หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ์ /รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    ยายชีผู้ทรงค่าควรแก่การเลื่อมใส
    ยังมีท่านผู้หนึ่งซึ่งถือว่าใกล้ชิดและรู้ต้นปลายของยายชีในช่วงบั้นปลายชีวิตค่อนข้างดี ท่านผู้นี้ชื่อว่าประสิทธิ ไม่ทราบนามสกุล เป็นชาวบ้านดงตาหวานรุ่นเก่าได้กรุณาเล่าเรื่องทั้งหมดที่รู้เห็นและรับรองว่าเป็นความจริงทุกประการ
    ปี ๒๕๓๘ คุณประสิทธิได้รู้จักยายชีนวลเป็นครั้งแรกโดยไม่ตั้งใจ
    วันนั้นมีงานบุญทอดกฐินสามัคคีที่วัดภูน้อย คุณประสิทธิผู้เคยบวชและสนใจปฏิบัติธรรมมาก่อนจึงพอเข้าใจและรู้จักเรื่องพระเณรหรือเรื่องของนักปฏิบัติ ได้พิจารณาสังเกตดูพระเณรหรือใครต่อใครที่มาร่วมงานบุญจนเห็นยายชีแก่ๆองค์หนึ่งนั่งสำรวมเรียบร้อย ดูสงบ ทรงพลังน่าเลื่อมใส
    เหตุที่สะดุดตาและใจก็ด้วยว่ายายชีองค์นี้ไม่รับอาหารเพล จึงเข้าไปสอบถาม ได้ความว่าท่านกินมื้อเดียว
    หลังจากนั้นได้สนทนากับท่านจนเกิดความนิยมนับถือ ทำให้ได้ทราบว่ายายชีนี่เองที่เป็นหัวใจในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดภูน้อย สิ่งใดขัดสนกันดาร ยายชีเป็นกำลังสำคัญจัดหาสิ่งขาดแคลนจนมีครบสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า น้ำดื่ม น้ำใช้ กุฏิ ศาลา ห้องน้ำ ห้องสุขา ยายชีเป็นธุระจัดหาให้หมด เกิดความสะดวกสบายแก่ผู้อาศัยทุกคน
    โดยส่วนตัวของยายชีนวลมีอารมณ์เป็นสมาธิตลอดเวลา ตกกลางคืนบำเพ็ญเพียรภาวนา พิจารณาธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าเราเขาล้วนร่วงโรยเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้
    วันหนึ่งยายชีเล่าให้คุณประสิทธิฟังว่า เมื่อคืนเกิดนิมิตเห็นบุรุษผู้หนึ่งสรวมหมวกขี่ม้าหยุดตรงหน้า ยื่นกะลามะพร้าวใส่เกลือให้ กำชับว่าเก็บไว้ให้ดี นิมิตนี้มีความหมายอย่างไร ยายชีได้อธิบายว่านี่เป็นปริศนาธรรมที่เทวดามาส่งให้ มะพร้าวหมายถึงให้ “ฟ้าวเฮ็ดฟ้าวทำ” (รีบปฏิบัติ รีบทำ), เกลือหมายถึงความอดทนพากเพียรรักษาการประพฤติปฏิบัติให้มั่นคงดุจเกลือรักษาความเค็ม
    ปกติยายชีเป็นผู้สม่ำเสมอในการบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่แล้ว พอนิมิตนี้ปรากฏ ท่านเร่งความเพียรเป็นทวี เกิดปิติสุข อิ่มเอิบอยู่กับผลของความเพียรอย่างบอกไม่ถูก
    ต่อมาบุรุษเดิมมาปรากฏตัวในนิมิตอีก คราวนี้มอบใบตองแห้งห่อเกลือให้ ความหมายคือให้รักษาผลของการประพฤติปฏิบัติที่เกิดขึ้นแล้วไว้ต่อไป เหมือนใบตองรักษาเกลือเอาไว้ไม่ให้หกหล่นเรี่ยราดเสียหาย
    ยายชีบอกว่าท่านได้เก็บปริศนาธรรมนี้ไว้สอนใจและเตือนใจท่านไว้ตลอด
    ปี ๒๕๓๙ ยายชีออกจากภูน้อยมาอยู่ภูฆ้องคำ ที่นี่คุณประสิทธิเห็นแปลกว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ ภูมิเทวดาเจ้าที่แรงกล้า ไม่เคยมีพระรูปไหนอยู่ได้เกินพรรษา ถ้าไม่เจ็บป่วยก็มักร้อนรนจนอยู่ไม่ได้ต้องหนีไป เป็นเหตุให้ภูน้อยเป็นวัดร้างตลอดมา
    พื้นที่แถบนี้คือที่ตั้งของหมู่บ้านเล็กๆชื่อบ้านดงตาหวาน อยู่กลางป่า กันดาร ความเป็นอยู่แสนยากลำบาก
    ระยะแรกของการตั้งหมู่บ้านนี้ชาวบ้านประสพภาวะป่วยไข้ด้วยมาเลเรีย ล้มตายไปเยอะ ไกลโรงพยาบาล ไม่มีถนนหนทางสะดวกพอจะนำคนป่วยส่งหมอ เป็นเหตุให้ชาวบ้านต้องพึ่งตนเอง ศึกษาหาความรู้ที่จะสู้กับมาเลเรีย คุณประสิทธิเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของการปราบมาเลเรีย
    ดังนั้นคุณประสิทธิจึงไม่กังวลใจกับเรื่องมาเลเรียแม้แต่น้อย ใครป่วยไข้มาหา คุณประสิทธิรักษาได้หมด ทั้งฉีดทั้งกินยาไม่มีปัญหา
    ประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าหากพระที่พำนักอยู่ภูฆ้องคำอาพาธด้วยมาเลเรีย ยาที่คุณประสิทธิเคยใช้รักษาชาวบ้านจนหาย กลับไม่สามารถรักษาพระในภูฆ้องคำได้ องค์แล้วองค์เล่าที่เข้ามาอยู่ที่นี่ คุณประสิทธิหมดหนทางรักษา
    แปลกที่ว่าทุกองค์ที่อาพาธนั้นเมื่อออกจากภูฆ้องคำไปแล้วเป็นอันหายจากมาเลเรียทุกองค์ เหตุนี้จึงไม่มีพระรูปใดจำพรรษาที่นี่ได้ตลอดรอดฝั่ง
    จนกระทั่งยายชีนวลมาถึง มาเลเรียก็เบาบางลงไป
    ระหว่างที่ยายชีพำนักอยู่ที่ภูฆ้องคำ หากมีพระรูปใดมาขออยู่ด้วย แล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติ มีความเพียรในการภาวนาจะไม่อาพาธเจ็บป่วยเลย
    คุณประสิทธิจึงเชื่อมั่นว่าภูฆ้องคำต้องเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่ง

