม่ยอมกินน้ำมนต์ ท่านจึงเอาน้ำมนต์พรมให้ หญิงคนนั้นก็ร้องดิ้นไปดิ้นมาอยู่อย่างนั้น ปากก็ร้องว่าร้อนๆไม่หยุด จากนั้นหลวงพ่อท่านก็นั่งดูอยู่ครู่หนึ่ง ท่านจึงหยิบด้ายมงคลที่ีอยู่ข้างๆมาจับเป็นมงคลคล้ายสร้อย แล้วบริกรรมอยู่ครู่หนึ่ง ท่านก็บอกว่า เอ้าเอาไปสวมคอดูซิ โยมผู้ชายคนเดิมก็รับด้ายมงคลไป หญิงคนนั้นพอเห็นด้ายมงคลเข้าไปใกล้ตัวเท่านั้นแหละ รีบถอยหลังหนี โยมที่มาด้วยกันต้องช่วยกันจับไว้ แต่หญิงคนนั้นก็ดิ้นจนสุดฤทธิ์ พอได้จังหวะ โยมผู้ชายก็เอาด้ายมงคลใส่คอทันที พอด้ายมงคลใส่เข้าไปเพียงศรีษะเท่านั้น หญิงคนนั้นก็กรีดร้องอย่างสุดเสียง แล้วมีอาการประหนึ่งว่าโดนถีบอย่างแรงหงายท้องทันที พอดีกับโยมที่นั่งอยู่ข้างๆรับศรีษะเอาไว้ทัน หญิงคนนั้นก็แน่นิ่งไป ตลอดเวลาที่หญิงคนนั้นร้องอยู่ สนัขทั้งหลายก็หอนโหยหวลอยู่อย่างนั้น พอหญิงคนนั้นนิ่งไป บรรดาสุนัขก็หอนรับกันไปเป็นทอดๆ ตั้งแต่กุฏิหลวงพ่อจนถึงท้ายวัดเลยทีเดียว
    . เมื่ิอสงบลงแล้ว หญิงคนนั้นก็รู้สึกตัวแต่ก็งงไปหมด ถามว่าที่นี่ที่ไหน แล้วฉันเป็นอะไร พวกที่พามาก็อนะนำให้กราบหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็ถามว่า เป็นอย่างไรบ้าง
    เขาตอบว่า ไม่รู้สึกตัวเลยหลวงพ่อ จำได้ว่าไปจุดมันจนเย็นค่ำจึงกลับบ้าน พอเดินมาผ่านจอมปลวกใหญ่ข้างทางก็ไม่รู้ตัวอีกเลย จนถึงตอนนี้แหละ
    หลวงพ่อท่านจึงแนะนำว่าหากพวกเรารู้จักไหว้พระ สวดมนต์ ก็จะไม่มีภูติผี ปีศาจ อะไรมากล้ำกราย แล้วท่านก็พรมน้ำมนต์ให้ทุกคนที่มา แต่โยมเขาขอด้ายมงคลเอาไปใส่คอด้วย ท่านก็ทำให้ทุกคน แต่ละคนก็ขอนำไปเผื่อลูกหลานอีก .ซึ่งท่านก็ทำให้ตามประสงค์ จากนั้นพวกโยมก็พากันกราบลากลับ เมื่อโยมลงจากกุฏิหลวงพ่อแล้ว อาตมายังสงสัยอยู่จึงเข้าไปถาม โยมที่มาว่า โยมนัดหลวงพ่อไว้หรอ เขาตอบว่าเปล่า ไม่ได้นัด ตั้งใจอธิฐานมาตั้งแต่บ้านว่าจะมาขอให้เจอหลวงพ่อ แล้วก็มากันเลย แล้วโยมก็พากันขึ้นรถกลับไป และเวลากลับนี้ สุนัขก็ไม่ได้หอนรับเหมือนตอนที่มา ตอนนั้นอาตมาสงสัยว่าหลวงพ่อรู้ได้อย่างไร ว่าใครจะไปจะมา อีกอย่างในขณะปี ๒๕๓๖ นั้นที่วัดบัลลังก์ก็ยังไม่มีโทรศัพย์ใช้เลย เพิ่งจะมีโทรศัพย์ใช้ครั้งแรกเมื่อปลายปี ๒๕๓๗ แต่หลวงพ่อก็ไม่ได้ใช้ รองเจ้าอาวาสเป็นผู้ใช้อีกต่างหาก จากเรื่องนี้ จึงทำให้เห็นได้ว่า #หลวงพ่อท่านมีอภิญญาสมาบัติและญาณอันแก่กล้า สมกับเป็นพระผู้เป็นที่พึ่งของประชาชนโดยแท้


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จฝังตะกรุดสามกษัตริย์หลวงพ่อพยุงวัดบัลลังก์ให้บูชา บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240213_203349.jpg IMG_20240213_203417.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2024
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    978.jpg


    หลวงปู่ศรี สิริธโร ท่านเกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๔ ตรงกับ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะโรง ณ บ้านยาง ต.บ้านจีต อ.หนองหาน จ.อุดรธานี (ปัจจุบัน เป็น อ.กู่แก้ว จ.อุดรธานี) เป็นบุตรของ นายสุข เหลืองดำ และ นางสุดชาดา เหลืองดำ มีพี่น้อง ๖ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒ เมื่อวัยหนุ่มท่านไปเรียนเป็นช่างเย็บตัดผ้า จากบ้านใกล้เคียงตั้งแต่อายุ ๑๓ – ๑๗ ปี

