สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    ?temp_hash=14e21f46d46d6a79e5976ef3467cd7cc.jpg
    ศิษย์หลวงพ่อภาวนาและหลวงป๋า


    "ปฏิบัติธรรม"
    ต้องเข้าใจนะว่า ... ปฏิบัติไปทำไม ?
    #ปฏิบัติไปเพื่อ "ละวาง"
    #ละวาง "กิเลส" ในใจเรา
    ปล่อยความ "ยึดติด" อย่าให้มี
    แต่ให้รู้ทางปฏิบัติ ... ตามที่เป็นจริง
    ว่าอะไร คือทางเดินตามทางที่ครูอาจารย์สอน
    ตาม "ธรรมของพระพุทธเจ้า" เท่านั้น
    ทำไปเถอะ ... ไม่เสียผล ไม่ผิดทาง


    * พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    ปฐมเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    เครดิตเพจวัดหลวงพ่อสดฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    1f52e.png หลวงพ่ออธิบายว่าที่เรียกว่าศูนย์ก็เพราะว่าเวลาสัตว์ไปเกิดมาเกิดอยู่ในกลางดวงนั้น กายละเอียดอยู่ที่กลางดวงนั้น เมื่อพ่อแม่ประกอบธาตุธรรมถูกส่วนเข้าแล้วก็ตกที่กลางศูนย์นั้น พอตกศูนย์แล้วก็ลอยขึ้นมาเหนือกลางลำตัว ๒ นิ้ว โตเท่าฟองไข่แดงของไก่ ใสเป็นกระจก ส่องเงาหน้า
    1f3af.png นี่คือการเกิดมาในโลกมนุษย์ ท่านเน้นว่าศูนย์นี้สำคัญนัก จะเกิดมาในมนุษย์โลก ก็ต้องเกิดด้วยศูนย์นี้จะไปนิพพานก็ต้องเข้าศูนย์เหมือนกัน จะไปสู่มรรคผลนิพพานก็ต้องเข้าศูนย์แบบเดียวกันนี้ จะตายหรือจะเกิดเดินตรงกันข้าม คือถ้าจะเกิดก็เดินนอกออกไป ถ้าจะไม่เกิดก็เดินในเข้าไป กลางเข้าไว้ หยุดเข้าไว้ ไม่ให้คลาดเคลื่อน
    1f4cc.png ในวันที่ อ.ตรีธาไปฝึกนั่งภาวนากับหลวงพ่อนั้น ท่านปฏิบัติตามที่หลวงพ่อบอก ทุกประการ ไม่ได้มีความลังเลสงสัยเลยว่าจะถูกหรือไม่ถูก ใช่หรือไม่ใช่ ทันทีที่สิ้นเสียงสอน ของหลวงพ่อ อ.ตรีธาก็เห็นดวงกลมใส 1f52e.png ปรากฏขึ้นที่ฐานที่ ๗ ศูนย์กลางอากาศธาตุ ดวงนี้ โตขนาดเท่าดวงจันทร์ หลวงพ่อท่านเรียกดวงนี้ว่า ดวงปฐมมรรค” หรือดวงธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน อันเป็นหนทางเบื้องต้นสู่มรรค ผล นิพพาน
    1f4cd.png ท่านจึงลืมตามองดูหลวงพ่อ ก็เห็นหลวงพ่อนั่งหลับตา อ.ตรีธาจึงนั่งหลับตาต่อ ก็ยังคงเห็นดวงกลมใสนั้นอีก แล้วก็ลืมตาอีก ก็ยังเห็นอยู่อีก เห็นอยู่อย่างนั้นทั้งหลับตา และลืมตา เมื่อได้เวลาเลิกนั่ง หลวงพ่อก็นำกราบพระพร้อมกัน
    270f.png เมื่อสิ้นสุดการนั่งภาวนา หลวงพ่อก็เรียกผู้นั่งภาวนาบางคนเข้าไปถามว่า ได้รู้เห็น อะไรบ้าง แล้วท่านก็ชี้มาที่ อ.ตรีธา พูดว่า ไอ้เล็กมานี่ อ.ตรีธาก็คลานเข้าไปหาหลวงพ่อ ๆ พูดต่อไปว่า เอ็งเห็นแล้วใช่ไหม อ.ตรีธารู้สึกทั้งตกใจและประหลาดใจ ว่าทำไมหลวงพ่อจึงทราบ แต่ก็ไม่กล้าถาม ได้ยินหลวงพ่อพูดต่อไปว่า
    1f6a9.png เอ็งได้แล้ว แม่เอ็งจะได้ไม่ตายแล้วเอ็งไปต่อวิชชากับเขา แค่นั้นท่านก็ขนลุกซู่ด้วยความปีติได้ยินแต่คำว่า แม่เอ็งจะได้ไม่ตายแล้ว ๆ ๆ แม่จ๋าหนูแดง ทำได้แล้ว ช่วยแม่ได้แล้ว จะรักษาโรคให้แม่แข็งแรง แม่จะได้อยู่กับหนูแดงไปนาน ๆ นะจ๊ะ
    1f52e.png เมื่อเห็นดวงปฐมมรรคแล้ว หลวงพ่อส่ง อ.ตรีธาไปต่อวิชชาในระดับสูงขึ้นไปกับ แม่ชีบุญช่วย จนบรรลุวิชชาธรรมกาย หลังจากนั้นไม่นาน แม่ชีบุญช่วยก็ถึงแก่กรรม อ.ตรีธา จึงเรียนต่อแม่ชีญาณี ศิริโวหาร...
    **หนังสือตรีธาเล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ***Post by เพจบารมีธรรม หลวงพ่อวัดปากน้ำ
    =AZXiJc_WSeVaoDc3vS_XR78kTrkztcu6oEFKHf8ckzZ2vpcAomt3hJltgwre_5ZqZrEwlU_3uJE5LuIkbLtvf8RLDoF9o1U-6CDVfYZAsDFgfq_1_kheB293ZiBECrobdpn8_zsoJmXXl4ARJJBlzq7tTaLLT79cFc23Kk1b-XT2bjP2Dt6u_FKY5LGEEUs_E5w&__tn__=EH-R'] FP1QrexZMtFBrTgCejNysaWDrKCUcldXfiiA7QaGhQYt&_nc_ohc=CiYX4WQbEwIAX8H8KJR&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    -kX4kI_4_nrwD6RMAthvzGRH_uSV-vTwxbb8uLeL-88V&_nc_ohc=xMNP2nrjnVwAX8k__u3&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    #ผู้ถึงธรรมกายแล้วอย่าได้ประมาทขาดสติสัมปชัญญะ
    #เพราะอาจจะกลับไปเป็นปุถุชนได้ในชั่วพริบตา
    ขณะใดที่จิตออกจากที่สุดละเอียดของธรรมกาย กิเลสก็สามารถทำอะไรได้เช่นเดียวกับปุถุชนทั่วไป เพราะฉะนั้น อาตมาถึงกล่าวเสมอว่า ผู้ที่ถึงธรรมกายแล้วอย่าเหิมเกิม ต้องมีสติพิจารณาเห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต และ เห็นธรรมในธรรมอยู่เสมอ

    อย่างน้อยต้องคอยพิจารณาดูว่า จิตใจเราขุ่นมัวหรือผ่องใส ถ้าขุ่นมัวก็รีบดับหยาบไปหาละเอียด ไปสู่สุดละเอียด ถึงความเป็นธรรมกายพระอรหัตในพระอรหัตๆๆๆ หรือถึงธรรมกายในเบื้องต้นก็ดีแล้ว

    นี้เป็นวัตถุประสงค์สำคัญ ของการเจริญมหาสติปัฏฐาน ๔ ไม่ใช่พิจารณาเห็นเฉยๆ แต่ให้พิจารณาสภาวธรรมทั้งที่เป็นสังขารและวิสังขาร ให้เจริญปัญญารู้แจ้งในสภาวธรรม ให้เห็นแจ้งในอริยสัจ ๔ ไปตามภูมิธรรม แล้วดับหยาบไปหาละเอียด ถึงธรรมกายที่สุดละเอียด ถึงพระนิพพาน จิตยึดหน่วงพระนิพพานเป็นอารมณ์ด้วยญาณของธรรมกาย ดำรงอยู่ในที่สุดละเอียดนั้นเสมอ จิตใจก็จะบริสุทธิ์ผ่องใส

    เมื่อธาตุธรรมแก่กล้าแล้ว โลกุตรธรรม คือ มรรคผลนิพพาน ก็จะปรากฏมีขึ้นได้ เสมือนหนึ่งชาวนาที่ทำหน้าที่ของชาวนาดีที่สุด ปลูกข้าว ไขน้ำเข้านา ใส่ปุ๋ย ถอนวัชพืชรวงข้าว ฯลฯ เป็นต้นดีแล้ว เมื่อถึงเวลาข้าวก็ออกรวงเอง นี้เป็นพระพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกัน

    ธาตุธรรมเมื่อแก่กล้า บุญบารมีเต็ม ก็จะสามารถเจริญปัญญารู้แจ้ง และกำจัดกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้

    แต่ว่า..
    ผู้ปฏิบัติได้ถึงธรรมกาย ไม่แน่เสมอไปว่า จะเป็นพระอริยบุคคลหรือไม่ เพราะการอธิษฐานจิตบำเพ็ญบารมีไม่เหมือนกัน เช่น บางคนตั้งใจบำเพ็ญบารมี เป็นผู้บรรลุมรรคผลนิพพานในระดับปกติสาวก ก็ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ค่อนข้างจะง่ายกว่า เร็วกว่าผู้ที่บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะพระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญบารมีจนถึงปรมัตถบารมีตามส่วนของท่านแล้ว จึงจะบรรลุมรรคผลนิพพาน และพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้

    ถ้าผู้บำเพ็ญบารมีถึงธรรมกาย ที่ยังไม่ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคล แล้วกลับประมาทขาดสติสัมปชัญญะ ไม่มีศีลสังวรเมื่อใด หรือขาดอินทรีย์สังวร ญาณสังวร ก็เป็นอันเสร็จ คือ จิตตกต่ำไปด้วยอำนาจของกิเลสได้เหมือนกัน

    เพราะฉะนั้น อาตมาจึงกล่าวเสมอ แม้เมื่อเช้านี้ก็กล่าวกับพระให้ท่านรับคำว่า ต่อแต่นี้ไป ผู้ถึงธรรมกายแล้วพึงจะมีอินทรีย์สังวร ศีลสังวร ญาณสังวร เพื่อรักษาตน ไปจนถึงธาตุธรรมแก่กล้า บุญบารมีเต็ม สามารถตัดสังโยชน์กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลกได้แล้วโดยสิ้นเชิง นั่นแหละจึงวางใจได้

    แต่ว่าท่านผู้ใดถึงธรรมกายแล้ว เจริญภาวนาให้เกิดปัญญาแจ้งชัดในสภาวธรรม ด้วยสมถะและวิปัสสนามีกำลังเสมอกัน จิตยึดหน่วงพระนิพพานเป็นอารมณ์ โลกุตรมรรคจิต มรรคปัญญา เกิดและเจริญขึ้น ให้สามารถตัดสังโยชน์กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลกได้ ก็บรรลุมรรคผลนิพพาน ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้ ข้อนี้ไม่มีประมาณ

    เพราะฉะนั้น ผู้ถึงธรรมกายที่ยังไม่บรรลุโลกุตรธรรม อาจจะกลับไปเป็นปุถุชนได้ชั่วพริบตาในไม่กี่ชั่วโมง ไม่กี่นาที ถ้าประมาทขาดสติสัมปชัญญะ ไม่สำรวมระวังศีลและอินทรีย์ แล้วลุแก่อำนาจของกิเลส โลภะ ราคะ โทสะ โมหะ ตัณหา อุปาทาน

    ________________
    เทศนาธรรมจาก
    พระเทพญาณมงคล
    หลวงป๋าเสริมชัย ชยมงฺคโล
    #วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    ________________
    ที่มา
    หนังสือตอบปัญหาธรรมะปฏิบัติ
    ________________
    เครดิต เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
    ขอบพระคุณภาพประกอบธรรมะ


    C6xZx5-E0enl8kdauBxykYY6ie9AQUU7bql4TgPIinNv&_nc_ohc=VcF-ICsy5lIAX9S87D0&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    ?temp_hash=ef775e94ebdfa7ecf304fd3f4df196df.jpg