    ดับไฟป่า
    คุณประสิทธิเล่าว่าทีแรกยังไม่ถึงกับเชื่อถือในคุณวิเศษว่ามีจริงในตัวยายชี แค่เลื่อมใสในความเป็นนักปฏิบัติ จนกระทั่งเกิดเหตุที่ทำให้ต้องเชื่อขึ้นมาในวันหนึ่ง
    เรื่องนี้คุณประสิทธิให้คำรับรองว่าอยู่ในเหตุการณ์ได้รู้ได้เห็นด้วยตาตนเองเอง
    ประมาณหน้าแล้งปี ๒๕๔๑ เกิดไฟป่าไหม้จากนอกวัดภูฆ้องคำลามเข้ามาหากุฏิยายชีอย่างน่ากลัว รอบๆ วัดคือป่าต้นเลาและหญ้าคาแห้งบนพื้นที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ไฟจึงลามไหม้อย่างรวดเร็วรุนแรง เกิดเปลวไฟสูง ๔-๕ เมตร ลมแรงโหมกระพือไฟเข้าใส่ คุณประสิทธิเชื่อว่าไฟนรกคงเหมือนไฟป่าหนนี้ มีทั้งเสียงลม เสียงฮือๆ ครืนของไฟที่เกิดมาไม่เคยพบเห็นว่ามันจะน่ากลัวขนาดนี้
    ลูกศิษย์ ๒ คนที่เป็นชาวบ้านแถวนั้นวิ่งเข้ามาวัดเพื่อจะช่วยขนข้าวของออกจากกุฏิยายชีหนีให้พ้นไฟ
    ยายชีบอกว่า
    “ไม่ต้องขน, ไฟมันรู้จักว่าถ้าไหม้กุฏิ เราจะไม่มีที่อยู่, ไฟจะไม่ไหม้กุฏิเรา”
    ยายชีบอกให้ลูกศิษย์คนหนึ่งตักน้ำใส่ครุถังเอาไปวางขวางไฟไว้ ประมาณว่าห่างจากกุฏิ ๓ เมตร
    ไฟที่เหมือนไฟนรกมอดดับลงอย่างรวดเร็ว

    คำสอนง่าย
    ส่วนใหญ่ญาติโยมสานุศิษย์ที่เดินทางมาขอข้อธรรมเพื่อนำไปปฏิบัติมักกล่าวตรงกันว่ายายชีเน้นศีล ๕ เป็นหลัก
    “การปฏิบัติธรรม การรักษาศีล ผู้อื่นทำแทนไม่ได้ ต้องทำเอาเอง แค่ศีล ๕ ก็พอเพียงสำหรับคฤหัสถ์ ให้รักษาไว้กับตัวกับใจ ทำอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาทำที่นี่ ศีล ๕ นั้นประเสริฐสุด”
    บางครั้งก็อบรมว่า
    “ถ้าเราปฏิบัติหรือรักษาศีลไม่ได้ อย่ารับศีลเลย อย่าโกหกพระเลย”
    เรื่องศีล ๕ เรารู้จักกันแล้วว่าเป็นศีลที่คฤหัสถ์ปฏิบัติได้ เป็นศีลที่ปิดประตูนรกอบายภูมิ
    หลวงปู่ทองสาเคยบอกว่า

    “เป็นคฤหัสถ์ก็บวชได้ รักษาศีล ๕ ตลอดชีวิตก็เหมือนบวช
    ไม่ต้องอดอาหารมื้อเย็น มีผัวมีเมียได้ ครองบ้านครองเรือนได้เป็นปกติ
    รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ มรรคผลนิพพานได้เหมือนกัน”

    เหตุที่เจ็บป่วยแล้วไม่ไปหาหมอ
    สมัยที่ยังธุดงค์ไปทั่ว หาตัวเจอยาก แต่ยายชีมักไปปรากฏตัวกับลูกสาวคนเล็กที่ จ.อำนาจเจริญ
    ครั้งหนึ่งราวๆ ปี ๒๕๒๗ ยายชีถูกหนามตำเท้า อักเสบกลัดหนอง เจ็บปวดทรมานไม่ใช่เล่น ยายชีไปหาลูกสาวคนนี้เพื่อจะหายาบรรเทาทุกขเวทนา ลูกสาวเห็นว่าหนักหนาสาหัสเกินกว่าจะรักษากันเอง จำเป็นต้องถึงมือหมอ แต่จะทำอย่างไรดี ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าแม่ (ยายชี) ไม่ยอมหาหมอ จึงโกหกว่าจะพาไปซื้อยาที่ร้านยาในตัวเมือง
    “ทำไมแม่ต้องไปด้วยล่ะ”
    “ถ้าไม่ไปให้เขาเห็นแผล เขาจะจัดยาให้ถูกต้องได้ยังไง”
    ยายชีจึงยอมไป
    พอไปเข้าจริงๆ กลายเป็นถึงมือหมอที่คลินิกไม่ใช่ร้านขายยา
    ผลตรวจคือนอกจากจะอักเสบกลัดหนองแล้ว กระดูกเท้ายังแตกอีกด้วย ต้องผ่าตัดจึงหาย ลูกสาวนำตัวยายชีไปโรงพยาบาลโดยไม่บอกให้ทราบว่าจะไปไหน ถึงโรงพยาบาลก็ส่งตัวยายชีให้หมออย่างรวดเร็ว เรียกว่ามัดมือชก หรือผีถึงป่าช้าต้องฝัง ยายชีแม้ไม่ยอมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร หลังจากหายเป็นปกติแล้วยายชีได้บอกว่า
    “ความเจ็บไข้ที่เกิดกับเรามันเนื่องมาแต่กรรม ไม่ว่าหมอหรือเราก็ต้องตายเหมือนกัน”

    งูกัดก็ต้องภาวนาตาย
    เมื่อปีที่แล้วยายชีถูกงูเห่ากัด
    ก่อนถูกงูเห่ากัด ฝันว่าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ลอยมา พอรุ่งขึ้นก็ทำกิจวัตรตามปกติ หุงหาอาหารกินเอง ถ้าแข็งแรงดีอยู่จะไม่ยอมให้ใครทำอาหาร จะต้องทำเองกินเอง ยายชีกินเนื้อสัตว์เพียงแต่น้อย ถ้าใส่หมูก็เรียกว่าใส่วิญญาณหมู เน้นผักเป็นส่วนใหญ่
    หลังกินอาหารแล้วนั่งพักผ่อนอยู่ รู้สึกเจ็บแปลบที่เท้า เห็นงูเห่าอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ค่อยๆ หมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็เข้ากุฏิปิดประตูเงียบไม่ออกมาตลอดวันและคืน ไม่ยอมให้ใครพาไปหาหมอ คงตั้งใจภาวนาตายอย่างนักปฏิบัติ
    เช้าวันรุ่งขึ้นยายชีก็ไม่ตาย หนำซ้ำแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า เดินเหินคล่องแคล่วเป็นพิเศษ ภายหลังยายชีได้บอกว่า งูที่กัดนั้นไม่ใช่งู แต่เป็นพญากรรม