    เมื่ออายุ ๑๘ ปี หมู่เพื่อนชวนไปบวชเป็นสามเณร ก็ตามๆ กันไปบวช เมื่ออายุ ๑๘ ปี พอดี เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๑ ณ วัดอัมพวัน ต.บ้านจีต อ.หนองหาน จ.อุดรธานี โดยมี พระครูประภัสสรศีลคุณ (หลวงปู่ทัน ปภัสสโร) เป็นผู้บรรพชาให้ จากนั้นจึงไปอยู่ที่วัดป่าศรีคุณาราม อ.กู่แก้ว จ.อุดรธานี โดยมีหลวงปู่บุญเกิด ยุตฺตธัมโม เป็นเจ้าอาวาส ได้อยู่เป็นสามเณรที่วัดป่าศรีคุณาราม ๒ ปี วันหนึ่งหลวงปู่บุญเกิด ท่านได้ถามสามเณรศรีว่า “อยากเรียนหนังสือไหม” สามเณรจึงกราบเรียนท่านว่า “อยากทดลองดู” หลวงปู่บุญเกิดท่านว่าเรามีญาติเป็นพระอยู่ที่วัดป่าวิเวกธรรม จ.ขอนแก่น ซึ่งบ้านเดิมท่านอยู่ที่มหาสารคามด้วยกัน หลวงปู่บุญเกิดจึงได้ส่งสามาเณรไปเรียนที่วัดป่าวิเวกธรรม จ.ขอนแก่น กับพระครูศีลสารวิมล หลวงปู่ล้วน สีลราโม วัดป่าวิเวกธรรมนี้ก็เป็นวัดป่ากรรมฐานมีพ่อแม่ครูบาอาจารย์เคยได้ธุดงค์มาอยู่เรื่อยๆ จึงได้ถือโอกาสช่วงนั้นรู้จักครูบาอาจารย์พระกัมมัฏฐานเป็นจำนวนมากหลวงปู่ล้วน สีลราโม แต่ก่อนท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม และองค์ก็มาพักก็คุ้นเคยอยู่กับท่าน สามเณรศรีเป็นสามเณรใหญ่ เป็นเณรที่บวชนานกว่าหมู่เพื่อน หลวงปู่ล้วนก็เลยมอบให้สามเณรศรี อุปัฏฐากหลวงปู่ครูบาอาจารย์ที่มาพักเพื่อไม่ให้เก้อเขิน หลวงปู่ท่านก็ชมว่า เณรศรีนี้มันดี มาจากไหน จึงตอบว่า มาจากบ้านจีต อ.หนองหาน จ.อุดรธานี สามเณรศรีได้อุปัฏฐากครูบาอาจารย์หลายๆ รูป จนอายุ ๒๐ ปี จึงได้อุปสมบท ณ วัดศรีจันทร์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมี ท่านเจ้าคุณวินัยสุนทรเมธี(สุพจน์ อุตโร ป.ธ.๔) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูศรีธรรมาลังการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาปรีชา สุปัญฺโญ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ บวชตั้งแต่ก่อนเข้าพรรษา ตรงกับวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๔ ได้รับฉายาว่า “สิริธโร” แปลว่า “ผู้ทรงไว้ซึ่งเกียรติคุณความดี“

    ช่วงที่อยู่วัดป่าวิเวกธรรมครูบาอาจารย์ท่านก็ได้แวะเวียนกันมาพักบ่อยๆ พระศรี ก็ได้ทำความคุ้นเคยกับหลวงปู่ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ครูบาอาจารย์จะได้ชวนไปวิเวกที่รอบๆ ขอนแก่น และไปทางภาคเหนือ จึงได้ติดตามธุดงค์ไป แล้วจึงกลับมาจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรมเหมือนเดิม

    ในช่วงที่ไปมานี้ก็มีหลวงปู่ที่คุ้นเคยคือหลวงปู่ไท ฐานุตฺตโม วัดเขาพุนก อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ซึ่งท่านเป็นทั้งศิษย์และเป็นทั้งหลานแท้ๆข องหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ท่านชวนไปที่ จ.เชียงใหม่ จึงได้ไปกับท่าน ไปครั้งแรกไปพักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง วัดป่าสามัคคีธรรม และพักไปเรื่อยๆ ไปทาง อ.เชียงดาวได้ไปหลายๆ แห่งทางเชียงดาว จะมีหลวงปู่เจริญ ญาณวุฑโฒ วัดถ้ำปากเปียง ซึ่งท่านเป็นคน อ.หนองหาน – อ.ไชยวาน เหมือนกัน เคยไปอยู่กับท่านหลายเดือน ในช่วงที่อยู่เชียงใหม่ หมู่คณะที่ไปด้วยกันก็ชวนไปกราบหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม หลวงปู่ตื้อก็ให้คติธรรมหลายอย่าง แล้วก็ได้คติธรรมนั้นมาปฏิบัติ ปฏิปทาบางอย่างหลวงปู่ครูบาอาจารย์ท่านก็ชี้แนะ แต่ละองค์ท่านก็เห็นว่า มีอะไรดีๆ ก็บอก ว่าเราเป็นพระใหม่เราต้องทำตนให้เหมาะสม ให้สมเป็นพระ และก็มีหมู่คณะที่บวชรุ่นราวคราวเดียวกันคุ้นกันชวนไปเยี่ยมหลวงปู่ครูบาอาจารย์วัดนี้บ้าง จนจวนจะเข้าพรรษาจึงได้กลับมาที่วัดป่าวิเวกธรรมจังหวัดขอนแก่นพระศรี ได้อยู่ที่วัดป่าวิเวกธรรมทั้งวิเวกอยู่รอบๆ และได้อยู่จำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม จ.ขอนแก่นเป็นเวลา ๕-๖ ปี วัดป่าวิเวกธรรมในตอนนั้นเป็นศูนย์กลางพระกรรมฐาน ซึ่งหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม ก็เคยอยู่ที่นี่ ได้วางกฎเกณฑ์ให้พระกัมมัฏฐาน รักษาประเพณีอันดีเอาไว้เพื่อให้เป็นแบบอย่างของพระเณรและเป็นแบบอย่างของหมู่คณะที่อาจจะอ้างอิงว่าสมัยที่หลวงปู่องค์ต่างๆ ที่มาพักก็จะสอนอย่างนั้นอย่างนี้ พระศรีก็ได้เรียนรู้วิธีการ ได้รู้จักระเบียบการปฏิบัติเกี่ยวกับพระกรรมฐาน ตั้งแต่สมัยเป็นพระน้อย ก็ทำมาเรื่อยๆ แล้วก็หลายๆ ปีอยู่มาเรื่อยๆ ท่านพระอาจารย์บุญเพ็ง กัปปโก ซึ่งเป็นน้องชายของหลวงปู่ล้วน ก็กลับมาจากวิเวก คือปกติท่านอยู่บ้านหนองบัวบาน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม หลังจากบวชแล้วท่านก็วิเวกไปทางเชียงใหม่ ไปอยู่กับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ และจากพ่อแม่ครูอาจารย์หลายๆ รูป ท่านได้รับคำแนะนำดีๆ ท่านจึงได้กลับมาที่วัดป่าวิเวกธรรม จ.ขอนแก่น ช่วงนั้นหลวงปู่ล้วน ท่านก็อายุมากแก่ชราแล้ว พระศรี จึงได้ไปอุปัฏฐากท่านอยู่หลายเดือนหลายปี ต่อมาหลวงปู่ล้วน สีลราโม จึงมรณภาพลง ท่านพระอาจารย์บุญเพ็ง กัปปโก จึงได้เป็นเจ้าอาวาสแทนมาเรื่อยๆ