    พระสนั่น สาราศรัย หรือ ขนฺติโกภิกขุ ผู้เป็นสัทธิวิหาริก ของหลวงพ่อ ได้เขียนเล่าไว้ว่า
    “ปอยผมสีดำที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นก็ค่อย ๆ เลือนไป ๆ จนไม่เห็น แต่กลับค่อยเห็นเส้นวงกลม มีแสงเรือง ๆ เกิดขึ้นมาแทนที่ แสงนั้นยิ่งสุกนวลขึ้น ๆ ครั้งแรกก็เป็นเพียงวงกลม ๆ ค่อย ๆ หรี่เล็กลงแล้วกลับขยายกว้างออก เป็นอยู่เช่นนี้ครู่ใหญ่แล้วก็หยุดเป็นวงกลมโตขนาดเท่าเหรียญสองสลึงหรือ โตกว่าเล็กน้อย เริ่มหยุดคงที่
    ส่วนแสงนวลนั้นก็ค่อยแผ่ขยายจากเส้นรอบวง เข้ามาสู่จุดศูนย์กลางเข้าทุกที ๆ จนเห็นเป็นดวงใส คล้ายดวงแก้วสุกสว่าง ดังดวงจันทร์ ด้วยเกรงว่าดวงใสนั้นจะเลือนหายจากไปเสีย ข้าพเจ้าเพ่งดูหนักขึ้น ไม่ยอมละ นานเท่านาน แต่จะนานเพียงใดก็ช่าง การเมื่อยขัดเข่าและขา เมื่อสักครู่นี้ ไม่มีเหลือเสียแล้ว ไม่ทราบว่ามันหายไปได้อย่างไรกัน
    แล้วก็มีเสียงถามจากหลวงพ่อว่า ได้เห็นอะไรอีกไหม พอตอบ ท่านว่าเห็นแสงสว่างเป็นดวงกลมขนาดเท่าลูกมะนาวเขื่อง ๆ หลวงพ่อ ก็จะตอบว่า วันนี้พอกันที เธอจงจดจำดวงที่เธอเห็นนี้ไว้ให้ดี หลับตา ก็ให้เห็น ลืมตาก็ให้เห็น ไม่ว่าเวลาใด ๆ ให้เห็นอยู่เสมอ ๆ อย่าให้ สูญไปเสีย ดวงใสนั่นแหละเป็นจุดต้นทางนำเราไปสู่พระนิพพานละ เป็นทางไป ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เป็นทางถูก ทางตรง ทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทาง อื่น จดจำไว้ให้ดี อย่าให้ดับเสียได้น้า..."
    ดังนั้น พระสงฆ์รูปใดที่ได้รับการอุปสมบทจากหลวงพ่อ จะรู้สึกว่าตนโชคดีมีบุญ ที่ได้รับเกียรติจากหลวงพ่ออย่างสูงยิ่ง เพราะหลวงพ่ออุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจสอนกรรมฐาน คุมจิต คุมใจ คุมบุญให้ผู้นั้นตัวต่อตัว
    อุตส่าห์นั่งรอด้วยความอดทนว่าลูกศิษย์จะเห็นดวงปฐมมรรค หรือยัง นานแค่ไหนหลวงพ่อก็รอได้ไม่บ่นปวดเมื่อย รำคาญเหน็ดเหนื่อย ไม่ดุไม่ว่า ไม่เร่งรัด ♥️จิตท่านเป็นอุเบกขาจริง ๆ ทุกคนที่ร่วมพิธี ทั้งพระอันดับและญาติพี่น้องก็ต้องนั่งรอ เป็นชั่วโมงด้วย ระหว่างรอก็ต้องปฏิบัติธรรมไปด้วย เพียงขอให้พระสงฆ์ใหม่ ๑ รูปได้เห็น ดวงธรรม ปวดเมื่อยอย่างไรก็ต้องยอม
    **หนังสือตรีธาเล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ***Post by เพจบารมีธรรม หลวงพ่อวัดปากน้ำ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    1f494.png #หลวงพ่อวัดปากน้ำ มรณภาพ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๒ เวลา ๑๕.๐๕ น. 1f494.png


    ต้นเดือนมกราคม และต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ ติดต่อกัน ผู้เขียนเรื่องนี้ (สมเด็จป๋า ครั้งนั้นดำรงสมณศักดิ์ ที่ พระธรรมวโรดม) ...เกิดสังหรณ์ใจถึงเจ้าคุณพระมงคลเทพมุนีขึ้น จึงเดินทางกลับวันที่ ๒ ก.พ. ศกเดียวกัน ถึงวัดพระเชตุพนฯ ๑๔.๐๐ น. มาโดยรถยนต์ รถวิ่งมาอย่างช้าๆ
    1f384.png รุ่งขึ้นวันที่ ๓ ก.พ. เวลา ๑๒.๐๐ น. โทรศัพท์มาจากวัดปากน้ำแจ้งว่า หลวงพ่ออาการหนักแล้วขอให้รีบไปวัดปากน้ำด่วน ถึงวัดปากน้ำเวลา ๑๓.๐๐ น. เศษ ได้เข้ามนัสการหลวงพ่อมีอาการหอบ ทางวัดปากน้ำมาเยี่ยม ทนดูไม่ได้ ต้องไปตามหมออื่นมา หมอบอกว่าหมดความรู้สึก เส้นโลหิตในสมองแตกแล้ว หมดความหวัง หมอไม่ยอมทำอะไร เพียงแต่แนะว่าให้เอาน้ำแข็งห่อผ้าวางไว้บนศีรษะ เวลานั้นภิกษุสามเณรแน่นห้อง ต่างมองดูหลวงพ่อด้วยน้ำตา หน้าสลดหมดความหวัง หมอพยากรณ์ไว้ว่า ภายใน ๒๔ ช.ม. จะอยู่ได้เป็นอย่างดี
    1f384.png หมอกลับไปแล้ว พวกศิษย์ก็ยังห้อมล้อมหลวงพ่ออยู่ เข้าใจว่าหลวงพ่อไม่รู้สึกเลย หลวงพ่อหลับตาหอบถี่ๆ หนักขึ้น แล้วก็ค่อย ๆ น้อยลง วิญญาณของหลวงพ่อได้ทิ้งร่างกายอันทุพพลภาพนั้นด้วยอาการอันสงบ และสงบอย่างภูมิของนักปฏิบัติเวลา ๑๕.๐๕ น. ของวันที่ ๓ ก.พ. ๒๕๐๒ เสียงสะอื้นก็ระงมขึ้นในห้องที่หลวงพ่อมรณภาพ ทุกคนหน้าซีดสลด แม้
    น้ำตาจะไม่ออกทางลูกตาจะปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้นั้นไม่กลืนน้ำตาแห่งความสลดใจ
    1f384.png เมื่อแน่ใจว่าดับสนิทดีแล้ว ระฆังทุกใบในวัด ดังบรรลือเสียงขึ้น กลองก็ดังขึ้น เป็นอันรับรู้กันว่า เจ้าคุณพระมงคงเทพมุนี ได้ละโลกนี้ไปสู่ปรโลกแล้ว ครู่ต่อมา กุฏิ ตึกหลังใหญ่เนืองแน่นไปด้วยภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา หน้าเศร้าน้ำตาคลอ บ้างทิ้งตัวลงกราบ บ้างยืนไหว้ บ้างสะอื้นเอามือปิดหน้า เวลานั้นไม่มีเสียงพูด มีแต่เสียงสะอื้นและเงียบสงัดแสดงว่าหมดที่พึ่งแล้วจนอวสานแห่งชีวิตของตน
    1f384.png การมรณภาพของหลวงพ่อเวลา ๑๕.๐๕ น. นั้นคล้ายกับว่าพระคุณท่านยังมีความกรุณาอยู่ เพราะยังให้เวลาดำริและติดต่อเรื่องจัดการศพได้ เป็นเวลาสะดวกจริงๆ จะติดต่อกับใครสั่งการอย่างไรอันเกี่ยวแก่ศพสำเร็จทุกทาง คล้ายกับว่าหลวงพ่อเปิดทางสะดวกไว้ให้ เครื่องใช้สอยมีทุกอย่างทันความประสงค์ ถ้ามรณภาพเวลากลางคืนหรือใกล้รุ่ง ก็จะพากันเดือดร้อนหรือหนักใจเพียงไร คืนนั้นเราพิมพ์การ์ดอาบน้ำศพเสร็จ เรียกอย่างไรได้อย่างนั้น และทันประกาศทางวิทยุและหนังสือพิมพ์
    1f384.png เพื่อความเรียบร้อยในวันรุ่งขึ้นได้จัดการให้ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา และชาวบ้านใกล้คียง หรือห่างไกลที่มาประชุมกันวันนั้น ได้อาบน้ำศพเสียก่อน ต้องจัดให้เข้าอาบน้ำศพคราวละ ๓ คนบ้าง ๔ คนบ้าง กว่าจะทั่วถึงสิ้นเวลากว่า ๒ ชั่วโมง จัดการปลงผมและเปลี่ยนผ้าครองใหม่ ฉีดยารักษาศพมิให้เน่า
    1f384.png ในวันนั้นเอง ได้สั่งให้เก็บผมของหลวงพ่อไว้เพื่อบรรจุพระแจกแก่ชาวบ้านต่อไป แต่ได้สั่งช้าไปมีผู้เก็บไปหมดจะหาเหลืออยู่สักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นแม้ผ้าเช็ดมือเช็ดปาก สบงจีวรทั้งเก่าทั้งใหม่อันเป็นของใช้ของหลวงพ่อก็ถูกฉีกยื้อแย่งแบ่งปันหมดสิ้นในคืนนั้นอง จะหาเหลือสักนิ้วหนึ่งก็ไม่ได้ ดีไปอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องเก็บกวาดเอาไปทิ้ง ผู้ไม่ได้ ก็พูดว่าจะรอเอากระดูกเวลาเผา
    1f384.png ทำความสะอาดแก่ศพเรียบร้อยแล้ว ยกไปไว้ที่ ร.ร. ชั้น ๓ เตรียมต้อนรับผู้จะมาอาบน้ำศพในวันรุ่งขึ้น คืนนั้นภิกษุ สามณรแทบไม่ต้องจำวัด ทำงานกันคืนยันรุ่ง เพราะต้องทำความสะอาดให้เรียบร้อยแทบทั่ววัด ดีที่มีภิกษุ สามเณรมากและพร้อมพรียงกันทำ งานที่เต็มใจทำย่อมลุล่วงไปด้วยดี
    1f384.png รุ่งขึ้นวันที่ ๔ ก.พ. ๒๕๐๒ การอาบน้ำศพได้มีตั้งเวลา ๑ โมงเช้า พากันมาเป็นสาย ๆ อาบกันไม่ขาดระยะ จนกระทั่งยกศพใส่หีบเวลา ๑๗.๐๐ น, ล่วงแล้ว ที่มาไม่ทันก็นับจำนวนหลายร้อย สมเด็จพระสังฆนายกได้กรุณามาประกอบพิธีเอาน้ำพระราชทานอาบศพ และเป็นประธานตลอดพิธี
    1f384.png ศพหลวงพ่อที่บรรจุแล้วในหีบทองของหลวงที่พระราชทานให้เป็นเกียรติแก่หลวงพ่อ ได้ประดิษฐานอยู่มุมด้านตะวันออกของโรงเรียน ประดับตกแต่งด้วยเครื่องสักการะงดงาม เวลากลางคืนมีสวดอภิธรรมเป็นการกุศลตามประเพณีนิยม มีผู้มาเยี่ยมคืนละมาก ๆ เป็นจำนวนร้อย และได้รับเป็นเจ้าภาพสวดทุกคืน คืนละ ๑ เจ้าภาพ ตั้งแต่วันที่ ๔ ก.พ. ๒๕๐๒ เป็นต้นมา
    1f384.png การบำเพ็ญกุศลเช่นนั้นได้ติดต่อกันถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๐๒ แล้วล้วนแต่มีผู้เต็มใจมาขอเป็นเจ้าภาพทั้งสิ้น บางคืนก็สวด ๒ สำรับ บางสัปดาห์ก็มีพระธรรมเทศนา บางวันก็มีแจง อาราธนาภิกษุ สามเณร มาสวดแจงหมดทั้งวัด การบำเพ็ญกุศลเทศน์แจงนี้มีมาหลายคราวแล้ว สิริรวมอายุ ๗๔ ปี ๓ เดือน ๒ วัน บวชอยู่ ๕๓ พรรษา
    1f384.png แม้หลวงพ่อจะมรณภาพป็นเวลาหลายสิบปีแล้วแต่ศิษยานุศิษย์ของท่านก็ยังสวดพระอภิธรรมให้ท่านทุกวันมิได้ขาด วันหนึ่งๆ มีผู้มาขอเป็นเจ้าภาพสวดหลายราย โดยเฉพาะ วันเสาร์ อาทิตย์ และ วันหยุดราชการ จะมีการสวดพระอภิธรรมกันตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ.....
    270d.png คัดลอกจาก 270d.png
    หนังสือ " ตรีธาเล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ ฉบับปี ๒๕๒๗ "
    =AZWEcuRqGoX0e1ePSojijHrPRKWnjf59RMZmpkNhRlnSjCLl3gQWZnFjRVIJPnHiog5h4B-_sIFcur8i3ecmM9bS8FL7kbFL9NU6rSFOJOmDAWaUKXjcqKKZk3ty5EndUyfKNICdjGGrAWFV_GARnyOEQxY1sK4iE77WM2Lsg-pU8g&__tn__=EH-R'] g_WSrdOV04eoZ6L5stdFX7E4hO6R69FnyQdHTunlsisf&_nc_ohc=IonJ5kmggRAAX9Q6rhO&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    1f52e.png มีขบวนแห่มารับก่อนดับจิต