    ประสบการณ์จริงของยายชีนวลกับพญานาคถ้ำแกลบ
    เมื่อพูดถึงงูเห่ากัดยายชีทำให้นึกเรื่องพญานาคถ้ำแกลบ อยู่ในเขตอำเภอนิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร
    เรื่องมีอยู่ว่ายายชีธุดงค์ผ่านไปแถวนั้น คะเนว่าอายุประมาณ ๑๖-๑๗ ปี คงเพิ่งออกจากภูมะโรงแล้วเดินทางมาเรื่อยๆ จนถึงที่นี่ ทราบว่ามีถ้ำชื่อแกลบ คนเขากลัวกันมาก ก็แสดงความประสงค์จะขึ้นไปปฏิบัติธรรมในถ้ำนั้น
    มูลเหตุที่ชาวบ้านกลัวคือ มักมีคนเห็นงูยักษ์เลื้อยเข้าออกถ้ำแกลบบ่อยๆ จนไม่มีใครกล้าเข้าไปหาของป่าหรือเฉียดกรายเข้าใกล้บริเวณนั้น
    เมื่อยายชี (สาว) ตั้งใจจะเข้าไป ก็พากันห้ามปราม แต่ไม่สำเร็จ ยายชียังยืนกรานจะไปเช่นเดิม ชาวบ้านก็ไม่มีใครกล้าไปส่ง แค่บอกทางให้ ต่อจากนั้นยายชีก็เดินเท้าเข้าไปด้วยตนเอง
    หลังจากนั้นยายชีก็หายสูญไปนานนับเดือน ไม่เคยลงมาหมู่บ้านบิณฑบาต ชาวบ้านก็วิตกวิจารณ์กันว่าน่ากลัวยายชีนวลจะไม่รอด คงเสียชีวิตไปแล้ว ในที่สุดชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้กล้ารวมตัวกันขึ้นมาประมาณ๑๐คน จะลองขึ้นภูเขาเข้าไปที่ถ้ำแกลบเพื่อดูว่ายายชี (สาว) เป็นตายร้ายดีประการใด เมื่อไปถึงทุกคนตกตลึงกับภาพที่เห็นแต่ไกล
    งูมีหงอนสีแดงลำตัวสีขาวขนาดใหญ่รัดรอบตัวยายชีจนมิด
    เห็นแค่ใบหน้าที่หลับตาพริ้มสงบ ทุกคนเห็นเช่นนั้นก็เผ่นแน่บกลับลงมาหมู่บ้าน ป่าวประกาศไปว่ายายชีตายแล้ว ถูกงูยักษ์กิน
    (เหตุการณ์นี้น่าจะเชื่อได้ว่าเป็นต้นเค้าของข่าวที่มีไปถึงบ้านเกิดของยายชีว่าถูกงูเหลือมกิน)
    หลังจากนั้นไม่นาน ชาวบ้านก็ถึงตกตะลึงกันอีกครั้งเมื่อเห็นยายชีนวลลงจากเขามาปรากฏตัวในหมู่บ้าน ยายชีได้บอกกับชาวบ้านว่า
    “ไม่ต้องกลัวท่านพญานาคนั่นหรอก ท่านเป็นพญานาคมีศีล ขอเพียงให้ชาวบ้านที่เข้าไปหาของกินของอยากแถวถ้ำนั้นเอ่ยชื่อพญานาคคำขาว ทุกคนจะปลอดภัยไม่มีอันตราย "
    ทุกวันนี้ชาวบ้านรุ่นเก่าที่ยังมีชีวิตอยู่ยังจดจำเหตุการณ์นี้ได้ และเล่าสืบต่อกันมาจนวันนี้
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    เท้าไม่ติดพื้น
    แม้น ว่าภูฆ้องคำจะอยู่ไกล กันดาร แต่สานุศิษย์ ผู้เลื่อมใสศรัทธา ก็หลั่งไหลมาไม่ได้ขาด ทั้งทหาร ตำรวจ ชาวบ้านหรือแม้แต่พระเณร ต่างก็มาด้วยเชื่อมั่นในวัตรปฏิบัติของยายชีว่าควรค่าแก่การมาสักการะและ ปรึกษาข้อธรรม
    พระอาจารย์หน่อย (ไม่ทราบชื่อ ฉายา) เจ้าอาวาสวัดบ้านยาง อ.ดอนมดแดง จ.อุบลฯ เล่าว่า เคยเห็นยายชีเดินจงกรมโดยที่เท้าไม่ติดพื้น
    เกิดความอัศจรรย์ใจอย่างบอกไม่ถูก

    มาเพื่อชดใช้หนี้
    พูดถึงกำลังสำคัญในการพัฒนาวัด ต้องกล่าวถึงพระอาจารย์รูปหนึ่งซึ่งมาสู่ภูฆ้องคำยุคแรก
    ท่านคือพระอาจารย์อ้อด (อริศร ปญฺโญ) ที่อยู่ๆ ก็มาปรากฏตัวที่วัดภูฆ้องคำโดยไม่มีผู้ใดรู้ล่วงหน้า
    ท่านบอกแปลกๆ ว่าตั้งใจมาหายายชีเพื่อใช้หนี้
    ท่านได้กรุณาเล่าว่า สมัยภูหินร่องกล้ายังรบราฆ่าฟันกัน ระหว่างรัฐบาลกับคอมมิวนิสต์ ท่านและพระอีก ๒ รูปธุดงค์ไปพำนักอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่งบนภูหินร่องกล้า เกิดการรบอยู่บริเวณถ้ำนั้นพอดี ต้องหลบซ่อนอยู่ในถ้ำหลายวัน อดอาหารและน้ำอยู่ ๙ วัน ออกจากถ้ำไม่ได้ มีเสียงระเบิด เสียงปืนดังอยู่ตลอดเวลา ควันจากอาวุธพวยพุ่งเข้าถ้ำจนหายใจแทบไม่ออก นึกว่าคงไม่รอดกันแล้ว
    ในขณะที่ตาพร่ามัวด้วยควันเข้าตา เห็นยายชีลอยเข้ามาตามกลุ่มควันนั้นแล้วพูดว่า
    “ข้าน้อยขอโอกาส..ถ้าหากจะออกจากถ้ำนี้โดยปลอดภัยขอให้พระอาจารย์ภาวนาคาถานี้”
    ยายชีบอกคาถาแล้วก็หายไป
    หลังจากท่องคาถาแล้วพวกท่านสามารถออกจากถ้ำ ผ่านดงปืนและระเบิดมาได้อย่างปลอดภัย
    ภายหลังทราบว่ายายชีมาอยู่ที่ภูฆ้องคำ กำลังบุกเบิกสถานที่ เห็นเป็นโอกาสจะมาใช้หนี้ชีวิตจึงมาช่วยเป็นกำลังก่อสร้างให้
    ยายชีเป็นกำลังเงิน ด้วยว่าเงินจากญาติโยมจะตรงมาที่ยาย
    ท่านเป็นกำลังงาน ลงมือทำงานก่อสร้างอย่างเดียว
    ยายชีไม่ถือเงินหรือเก็บเงิน เมื่อมีศรัทธามาถวายก็มอบเงินให้พระอาจารย์อ้อดเป็นผู้เก็บรักษา ไม่ว่าจะ ๑๐ บาท ๒๐ บาทก็ตาม พระอาจารย์ก็จะเก็บเงินรวบรวมไว้จนครบค่าวัสดุ เช่นครบค่าปูน ๑ กระสอบก็ให้ชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อปูนมา
    การก่อสร้างที่สำคัญที่ท่านลงแรงไว้คือบันไดขึ้นภูเขา ทำทีละขั้นไปเรื่อยๆ จนแล้วเสร็จ