    ในช่วงที่พระอาจารย์บุญเพ็งอยู่ เบื้องต้นนั้น ท่านก็ชวนพระศรี ในฐานะที่เป็นพระที่คุ้นเคยกับท่านเพราะว่าช่วงนั้น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธัมมธโร) วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กรุงเทพฯ ได้นิมนต์ท่านพระอาจารย์บุญเพ็ง กัปปโก ไปสอนกรรมฐาน ในกรุงเทพฯ ท่านอาจารย์บุญเพ็ง จึงชักชวนพระศรีโดยตรงและในช่วงก่อนเข้าพรรษาก็ถือโอกาสร่วมปฏิบัติกรรมฐานกับท่าน การอบรมกรรมฐานในช่วงนั้น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธัมมธโร) ก็ให้มีการอบรมสั่งสอนทุกวัน พระศรี ในฐานะที่เป็นพระผู้น้อยหรือเป็นลูกศิษย์ก็ไปนั่งเป็นเพื่อนท่านพระอาจารย์บุญเพ็ง ทุกวัน การอบรมทุกอย่างก็ได้ยินได้ฟังจากท่าน

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่สีสิริธโรให้บูชา 170 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240213_223715.jpg IMG_20240213_223749.jpg IMG_20240213_223811.jpg
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    get_auc1_img (1).jpeg

    พ่อท่านคล้อย ฐานธมฺโม เป็นชาวหลังสวนโดยกำเนิด มีนามเดิมว่า คล้อย พุ่มเสมียน เป็นบุตรของโยมพ่อพุ่ม และโยมแม่แจ้ม พุ่มเสมียน ในใบสุทธิของท่านระบุว่าพ่อหลวงเกิด วันที่ ๔ มกราคม ๒๔๖๕ ตรงกับวันพุธ แรม ๑๐ ค่ำ เดือนยี่ ปีวอก แต่จากปากคำของพ่อหลวงท่านยืนยันว่าท่านเกิดวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๔๖๓ ที่บ้านปากลา ตำบลขันเงิน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร มีพี่น้องด้วยกัน ทั้งหมด ๕ คน


    การอุปสมบท

    ในวันเยาว์ พ่อท่านคล้อยเป็นเด็กที่อยู่ใกล้ชิดกับพระบวรพุทธศาสนามาโดยตลอด เมื่อจบการศึกษาชั้น ป.๔ ได้ไปศึกษาเรียนนอโมกับอักขระวิธีจากพระอาจารย์ชุบ สุวณฺโณ วัดปากสาก เป็นเวลานานหลายปี ต่อมาท่านเจ้าคุณเทพฯ หรือพระธรรมจารีย์มุณีวงศาจารย์( จันทร์ โกสโล ) วัดขันเงิน อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร มาทำธุระที่วัดปากสากเห็นบุคลิกท่าทางของพ่อหลวงแล้วเกิดความประทับใจ จึงได้ชวนให้มาอยู่ที่วัดขันเงิน พ่อหลวงได้ปรนนิบัติรับใช้ท่านเจ้าคุณเทพฯ เป็นเวลานานกว่า ๑๐ ปี ในระหว่างนั้นท่านเจ้าคุณเทพฯ พยายามเกลี้ยกล่อมให้พ่อหลวงอุปสมบทตลอดเวลา แต่ก็ไม่สำเร็จพ่อหลวงบ่ายเบี่ยงขอผัดผ่อนเรื่อยมา จนกระทั่งบั้นปลายชีวิตของเจ้าคุณเทพฯ ท่านได้ขอร้องแกมบังคับให้พ่อหลวงบวชสักที เมื่อบวชแล้วจะไปไหนก็สุดแล้วแต่ พ่อหลวงถามกลับว่าจะบวชไปเพื่ออะไร ท่านเจ้าคุณเทพฯตอบว่า อย่างน้อยๆก็ช่วยดูแลท่านในยามแก่ พ่อหลวงจึงได้ตัดสินใจอุปสมบท ที่อุโบสถวัดขันเงิน ในวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ เมื่ออายุได้ ๓๕ ปี โดยมีท่านเจ้าคุณเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระสมุห์ชุ่ม ติกฺขปญโญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ ฐานธมฺโม ” และต่อมา ในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๙ ได้ย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดถ้ำเขาเงิน


    การศึกษาพุทธาคม

    พ่อท่านคล้อยเป็นผู้ที่มุ่งมั่นในการปฏิบัติและสนใจในการศึกษาพระเวทวิทยาคม มีพระอาจารย์ดีที่ไหน ท่านจะต้องเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อขอเรียนสรรพวิชาต่างๆเสมอ นอกจากการศึกษานอโมและอักขระวิธีจากพระอาจารย์ชุบ วัดปากสาก ท่านยังได้ศึกษาสรรพวิชาการต่างๆ จากยอดพระเกจิอาจารย์สายเขาอ้ออันเกรียงไกรหลายรูปอาทิเช่น พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา หลวงพ่อคงวัดบ้านสวน พระอาจารย์หมุน วัดเขาแดง จากนั้นได้ไปศึกษาเพิ่มเติมจาก หลวงพ่อแดง วัดแหลมสอ เรียนวิชาประสานกระดูกกับพระครูอาทรธรรมวัตร วัดปากสระ ฯลฯ เมื่อมาเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำเขาเงิน ได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากตำราของหลวงพ่อแดง พุทฺโธ อดีตเจ้าอาวาสที่เป็นพระเกจิร่วมยุคร่วมสมัยกับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ แม้ว่าพ่อหลวงจะเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีความสามารถรอบด้าน ไม่ว่าจะเรื่องของการเจริญวิปัสสนากรรมฐานหรือพระเวทวิทยาคม หากท่านได้ทราบข่าวว่าพระเกจิอาจารย์รูปใดมีวิชาการพิสดารลึกซึ้ง พ่อหลวงก็จะไปขอต่อวิชาด้วย