    1f4cc.png คุณภัลลิกา ศิลปบรรเลง เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่งที่ได้วิชชาธรรมกาย เธอเล่าถึงสาเหตุที่เธอได้วิชชาธรรมกาย หลังจากที่ได้ศึกษาปฏิบัติอยู่นานถึงกว่า ๑๐ ปี แต่ในช่วงนั้นไม่ใคร่ได้ผลจนนึกท้อใจ อาจเป็นเพราะยังมีภาระอื่นอยู่มาก ไม่ใคร่มีเวลา ปฏิบัติกิจทางพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๗ บิดาของเธอ คือคุณหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้ป่วยด้วยโรคบิดและลำไส้พิการ แล้วยังมี โรคหัวใจรั่วอันเป็นโรคเดิมซึ่งทุเลาไปแล้วกลับกำเริบขึ้นร่วมอีกด้วย จึงทำให้อาการของ คุณหลวงฯ น่าวิตก ครอบครัวของท่านได้หาแพทย์ชั้นหนึ่งที่สำเร็จจากต่างประเทศมารักษา กันอย่างเต็มที่ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น
    1f4cd.png คุณภัลลิกาและพี่สาวชื่อคุณชิ้น ศิลปบรรเลง เชื่อมั่นในอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และบารมีธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ำ จึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปประจำดวงชะตาของ คุณพ่อกับรูปหลวงพ่อไปประดิษฐานไว้ใกล้เตียงนอนเหนือศีรษะ เวลาที่อาการทรุดลง ทุกคนที่พยาบาลก็ช่วยกันภาวนาว่าสัมมาอะระหัง ๆ ๆ อาการก็ค่อยบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด
    270f.png เมื่ออาการทรุดลงเรื่อย ๆ คุณชิ้น ศิลปบรรเลง ได้ไปกราบเรียนหลวงพ่อ ขอบารมี ให้ท่านแก้โรค และขอผู้ที่ได้วิชชาธรรมกายไปช่วยแก้โรคให้คุณพ่อที่บ้านด้วย แม้หลวงพ่อ จะทราบล่วงหน้าด้วยญาณแล้วว่า โรคของคุณหลวงฯ รักษาไม่หายแน่นอน แต่ท่านก็กรุณา ส่งแม่ชีธรรมกายไปช่วยแก้โรคให้ถึงบ้านทุกวัน ผลัดละ ๒ คน ท่านยังบอกคุณชิ้นว่า ไปบอก คุณหลวงให้หมั่นภาวนาไว้เมื่อไม่หายก็จะได้ไปดี คุณหลวงก็ปฏิบัติตามที่หลวงพ่อแนะนำ
    1f3af.png ในขณะที่แม่ชีธรรมกายนั่งแก้โรค คุณภัลลิกาก็นั่งภาวนาด้วย แต่คราวนี้มีความมุมานะพยายามเป็นพิเศษ นั่งอย่างเอาเป็นเอาตายเลยทีเดียว เพราะเห็นว่าเป็นวิธีเดียว ที่จะช่วยคุณพ่อให้หายโรคได้ พร้อมกับตั้งสัจอธิษฐานว่า ถึงแม้ว่าจะต้องสละเลือดเนื้อ และชีวิตก็ยินดีเพื่อสนองพระคุณของคุณพ่อ ถ้าสำเร็จวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อ และช่วยแก้โรคให้คุณพ่อหายป่วยได้ จะลาออกจากงานไปบวชชีที่วัดปากน้ำ
    1f52e.png ก่อนนั่งภาวนาคุณภัลลิกาได้ตั้งสัจอธิษฐานอย่างนี้เสมอ วันหนึ่งตั้งสัจจะว่า ถ้าไม่สำเร็จจะไม่ยอมลุกจากที่ จะนั่งคร่ำเคร่งอยู่เช่นนี้ทั้งกลางวัน กลางคืน โดยไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอนหรือเปลี่ยนอิริยาบถ คุณภัลลิกาก็ได้เห็นแสงสว่างจ้าเหมือนแสงของดวงอาทิตย์ ปรากฏขึ้นแจ่มชัดตรงหน้า แล้วเห็นร่างของคุณพ่อถูกตัดออกจากกันเป็นท่อน ๆ คุณภัลลิกา จึงเล่าให้แม่ชีรำภา โพธิ์คำฉาย กับแม่ชีชั้น จอมทอง ซึ่งไปนั่งแก้โรคให้คุณพ่อฟัง แม่ชีตอบว่า คุณภัลลิกาได้เห็นธรรมะแล้ว ให้พยายามเพียรยิ่งขึ้นต่อไป แล้วสอนวิธีถอนโรคให้ จนคุณภัลลิกาสามารถเชื่อมร่างกายของคุณพ่อที่ขาดออกจากกันนั้นให้ติดกันได้ ขณะนั้น อาการของคุณหลวงฯ ก็ทุเลาขึ้น ส่วนคุณภัลลิกาได้แม่ชีทุ่มต่อวิชชาธรรมกายให้
    1f4cc.png คุณภัลลิกาได้เขียนเล่าเรื่องนี้ไว้ว่า "ข้าพเจ้าได้ใช้วิชชาธรรมกาย ถอนอาการโรคของคุณพ่ออยู่ประมาณ ๒ - ๓ วัน ได้เห็นกายทิพย์ใส เป็นแก้วขาวบริสุทธิ์สวยงามมากออกมาจากอกของคุณพ่อ ข้าพเจ้าบอก คุณชั้นและคุณทุ่มซึ่งนั่งถอนโรคอยู่ด้วยกันให้ดู แล้วช่วยกันสะกดด้วยอำนาจของธรรมกายนี้ จนกายทิพย์ของคุณพ่อกลับเข้าไปในร่างอีกดังเดิมเป็นอยู่เช่นนี้ หลายครั้งหลายครา ข้าพเจ้าจึงแน่ใจว่า อาการป่วยของคุณพ่อไม่มีทางรอด หลวงพ่อท่านจึงได้สั่งกำชับมากับพี่สาว ให้บอกคุณพ่อมั่นอยู่ในการภาวนา และเมื่อวันที่ท่านเจ้าคุณพ่อได้มาฉันอาหารบิณฑบาตที่บ้าน ก่อนหน้าคุณพ่อจะสิ้นนั้น ท่านยังได้กรุณาบอกแก่คุณพ่ออีกว่า คุณหลวงทำใจให้ดีนะ หมั่นภาวนาไว้ให้มั่น เราสู้เขาไม่ได้ เราก็ไปทางดี
    1f3af.png โอวาทของเจ้าพระคุณหลวงพ่อครั้งนี้ ทำให้คุณพ่อข้าพเจ้าได้สติ และภาวนาอยู่จนกระทั่งท่านสิ้นไป ด้วยอำนาจของการภาวนานี้แหละ เมื่อก่อนหน้าที่ คุณพ่อจะสิ้นใจ ข้าพเจ้าก็ได้เห็นมีขบวนแห่ประกอบด้วยเครื่องสูง มีฉัตร อภิรุม ชุมสาย บังแทรก บังสูรย์ ฯลฯ มาลอยอยู่เหนือร่างของท่าน เมื่อกายทิพย์ ออกจากร่าง ขบวนแห่นั้นก็เข้าห้อมล้อม นำกายทิพย์ของคุณพ่อขึ้นรถที่มา ในขบวนนั้น แล้วก็เคลื่อนขบวนลอยสูงขึ้น สูงขึ้นทุกที จนลับหายไปในอากาศ ข้าพเจ้าถามคุณทุ่มว่า ที่ข้าพเจ้าเห็นนี้เป็นความจริงหรือไม่ ก็ได้รับการยืนยันว่า เป็นความจริง ข้าพเจ้าจึงไม่เสียใจในมรณกรรมของคุณพ่อครั้งนี้ เพราะได้เห็น และรู้ว่าท่านไปสู่ที่สุขจริง ๆ
    270f.png บางท่านอาจไม่เชื่อว่า เพียงแต่การภาวนา เมื่อก่อนจะตายเท่านั้น จะมี กุศลสูงส่งให้ ซึ่งเป็นการเหลือวิสัย ข้าพเจ้าขอชี้แจงว่า คนเราเมื่อเวลาจะตายนั้น มีหนทาง ๒ แพร่ง ถ้านึกถึงกรรมชั่วก็ต้องไปสู่ทุคติ ถ้านึกถึงกรรมดีก็ไปสู่สุคติ
    1f52e.png คุณพ่อข้าพเจ้าได้บำเพ็ญความเพียรในวิชชาของหลวงพ่อมากว่า ๒๐ ปีแล้ว ทั้งยังยึดมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแน่วแน่ ท่านได้ประกอบกุศลกิจมิได้ขาด มีทำบุญให้ทาน และให้วิทยาทานแก่คนทั่วไปทุกวัยด้วยการสอนวิชาดนตรี ปี่พาทย์ทุกชนิดให้เปล่า ๆ โดยมิได้คิดมูลค่าผลของการที่ท่านได้ประกอบ กองการกุศลไว้มากมายนี้เอง กับทั้งท่านเชื่อมั่นในวิชชาของหลวงพ่ออย่างจริงจัง ท่านภาวนาอยู่เรื่อยมิได้ขาด ฉะนั้นเมื่อท่านดับจิต กรรมดีจึงส่งให้ท่านไปสู่สุคติ ข้าพเจ้าได้ทราบในภายหลังว่าคุณพ่อได้เห็นธรรมะของพระพุทธเจ้า เมื่อจวนจะสิ้นใจ จากการภาวนาวิชชาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ กุศลนี้จึงส่งให้ ท่านได้ไปเสวยสุข..”
    **หนังสือตรีธาเล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ***Post by เพจบารมีธรรม หลวงพ่อวัดปากน้ำ
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    อาฬวกยักษ์ได้ทูลถามปัญหาว่า
    (๑) บุคคลย่อมได้ปัญญาอย่างไร
    (๒) ย่อมหาทรัพย์ได้อย่างไร
    (๓) ย่อมได้ชื่อเสียงอย่างไร
    (๔) ย่อมผูกมิตรทั้งหลายไว้ได้อย่างไร
    (๕) บุคคลละจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่นแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศกอย่างไร.
    .
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า
    .
    #วัดป่าวิสุทธิคุณ #สร้างพระในใจคน #สร้างคนรักษาธรรม
    gDW7sYvRp0l3I3HQobwS_i4w-rySqTBmHk6-pzqAsvbx&_nc_ohc=BSuGvxEuIXgAX-eYEzn&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    f2517oEI8dqtJOG-KYq0hAj-iII1GE0Vdh08IkKJFGwL&_nc_ohc=qW-w-PxZcUAAX-3Gl-L&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    TB7E5xxcLTDy5FnW_pIfkI81EO8G0ngzbPcy_HQ2Qwqc&_nc_ohc=NynyhqgwtWkAX-eS_y_&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467






    พระธรรมเทศนาเรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์
    (เสียงหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ)



    มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเรื่องมัน ก่อนที่เราจะเกิดมา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ มันก็มีอยู่แล้ว กำลังจะเกิดมาปราฏำอยู่ในบัดนี้ รูป เสี่ยง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมามณื เหล่านี้มันก็มีอยู่แล้ว เราจะตายไปเสียแล้ว รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เหล่านี้มันก็มีอยู่แล้วเราจะไปเป็นเจ้าของมันไม่ได้หรอก มันไม่ใช่ของใคร มันเป็นของกลางๆ
    ถ้าเราจะไปเป็นเจ้าของของกลาง มันจะเป็นอย่างไร? เราจะต้องตระหนกละซิ ไอ้นี่เห็นสติวิกาลไปเสียแล้ว เราไปในทะเล นั่งเรือใบ เรือกล หรือเรือกลไฟใหญ่ก็ตาม พอไปถึงทะเลละก็ ดีอกดีใจหัวเราะร่าเริง นี่ของข้าๆ ไม่ใช่ของใคร ของข้าแท้ๆใครจะมายุ่งไม่ได้ ทะเลของข้า ไม่น? มันจะถือทะเลเอาเข้าแล้วเป็นของๆ มัน เราจะว่าไงล่ะ อีกคนหนึ่ไม่เช่นั้นเข้าไปในป่าใหญ่ๆ มันก็ยืนหัวเราะร่าเริง ว่าไอ้ป่านี่ของข้าๆ เอาละซิๆ จะว่าอย่างไรมัน ไอ้นี่คนอย่างไงไม่ว่า หากว่าหญิงเป็นอย่างไงไม่ว่า หากว่าชายเป็นอย่างไงไม่ว่า สติมันถึงได้วิกาลไปแล้วละเจ้า นั่นแน่ เราจะหาว่ามันเข้านั้น เพราะทะเลเป็นของใคร มันก็เป็นของกลาง ใครจะเอามันได้ ป่าก็เป็นกลางใครจะเอามันได้ มันไปในดินในอากาศ ไปพบอากาศว่างๆ โอๆ อากาศว่างๆ เดินไปบนอากาศนี่อากาศของข้าของกู ใครจะมายุ่งไม่ได้ มันก็ถือมันมั่นคงทีเดียว เราก็จะเอาอีกแล้วไอ้นี่ไม่ได้กาลละโว๊ยจะต้องระวังกระโจนเครื่องบินเป็นระรอก นี่เราจะต้องตกใจอย่างนี้ นี่ฉันใด เรามาถือเอารูปเป็นของๆ เราเป็นอย่างไรบ้าง เออไอ้รูปนี่ของข้า ของข้าล่ะ เราจะเป็นอย่างไงบ้างนึกดูซิ รูปของข้ารูปใครล่ะ? รูปสามีภรรยารูปบุตรเล็กดาไม่ใช่รูปใคร รูปถ้วยโถโอชามมันอย่างนี้แหละ นี่ของข้าของข้า เอออ้ายนี่มันจะเป็นอย่างไงล่ะ ใจคอมันจะเป็นอย่างไงแล้วหรือ เราจะถามใจคอเป็นอย่างไงแล้วนี่ เพราะไม่รู้จักของกลาง ไปถือว่าของข้าไปเสียหมด นี่ไปยึดถือเอาอย่างนี้ ยึดถืออย่างนี้ผิดหรือถูก ผิด ผิดจากขันตี ผิดจากความอดทน ขันตีไม่ใช่ประสงค์อย่างนั้น ขันตีอดทนจริงๆ อดทนและอดใจด้วยยินดีในรูป เสียง รักใคร่ในรูปเสียงให้ใจขาด ยินดีก็ยินดีไป รักก็รักไป อดทนเฉยทำเป็นมี่รู้ไม่ชี้เสีย ทำเป็นไม่เอาใจใส่เสียอย่างงั้นแหละ รูปก็อดทนเสีย เสียงก็อดทนเสีย ยินดีในเสียง ยินดีในกลิ่นก็อดทนเสีย ยินดีในรูปก็อดทนเสีย ยินดีในสัมผัสก็อดทนเสีย ไม่ยุ่งกับมันหรอก ยินดีอารมณ์ที่เกิดกับใจก็ไม่ยุ่ง วางใจเป็นกลางหยุดเฉยยิ้มแฉ่งเชียว อย่างนี้ อย่างนี้คนมีปัญญาอย่างนี้คนเห็นถูก อย่างนี้คนทำถูก อย่างนี้คนมีขันตี อดทน นี่แหละอดทนอย่างนี้แหละใช้ได้ อดทนอย่างนี้แหละไม่ไปไหนล่ะ ไปนิพพานตรงทีเดียว ถ้าอดทนได้อย่างนี้ไปนิพพานทีเดียว นิพพานน่เป็นอย่างไรละ? ครั้นจะแสดงให้กว้างออกไปกว่านี้เวลาไม่พอนะ มันน้อย จำกัดเวลาหน่อยเรื่องมาก
    พระผู้มีพระภาคทรงรับสั่งว่า นิพพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทธา แปลเป็นสยามภาษาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงรับสั่งว่านิพพานเป็นเยี่ยม เยี่ยมยังไง เยี่ยมกว่าทั้งหมด เราอยู่ในมนุษย์โลกนี้ นี่มันก็เป็นหญิงเป็นชายอยู่ในมนุษย์โลกนี้ เดิมมันก็เป็นเด็ก แล้วก็แก่แปรมาเป็นลำดับ เป็นเด็ก ก็ยังเป็นเด็กอยู่อย่างนี้แหละหนักเข้าก็เป็นหนุ่มเป็นสาว หนักเข้าก็เป็นคนมีเหย้ามีเรือน หนักเข้าก็เป็นคนแก่แปรไป เป็นตาเป็นยายไปแล้วแปรไปอย่างนี้ นี่เราอยู่ในมนุษย์โลกมันแปรไปอย่างนี้ มันไม่เที่ยง มันไม่ตรง แล้วมันจะดีหรือไม่ดีอยู่ในมนุษย์โลก? เยี่ยมหรือไม่เยี่ยม? เยี่ยมอะไร เยี่ยมป่าช้านะซิ ประเดี๋ยวก็เผา ประเดี๋ยวก็เผากัน ประเดี๋ยวก็ฝังกัน เยี่ยมอะไรล่ะ มันไม่เยี่ยม
    เมื่อไม่เยี่ยม เอ้าล่ะคราวนี้ไม่อยู่แล้วในมนุษย์โลก ไม่เยี่ยม เลยขึ้นไปกว่านี้อีก เลยไปไหน? จตุมหาราช ไปเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ไม่ช้าเท่าไร เทวดาชั้นจาตุมหาราชไปอีกแล้วแบบเดียวกับมนุษย์อีกแล้ว ดับไปอีกแล้ว
    เอ้า ไม่เอาล่ะ ไม่เยี่ยม จตุมหาราช ดาวดึงส์ ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี แบบเดียวกันหมดไปเอา พวกเหล่านี้ไม่เอาล่ะ ยุ่งนักพวกชั้นกามภพนี่ ไปเสียรูปภพเถอะ ไปเป็นรูปพรหม พรหมปริสัชชา พรหมปุโรหิตา มหาพรหมา ปริตตาภาเป็นชั้นๆ ขึ้นไป อัปปมาณาภา อัสสรา ปริตตสุภา อัปปามารสุภา อัปปมาณสุภา สุภกิณหา เวหัปผลา อสัญญสัตตา อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทสสี อกนิฏฐา ๑๖ ชั้นทีเดียวไปเป็นพรหมเสีย ๑๖ ชั้น ชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็แปรแบบเดียวกัน พอสิ้นอำนาจรูปฌานแล้วก็ต้องไปเกิดมาเกิดอีกไม่เที่ยงไม่แน่ๆ แปรผันทั้งนั้น
    ไม่เกิดเป็นอรูปพรหมเถอะ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ พอถึงเนวสัญญานาสัญญา ก็บอกว่า ๘๔,๐๐๐ มหากัป นั่นแน่ ไปนอนอยู่เป็นสุขสบาย ๘๔,๐๐๐ มหากัป ถึงสุขนอนขนาดนั้นก็ช่างเถอะ ถึงครบ ๘๔,๐๐๐ มหากัป อรูปพรหม ไปอีก อีกแล้ว ต้องเร่ร่อนไปอีกแล้ว ไม่เลิศไม่ประเสริฐพวกเหล่านี้ แปรผันเป็นอย่างนี้ ไม่เยี่ยม
    เอ้าคราวนี้ไปนิพพานกันนะ นิพพานอยู่ที่ไหนล่ะ? รู้จักไหมล่ะภพ ๓ ที่เราอยู่? ที่เราอยู่นี่ภาพ ๓ นี่เราอยู่นี้เรียกว่าชั้นมนุษย์
    สูงขึ้นไปจากมนุษย์นี่ ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ถึงชั้นจาตุมหาราช
    สูงขึ้นไปอีก ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ถึงชั้นดาวดึงส์
    อีก ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ถึงชั้นดุสิต
    อีก ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ถึงชั้นนิมมานรดี
    อีก ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ถึงชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
    ขึ้นไปชั้นพรหม ๕,๕๐๘,๓๐๐ โยชน์โน้น พรหมปริสัชชา พรหมปุโรหิตา เท่าๆกันขึ้นไป จนกระทั่งอกนิฏฐา ขึ้นไปเท่าๆกัน หรือว่าสูงขึ้นไปกว่านั้น หรือว่าต่ำลงไปกว่านั้น มนุษย์โลกนี้ ต่ำกว่ามนุษย์โลกลงไป นรกสัญชีพ กาฬสุตตะ สังฆาตะ โรรุวะ มหาโรรุวะ ตาปะ มหาตาปะ อเวจี ขอบภพข้างล่าง เนวสัญญานาสัญญายนะขอบภพเบี้องบน สูงเท่าไรกว้างเท่าไรก็ระยะเท่ากัน นี่เราเรียกว่าภพ๓
    ถ้ารู้จักภพ ๓ เท่านี้แล้ว เราก็จะไปนิพพานกันละทีนี้ ไปนิพพานต้องสูงกว่านี้ นิพพานก็เท่าๆกับภพ๓นี่แหละ ไม่โตกว่าภพ๓นี่ จะไปนิพพานล่ะ ต้องเอาเชือกสักเส้นหนึ่งผูกเข้ากับขอบภพข้างบนโน้น ชั้นแนวสัญญานาสัญญายตนะ นั่นนะ แล้วก็ปล่อยลงมาถึงอเวจีโน้นขอบภาพข้างล่าง เกี่ยวเอาขอบภพข้างล่าง ผูกไว้ พบเข้ามาอีกเที่ยวหนึ่งถึงแนวสัญญานาสัญญายตนะ ขอบภพข้างบน แล้วปล่อยลงมาอีกเที่ยวหนึ่งถึงขอบภพข้างล่างอีก ถึงอเวจีอีก จะไปนิพพานแล้วนะ จับปลายเชือกนั่นเข้า ยืดขึ้นไป ยึดขึ้นไป จนกระทั่งสุดเชือก๓นั่นแหละ ถึงขอบล่างของนิพพานพอดีเชียว ถึงขอบล่างของนิพพานพอดี ที่เรียกว่า นิพพานมี ๒ อย่างนะ อายตน นิพพานอย่างหนึ่ง แล้วก็พระนิพพานอย่างหนึ่งให้รู้จักอย่างนี้ ถ้าไม่รู้จักเลอะเทอะอย่างนี้เอาล่ะเถียงกันปนปี้ละ อาตยนนิพพานนะที่อยู่ของพระพุทธเจ้าท่าน อายตนะเขาแปลว่าดึงดูด หรือแปลว่าบ่อเกิด อายตน แปลว่าดึงดูดหรือบ่อเกิด บ่อเกิดของตาดึงดูดรูป บ่อเกิดของหูดึงดูดเสียง บ่อเกิดของจมูกดึงดูดกลิ่น บ่อเกิดของลิ้นดึงดูดรส บ่อเกิดของกายดึงดูดสัมผัส บ่อเกิดของใจดึงดูดธรรมารมณ์มันดึงดูดอย่างนี้ อายตนภพ๓มันดึงดูดเหมือนกัน กามภพดึงดูดพวกติดในกาม รูปภพดึงดูดพวกติดรูป ติดรูปแล้วต้องไปอยู่ชั้นนั้น อรูปภพดึงดูดพวกติดอรูป ไปติดไปอยู่ชั้นนั้น
    ส่วนอายตนนิพพาน อายตนนิพพาน เป็นอายตนอีกอันหนึ่งสำหรับดึงดูดพระนิพพาน ถ้าใครทำใครปฏิบัติหมดกิเลสเข้า เป็นมนุษย์ไปนิพพานไม่ได้ มีกิเลส เป็นกายทิพย์ไปไม่ได้ มีกิเลส เป็นกายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด อรูปพรหม อรูปพรหมละเอียดไปไม่ได้ ยังติดอยู่ในกามรูปพรหมทั้ง๑๖ ก็ไปไม่ได้ อรูปพรหมทั้ง๔ ก็ไปไม่ได้ยังติดอยู่ในอรูปฌาน ต้องหลุดหมด พอหลุดหมดแล้วก็ไปนิพพาน
    ถ้าไปนิพพานมีธรรมกาย มีธรรมกายหน้าตักกว้าง ๒๐ วา สูง ๒๐ วาเกตุดอกบัวตูมใสเป็นกระจก ใสยิ่งกว่ากระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า แตกกายทำลายทำลายขันธ์ ปล่อยให้กาย ๑๖ เหล่านี้หมด กายธรรมของพระอรหัต กายธรรมของพระอรหัตละเอียดไปนิพพาน ไปนิพพานนี่มีวิธีจะไปอย่างไง? เออ มันจะยากง่ายอะไรมนุษย์นี่ยังยากกว่า ไปน่ะไปนิพพานนะ นึกอยู่กับใจก็แล้วกัน ใจก็คิดเอาซิไปนิพพาน พอนึกว่าไปนิพพานมันก็ถึงนิพพานแล้ว ไปง่ายอย่างนี้นี่นะ นั่นแหละนิพพานสูงแค่นั้น สูงเท่านั้นล่ะก็ เท่ากับภพ๓ เท่ากันนั้นเรียกอายตนนิพพาน สำหรับดึงดูดพระนิพพานกายธรรมหน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เกตุดอกบัวตูมใส ไปนิพพาน ไปนิพพานทีเดียว
    พวกเราทั้งหมดต้องไปนิพพานเหมือนกันหมด แต่ว่าต่างกันตรงที่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ไม่เหลือเลยสักคนเดียว ที่แก่ๆ แล้วก็ไปนิพพานหมด ปฏิบัติถูกส่วนนะ ถ้าไม่ถูกส่วนช้าหนักไม่ไปเหมือนกัน แต่ว่าถึงนานๆ หนักเข้าๆ มันก็ไป มันไม่หลุดไม่พ้นหรอกต้องไปนิพพานทั้งหมดนี่แหละ ไม่หลงเหลือทีเดียว ถ้าจะพูดเรื่องไปนิพพานทั้งหมดนะ ดูๆมันจะเหลือวิสัย ไอ้คนเกเรเกเสท่ามันจะไปไม่ได้ ชาติหนึ่งมันเกเรเกเสชาติหนึ่งมันลามก ไอ้ชาติต่อๆไปมันจะดีขึ้นมั่งซิ มันก็คงมีบุญบ้างซิชาติใดชาติหนึ่ง ถ้ามีบุญก็ไปได้อย่างพวกเรานี่นะเป็นกษัตริย์มานับชาติไม่ถ้วนแล้วก็มีคนหนึ่งๆ เป็นบ่าวเป็นทาสเขานับชาติไม่ถ้วนมาแล้วก็มีคนหนึ่งๆเกเรมานับหนไม่ถ้วนก็มีเหมือนกัน ดีนับหนไม่ถ้วนแล้วก็มีเหมือนกัน แต่ว่าลงท้ายมันก็ปนเปกันไปอย่างนี้ ตุรัดตุเหร่เป็นอย่างนี้เพราะอะไรล่ะ เพราะเหตุฉะนี้แหละไม่เยี่ยม ภพเหล่านี้ไม่เยี่ยม อยู่ไม่ตลอด
    พอไปถึงนิพพานแล้ว ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เป็นอย่างใดก็เป็นอย่างนั้น สวยหนักงานหนักสะอาดหนักขึ้นไป คงที่ทีเดียว ตาทิโน คงที่ ตาทิโน คงที่ทีเดียว เมื่อคงที่เช่นนี้แหละท่านถึงเรียกว่า นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวนิพพานว่าเป็นเยี่ยม เยี่ยมจริงๆ ด้วย นี่ข้อที่๒ของ โอวาทปาติโมกข์
    ข้อที่สาม
    น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี เป็นนักบวชไม่ฆ่าสัตว์เด็ดขาดเชียว ถ้าฆ่าสัตว์เป็นนักบวชไม่ได้ ถ้าพระเป็นอาบัติ ถ้าเณรศีลขาด ฆ่าสัตว์เข้า เป็นเณรไม่ได้