    nuan-009.jpg
    กำลังจะทำฐานพระประธานบนเขาต่อ ยายชีก็มานิมนต์ให้พระอาจารย์อ้อดกลับไป
    “ฐานพระประธานยังไม่เสร็จ องค์พระประธานยังไม่สร้างจะให้กลับทำไม”
    “บ้านเมืองกำลังจะวุ่นวายเดือดร้อน อาจารย์กลับไปเถอะ ไปหาที่บำเพ็ญภาวนาตามป่าตามเขาช่วยบ้านเมือง”
    “อาตมาเป็นพระผู้น้อย ไม่เก่งกล้าสามารถขนาดนั้น”
    “ไปเถอะไปภาวนาช่วยกัน”
    พระอาจารย์อ้อดเล่าว่า ยายชีวนเวียนนิมนต์ให้ท่านไปหลายรอบหลายครั้งจนในที่สุดท่านจึงรับนิมนต์เดินทางกลับนครพนม
    เรื่องนี้น่าคิดไม่น้อย เมื่อวันที่ ๓๐ พ.ย.๕๑ ยายชีทำพิธีบังสุกุลประเทศ ทำให้ทุกคนทุกฝ่าย ไม่ว่าเหลืองหรือแดงหรือประชาชนทั่วไป ท่านว่าพิธีนี้จะช่วยบรรเทาความวุ่นวายบ้านเมืองได้ระดับหนึ่ง ผู้ที่ตายไปแล้วก็จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศล ผู้ที่ยังไม่ตายก็จะปลอดภัยเป็นสุข ซึ่งในพิธีนี้ได้นำรายชื่อสมาชิกเว็บสวนขลังและเว็บอำพล เจนเข้ารับการสวดแผ่เมตตาเป็นกรณีพิเศษไปแล้ว ไม่ทราบว่าปรากฏผลอย่างไร
    มีที่น่าสนใจอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง ส่วนตัวของยายชีนั้น ท่านได้จดรายละเอียดของสัตว์ทุกชนิดที่ตายอยู่ในวัดตลอดมาจนถึงวันพิธี ไม่ว่าจะเป็นงู ตะขาบ กิ้งก่า มด ปลวก จิ้งจก หรือแม้แต่ไส้เดือน ท่านจดไว้หมด แล้วนำเข้าพิธีด้วย

    มาเอาวิชากับคาถาอาคม
    เท่าที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสยายชีในช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่ปีมานี้ เห็นว่าผู้ที่มาหายายชีถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไปมักมาพึ่งพาอาศัยขอให้ช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่เป็นเรื่องต้องใช้ศาสตร์วิชา ยายชีก็สงเคราะห์ให้เป็นรายๆ อีกส่วนหนึ่งมาเพื่ออยากได้วิชา ซึ่งส่วนนี้มักไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม
    แต่เป็นพวกที่หวังได้คาถาศักดิ์สิทธิ์ไปทำประโยชน์ตน ยายชีมักปฏิเสธไปว่า
    “ข้อยบ่ฮู้ บ่จัก อีหยังสักอย่าง หนังสือก็ไม่ได้เรียน เรื่องนี้ถ้าบุญของพวกเจ้าเคยสร้าง มันจะมาเองรู้เองดอก”
    เรื่องศาสตร์วิชาแปลกๆของยายชี เคยได้ยินผู้ใกล้ชิดยายชีเล่าว่า สมัยก่อนท่านมีวิชาหนูกับแมว ทำเป็นน้ำมันขึ้นมา เอาไปป้ายหนูกับแมวแล้วมันจะไม่กัดกัน ขังไว้ในกรงเดียวกันก็ไม่ทำร้ายกัน คงจะคล้ายๆ กับที่อาจารย์ชุม ไชยคีรีเคยทำไว้แต่ต้นเค้าวิชาไม่ทราบมาทางเดียวกันหรือเปล่า


    nuan-010.jpg
    เดี๋ยวนี้ยายชีเลิกไม่ทำอีกแล้ว เข้าใจว่าตั้งแต่รู้จักกราบไหว้หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง เรื่องวิชาคาถาอาคมจึงเพลาๆ ลงไป หันมาตั้งใจปฏิบัติจิตทำเพียรภาวนาแทน


    ถ้าเอ่ยชื่อหลวงพ่อชาให้ยายชีได้ยินเมื่อไหร่ ยกมือไหว้ท่วมหัวเมื่อนั้น ยึดถือว่าเป็นครูบาอาจารย์สำคัญอีกองค์หนึ่ง


    ในส่วนที่เป็นของขลังเท่าที่เห็นยายชีทำแจกให้ญาติโยมนั้นเป็นรังไหม ข้าพเจ้าเคยได้รับและยังเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ไม่ทราบว่ารังไหมนั้นมีคุณอย่างไร ด้วยไม่เคยถาม แว่วๆเป็นเลาๆว่าเอาไว้คุ้มตัว รักษาตน เหมือนตัวไหมมีรังเป็นเปลือกหุ้มคุ้มภัย
    อีกอย่างหนึ่งที่ท่านชอบแจกให้ผู้ใกล้ชิด คือแป้งหอม และ น้ำอบไทย แล้วให้คาถาไปสวดภาวนากำกับ ข้าพเจ้าเคยได้รับแต่จำคาถาไม่ได้จึงไม่เคยใช้ แต่รับรองได้ว่ายายชีนี้ไม่ธรรมดา
    เหมือนที่หลวงปู่คำพันธ์ได้อุทานขึ้นเมื่อเห็นยายชีครั้งแรกที่วัดธาตุมหาชัย นครพนม
    “ยายชีนี่ไม่ธรรมดา วิชามีอยู่เต็มตัว”

    ปัจจุบันกาล
    ขณะนี้ (ธ.ค.๒๕๕๑) ยายชีนวลอายุได้ ๙๘ ปี สังขารเสื่อมโทรมตามกาลเวลา เรี่ยวแรงหดหายไปสิ้น จะลุกนั่งเดินเหินลำบาก ความป่วยไข้รุมเร้าอย่างแสนสาหัส
    บางครั้งคล้ายหมดลมหายใจไป แต่ก็ยังกลับคืนมาหายใจได้
    ยายชีบอกว่า

    “นักปฏิบัติมักเป็นเช่นนี้ เรื่องของกรรมของแต่ละคน”
    ยายชีนวลไม่เคยแสดงอาการหวั่นไหวอ่อนแอให้ผู้ใดเห็น ที่ได้เห็นกันคือความองอาจกล้าหาญ ไม่สร้างความหนักใจแก่ผู้ปรนนิบัติดูแล นั่งนอนยืนเดินอยู่ในองค์ภาวนาตลอดเวลา
    นั่นคือการสอนศิษย์เทอมสุดท้าย สอนให้ทุกคนเห็นกับตาด้วยบทแห่งอนิจจัง