    วิชาเฉพาะตัวที่สร้างชื่อเสียงกิตติคุณให้กับพ่อหลวงมากที่สุดก็คือ " การเป่าทองเข้าตัว " วิชาเป่าทองเข้าตัว เป็นวิชาที่พ่อหลวงได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์คงซึ่งเป็นอาจารย์ของขุนแผน การเป่าทองเข้าตัว ส่วนใหญ่แล้วท่านจะกระทำในเวลากลางคืน โดยพ่อหลวงจะนั่งบนตั่งแล้วให้ผู้ที่ประสงค์จะเป่าทองเข้าตัว นั่งเรียงแถวหน้ากระดานหันหน้าเข้าหาท่าน จากนั้นพ่อหลวงจะเริ่มภาวนาพระคาถาต่างๆ อันเชิญคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมาประสิทธิประสาทแก่ผู้ขอรับการเป่าทองเมื่อจบพระคาถา พ่อหลวงจะหยิบเหล็กจารจุ่มลงในขวดน้ำมันมนต์ซึ่งมีกลิ่นหอมมาก แล้วนำมาทาบริเวณหน้าผากลงอักขระบนหน้าผากเสร็จแล้วหยิบทองคำเปลวมาปึกหนึ่งโดยไม่ต้องนับว่ากี่แผ่น วางบนฝ่ามือของผู้ที่รับการเป่าทองแล้วจับมือพร้อมแผ่นทองคำเปลวไปกดที่หน้าผาก ถึงตอนนี้พ่อหลวงก็จะปล่อยให้ผู้รับการเป่าทองเอามือกดหน้าผากไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทำให้คนสุดท้ายแล้วจึงเวียนมาเป่าทองให้กับคนแรก ความรู้สึกในขณะที่ท่านกำลังเป่าทอง หลายคนบอกว่าเหมือนมีอะไรวิ่งเข้าไปในศีรษะ ขั้นตอนนี้สำคัญมากพ่อหลวงบอกว่า ใครปรารถนาหรือประสงค์จะขอสิ่งใด ให้อธิษฐานในเวลานี้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรือเกินวาสนาบารมีที่สั่งสมมาก็จะได้ตามความปรารถนา แผ่นทองจะเข้ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับวาสนาของแต่ละบุคคลเมื่อเป่าเสร็จแล้วพ่อหลวงจะให้ผู้รับการเป่าคลี่แผ่นกระดาษหุ้มทองคำเปลวออก นับดูว่าได้จำนวนกี่แผ่น ส่วนที่เหลือให้แบมือทั้งสองข้างออกวางประกอบให้สันมือชิดกันแล้วท่านจะหยิบเหล็กจารอันเดิมจุ่มลงในขวดน้ำมันมนต์ชโลมน้ำมันมนต์ให้ทั่วฝ่ามือทั้งสองข้าง นำทองคำเปลวที่เหลือแกะออกปิดลงที่ฝ่ามือจนหมดแล้วนำมือมาประกบกันถูไปมาประมาณ ๒-๓ ที เป็นอันเสร็จพิธี

    นอกจาการเป่าทองเข้าตัวแล้วพ่อหลวงยังมีสุดยอดวิชาอีกอย่างหนึ่งคือ“ น้ำมนต์ดอกบัวทอง ” ซึ่งเป็นวิชาหนึ่งที่ใช้ในการเสี่ยงทายโชควาสนา โดยในสมัยก่อนพ่อหลวงมักใช้วิชานี้ควบคู่ไปกับการเป่าทองเข้าตัว โดยให้ไปหาดอกบัวที่ขึ้นตามธรรมชาติ โดยไม่มีการใส่ปุ๋ยหรือสารเคมีกะประมาณว่าอีก ๒-๓ วันจะบาน เมื่อได้มาแล้วให้เขียนชื่อลงบนกลีบบัว อธิษฐานแล้วนำไปปักที่แจกันหน้าพระประธาน จากนั้นพ่อหลวงก็จะนั่งอธิษฐานจิตตามพิธีกรรมต่างๆที่ท่านร่ำเรียนมาถ้าดอกบัวบานเร็วแสดงว่ามีโชคดี พ่อหลวงจะทำนายทายทักไปตามเกณฑ์

    พ่อหลวงได้ก่อสร้างอุโบสถและศาลาอเนกประสงค์ของวัดถ้ำเขาเงินสำเร็จลุล่วงไปในเวลาไม่นานนัก ตึกฐานธมฺโม โรงพยาบาลหลังสวนก็ใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว และยังมีสาธารระประโยชน์ต่างๆที่พ่อหลวงตั้งใจกระทำต่อไป แต่ทุกอย่างเมื่อมีจุดเริ่มต้นก็มีที่สิ้นสุดเป็นปกติธรรมดาของโลกมนุษย์ หลังจากงานบูชาครูประจำปี ๒๕๓๙ เป็นต้นมา สุขภาพของพ่อหลวงได้เสื่อมถอยลงตามลำดับ จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันศุกร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๓๙ พ่อหลวงก็ได้ละสังขารไปในขณะที่ภารกิจต่างๆที่ท่านริเริ่มไว้ยังเหลือเพียงบางส่วนก็จะเสร็จสิ้นตามความประสงค์ของพ่อหลวง และความมหัศจรรย์ต่างๆ เกิดขึ้นจากพลังจิตอันแกร่งกล้าของพ่อหลวงได้กลายเป็นตำนานที่ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายไม่อาจลืมได้