    หากว่าเป็นเณรไปฆ่าสัตว์เข้า จะเป็นไง? ฆ่าเรือด ฆ่ายุง ฆ่าเลน ฆ่าไรเข้า มันก็มีแต่เปลือกนอกนะซิตัวเณรหายไปเสียแล้วเหลือคนนั้นคนนี้ไปแล้ว เหลือเปลือกนอก ตัวหนีไปเสียแล้ว ตัวเณรหายไปเสียแล้วตัวหนีไปแล้ว ตัวหนีไปเหมือนอะไร? เหมือนต้นโพธิ์ที่ตายลงไปแล้ว แต่ว่าไอ้ต้นตำลึงมันงามไปถึงต้นโพธิ์มันก็ขึ้นตามต้นโพธิ์ตลอดไป เป็นใบตำลึงทั้งต้น ใบตำลึงทั้งต้น เถาตำลึงทั้งต้น ไอ้ต้นโพธิ์ตายเสียแล้ว เถาตำลึงมันพันอยู่ เราไปดูๆ แล้วไอ้นี่ต้นโพธิ์ ที่ไหนได้ ไปดูใกล้ๆ เข้า ไอ้นี่มันเถาตำลึงทั้งนั้นนี่ ต้นโพธิ์ตายเสียแล้วหรือนี่ นั่นแหละสามเณร ไปเพลี่ยงพล้ำไปบี้เรือด บี้ยุง บี้ไรเข้า เอาแล้ว ศีลไปหมดแล้ว เณรหายไปเสียแล้ว เหลือแต่เจ้านั่นเจ้านี่ไปแล้วละ ไปหมด นี่มันเป็นอย่างนี้ เมื่อรู้ว่า เพราะฉะนั้นเป็นนักบวชไม่ได้ ต้องเล็กจากการฆ่าสัตว์เด็ดขาดเชียว
    ถ้าเป็นคนรักษาศีล๘ ล่ะ ถ้าไปฆ่าเรือด ฆ่ายุ่ง ฆ่าไร ฆ่าสัตว์เข้าอีกนั่นแหละ ไม่มีแล้วนุ่งขาวก็กขาวเล่อๆอย่างนั้นเองไม่มีศีล๘แล้ว เท่ากับคนไม่นุ่งขาวแล้ว เท่ากับคนไม่นุ่งขาวเท่ากับคนไม่โกนหัวแล้ว หากว่าจะมีก็ ศีล๕ หรือเพลี้ยงพล้ำแล้วศีล๕ ก็ไม่มีเสียอีก
    หรือคนรักษาศีล๕ ก็เข้าไปฆ่าสัตว์เข้า หรือลักทรัพย์สมบัติเข้า ล่วงประเวณีเข้า หรือว่าไปพูดปดเข้า เสพสุราเข้า หมดอีก ศีลหมดอีกข้อใดข้อหนึ่ง เพราะฉะนั้น เป็นนักบวชนะ แต่ว่านี่ท่านจำเพาะแต่นักบวชนะ จะบวชเป็นพระป็นเณร เป็นอุบาสก อุบาสิกา นุ่งขาวห่มขาวก็ตามเถอะ แต่ว่าถ้าฆ่าตัวเป็นให้จำตายแล้วละก็ศีลไม่มีแล้วหนา ศีลหายหมด แต่ว่าศีล๘นะจำเป็นอยู่ เป็นธรรมประจำก็มี เป็นนาสมังคะก็มี เหมือนสามเณรศีล๕ เบื้องต้น เป็นนาสมังคะล่ะ ต้องเข้าแล้วศีลขาดหมด ถ้าว่าไปต้องตอนปลายล่ะ เป็นหญิงเป็นชีไปเอาข้างหลามเข้า กระบอก๒ กระบอกเป็นชีไปเข้า บริโภคอาหารในเวลาวิกาล ถ้าบริโภคอาหารในเวลาวิกาลก็เป็นนาสมังคะ นาสมังคะก็ต้องทำโทษ ไปปฏิบัติวัตรถาก ไปกวาดพื้นอุโอสถหรือไปกวาดพื้นพระเจรดีย์ หรือไปแก้ไขรีบชำระสะส่งที่เสียให้สะอาดในที่บริเวณพระเจดีย์ หรือในที่รูปพระปฏิมากรก็ช่างเถอะ หรือในเขตวัดก็ตาม หรือจไปทำอะไรก็ตามเถอะ แต่ว่าเป็นปฏิบัตินหน้าที่ของในทางพุทธกิจในทางพระพุทธศาสนา ปฏิบัติรูปพระปฏิมากร หรือปฏิบัติพระเจดีย์ วิหาร อันหนึ่งอันใดทำให้สะอาด นั่นละก็เป็นพรหมจรรย์ กราบไหว้เสียไม่ลุล่วงต่อไป ปฏิญาณตนเสียเท่านั้นศีลจะบริสุทธิ์ได้ เขาเรียกว่าพรหมจรรย์ พระนั่นไม่มี พระไปทำเข้าเช่นนั้นพระต้องแสดงอาบัติ เพราะอุกาบัติต้องแสดงอาบัติ นิสสัคคีย์ ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนีย์ เหล่านี้ต้องไปแสดงอาบัติ แสดงอาบัติก็กลับบริสุทธิ์ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นนักบวชแล้ว ยังฆ่าสัตว์อยู่ใช้ไม่ได้ การฆ่าสัตว์น่ะไม่ใช่ฆ่าทีเดียวตาย ทำลำบากยากแค้นด้วยวิธีใดหรือทำทีเดียวตายก็ได้ชื่อว่าฆ่าสัตว์อยู่เหมือนกัน หรือทำทรมานประการใดประการหนึ่ง จนกระทั่งถึงตายก็เรียกว่าฆ่าสัตว์ ถ้าถึงตายก็เรียกว่าฆ่าสัตว์ ถ้าไม่ถึงตายก็ไม่เรียกว่าสัตว์ ต้องถึงตาย นี้ ปรูปฆาตีสมโณ
    น หิ ปพฺพชิโต ปรูฆาตี ไม่ฆ่าสัตว์เด็ดขาดทีเดียวได้ชื่อว่าเป็นนักบวชถึงจะนับว่าเป็นนักบวชได้
    สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ชื่อว่าเป็นสมณะละก็ ไม่เบียดเบียน สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ชื่อว่าเป็นสมณะละก็ไม่เบียดเบียนทีเดียว วิธีเบียดเบียนเป็นอย่างไง? เบียดเบียนด้วยกายบ้าง เบียดเบียนด้วยวาจาบ้าง เบียดเบียนด้วยใจบ้าง ไอ้เบียดเบียนนี่มันกว้างออกไป
    เบียดเบียนด้วยกาย เบียดเบียนอย่างไงล่ะ? นั่งใกล้รุกเข้าไปมั่ง นั่งใกล้ๆ รุกเข้าไปมั่ง นั่งรุกเข้าให้เจ้ารำคาญ นอนรุกเข้าบ้างให้เจ้ารำคาญอย่างนี้แหละ อย่างนี้เขารำคาญด้วยประการ ก็ได้ชื่อว่าเบียดเบียนเขาด้วยประการนั้น หรือทำนารุกที่นาเข้าบ้าง ทำสวนรุกที่สวนเขาบ้าง ทำไร่รุกไร่บ้าง ปลูกบ้านปลูกเรือนรุกที่รุกทางกันเหล่านี้ เบียดเบียนกันทั้งนั้นเหล่านี้ หรือไม่เช่นนั้นๆ อยู่ใกล้เคียงกันอยากให้เค้าไปซะ เอาของโสโครกใส่เข้าไปในบ้าน เหล่านี้เบียดเบียนทั้งนั้น ทำให้เขาเดือดร้อนด้วยกาย จะทำวิธีอะไรก็ทำไปเถอะ ได้ชื่อว่าเบียดเบียนด้วยกาย
    จะพูดสิ่งใดด้วยวาจาใช้เหล็กแหลมอยู่ข้างใน....เอาเสียงเอาปากนั่นทิ่มแทง เอาเสียงนั่น เอาปากนั่นแทง แทงเขา แล้วก็พูดเสียดแทงเขา พูดเสียดแทงเขาพูดกระทบกระเทือนเขา พูดเปรียบเปรยเขาต่างๆ นาๆ ให้เขาเดือดร้อนใจแหละ ก็ได้ชื่อว่าเบียดเบียนเขาๆเบียดเบียนเขาเป็นสมณไม่ได้ ใช้ไม่ได้ไม่เบียดเบียน
    หรือทางใจคิดเบียดเบียน คิดเบียดเบียนเขาด้วยประการใดประการหนึ่ง มากมายละคิดเบียดเบียนน่ะ คิดเบียดเบียนมากมายนัก เหลือประมาณทีเดียว ให้เขาเดือดร้อนด้วยประการใดประการหนึ่ง จะคิดอย่างหนึ่งอย่างใดก็คิดไปเถอะ ลงท้ายเบียดเบียนเขาด้วยใจ เบียดเบียนเขาด้วยกาย เบียดเบียนเขาด้วยวาจาเหล่านี้ เป็นสมณะไม่ได้ ไม่ควรเป็นสมณะทีเดียว ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะทีเดียว สมณะเขาแปลว่าผู้สงบ สมณะในทางพระพุทธศาสนา......มีอินทรีย์สงบระงับแล้ว ...ใจก็สงบ...ถึงแล้วซึ่งความสงบทั้งกายและใจ นี่แหละเป็นสมณะเป็นสมณะขึ้นชื่อว่าเป็นสมณะ พระองค์ทรงรับสั่งกับพระราหูล เปิดอกเชียว เรื่องนี้เรื่องเบียดเบียนนะ ไม่ให้เบียดเบียน พระราหุล ถ้าจะทำสิ่งใดด้วยกาย ให้เอาปัญญาเข้าสอดส่องตรองเสียก่อนนะ ถ้าว่าร้อนเราแล้วอย่าทำ ร้อนเขาอย่าทำ ร้อนทั้งเขาทั้งเราอย่าทำ ถ้าไม่ร้อนแล้วก็ทำเถิด ท่านจะคิดสิ่งใด จะพูดสิ่งใดด้วยวาจา ต้องเอาปัญญาเข้าสอดส่องตรองเสียก่อนนะ ถ้าว่าร้อนเราอย่าพูด ร้อนเขาอย่าพูด ร้อนทั่งเราทั้งเขาอย่าพูด ถ้าว่าไม่ร้อนก็พูดเถิด ท่านจะคิดสิ่งใดทางใจ ถ้าร้อนเราอย่าคิด ร้อนเขาอย่าคิด ร้อนทั้งเราทั้งเขาอย่าคิด ถ้าไม่ร้อนก็คิดเถิด อย่างนี้สอนอย่างลูกทีเดียว สอนอย่างเปิดอกทีเดียวนี้พระบรมนายกแม้จะเสร็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว วางหลักฐานไว้เช่นนี้ เราอยากเป็นลูกพระตถาคตเจ้าแล้วละก็ ต้องเดินแบบอย่างนี้ ทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจ อย่างนี้ไม่ให้เบียดเบียนใครผู้ใดผู้หนึ่งให้บริสุทธิ์ทีเดียวทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ นี่แหละเป็นลูกของพระตถาคตเจ้าทีเดียว ให้แน่นอนอย่างนี้นะ นี่เรียกว่า สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ๔ ข้อ จบพระคาถาต้น
    คาถาที่สองรองลงไปลำดับ ก็อีกนั่นแหละ
    สพฺพปาปสฺสฏก อกรณํ ไม่ทำชั่วด้วยกายด้วยวาจาตลอดถึงใจนี่เป็นพระวินัยปิฏกเชียวหนา
    กุสลสฺสูปสมฺปทา ยังกุศลให้ถึงพร้อม ทำความดีให้มีขึ้นด้วยกาย ด้วยวาจา ตลอดถึงใจนี่เป็นพระสุตตันตปิฏกทีเดียว
    สจิตฺจปริโยทปนํ ทำใจของตนให้ใส นี้ปรมัตถปิฏกทีเดียว
    วินัยปิฏกก็คือศีล สุตตันตปิฏกก็คือสมาธิ ปรมัตถปิฏกก็คือปัญญา จะกว้างขวางออกไปเท่าไรไม่ว่าที่เรียกว่า พระวินัยปิฏกนะต้องอยู่ในศีล๕ คัมภีร์ มหาวิภังค์ ภิกขุนีวิภังค์ มหาวัคค์ จุลลวัคค์ บริวารอยู่ในศีลอันเดียวอันนั้นแหละ บริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์ใจ ไม่มีร่องเสียแล้ว อยู่ใน๕คัมภีร์นี่หมด
    กุสลสฺสูปสมฺปทา ทำกุศลให้ถึงพร้อมๆหรือทำความดีให้มีพร้อมนั้น นี้มากน้อยเท่าไรก็ช่าง อยู่ในพระสุตตันตปิฏก สุตตันตปิฏก มี๕คัมภีร์ สุตตันตปิฏก มี๕คัมภีร์ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย ๕คัมภีร์ ก็อยู่ในความบริสุทธิ์ใจ อยู่ในใจหยุดใจนิ่ง ใจเป็นสมาธินั่นแหละ ๕คัมภีร์ทีเดียว
    ส่วนปรมัตถปิฏก สจิตฺตปริโยทปนํ เมื่อใจของตนให้ผ่องใสแล้ว ไม่มีราคีขุ่นมัวให้อยู่ในใจใสเสมอไปนั้นปรมัตถปิฏก ยกเป็น ๘คัมภีร์ สังคณี วภังค์ ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก ๗คัมภีร์ มหาปัฏฐานเป็นที่สุด ในสุตตันตปิฏก วินัยปิฏก ปรมัตถปิฏก นี้ ยกเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ยกเป็นตัวพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในบัดนี้ ถ้าจัดเป็นพระธรรมขันธ์ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าจัดเป็นปิฏกไปถึง ๓ปิฏก วินัยปิฏก สุตตันตปิฏก ปรมัตถปิฏก ยกเป็นตัวแท้แน่นอนนี่แล้วอยู่กับใจของตัวนี่เอง อยู่ในดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั่นแหละ เป็นศีล สมาธิ ปัญญานั้นเอง
    วัดปากน้ำสอนให้เดินในศีล สมาธิ ปัญญา นี่เสมอ ไม่ได้ไปทางอื่นเลย เมื่อเดินไปในดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์แล้ว ก็เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เข้าไปในทาง ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อเข้าไปถึงกายทิพย์ ต้องเข้าไปในดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะไป ถ้าเข้าไปในกายทิพย์ละเอียด ก็ต้องเดินไปในดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสนะ ของกายทิพย์หยาบเข้าถึงกายทิพย์ละเอียดเมื่อเข้าไปถึงกายอรูปพรหม ก็แบบเดียวกัน เดินไปอย่างนี้ นี้ไม่ได้เคลื่อนคลาดละ นี่ได้ชื่อว่าในบาทพระคาถาที่๒ รับรองว่า พระองค์ทรงรับสั่งว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อย่นสกลพุทธศาสนา สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมุปทา สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ดังนี้ นี่เป็นคาถาที่๓ คาถาที่๒ คาถาที่๓ เห็นจะหมดเนื้อความเสียแล้วเวลาไม่พอ ต้องย่นย่อพอสมควรแต่เวลา
    ด้วยอำนาจความสัจจวาจา ที่ได้อ้างธรรมเทศนา ในโอวาทปาติโมกข์คาถา ตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบายพอสมควรแต่เวลา วรญฺญํ สรณํ นตฺถิ ส่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่งที่ประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย สรณํ เม รตนตุตยํ พระรัตนตัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ ขอความสุขสวัสดี จงเกิดมีแก่ท่านทั้งหลาย บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า อาตมาภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแต่เวลาสมมติว่ายุติธรรมธรรมิกถาโดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    “หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ โปรดขอทานชรา”