    ของขลังล่าสุด nuan-014.jpg


    นอกจากพระกามเทพที่ข้าพเจ้าสร้างไว้เพียงจำนวนเล็กน้อยแล้ว ยายชีนวลไม่เคยมีเหรียญหรือรูปเหมือนใดๆ มาก่อน คงมีครั้งเดียวที่ศิษย์ผู้เลื่อมใสศรัทธาสร้างล้อคเก็ตรูปยายชีเป็นการส่วนตัว นำมาขอให้ยายชีอธิษฐานจิตให้ ยายชีก็เมตตาทำให้เป็นอย่างดี
    นอกจากนี้ไม่มีของขลังที่เป็นเรื่องเป็นราวชัดเจน เมื่อเร็วๆ นี้คุณออด อยุธยาได้นำรูปลอยองค์ของนางตะเคียนมาฝากข้าพเจ้า นางตะเคียนนี้คุณออด อยุธยาเป็นผู้จัดสร้างขึ้นถวายวัดนางกุย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา โดยว่าจ้างให้ข้าพเจ้าเป็นผู้แกะและกดพิมพ์จนแล้วเสร็จ และได้มอบนางตะเคียนชุดเดียวกันนี้ให้ข้าพเจ้าไว้เป็นที่ระลึกเป็นจำนวน ๔๐ องค์ ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นรูปผู้หญิงจึงนำไปขอให้ยายชีอธิษฐานจิตให้ แม้ป่วยหนัก ท่านก็ยังกรุณาทำให้อย่างเต็มใจ ท่านเอานางตะเคียนทั้งหมดหมกไว้ใต้แป้งหอม แล้วเอาเข้าห้องภายในกุฏิเอาไว้กับท่าน ๗ วัน


    nuan-011.jpg
    แต่พอถึงตอนส่งมอบนางตะเคียนกลับคืน ท่านกล่าวว่า “ของนี่เป็นของดีเป็นโชคเป็นลาภและเป็นเมตตา ยายทำให้เมื่อวันที่ ๑๔ ยายเชิญพระที่เมืองลาวมาช่วยทำพิธีอยากได้อะไรก็ให้ขอเอา” (อธิษฐานเอา) แปลกดีข้าพเจ้าไม่ใช่คนเล่นหวย แต่หวยงวดนี้ (๑๖ ธ.ค. ๕๑) ออก ๑๔ ตรงๆ ถูกกันเยอะ เว้นแต่ข้าพเจ้าผู้เดียวไม่ถูก ด้วยไม่ซื้อ แปลกอีกข้อคือ ท่านทำพิธีคนเดียว พระเมืองลาวรูปใดกันที่ท่านเชิญมา


    หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้นำเอานางตะเคียนทั้งหมดมาปั๊มพ์ตรายางเป็นตัวอักษรไทยคือตัว “น” เพิ่มเข้าไปที่ใต้ฐาน เพื่อว่าในอนาคตข้างหน้า หากพบเห็นที่ไหนจะได้รู้จักและเข้าใจว่าเป็นของยายชีนวลอธิษฐานจิตเอาไว้ ไม่สับสนกับของวัดนางกุย ที่เป็นเจ้าของนางตะเคียนที่แท้จริงข้าพเจ้าได้ปรึกษากับท่านอาจารย์เวทย์รวมทั้งขออนุญาตคุณออด อยุธยา ว่าเฉพาะนางตะเคียน ๔๐ องค์นี้จะนำมาให้ผู้สนใจศรัทธาบูชา เพื่อนำปัจจัยทั้งหมดไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลพยาบาลยายชีนวล ซึ่งข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะหาปัจจัยส่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงที่สุด
    ข้าพเจ้าไม่ขอรับรองว่า นางตะเคียนที่ยายชีนวลอธิษฐานจิต จะขลังและศักดิ์สิทธ์เปี่ยมอภินิหารประการใด แค่นึกว่าเป็นของตอบแทนปัจจัยที่ทุกท่านสละออกมาพยุงสังขารหญิงชราผู้เป็นนักปฏิบัติอย่างแท้จริงเท่านั้น ขอเชิญครับ

    บั้นปลายชีวิต
    ตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ เป็นต้นมา ยายชีนวลสุขภาพไม่ดี ด้วยเหตุว่าชราภาพมากแล้ว ลูกหลานจึงขอให้ย้ายออกจากวัดภูฆ้องคำ อ.กุดข้าวปุ้น มาอยู่วัดบ้านนาทม อ.ตาลสุม ซึ่งเป็นบ้านเกิด
    ต่อมาลูกหลานเห็นว่าการดูแลปรนนิบัติยายชีที่พำนักอยู่วัดนั้น เป็นความยากลำบาก จึงขอให้ยายชีกลับมาพักที่บ้านลูกสาว ยายชีก็อยู่ที่นั่นตลอดมา
    ระหว่างต้นปี ๒๕๕๓ มาจนถึงเดือนกรกฎาคมปี ๒๕๕๔ ยายชีป่วยหนักเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น สุดท้ายก็พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นการถาวร
    ค่ารักษาพยาบาลยายชีสูงมาก ลูกหลานไม่ได้เป็นคนร่ำรวย ยังหาเช้ากินค่ำกันทุกคน แต่ก็ได้รับความอุปถัมภ์จากลูกศิษย์ลูกหาหลายฝ่าย ช่วยกันออกค่ารักษาพยาบาลตามกำลัง
    ค่าใช้จ่ายที่หนักมากๆ คือการผ่าตัดบอลลูนหัวใจ เห็นบอกว่าหลักแสน ลูกหลานไม่มีปัญญาจ่าย ทางโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ทั้งหมอและพยาบาลหลายท่านมีความนับถือยายชี จึงช่วยกันทุกวิถีทาง ออกความคิดว่าควรทำให้ถูกต้องตามกระบวนการรักษา ก็จะมีเจ้าภาพจ่ายแทนให้
    ปัญหาอยู่ที่ยายชี เป็นบุคคลสาบสูญไปแล้วหลายสิบปี ทะเบียนราษฎร์แทงบัญชีว่าตายหายสูญไปนานแล้ว
    การที่จะทำให้ยายชีกลับมาเป็นคนปกติยากมาก ทางอำเภอตาลสุมบอกว่าอาจใช้เวลาดำเนินการเรื่องนี้นานมาก ต้องส่งเรื่องเข้ากระทรวงมหาดไทย อย่างเร็วก็ ๖ เดือน จึงจะรู้ผล ซึ่งไม่ทันการแน่นอน

    เรื่องแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น
    หลานท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ทราบเรื่องนี้ จึงไปกราบเรียนท่านผู้ว่าฯ ขอความช่วยเหลือ
    ท่านผู้ว่าฯ ตกลงดำเนินการเรื่องนี้ให้ด้วยตัวของท่านเอง สำเร็จเสร็จสิ้นใน ๑ วัน
    ทางอำเภอตาลสุมโทรฯ ตามญาติยายชีให้ไปรับหลักฐานทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน ณ ที่ทำการอำเภอตาลสุม
    นายอำเภอกับปลัดอำเภอรอมอบหลักฐานฯให้ด้วยตัวของทั้งสองท่านเอง รอจนถึงเวลาประมาณ ๑๙.๓๐ น.ไม่ได้กลับบ้านตามเวลาปกติ
    เมื่อญาติไปถึง จึงถูกตัดพ้อว่า เรื่องนี้ไม่น่าจะต้องถึงกับไปร้องเรียนท่านผู้ว่าฯ เลย ฝ่ายญาติยายชีจึงอธิบายว่า ไม่ได้ร้องเรียนเลย อยู่ๆ ท่านผู้ว่าฯ กรุณาเดินเรื่องให้ยายชีเอง เรื่องนี้แปลกตรงที่ท่านผู้ว่าฯ ก็ไม่เคยจะรู้จักยายชีมาก่อน บุญที่ท่านผู้ว่าฯ กระทำให้ยายชีนวลในครั้งนี้ สมควรแก่การอนุโมทนาเป็นที่สุด