    หลวงพ่อคล้อย ฐานธัมโม วัดถ้ำเขาเงิน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพระ ท่านเป็นพระเกจิ อาจารย์ที่ได้รับกล่าวขานจากบรรดาลูกศิษย์ลูกหาว่ารอบรู้ในสรรพวิชาต่าง ๆ โดยเฉพาะหลักการเจริญวิปัสสนากรรมฐานและพุทธเวท เนื่องจากท่านเป็นศิษย์ในสายเขาอ้อ จ.พัทลุง ในปัจจุบันวัตถุมงคลของท่านหลายรุ่น ได้รับความนิยมจากนักสะสมเป็นอย่างมาก เช่น เครื่องรูปเหมือนหลวงพ่อแดง พุทโธ เหรียญกรมหลวงชุมพร ฯ ปี 2511 เหรีนญรุ่นแรกหลวงพ่อคล้อย พระกำแพง นิ้วพิมพ์ใหญ่เนื่อว่าน ปี 2511 พระปิดตามหาลาภองค์จ้อยเนื้อผงเกสร ปี 2533 เป็นต้น

    ท่านเป็นชาวหลังสวนโดยกำเนิด มีนามเดิมว่า นายคล้อย ทองเสมียน เป็นบุตรของนายพุ่ม และนางแจ้ม ทองเสมียน เกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2463 ที่บ้านปากลา ตำบลขันเงิน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน อุปสมบทที่วัดเขาเงินเมื่อวันที่ 26 กค.2504 ขณะอายุได้ 41 ปี มีหลวงพ่อจันทร์ โกสโล วัดขันเงิน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระสมุห์ซุ่ม ติกจปัญโญ เป็นพระกรรมวาจารย์ ได้รับฉายา ว่า "ฐานธัมโม" ท่านได้มุ่งมั่นในด้านปฎิบัติวิปัสสนา และสนใจศึกษาพระเวทวิทยาคม หากรู้ว่ามีพระอาจารย์ที่เก่ง ๆ อยู่ที่ใดก็จะไปฝากตัวเป็นศิษย์ ทั้งได้ศักษาวิชาจากครูบาอาจารย์ที่สายเขาอ้อ หลายท่าน อาทิพระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ วัดดอนศาลา หลวงพ่อคง วัดบ้านสวน หลวงพ่อหมุน วัดเขาแดง หลวงพ่อแดง วัดแหลมสอ และพระครูอาทรธรรมวัตร วัดปากสระ ฯลฯ ท่านยังได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากตำรับตำราของหลวงพ่อแดง พุทโธ อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำเขาเงิน ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ร่วมสมัยเดียวกับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

    หลวงพ่อคล้อยท่านมีชื่อเสียงทางด้านการเป่าทองเข้าตัว โดยท่านเป่าทองคำเปลวหนา 9 แผ่น โดยไม่ต้องแกะแผ่นทองหายไปกลับตา เป็นสิ่งที่หลายคนได้ประจักษ์ในพุทธคุณด้านเมตตามหานิยมมาแล้ว จนกระทั่งเมื่อวัน ศุกร์ ที่ 25 ตค.2539 ท่านก็ละสังขารไปอย่างสงบ ปัจจุบันศพของท่านไม่เน่าเปื่อยตั้งบูชาไว้ที่วัดถ้ำเขาเงิน คงเหลือไว้เพียงคุณงามความดี และวัตถุมงคลอันทรงคุณค่า ซึ่งมากด้วยพุทธคุณสูงส่ง
    ด้านพิธีกรรม พ่อท่านคล้อย ฐานธมฺโม ทำพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวในคืนวันเสาร์ห้า ปี ๒๕๓๖ โดยพ่อท่านคล้อย ฐานธมฺโม สั่งให้นำพระพิมพ์สมเด็จขาโต๊ะหน้าทอง เหรียญเสมา และเหรียญพระบรมรูปจำลองรัชกาลที่ 5 วางรวมที่หน้าพระประธานในวิหารวัดถ้ำเขาเงิน และให้แยกเหรียญที่มีต้นทุนสูงใส่กระเป๋า ตามท่านไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่วัดอีกแห่งหนึ่งในเขตอำเภอหลังสวน ลูกศิษย์ที่ตามไปด้วยถามท่านว่าจะกลับมาทำพิธีที่วัดถ้ำเขาเงินทันหรือไม่เพราะเวลาที่ออกเดินทางก็เกือบสองทุ่มแล้ว ท่านตอบว่าไม่ต้องวิตกกังวล จิตเป็นพลังงานที่สามารถเดินทางไปได้ทุกหนทุกแห่ง เวลาอธิษฐานจิตปลุกเสกที่วัดนั้น จะแผ่เมตตามายังวัตถุมงคลต่างๆ ที่ตั้งไว้ในบริเวณปะรัมพิธีหน้าพระประธานวิหารวัดถ้ำเขาเงินด้วย เมื่อเดินทางถึงงาน พิธีฯ พ่อท่านคล้อย ฐานธมฺโม ให้นำกระเป๋าบรรจุเหรียญรุ่นยกช่อฟ้าและเหรียญเปลือยรัชกาลที่ 5 เข้าร่วมในพิธีพุทธาภิเษกตั้งแต่ต้นจนเลิก รวมเวลาประมาณ ๒ ชั่วโมง เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ก็รีบเดินทางกลับวัด เพื่อทำพิธีเป่าทองและเสกน้ำมนต์ดอกบัวบานให้กับลูกศิษย์สามสี่คนที่ท่านบอกให้นั่งรอตั้งแต่หัวค่ำ กว่าจะทำพิธีเป่าทองเสร็จ เวลาล่วงเลยไปเกือบเที่ยงคืน ท่านบอกให้คณะศิษย์จากกรุงเทพมหานครไปนอนในศาลาที่ท่านจัดให้ จากนั้น ทำพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยววัตถุมงคลต่างๆ จนถึงรุ่งสาง เป็นอันเสร็จพิธี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญเปลือยรัชกาลที่ 5 หลวงพ่อคล้อยวัดถ้ำเขาเงินปลุกเสกอธิษฐานจิตให้บูชา
    250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240213_225841.jpg IMG_20240213_225906.jpg IMG_20240213_225929.jpg IMG_20240213_225956.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2024
  13. ktv

    ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +1,190
    จองครับ
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    วันนี้จัดส่ง