    *********************************************

    ในสมัยที่ หลวงพ่อสด จนทฺสโร หรือ พระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีชื่อเสียงและกิตติคุณไพศาลยิ่ง ด้วยเป็นผู้ค้นพบวิชาพระธรรมกาย และได้เผยแผ่วิชานี้

    จนมีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา พากันมาขอเรียนวิชาธรรมกาย จนแน่นขนัดบริเวณวัดทุกเมื่อเชื่อวัน

    อีกทั้งมีศิษย์ที่เป็นโยมอุปฐากวัด ทั้งที่เป็นข้าราชการระดับสูง ทั้งขุนทหาร ตำรวจ และข้าราชการศาลยุติธรรม เจ้าสัว มหาเศรษฐี ตลอดจนผู้มีหน้า มีตาในวงสังคมชั้นสูงอีกจำนวนมาก มากราบฝากตัวเป็นศิษย์

    วัดปากน้ำ ณ เวลานั้น จึงคราคร่ำ แน่นเนืองไปด้วยผู้คน ราวกับวัดมีงานรื่นเริงอยู่ตลอดเวลา

    วันหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำ ฉันเพลเสร็จ และบอกกรรมฐานให้กับผู้ต้องการขึ้นวิชาธรรมกายปราบมาร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ก็ถึงเวลาที่ท่านรับแขก คือสงเคราะห์ญาติโยม เมื่อหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ ณ ที่ใด ที่นั้นย่อมเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งที่เป็นโยมวัด โยมอุปฐาก แขกผู้มาเยือน ตลอดจนชาวบ้าน พากันเบียดเสียดเพื่อรอชมบารมีท่านไม่ห่างตา

    ที่เชิงบันไดขึ้นศาลาใหญ่ ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำนั่งรับแขกอยู่นั้น มีชายชราผู้หนึ่งเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ผมเผ้ารุงรัง ใส่หมวกผ้าใบเก่า

    เสื้อผ้าล้วนแล้วแต่ นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าขาดๆ ปะปุรอบตัวปากแดงด้วยเลอะคราบหมาก ลักษณะท่าทาง เสื้อผ้า เหมือนขอทานไม่มีผิดเพี้ยน

    กำลังแหวกคน ขอทางเพื่อขึ้นไปกราบหลวงพ่อวัดปากน้ำ เมื่อชายขอทานเดินผ่านหน้าใคร หญิงชาย คนชรา รวมทั้งเด็กเล็ก เด็กโต ต่างพากันรีบหลีกเป็นช่องให้ เพราะรังเกียจ และกลัวความสกปรก จะมาพาลติดตัว

    แต่แปลก ที่ชายชราขอทานผู้นี้ กลับไม่มีกลิ่นตัว เหม็นสาบ เหม็นสางเลยแม้แต่น้อย

    ใบหน้าชายชราอิ่มเอิบ ยิ้มย่องผ่องใส แววตาฉายแววประหลาดลึกซึ้ง ชายหนุ่มหลายคน ที่ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย รีบกางมือห้ามไม่ให้ขึ้นไปบนศาลา

    “คนบ้า ไปเสียให้พ้น ๆ” บ้างก็ว่า

    “ถ้าปล่อยให้เข้าพบหลวงพ่อ แล้วเกิดคุ้มคลั่ง จะว่า อย่างไร ไม่น่าไว้ใจ”

    แต่ชายชรา กลับแสดงอาการนอบน้อมยกมือไหว้ ขอเข้าพบหลวงพ่อวัดปากน้ำ หลายคนชี้ชวนกันดู พลางพูดว่า ดูซิ บารมีของหลวงพ่อวัดปากน้ำนี่ท่านดีจริง

    แม้แต่คนบ้าก็ยังดั้นด้นมากราบท่านเลย คนแก่หลายคนสงสาร ขอให้เจ้าหน้าที่วัด ช่วยหลีกทางให้ชายขอทานนี้ ได้พบหลวงพ่อวัดปากน้ำสมดังความตั้งใจด้วย

    สายตาของทุกคู่ บนศาลาการเปรียญ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญวันนั้น พากันจ้องมองชายขอทานคนนี้ เป็นตาเดียว มีแต่หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เท่านั้นที่ยิ้มที่มุมปาก