    ทิ้งสังขาร
    ช่วงกลางเดือนมิถุนายน ยายชีกลับเข้าโรงพยาบาลอีกเป็นครั้งสุดท้าย
    อาการหนัก ต้องมีเครื่องมือช่วยพยุงสังขาร ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ตกวันละไม่น้อยกว่า ๑ หมื่นบาท
    เคยหมดลมไปครั้งหนึ่ง หมอสามารถปั๊มหัวใจเอาชีวิตยายชีกลับคืนมาได้
    ประมาณ ๑ เดือนในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ยายชีก็สิ้นลม
    เมื่อเวลาประมาณตีสาม ของคืนวันที่ ๒๑ ก.ค. ๒๕๕๔
    สาเหตุของการเสียชีวิตเกิดจากสังขารที่ชราภาพแล้ว อวัยวะภายในเสื่อมสภาพตามอายุใช้งาน ตับ ไต หัวใจและปอด รวมทั้งระบบเลือดทั้งระบบเสียหาย ประมาณอายุยายชี นับถึงวันสิ้นลมราวๆ ๑๐๖ ปี
    ศพถูกนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดบ้านนาทม อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี เป็นเวลา ๓ วัน จึงทำการฌาปนกิจในเวลาบ่าย ๔ โมงเย็นของวันที่ ๒๔ ก.ค. ๒๕๕๔

    เผาไม่ไหม้
    พิธีเผาศพยายชีนวล ทำง่ายๆ แบบโบราณ คือเผากันกลางแจ้ง โดยมีผู้มาร่วมพิธีเผาศพเป็นจำนวนมาก ทางวัดถึงกับออกปากว่า ไม่เคยจัดงานใหญ่แบบนี้มาก่อน ในการฌาปนกิจครั้งนี้ ยายชีสั่งการไว้ก่อนตายหลายประการ แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามทุกอย่าง จึงเกิดปัญหามากมายกว่าจะเผาได้สำเร็จ เห็นจะมีเพียงประการเดียวเท่านั้นที่ทางวัดดำเนินตามสั่ง นั่นคือระงับการวางดอกไม้จันทน์
    ยายชีสั่งการเรื่องนี้ไว้ว่า
    "ศพข้อยไม่ให้วางดอกไม้จันทน์ ให้วางไม้มุจลินท์ (ไม้จิก) แทน"
    แต่เรื่องที่ยายชีสั่งไม่ให้มีการประดับแต่งเมรุนั้น ห้ามศรัทธาของเหล่าศิษย์ไม่ได้
    ทางวัดจึงอนุโลมให้มีการประดับดอกไม้และคลุมผ้าขาวพอสมควร
    ส่วนคำสั่งอื่นๆ ที่เรียกว่าสำคัญนั้น มีผู้อวดดี อวดเก่ง อ้างตัวราวกับเป็นผู้วิเศษ เก่งกล้าสามารถ เข้ามาวุ่นวาย เจ้ากี้เจ้าการ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เรียกว่าไม่รู้แต่อวดรู้ ไม่เก่งแต่อวดเก่ง จึงเป็นเหตุให้เกิดเรื่องอัศจรรย์

    ศพยายชีเผาไม่ไหม้
    ไฟลุกอยู่นาน ๒ ชั่วโมง ศพก็ยังอยู่สภาพเก่า
    เอายางรถยนต์มาสุมใส่อีก ๕ เส้น ยางรถยนต์ไหม้จนหมดสิ้นทุกเส้น
    ศพยายชีก็ยังอยู่เหมือนเก่า

    คำสั่งเสียก่อนมรณะ
    ยายชีนวลขณะป่วยหนัก บางครั้งจำใครไม่ได้ แม้แต่ลูกหลานอยู่ปรนนิบัติทุกวัน บางครั้งแจ่มใสจำได้ทุกอย่าง ถือเป็นเรื่องปกติของคนแก่ที่กำลังป่วยในขั้นสุดท้าย
    แต่องค์ภาวนาของยายชีมั่นคงดี ไม่คลาดเคลื่อน
    ยามสติแจ่มใสมักร้องขอให้ผู้ปรนนิบัติพาไปอยู่วัด ไม่อยากอยู่บ้านหรือโรงพยาบาล
    ยามสติแจ่มใส รู้ว่าความตายจะมาถึงแล้วในไม่ช้าก็ออกปากสั่งเสียจนเรียบร้อย ไม่บกพร่อง
    ๑. เมื่อตาย จะตายวันไหนก็ช่าง ให้จุดไฟเผาวันนั้นเลย ไม่ต้องมีบำเพ็ญกุศลศพ เพราะว่าทำมามากพอแล้ว (คำสั่งข้อนี้เป็นไปในเชิงขอร้อง ยายชีบอกว่าตัวท่านเองไม่สามารถจะจุดไฟเผาศพตัวเองได้ ขอให้คนที่ยังอยู่จุดไฟเผาให้ด้วย)
    ๒. เมื่อไม่ต้องมีพิธีกรรมตามประเพณี คือบำเพ็ญกุศลศพ มันก็ง่าย โลงศพและเมรุไม่ต้องประดับตกแต่ง ให้เผากลางแจ้ง เพื่อให้ทุกคนเห็นถึงความไม่เที่ยงแห่งสังขาร ให้เห็นว่าซากสังขารไม่ใช่สิ่งสวยงามน่ายินดี ให้พากันเบื่อหน่าย ให้เกิดความสังเวชสังขารที่บางคนยังเห็นว่าสวยว่างามน่ายินดี ให้ศพของยายชีเป็นเครื่องมือช่วยให้คลายความยินดี ปลดพันธนาการแห่งกำหนัด จนเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายตนเอง
    ๓. อนุญาตแค่ ๓คนเท่านั้น ที่จะเป็นผู้จุดไฟเผาศพยายชี คือ คุณนก (หลานสาว), คุณแก๋ (หลานชาย) และคุณกบ (หลานชาย) หากไม่ใช่ ๓ คนนี้ เป็นคนอื่นจุดไฟ จะเผาศพยายชีไม่ไหม้
    ๔. ไม่ให้วางดอกไม้จันทน์ ให้วางไม้มุจลินทน์ (ไม้จิก) ที่เชิงตะกอน
    ลูกหลานทุกคนที่รับฟังคำสั่งเสีย พร้อมที่จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
    แต่กลับไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุว่ามีผู้อวดรู้เจ้ากี้เจ้าการเข้ายุ่งเกี่ยว จนทำให้คำสั่งเสียถูกบิดเบือนไป
    ท่านแรกมาจากไหนไม่ทราบ บอกว่ายายชีไปบอกตนทางกระแสจิต ว่าต้องทำที่วางศพเจ็ดชั้น เอาศพยายชีไว้ที่ชั้น ๗ โลงศพต้องเป็นโลงอย่างดี (แบบโลงพระสายกัมมัฏฐาน)
    เรื่องนี้ลูกหลานไม่อาจทำได้ ด้วยว่าต้องใช้เงินมากโข
    "ไม่ทำไม่ได้นะ ยายชีไปหาเรา สั่งกับเราให้มาบอกพวกท่าน"
    "โลงแบบที่ว่าราคา ๒๘,๐๐๐ บาท กับที่วางศพ ๗ ชั้น ทำอย่างไร ไม่มีใครรู้จัก คงใช้เงินมาก"
    "เรื่องเงินยายชีบอกว่าไม่มีปัญหา ขอให้ทำตามที่สั่ง"
    "เงินจัดงานศพนี้ พวกเรามีเงินแค่ ๑๓,๐๐๐ บาท ถ้ายายชีไปบอกท่านจริง แสดงว่ายายชีต้องการให้ท่านเป็นคนทำ ท่านก็ไปหาเงินมาซี"
    รายนี้ก็เผ่นหายไป ไม่กลับมาอีก
    อีกรายก็เคยไปมาหาสู่ยายชีสมัยยังมีชีวิตอยู่ อวดอ้างว่าสื่อสารกับยายชีทางกระแสจิตทุกวัน ขณะยายชีป่วยอยู่โรงพยาบาล จึงรู้ดีกว่าใครว่ายายชีต้องการให้ทำอย่างไร
    ท่านผู้นี้ได้เข้ามาอยู่ที่งานศพตั้งแต่วันแรก เจ้ากี้เจ้าการเป็นธุระเหมือนจะวางตนเป็นแม่งาน ผู้รู้จักทุกเรื่อง รู้จักวิธีจัดการทุกอย่างกับศพยายชี
    จึงได้คัดค้านต่อต้าน ไม่ยอมให้เผาศพยายชีในวันเดียว อ้างว่าผิดประเพณี อย่างน้อยควรตั้งศพไว้ ๗ วัน
    ชาวบ้านทั้งหลายและผู้ที่พอจะเป็นที่นับหน้าถือตาแก่คนทั้งหลายต่างเห็นพ้องด้วย ตกลงจึงให้บำเพ็ญกุศลศพยายชีแค่ ๓ วัน ซึ่งก็ไม่เป็นที่ถูกใจแก่คนทั้งหมด แต่ต้องจำยอม ไม่งั้นเรื่องทะเลาะปะทะคารมกันจะมีต่อไปไม่จบ
    ถึงตอนเผา ผู้ที่วางตนเป็นแม่งาน ก็เข้ามาคำเนินการทุกขั้นตอนของกระบวนการเผาด้วยตนเอง
    กระทั่งธรรมเนียมใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพก็ให้งด อ้างว่ายายชีสั่งให้ใช้น้ำหอมหรือน้ำอบไทย
    เรื่องน้ำมะพร้าวนั้น รู้จักกันดีแต่โบราณหรือแม้แต่ทางการแพทย์สมัยใหม่ รู้ว่าเป็นน้ำที่บริสุทธิ์สะอาด แม้ในยามสงครามขาดแคลนน้ำเกลือ ยังสามารถใช้น้ำมะพร้าวแทนน้ำเกลือได้
    ลูกหลานที่ล้วนแต่เป็นคนบ้านนอกต้อยต่ำ พูดไม่ออก ต้องนิ่งเงียบยอมให้เขาดำเนินการกันไป
    เสมือนถูกกันออกมา ไม่ให้เข้าไปเกี่ยว ทั้งการออกความเห็นหรือลงมือปฏิบัติ