    1707900613393.jpg

    ขอบคุณครับ

    มั่นใจได้ท่านที่กลัว กังวล โอนแล้ว หนี โอนแล้ว ไม่ได้รับวัตถุมงคล ไม่ตรงปก หรือสารพัด
    สมาชิกใหม่ หรือ นอกเวปพลังจิต กระทู้ผม ไม่มีปัญหาแบบนั้นครับ
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    FB_IMG_1707940181513.jpg

    เรื่อง หลวงปู่สด พระอรหันต์แห่งทุ่งบางไทร

    ( คนเล่าอาจารย์เจริญ โชชัยชาญ ปัจจุบันเป็น ข้าราชการบำนาญ เป็นลูกศิษย์หลวงปู่สด ส่วนดิฉัน เป็นคนฟัง และเห็นว่าดี จึงนำมาถ่ายทอด เผยแผ่ บูชาพระคุณ หลวงปู่สด ธัมมวโร วัดโพธิ์แตงใต้ จังหวัดอยุธยา)

    หลวงปู่สด ธัมมวโร วัดโพธิ์แตงใต้ ท่านเป็นพระดีที่ สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จ พระสังฆราช วัดบวรนิเวศ ทรงให้ความเคารพนับถือ อย่างมาก อย่างยิ่ง เป็นการส่วนพระองค์ แม้หลวงปู่สด เจ็บป่วยด้วยโรคชรา ก็ทรงมีพระบัญชา ให้ หลวงปู่สด เป็นคนไข้ใน ความอนุเคราะห์ดูแลของ องค์สมเด็จ พระสังฆราชโดยตรง

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
    ทรงเป็นพระ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงให้ ความเคารพนับถือ อย่างมาก อย่างยิ่ง เป็น การส่วนพระองค์ เลยทีเดียว

    ในด้านพระปัญญา
    ทรงเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก ทั้งฝ่ายเถรวาท( ผู้ปฏิบัติตามคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างเคร่งครัด เพื่อความสิ้นไปแห่งทุกข์ คือ เข้าสู่พระนิพพาน)

    และทรงเชี่ยวชาญ ในพระไตรปิฎก ฝ่ายมหายาน( ผู้ปฏิบัติ เพื่อสร้างบารมี เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคต)

    ในด้านการปฏิบัติ
    ทรงเชี่ยวชาญ การเจริญ สมถะภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา อย่างเยี่ยมยอด

    แม้แต่ ท่าน เทนซิน เกียตโซ องค์ดาไลลามะ เป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 15 ของธิเบต นิกายวัชรยาน ทรงให้ความนับถือในองค์ สมเด็จพระญาณสังวร เป็นอย่างมาก ถึงกับเอ่ยปาก ให้ทุกคนได้ยินว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ท่านเป็นพี่ชายคนโตทางธรรมของข้าพเจ้า

    แม้แต่ องค์กร สุดยอดผู้นำทาง พระพุทธศาสนา ทุกนิกาย ทั้งหมด
    ทั่วโลกนี้ ตั้งอยู่ใน ประเทศญี่ปุ่น ผู้นำทั้งหมดเหล่านั้น ทรงยกย่องให้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช แห่งประเทศไทย เป็นผู้นำองค์กร สุดยอด ผู้นำ ทางพระพุทธศาสนา ในโลกแห่งนี้

    หลวงปู่สด ท่านเกิดปี 2441 และ มรณภาพเมื่อ 2 ธันวาคม 2537 อายุ 96 ปี
    ท่านบวชตั้งแต่เป็นเณรอายุ 18ปี
    และบวชเป็นพระ ติดต่อกันมาจน ตลอดชีวิต กว่า 76 พรรษา (76 ปีในการเป็นพระ) เป็นผู้เจริญ จิตตภาวนามาตลอดชีวิต

    พระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา ทุกนิกายในโลก มีมากมาย นับเป็นหลายๆล้านรูป
    เฉพาะเมืองไทย ก็มีพระภิกษุสงฆ์เป็นแสนๆรูปแล้ว

    ในจำนวนพระเป็นแสนๆรูป ก็มีพระ เพียงไม่กี่รูป ที่ สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศ
    ทรง ให้ความเคารพนับถือ เป็นการส่วนพระองค์ เป็นอย่างยิ่ง

    หนึ่งในนั้น นับรวม
    หลวงปู่สด ธัมมวโร วัดโพธิ์แตงใต้ จังหวัดอยุธยา ด้วยรูปหนึ่ง
    ถือได้ว่า เป็นประกาศนียบัตร รับรอง ความเป็น พระดี พระแท้ ของ หลวงปู่สด วัดโพธิ์แตงใต้ อย่างแท้จริง

    ###########

    หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม จังหวัดกาญจนบุรี ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อความเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคต

    เคยแสดง ให้คนแถวบางไทร รับรู้ว่า พระอาจารย์สด วัดโพธิ์แตงใต้ พระหลวงปู่ พระหลวงตา พระบ้านนอกองค์นี้ ไม่ใช่พระธรรมดา ที่ใครๆจะมองข้าม ได้ง่ายๆ

    ซึ่งแม้แต่หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ซึ่งมีอายุพรรษา มากกว่า หลวงพ่ออุตตมะ ก็ยังให้ความเคารพนับถือ เรียกหลวงพ่ออุตตมะว่า ท่านอาจารย์

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย อดีตเจ้าอาวาส วัดป่าสาละวัน จังหวัดนครราชสีมา พระอริยสงฆ์องค์เอก ท่านเป็นลูกศิษย์ องค์สุดท้ายของ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งหลวงปู่เสาร์เป็น พระอาจารย์ของท่าน พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรม

    ลพ.พุทธได้เคยเข้ากราบนมัสการ สนทนาธรรมกับ พระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ)เป็นการส่วนตัว หลวงพ่อพุธเคยกล่าวกับลูกศิษย์ของ ท่านว่า "หลวงพ่ออุตตมะท่านเป็น พระมหาโพธิสัตว์ผู้มากด้วยบารมี" (ลพ.อุตตมะท่านปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคต)

    รวมถึงพระผู้ใหญ่ สายท่านอาจารย์มั่น หลายๆท่าน ก็ให้ความนับถือ ในคุณธรรม ของหลวงพ่ออุตตมะ เช่นกัน