    เมื่อชายขอทานชรา มาอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อสด วัดปากน้ำแล้วก็ก้มลงกราบงาม ๆ 3 ที พอเงยหน้าขึ้น ก็บอกกับหลวงพ่อว่า

    “ผมชื่ออิน จะมาขอเรียนวิชาธรรมกายด้วยคน”

    หลวงพ่อวัดปากน้ำ รินน้ำชาส่งให้ พร้อมกับบอกว่า

    “อินเอ๊ย จะมัวซ่อนร่างอยู่ทำไม จงทำร่างให้ปรากฏตามความจริง ให้ถูกต้องเสียเถิด คนเขาจะได้รู้ตามความเป็นจริงเสียที”

    ตาอิน อมยิ้ม สอบถามหลวงพ่อสด ถึงวิชาธรรมกาย ซึ่งท่านก็ตอบข้อสงสัยให้จนเสร็จสิ้น

    ถ้าใครเคยฝึกวิชาธรรมกายชั้นสูง ก็จะรู้ว่า คำถามของขอทานอิน กับคำตอบของหลวงพ่อสดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นข้ออรรถ ข้อธรรม ในวิปัสสนาชั้นสูงทั้งสิ้น

    แสดงให้เห็นถึงภูมิรู้ของผู้ถาม และแสดงให้เห็นภูมิธรรม ของผู้ตอบ อย่างชัดเจนที่สุดว่าต่างก็เป็น นักวิปัสสนาชั้นยอดด้วยกันทั้งคู่

    บ่ายคล้อย ตาอินเสร็จสิ้นคำถาม ได้กราบลาหลวงพ่อสด กลับบ้านที่พระประแดง

    ตอนนั้นศิษย์รุ่นเก่าที่เข้าถึงธรรมกายของหลวงพ่อสด พากันยกมือไหว้ คุณตาอินกันทุกคน

    และถ้าจะมีใครเดินตามขอทานอิน หรือตาอิน หรือคุณตาอิน ไปเพื่อซักถามประวัติ ความสนใจในวิปัสสนา และอภิญญาจิตของตาอินแล้ว ละก็เขาก็จะได้รู้ว่า ตาอินผู้นี้ อีกไม่ช้าไม่นาน ก็จะมีคนรู้จักในนาม

    หลวงพ่ออิน ตาทิพย์ หรือ หลวงพ่ออินเทวดา แห่งวัดใหม่ตาอินทร์ หรือวัดราษฎร์รังสรรค์ ต.บางกระเจ้า อ.พระปะแดง จังหวัดสมุทรปราการ

    ผู้ที่มรณภาพแล้ว ร่างกายไม่เน่าไม่เปื่อย และเป็นพระอภิญญาจารย์ ผู้มีฤทธิ์ ดุจพระอรหันต์ จี้กง นั่นเอง

    ขอขอบคุณ เรื่องเล่าชาวสยาม
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    “พระคุณครู...ไม่เคยทิ้งเรา”

    โดย อ.เก่ง เสริมชีวิต พัศญ์ศภณ โยธินธรรมธร

    ในชีวิตที่ผ่านมาช่วงอายุ 12-13 ปี ผมได้มีโอกาสนำดอกไม้ธูปเทียนแพไปกราบขอให้หลวงปู่สดเป็นครูกรรมฐาน ตามคำสั่งของยายผม ผมนั่งกรรมฐานเองไม่มีครู อ่านจากหนังสือแล้วทำความเข้าใจเอาเอง ผมเองก็ไม่รู้ว่าการนำธูปเทียนแพไปกราบหลวงปู่เป็นครูกรรมฐานแล้วหลวงปู่จะดูแลกรรมฐานผมยังไง แต่ผมก็ทำตามคำสั่งยายเพราะยายกลัวผมนั่งกรรมฐานคนเดียวแล้วเดี๋ยวจะเพี้ยน

    วันที่ผมรู้ว่าหลวงปู่สดท่านดูแลและคุมกรรมฐานผมก็คือวันที่ผมมีโอกาสฝึกมโนยิทธิครั้งแรกในชีวิต ครูที่พานั่งกรรมฐานพาไปท่องเที่ยวที่ต่างๆ แต่ผมกลับไม่ได้ไปไหนกับใครเขาเลย

    เพราะผมนั่งอยู่ในสถานที่โล่งว่างแสงสว่างพอเย็นตาสบายๆ แล้วผมก็เห็นแต่หลวงปู่สดนั่งบนธรรมมาสกับหลวงปู่แหวนท่านยืนอยู่ข้างๆหลวงปู่สด ผมเห็นอย่างนี้จนครูพาออกจากกรรมฐาน (ตอนนั้นยังไม่รู้วิธีอะไรเลยนั่งมองหลวงปู่ทั้ง ๒ เฉยๆ)

    อีกวาระหนึ่งก็คือช่วงพ่อผมป่วยหนัก ช่วงนั้นผมมีโอกาสไปกราบหลวงปู่ที่วัดทุกวันเนื่องจากบ้านกับวัดปากน้ำอยู่ไม่ไกลกัน ผมมีโอกาสไปเล่าอาการของพ่อให้หลวงปู่ฟัง มีโอกาสไปปรับทุกข์เรื่องของพ่อที่ป่วยตามประสาเด็กกับหลวงปู่ทุกครั้งหลังจากเลิกนั่งกรรมฐานที่วัดแทบทุกเย็น

    ก่อนพ่อเสียชีวิต ๒-๓ วัน ผมฝันถึงหลวงปู่สด หลวงปู่มาบอกว่าพ่อผมจะมีชีวิตอีกแค่ ๓ วัน ให้ผมทำใจ ผมนำความฝันนี้บอกกับแม่ผม แล้วผมกับแม่ก็เฝ้าดูอาการพ่อ แล้วพ่อก็จากไปตามที่หลวงปู่มาบอก

    มาเมื่อคืนที่ผ่านมาผมฝันถึงหลวงปู่สด ผมฝันว่าผมย้อนอดีตกลับไปในตอนที่หลวงปู่มีชีวิตอยู่ ผมมีโอกาสไปฟังธรรมจากหลวงปู่ที่ศาลา วันแรกผมไปฟังธรรมไปแล้วก็กลับ วันที่สองผมก็ไปฟังธรรมกับหลวงปู่อีกแล้วเอะใจว่าทำไมเราไม่ทำบุญกับหลวงปู่ นี่เรามีโอกาสเจอท่านตรงๆผมเลยหยิบแบงค์ ๑๐๐ บาท ๒ ใบ ถวายทำบุญสังฆทาน ๑ ใบ และทำบุญส่วนองค์กับหลวงปู่ ๑ ใบ

    หลวงปู่รับปัจจัยที่ผมถวายใส่มือท่านแล้วท่านก็รีบพับปัจจัยนั้นให้เล็กลง เพราะธนบัตรที่ผมถวายท่านเป็นธนบัตรในยุคปัจจุบันไม่ใช่ธนบัตรในยุคของท่าน

    วันที่สามผมไปกราบหลวงปู่ที่ศาลาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พอเดินเข้าไปในศาลาที่หลวงปู่อยู่ ทุกอย่างว่างเปล่า ทั้งห้องกลายเป็นห้องว่างผมตกใจมากผมถามคนที่มาศาลาที่แต่งชุดขาว-ดำว่าหลวงปู่ไปไหน เขาบอกว่าหลวงปู่มรณภาพแล้ว ผมร้องไห้หนักมากผมเสียดายโอกาสที่ยังไม่ได้เรียนกรรมฐานกับหลวงปู่เลย

    ผมแอบนึกว่านี่ผมย้อนเวลามาในวันที่หลวงปู่มรณภาพผมยังเสียใจร้องไห้ขนาดนี้ ทำไมผมช่างไม่มีวาสนาที่จะได้เรียนกรรมฐานกับหลวงปู่ ผมเดินร้องไห้จนตาบวม

    กลับมาถึงบ้านผมนอนหลับไป ผมฝัน (ฝันซ้อนฝัน) ว่าหลวงปู่มาบอกว่า นับตั้งแต่วันที่ผมนำธูปเทียนแพมาขึ้นครูกรรมฐาน ท่านก็ดูแลผมมาตั้งแต่นั้น ทุกครั้งที่ผมเดินเข้าวัดปากน้ำท่านก็มองดูอยู่ตลอด ทุกครั้งที่ผมไปทำบุญที่วัดท่านก็ดูแลและโมทนาบุญด้วยเสมอ ท่านบอกว่าท่านตามดูแลผมอยู่ ท่านให้ผมตั้งใจทำความดี สร้างบารมี ทำกายใจให้เข้าถึงธรรมภายใน ท่านจะดูแลเอง

    พอผมตื่นจากฝันแล้วทบทวนความฝัน ใบหน้าของผมยังเต็มไปด้วยน้ำตา รู้สึกปิติใจว่าครูบาอาจารย์ (หลวงปู่สด) ท่านไม่ได้ทอดทิ้งเรา ท่านเห็นเรา ท่านมองเราตลอดเวลา ท่านสงเคราะห์เราทุกวาระโอกาสที่มี

    ถ้าเราเป็นศิษย์มีครู (ที่ดีงามทั้งนอกและใน) อย่ากลัวว่าครูจะไม่สงเคราะห์เรา หากเราทำความดี ทำสิ่งที่ดีตามที่ท่านแนะนำพร่ำสอน แต่ให้เราถามตัวเราเองเถิดว่า เราละมีครูบาอาจารย์อยู่ในหัวใจหรือเปล่า.....

    อ.เก่ง เสริมชีวิต
    ๕ มิถุนายน ๒๕๖๑

    หมายเหตุ
    ท่านที่มีความเคารพในครูบาอาจารย์ท่านใด ขอให้ท่านพึงระลึกถึงครูบาอาจารย์ของท่านไว้ เพราะครูบาอาจารย์ของท่านที่ท่านเคารพศรัทธา ย่อมดูแลรักษาคุ้มครองกายใจท่านให้พบเอจแต่เรื่องที่ดีงาม....



    ************************************************


     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    ถ้าพูดถึงธรรมะ หลวงพ่อพูดอยู่เสมอว่า ประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิด ประเสริฐนัก อันนี้ก็หมายความว่า หลวงพ่อสอนให้รู้จักประกอบเหตุ สังเกตผล ก็คือให้เราท่านทั้งหลายเป็นคนมีปัญญา ให้รู้จักเหตุ รู้จักผล และสอนให้มีขันติ อดทน เมื่อรู้จักเหตุ รู้จักผล ซึ่งเป็นตัวปัญญา และรู้จักอดทนซึ่งเป็นตัวขันติแล้ว และปฏิบัติอยู่อย่างนี้ ท่านทั้งหลายก็จะได้รับความสุข ความสงบ ความร่มเย็นแน่นอน
    คุณธรรมที่สูงส่ง ๒ อย่าง คือ หนึ่งขันติ สองนิพพานะ พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า ยอดเยี่ยม เป็นยอดของธรรม เป็นบรมธรรม ที่หลวงพ่อบอกว่าให้ประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิด ประเสริฐนัก ก็คือคุณธรรม ๒ ประการนี้เอง ซึ่งเราทั้งหลายต้องมีขันติ ไม่ว่าจะทำอะไร ตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็กเรียนหนังสือก็ต้องใช้ขันติ โตขึ้นมาประกอบสัมมาอาชีวะ ก็ต้องใช้ขันติ ทุกอย่างใช้ขันติทั้งนั้น..."