    จนกระทั่งถึงเรื่องเผาศพ ที่ศพไม่ยอมไหม้ไปตามธรรมชาติ
    ผู้อวดรู้อวดเก่งทั้งหลายก็ถึงกับออกอาการหมดปัญญา หมดท่า หมดน้ำยากันไปที่ละรายสองราย
    ในที่สุดก็ยอมวางมือ หนีหายไปหมด
    สุดท้ายจึงให้ลูกหลาน ๓ คน ที่ยายชีอนุญาต ได้เข้าไปทำพิธีจุดไฟ
    โดยใช้เทียนไขคนละเล่มจุดไฟ อธิษฐานบอกยายชี แล้วโยนเทียนไขเข้าไปในกองฟอน
    แปลกที่แค่เทียนไขเล่มเล็กๆ ไฟในกองฟอนกลับลุกโชติช่วงขึ้น ราวกับโดนสาดด้วยน้ำมันก๊าด
    ศพยายชีจึงเริ่มไหม้ โดยเริ่มไหม้จากปลายเท้า ลามเข้ามาบั้นเอว
    ส่วนเอวมาถึงศีรษะยังคงรูปลักษณะเดิม เหมือนจะต้านไฟ
    แต่เมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าเริ่มไหม้ไปด้วย แต่ไหม้อย่างช้าๆ นับว่าผิดปกติเหมือนกัน
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (ต่อ)
    เหตุอัศจรรย์ที่ต้องบันทึกไว้
    ๑. ไม่มีกลิ่นเนื้อหนังคนถูกไฟเผา (เรียกว่าไม่มีกลิ่นศพถูกเผา)
    ข้าพเจ้านั่งอยู่ใต้ลม รับกลิ่นเต็มๆ มีเพียงกลิ่นควันไฟของไม้ถูกไฟเผา กลิ่นเนื้อหนังคนถูกเผาหายไปไหนหมด แค่ย่างเนื้อแห้งกินที่บ้าน กลิ่นยังโชยไป ๒ บ้าน ๓ บ้าน
    แต่นี่ไม่มีกลิ่นเลย ใช่แต่ข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้น ทุกคนในเวลานั้นรู้จักเรื่องนี้เหมือนกัน และเป็นพยานด้วยกันทั้งหมด
    ๒. แม้หมอน ๔ เหลี่ยมแบบอีสานที่ใช้หนุนศีรษะยายชีก็ยังไม่ไหม้ไฟ
    หมอนยัดด้วยนุ่นจะต้านทานไฟได้อย่างไร หมอนใบนั้นคงสภาพเดิมอยู่คู่กับศพที่ต้านไฟของยายชีตลอดเวลา
    หมอนเพิ่งจะเริ่มไหม้หลังจากหลานชายและหลานสาวยายชีเข้าไปทำพิธีจุด ไฟไหม้จากขอบนอกเข้าไป แต่ส่วนที่สัมผัส (รองรับ) ท้ายทอยยายชียังคงอยู่เป็นก้อน จนกระทั่งถึงเวลาที่ศพยายชีเริ่มไหม้จนหมด หมอนใบนั้นจึงไหม้หมดตามไปด้วย
    ๓. ตลอดเวลาที่เผานั้น ศพยายชีไม่มีอาการหนังเนื้อแตกปริ คงสภาพผิวหนังเรียบๆ เอาไว้ ค่อยๆ แห้งไป และไหม้ไปอย่างช้าๆ ไม่มีของเหลวจากภายในศพไหลทะลักออกมา ให้อุจาดตา แม้แต่หยดเดียว
    ๔. ศพอยู่ในอิริยาบถเดิมตั้งแต่เริ่มเผา จนจบกระบวนการเผา ศพไม่กระดุกกระดิก นิ่งอยู่ในท่าไหนก็ท่านั้น นิ่งสงบอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ต้นจนจบ
    เรื่องไฟนี้จะว่าไปแล้ว สมัยยังยายชียังมีชีวิตอยู่ เคยมีผู้แอบเห็นว่า ยายชีหยิบก้อนถ่านไฟแดงๆ ด้วยมือเปล่า
    บางคราวเกิดเหตุไฟที่ชาวบ้านจุดเผาหญ้าลามไหม้เข้ามาหากุฏิยายชี แทนที่จะหาน้ำมาดับไฟ ท่านเอามือเปล่ากวาดไฟทั้งแขน ไฟก็ดับ ไม่ลามเข้ามา
    หลังจากศพไหม้ไฟแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการเก็บอัฐิ เกิดจลาจล ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทั้งพระทั้งเณรและญาติโยมกรูกันเข้าแย่งกันเก็บอัฐิยายชีจนหมด
    ลูกหลานเก็บไว้ได้เพียงส่วนหนึ่ง ส่วนที่เก็บไว้นี้ตั้งใจจะสร้างธาตุอัฐิทับบริเวณที่เผา แล้วเอาอัฐิส่วนนี้บรรจุไว้
    นี่คือเรื่องของยายชีนวล แสงทอง ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีปรากฏให้เห็นในโลกปัจจุบัน
    โลกที่วิทยาศาสตร์มีอิทธิพลเหนือไสยศาสตร์