    แม้แต่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ก็ทรงให้ความนับถือ ในคุณธรรมของ หลวงพ่ออุตตมะเช่นกัน

    ############

    ครั้งหนึ่ง มีพิธีเสกพระใหญ่โต ที่วัดโพธิ์แตงเหนือได้นิมนต์ครูบา อาจารย์ชั้นนำ ที่มีคนรู้จักมาร่วม อธิษฐานจิตหลายท่าน แต่ มีเรื่องแปลก เกิดขึ้น เมื่อหลวงพ่ออุตตมะเข้ามาถึงพิธี ท่านได้ถามหาว่า พระอาจารย์สด วัดโพธิ์แตงใต้ ว่ามาถึงแล้วหรือยัง เมื่อรู้ว่าทางวัด ไม่ได้นิมนต์หลวงปู่สด มาร่วมงาน
    หลวงพ่ออุตตมะ ถึงกับไม่ยอมเข้าโบสถ์ และขอให้ชาวบ้านแถวนั้นขับมอเตอร์ไซค์ พาลูกศิษย์ของท่าน มาที่วัดโพธิ์แตงใต้และ ให้กราบเรียนกับหลวงปู่สดว่า พระอุตตมะ ขออนุญาต มาเสกพระที่โบสถ์ วัดโพธิ์แตงเหนือ และกราบขอ นิมนต์ ให้ หลวงปู่สด ส่งจิตมา ร่วมอธิษฐาน เสกพระ ในพิธีครั้งนี้ด้วย

    #####฿฿฿฿฿####

    จำได้ว่าปีพ. ศ. 2535 ผมทำรูปถ่าย หลวงปู่สดขนาด 4P และรูปถ่าย ครูบาอาจารย ์อื่นๆอีกหลายท่าน นำไปขอบารมีให้ท่าน อธิษฐานจิตให้

    ตอนนั้น ผมเชื่อมั่นในพลังจิตของ หลวงปู่สด อย่างมาก ขนาดเสก พระกริ่งจีนใหญ่ และ พระกริ่งชินบัญชร ที่อาจารย์ชินพร สุขสถิตย์ มูลนิธิ หลวงปู่ทิม อิสริโก สร้างเมื่อปี 2530 ให้กับ หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ เป็นรุ่นแรก ถึงกับ พระกริ่งเคลื่อนไหวขยับตัวได้ พระที่

    หลวงปู่สดท่าน เสกแล้ว อธิษฐานตัดรุ้งกินน้ำบนท้องฟ้าให้ขาด ออกจากกันได้จริงๆ และ ยังมีอื่นๆอีกมาก

    ตอนนั้นหนังสือพระเครื่องเกือบทุกเล่มได้มี ลงประวัติของหลวงปู่สด และมัก ใช้คำว่า

    หลวงปู่สด วัดโพธิ์แตงใต้ เทพเจ้าแห่งบางไทร.

    ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมชอบชื่อนี้มาก

    ผมจึงเรียนกับท่านว่า หลวงปู่ครับ เวลาผมแจกพระเครื่องของหลวงปู่ ผมจะบอกคนที่ได้รับว่า นี่เป็นพระเครื่องของ

    หลวงปู่สด วัดโพธิ์แตงใต ้จังหวัดอยุธยา ท่านคือ เทพเจ้าแห่งบางไทร

    ปกติหลวงปู่ ท่านจะ ไม่ค่อยพูด แต่ครั้งนี้ ท่านพูดกับ ทันทีเลยว่า ใครบอกเธอ ปู่ไม่เคยพูด

    ปู่บวชเข้ามาในศาสนา ของพระโคดม สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ศึกษา และ ปฏิบัติตาม คำสั่งสอน ของพระโคดม สัมมาสัมพุทธเจ้า การประพฤติ พรหมจรรย์ ของปู่ เพื่อการละขาด เพื่อการทำลาย เพื่อการสิ้นไป แห่งภพชาติ เท่านั้น

    การได้บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้ และ ประพฤติ พรหมจรรย์ เพื่อหวังไปเกิด เป็นเทวดา เป็นเทพ เป็นพรหม ผู้มีฤทธิ์มาก มีศักดามาก แค่ไหนก็ตาม

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงสรรเสริญ ถือเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ที่ด่างพร้อย

    ##########

    หลวงปู่ ไม่ใช่ เทพเจ้าแห่งบางไทร หลวงปู่เป็นพระหลวงตาแก่ๆ ธรรมดา เป็นพระบ้านนอก เป็นสงฆ์สาวกของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    แต่หลวงปู่เป็นพระดี ดีเพราะ หลวงปู่ คิดดี พูดดี ทำดี หลวงปู่ ไม่ทำความเดือดร้อนให้ตัวเอง
    ไม่ทำความเดือดร้อนให้วัด ไม่ทำความเดือดร้อนให้พระศาสนา ไม่ทำความเดือดร้อนให้กับชาติบ้านเมือง

    เมื่อเธอได้พระเครื่องของหลวงปู่ไปแล้ว ขอให้เธอคิดว่า เราจะเดินตาม รอยเท้าของหลวงปู่สดไป

    เราจะเป็นคนดี
    ไม่ทำความเดือดร้อนให้ตัวเอง ไม่ทำความเดือดร้อนให้ครอบครัว ไม่ทำความเดือดร้อนให้ที่ทำงาน
    ไม่ทำความเดือดร้อนให้กับชาติบ้านเมือง

    เริ่มจาก การรักษาศีล 5 รู้จักให้ทาน ในเพื่อนมนุษย์ ตลอดจนถึง สัตว์เดรัจฉาน ที่เขาลำบาก ให้เขาได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
    รู้จักการสวดมนต์ รู้จักการเจริญภาวนา ทำได้อย่างนี้แล้ว

    ชีวิตของเธอ ก็จะประสบแต่ความสุข ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ตามความปรารถนาของเธอ ที่ได้ตั้งใจเอาไว้

    ##############

    ในความรู้สึกของข้าพเจ้าแล้ว (อาจารย์เจริญ) หลวงปู่สด ธัมมวโร วัดโพธิ์แตงใต้
    อ. บางไทร จ. อยุธยา