    โอวาทธรรม 1f64f.png
    หลวงพ่อเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์
    (ช่วง วรปุญฺญมหาเถร ป.ธ.๙)
    #หลวงพ่อสมเด็จวัดปากน้ำ
    #วัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
    mQTtbneCIlq85KzgImDjbRFtjOmHdvQKCHtLMxdOMzdSNAKuJWG2TVg0w17Ed1aIg3D8zzBw&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    #จักษุ ๕ ระดับ ในวิชาธรรมกาย
    #พระครูวินัยธร (ชั้ว โอภาโส)
    #วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร

    กายในกายนับตั้งแต่กายมนุษย์หยาบหรือกายเนื้อ ก็มีกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์หยาบ กายทิพย์ละเอียด ซึ่งเป็นกายที่ ๔ นับจากกายมนุษย์ ถึงกายนี้แล้ว ก็จะสามารถทำกรรมฐานได้ ๓๐ ที่ตั้ง ตั้งแต่กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ และอนุสสติ ๑๐ ตาของกายนี้เป็นทิพยจักษุ สามารถเห็นสวรรค์ นรก เปรต อสุรกาย

    #แล้วเอากายทิพย์นี้แหละ ไปนรก สวรรค์ เปรต อสุรกาย ได้ทุกแห่ง ไปพูดจาปราศรัยกันกับพวกเหล่านั้นได้ ถามถึงบุรพกรรมทุกข์สุขกันได้ทั้งนั้น แต่ว่ายังไม่เห็นพรหมโลก เพราะละเอียดกว่าสวรรค์มาก

    #ดวงธรรมในกายทิพย์นี้เรียกว่าทุติยมรรค พอขยายออกเป็นปฏิภาคใหญ่เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ก็จะเห็นกายที่ ๕ ขึ้นอีก ผุดขึ้นที่กลางดวงทุติยมรรค เรียกว่า กายรูปพรหมหยาบ และในกลางกายรูปพรหมหยาบก็มีกายรูปพรหมละเอียด เป็นกายที่ ๖ กายนี้สวยงามประดับประดาอาภรณ์ยิ่งกว่าเทวดา กายนี้ทำกรรมฐานได้ ๔ ที่ตั้ง คือ รูปฌาน ๔ ดวงตาของกายนี้เป็นปัญญาจักษุ สามารถเห็นพรหมโลกทั้ง ๑๖ ชั้น

    แล้วเอากายนี้ไปพรหมโลกทั้ง ๑๖ ชั้นได้ ไปไต่ถามทุกข์สุขกับรูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้นได้ แต่ว่ายังไม่เห็นอรูปพรหม ๔ ชั้น เพราะละเอียดกว่ารูปพรหมมาก

    ต้องเอาเห็น จำ คิด รู้ เข้าไปหยุดนิ่งอยู่เหนือสะดือสองนิ้วมือในกลางกายรูปพรหมที่ ๖ นี้อีก ดวงธรรมในกายนี้เรียกว่าตติยมรรค

    พอขยายเป็นปฏิภาคใหญ่ออกไปเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ก็จะเห็นกายอรูปพรหมหยาบ ในกลางกายอรูปพรหมหยาบก็จะเห็นกายอรูปพรหมละเอียดเป็นกายที่ ๘ กายรูปพรหมนี้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก

    กายนี้ทำกรรมฐานได้ ๖ ที่ตั้ง คือ อรูปฌาน ๔ และอาหาเรปฏิกูลสัญญา กับจตุธาตุววัฏฐาน รวมเป็น ๔๐ กรรมฐานด้วยกัน

    ดวงตาของกายนี้เป็นสมันตจักษุ สามารถเห็นอรูปพรหม ๔ ชั้น แล้วเอากายนี้ไปอรูปพรหม ๔ ชั้นได้ ไปไต่ถามทุกข์สุขกันได้ แต่ยังไม่เห็นนิพพาน

    ต้องเข้าไปนิ่งอยู่เหนือศูนย์สะดือสองนิ้วมือ ในกลางกายอรูปพรหมละเอียดซึ่งเป็นกายที่ ๘ นี้อีก ดวงธรรมในกายนี้เรียกว่าจตุตถมรรค

    พอขยายเป็นปฏิภาคใหญ่เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ก็จะเห็นกายอีกกายหนึ่งเป็นกายที่ ๙ กายนี้เรียกว่าธรรมกาย เหมือนพระพุทธรูป เกตุแหลมเหมือนดอกบัวตูม สวยงาม ใสเหมือนแก้ว ดวงตาของกายนี้เรียกว่าพุทธจักษุ (ธรรมจักษุ) เห็นนิพพาน

    แล้วเอากายนี้แหละไปนิพพานได้ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนก็เห็นหมด ทั้งขาว กลาง ดำ ไปพบปะเห็นทั้งนั้น เรื่องห่มผ้าม้วนขวา ม้วนซ้าย จะไปรู้เรื่องได้หมด

    ถ้าท่านผู้ใดทำได้ถึงพระธรรมกายนี้แล้วจึงค่อยเชื่อ หรือจะไม่เชื่อก็ตามใจท่านเถอะ เพราะคนเรามีอยู่สามพวก ขาวพวกหนึ่ง ดำพวกหนึ่ง กลางพวกหนึ่ง

    ถ้าพวกขาวก็เชื่อ ถ้าพวกดำก็ไม่เชื่อ ถ้าพวกกลางก็เฉยๆ ถ้าอยากจะรู้ว่าเป็นพวกขาว กลาง หรือดำ ก็สังเกตดูเอา

    ถ้าซื่อตรง นักปราชญ์ ฉลาดใจบุญ ก็ให้รู้ว่าเป็นเครื่องหมายของภาคขาว ถ้าคดโกง เก่งกาจ ฉลาดใจพาล ก็ให้รู้ว่าเป็นเครื่องหมายของภาคดำ ถ้าไม่ตรง ไม่โกง นั่นก็เป็นเครื่องหมายของภาคกลาง

    ธรรมกายนี้ก็มีหยาบละเอียดกว่ากันเข้าไปตามลำดับ กายธรรมกายแรกซึ่งเป็นกายที่ ๙ นั้น เรียกว่าธรรมกายโคตรภูหยาบ

    ในธรรมกายโคตรภูหยาบก็มีธรรมกายโคตรภูละเอียด ในกายโคตรภูละเอียดก็มีกายพระโสดาปัตติมรรค ในกายพระโสดาปัตติมรรคก็มีกายพระโสดาปัตติผล

    ในกายพระโสดาปัตติผลก็มีกายพระสกิทาคามิมรรค ในกายพระสกิทาคามิมรรคก็มีกายพระสกิทาคามิผล ในกายพระสกิทาคามิผลก็มีกายพระอนาคามิมรรค ในกายพระอนาคามิมรรคก็มีกายพระอนาคามิผล ในกายพระอนาคามิผลก็มีกายพระอรหัตมรรค ในกายพระอรหัตมรรคก็มีกายพระอรหัตผล เป็น ๑๘ กายด้วยกัน

    กายตั้งแต่กายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม ทั้งหยาบทั้งละเอียดหมดทั้ง ๘ กายนี้ เป็นกายปัญจขันธ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน บุคคล เราเขา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา

    แต่กายทั้ง ๑๐ นับตั้งแต่ธรรมกายโคตรภูขึ้นไปจนถึงธรรมกายพระโสดา ธรรมกายพระสกิทาคา ธรรมกายพระอนาคา ธรรมกายพระอรหัต ทั้งหยาบทั้งละเอียดนี้ เป็นกายธรรมขันธ์ เป็นนิจจัง เป็นสุขัง เป็นอัตตา

    นิจจังเป็นของเที่ยง สุขังเป็นสุข อัตตาเป็นตัวของเรา เป็นกายของเราแท้ไม่ยักเยื้องแปรผัน

    กายปัญจขันธ์เป็นกายโลกิยะ กายธรรมขันธ์เป็นกายโลกุตระ

    กายโลกิยะสำหรับทำภูมิสมถะ คือ กรรมฐาน ๔๐ กายโลกุตระสำหรับทำภูมิวิปัสสนา ไม่มีที่สิ้นสุด

    เมื่อพบเห็นพระพุทธเจ้าหมดแล้ว จะเข้าไปถวายนมัสการท่านได้ และจะทูลถามท่านได้ ติดขัดเรื่องอะไร ทูลถามท่านจะบอกหมด แต่ว่าถ้าจะทูลถามพระพุทธเจ้าต้องนิ่งให้สนิทนะ ถ้านิ่งไม่สนิทหละ ไม่ได้ยินเสียงท่าน จะเห็นแต่พระโอษฐ์ท่านงาบๆ อยู่เท่านั้น เพราะเรานิ่งไม่พอ ถ้าเรานิ่งพอหละ พระสุรเสียงดังก้องอย่างฟ้าเชียว ไพเราะ

    การที่จะดูอย่างนี้ละ ต้องดูเฉพาะตัวนะ และอย่าไปดูให้ใคร เมื่อได้ธรรมกายแล้ว จะแก้โรคภัยไข้เจ็บได้ทุกอย่าง แต่ถ้าเราไม่แก้ได้ละก็ดี หรือเราไม่ดูให้ใครละก็ดี เราไม่ให้เขารู้ว่าเรารู้ได้ละก็ดี

    ถ้าว่าให้เขารู้ละก็ หนักเข้าก็มีคนมาหา เมื่อมีคนมาหาเข้าละก็ ทีหลังเราแก้ไขเขาก็จะให้ลาภสักการะ นี่มันจะกลายเป็นหมอดูไป

    เมื่อกลายเป็นหมอดูละ หนักเข้าเขาก็ให้ลาภสักการะ ได้เงินได้ทอง เกิดโลภขึ้น เมื่อเกิดโลภขึ้นแล้วก็กลายเป็นธรรมโกยหละ

    ทีหลังเวลาเขาจะมาหา ก็จะคิดเอาเงินเอาทองเขา เมื่อเกิดโลภขึ้นเช่นนั้น ธรรมกายนี่เป็นของบริสุทธิ์ หนักเข้าก็มืดไปเสีย ไม่งั้นก็ดับสูญหายไปเสีย

    บางทีเมื่อทำสิ่งใด เมื่อสติมันเกิดเป็นธรรมเกขึ้น เมื่อเป็นธรรมเกขึ้นแล้ว ทีนี้มันก็จะต้องเกิดเป็นธรรมโกง หนักเข้าก็จะต้องหลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิต เมื่อดับมืดเสียแล้ว

    นี่เป็นแต่ครั้งพุทธกาลแล้วที่เป็นธรรมกาย ธรรมเก ธรรมโกง

    ธรรมโกงนี่นะ พระเทวทัตน่ะ นั่งธรรมกายดีกว่าเดี๋ยวนี้มากมาย ถึงกับเหาะไปในอากาศได้ แต่ทีนี้ไปติดลาภเข้า พอพระเจ้าอชาตศัตรูบำรุงบำเรอด้วยภัตตาหารบริบูรณ์ ก็เกิดเป็นธรรมโกงขึ้น

    ธรรมกายเป็นของบริสุทธิ์ นี่คิดจะฆ่าพระพุทธเจ้า จะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ธรรมกายก็ดับไป เมื่อดับแล้วก็เกิดเป็นธรรมเกขึ้น

    ทีนี้พระเจ้าอชาตศัตรูก็ไม่เล่นด้วย เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูไม่เล่นด้วย ก็เสื่อมจากลาภสักการะ เกิดเป็นธรรมโกง ไปขอวัตถุ ๕ ประการต่อพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าไม่ให้ ก็เกิดทำสังฆเภทขึ้น ก็ไปอยู่ในอเวจีนรกเท่านั้น

    #ที่มา :
    - ธาตุธรรม ๓ ฝ่าย โดยหลวงปู่ชั้ว
    - ทางมรรค ผล นิพพาน รวมธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกาย พ.ศ. ๒๕๒๕
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    2pQhkjHESXzTAsfNR2F_1Z4ATkCY1sa_e9rG1w0O8bIN&_nc_ohc=O9YV5dIENA8AX97yD0q&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    "...ธรรมเป็นของลึกถึงเพียงนี้ ใครจะไปคิดคาดคะเนเอาได้ พ้นวิสัยของความตรึกนึกคิด ถ้ายังตรึกนึกคิดอยู่ก็เข้าไม่ถึง ที่จะเข้าถึง ต้องทำให้ รู้ตรึก รู้นึก รู้คิดนั้น หยุดเป็นจุดเดียวกัน แต่พอหยุดก็ดับ แต่พอดับแล้วก็เกิด ถ้าไม่ดับแล้วไม่เกิด ตรองดูเถิดท่านทั้งหลาย นี้เป็นของจริง หัวต่อมีเป็นอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่ถูกส่วนดังนี้ ก็ไม่มีไม่เป็นเด็ดขาด..."
    Cr.หนังสือตรีธาเล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    Post by เพจบารมีธรรม หลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ek2kadmBkQdKdDBa1qBVxMquRmFTC1JO2zDd4_bMPiP2qaU_0DQa6j2WiiINAMbfwwYYYdof&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,378
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,467
    mozK_NrPtyYvUgs2OpIpiCU15I1mXLLfwFm0Vx0qusTP&_nc_ohc=dQEQFLEEkmQAX8co-r6&_nc_ht=scontent.fcnx4-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...