    ท่านไม่ใช่เป็น

    เทพเจ้าแห่งบางไทร

    เพราะการประพฤติพรหมจรรย์ของท่าน เลยสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว

    แต่ท่านเป็น

    หลวงปู่สด ธัมมวโร วัดโพธิ์แตงใต้

    พระอรหันต์ แห่งทุ่งบางไทร

    จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    FB_IMG_1707940200021.jpg FB_IMG_1707940195826.jpg

    คำสั่งสอนของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศ

    “บุญมีอยู่ในบุคคลใด ในที่ใด บุคคลนั้น ที่นั้นก็มีสุข แม้จะขัดข้องบ้าง ก็ไม่นาน เพราะบุญเป็นสิริที่ชักนำโภคสมบัติทั้งปวง

    บุญก็คือความดี

    บุญกิริยาการทำบุญก็คือทำความดี โดยย่อมี ๓ คือ

    (๑) ทาน การให้ การบริจาค เพื่อสงเคราะห์ อนุเคราะห์ บูชา เพื่อกำจัดความโลภความตระหนี่ในจิตใจ
    (๒) ศีล ความประพฤติเป็น ปกติเรียบร้อยดีงามทาง กาย วาจา ด้วยความตั้งใจงดเว้นความประพฤติชั่ว ประพฤติผิดต่าง ๆ เป็นเครื่องกำจัดโทสะในจิตใจ
    (๓) ภาวนา ความอบรมใจให้สงบตั้งมั่น อบรมปัญญาให้รู้เห็นถูกต้องตามเป็นจริง เป็นเครื่องกำจัดโมหะความหลงในจิตใจ...”
    .
    ---- โอวาทธรรมของ สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    อ่านแล้วพิจารณาดูให้ดี จะเห็นว่า พระธรรมคำสั่งสอนของ

    หลวงปู่สด ธรรมวโร กับ สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช

    สอนเบื้องต้น แก่บุคคลทั่วไป
    ความหมายนัยยะเดียวกันเลยจ้า

    สาธุสาธุจ้า

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อโตหลังหลวงปู่สดวัดโพธิ์แตงใต้ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240215_025152.jpg IMG_20240215_025225.jpg
     
  16. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,925
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ขอจองครับ
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    1707919078812.jpg 1707834424969.jpg get_auc3_img (6).jpeg 2_1 (1).jpg
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    เหรียญศรีปราชญ์วัดกลางดาวคะนองครูบาเจ้าเสือสมิงน้อยรุ่นพลังหนุ่ม ๔๘ วัตถุมงคลของท่านส่วนมากนำไปให้หลวงปู่ญาท่านสวนครูบาอาจารย์ของท่านอธิษฐานจิตด้วยเหรียญนี้ถือเป็นศรีปราชญ์รุ่น 2 ของท่าน
    ให้บูชา 170 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240215_165021.jpg IMG_20240215_165104.jpg
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    1380005-1d56b.jpg
    ผงพุทธคุณมหาราช ผสมดอกตะไคร้ ผงตะไบพระกริ่งนวหรคุณ อ.ไสว และเส้นเกศาหลวงพ่อเลียบ )วัดเลา

    1380005-3020b (1).jpg

    พระทิพย์อำนาจ วัดเลา ธนบุรี หลวงพ่อไสว สุมโน พิธีใหญ่ มวลสารดี ให้บูชา บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240215_234848.jpg IMG_20240215_234915.jpg
    IMG_20240215_234827.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2024
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,737
    ค่าพลัง:
    +21,341
    IMG_20240216_015300.jpg

    ประวัติ หลวงพ่อจีเกียงมาจากเมืองจีนได้มาอยู่ที่ อำเภอปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ และได้ทำงานอยู่กับเรือประมง และอายุประมาณ ๔๐ ปี จึงได้อุปสมบทและได้เดินธุดงค์มาพบถ้ำที่เขาลอยเสือ ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นบ้านถ้ำผาสุกใจ
    วัดถ้ำผาสุขใจเป็นวัดราษฏร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ในเขตการปกครองของคณะสงฆ์ตำบลตาคลีเขต ๑ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ภาค ๔ ตั้งอยู่เลขที่ ๑๓๗ หมู่ที่๑ ตำบลตาคลี อำเภอตาคลีจังหวัดนครสวรรค์ สภาพพื้นที่ในการตั้งวัด วัึดถ้ำผาสุขใจเป็นพื้นที่ราบเชิงเขา มีถนนตัดเข้าสู่วัดด้วยกัน ๒ สายคือ ๑ ถนนพหลโยธิน ๒ ถนนทวีชัย๕ มีพื้นที่ในการตั้งวัดทั้งหมด ๑๓ ไร่ ๘๙ ตารางวา ซึ่งมีนายเชิงเกา แซ่ลี้ เป็นผู้ถวายที่ดินให้แก่วัด ทางด้านทิศเหนือติดกับที่ดินของนายป๋อเลี้ยง แซ่ลี้ ทางทิศตะวันตกติดกับที่ดินของนายสงวน เกียรติกุล ทางทิศใต้ติดกับที่ดินของนายกอบโชค ทองบุญยืน และทางทิศตะวันออกติดกับภูเขา
    การตั้งวัดถ้ำผาสุขใจเดิมมีสภาพภูเขาและมีถ้ำ เป้นพื้นที่ราบรื่นเหมาะกับการปฏิบัติธรรม เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๒ พระวิจิตร เตชวโร (หลวงพ่อจีเกียง) ได้เดินทางธุดงค์มาพบแล้วเห็นว่าเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมจึงได้ชักชวนชาวบ้านญาติโยมก่อสร้างเสนาสนะ พอเป็นที่อยู่ของพระภิกษุสามเณร และได้จัดตั้งเป็นสำนักสงฆ์ถ้าผาสุขใจ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ จึงขออนุญาตวัดโดยมีนายเล้ง แซ่ลี้ เป็นผู้ขอในการตั้งวัดโดยมีชื่อว่า วัดถ้ำผาสุขใจ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงเจ้าสัวหลวงพ่อจีเกียงวัดถ้ำผาสุขใจปี ๒๕๑๘
    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240216_014850.jpg IMG_20240216_014915.jpg IMG_20240216_014815.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...