    ประมวลภาพพิธีฌาปนกิจศพยายชีนวล แสงทอง


    nuan-012.jpg


    nuan-017.jpg


    nuan-016.jpg


    nuan-019.jpg

    nuan-018.jpg nuan-020.jpg nuan-015.jpg

    nuan-021.jpg





    bar-red-lotus-small.jpg


    ubasika-nuan-hist-01.gif
    ขอบพระคุณที่มา .- http://www.dharma-gateway.com/ubasika/nuan/ubasika-nuan-hist-01.htm
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร พระรูปเดียวที่มีสิทธิพิเศษ ในบรรดาศิษย์หลวงปู่มั่น// ปู่ดอน station

    ปู่ดอน station
    Nov 1, 2021
    หลวงปู่หลุย จันทสาโร ได้เล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาของท่านฟังว่า..ในบรรดาศิษย์หลวงปู่มั่น เห็นมีแต่ท่านอ่อนสาองค์เดียวเท่านั้น ที่แบกกลดสะบาตรมาพักอยู่ปฏิบัติกับองค์หลวงปู่มั่นได้เลย โดยไม่ต้องขออนุญาตจากท่านก่อนล่วงหน้า หลวงปู่มั่นเองก็เมตตาท่านมาก ไม่ดุด่าว่ากล่าวเลยสักนิด ซึ่งต่างจากพระองค์อื่น ถ้ามาทำแบบนี้ ต้องโดนเทศน์กัณฑ์ใหญ่เป็นแน่..
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ๑๐๕ .ลับแลเวียงแลง ผจญภัยบนดอยสูง

    thamnu onprasert
    120,965 viewsOct 21, 2021
    กายทิพย์ของส่างอุ่นเปิง ขี่ม้าขาวไปช่วยเหลือชาวลับแลเวียงแลงให้พ้นภัยของอสูรยักษ์ที่ดุร้าย.


     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    หลวงปู่จามธุดงค์ป่าเมืองเหนือ | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่จาม มหาปุณโญ

    100 เรื่องเล่า
    Oct 20, 2021
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ธุดงค์แดนเถื่อนดงพม่า | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่ชอบ ฐานะสโม

    100 เรื่องเล่า
    Oct 14, 2021
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    LpChobTanasmo.jpg
    เรื่องอัศจรรย์กลางป่าลึก | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

    100 เรื่องเล่า
    Oct 16, 2021
    ช่องทางการติดต่อ เพจ : https://www.facebook.com/100ROYSTRY
    เรื่องอัศจรรย์กลางป่าลึก หลวงปู่ชอบ ฐานะสโม พระธุดงค์กรรมฐาน ลูกศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านมักจะออกธุดงค์ไปตามป่าเขา เถื่อนถ้ำต่างๆ หลายสิบถ้ำ ท่านมีประสบการณ์ในการพบกับสิ่งลี้ลับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทดา พวกกายทิพย์ พญานาคท่านก็เคยพบเห็นหลายครั้ง และยังเหตุการณ์ปาฏิหาริย์อัศจรรย์เกิดขึ้นกับท่านหลายครั้ง ท่านเคยพบเห็นพญานาคแปลงกายเป็นสัตว์ หรือเป็นคน เป็นหลายอย่างให้ท่านชมก็เคยมี และหลวงปู่ชอบ ท่านมีสหธรรมิก ที่ถูกอัธยาศัยกันคือ หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านมักจะออกเที่ยวธุดงค์ไปตามป่าเขา มีจริตนิสัยที่คล้ายกัน จึงมักจะชอบออกธุดงค์ด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง ท่านยังมีคุณวิเศษในการระลึกชาติได้อีกด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญรับฟังได้เลยครับ ผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2021
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    pic_026.jpg

    ข้อมูลประวัติ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย

    หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย จังหวัดระยอง (พระครูวิจิตรธรรมานุวัติ)
    เป็นพระคณาจารย์ที่เชี่ยวชาญในวิชาไสยศาตร์ โหราศาตร์ เเละเเพทย์เเผนโบราณ องค์หนึ่งในภาคตะวันออกเป็นพระคณาจารย์สมัยหลวงพ่ออี๋ เเห่งวัดสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เเต่เเก่อาวุโสกว่า เเละรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี เคยลองวิชากันเป็นที่ชื่นชอบของลูกศิษย์ในสมัยนั้น เเต่ชื่อเสียงของหลวงพ่อวงศ์มิได้โด่งดังไปไกล เนื่องจากท่านเป็นพระที่รักสันโดษ มักน้อย เเละถ่อมตัว ทำเครื่องลางของขลังออกมาน้อยนั่นเอง เเต่ว่าในเขตท้องถิ่นหรือเขตใกล้เคียง ชื่อเสียงของท่านเป็นที่รู้กันทั่วไปในวงการ เคยไปร่วมพิธีพุทธาภิเศกกับสมเด็จพระสังฆราชเเพ เเห่งวัดสุทัศน์ที่กรุงเทพมหานครในสมัยนั้น หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ที่กล่าวถึงนี้ ท่านเป็นอดีตเจ้าคณะอำเภอบ้านค่าย เเละอดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านค่าย อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง จากหลักฐานที่เชื่อถือได้กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เคยมาตั้งค่ายอยู่ที่อำเภอบ้านค่าย ก่อนจะเข้าตีเมืองระยอง ส่วนวัดบ้านค่ายนั้น ตามหลักฐานค้นดูในหนังสือ ประวัติในจังหวัดระยอง จัดทำโดย พระอมรเวทีศรีบูรพาทิศสังฆปราโมกข์ อดีตเจ้าคณะจังหวัดระยอง ร่วมกับนายวิทยา เกษรเสาวภาค อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง หนังสือหน้า 254 กล่าวว่า วัดบ้านค่ายตามคำบอกเล่าสืบๆกันมา ว่าสร้างในสมัยกรุงสุโขทัย เป็นราชธานี สมัยนั้น ขอมยังปกครองเเถบนี้อยู่ ขอมได้สร้างวัดเเละโบสถ์ไว้ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง นั้น ตามบันทึกอัตตชีวประวัติ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ เมื่อวันที่ 26 เมษายน พศ 2479 ได้กล่าวไว้ว่า หลวงพ่อวงศ์นามเดิมชื่อ วงศ์ นามสกุล วงศ์พิทักษ์ เกิดที่บ้านหนองตาเสี่ยง ตำบล หนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 9 ปีมะเส็ง พศ 2400 บิดาชื่อ น้อย มารดาชื่อ เอี่ยม มีพี่น้องร่วมบิดา มารดา ทั้งหมด 9 คน หลวงพ่อเป็นคนที่ 4 มีอาชีพในทางทำนา เมื่อหลวงพ่ออายุยังน้อย บิดาได้ตายจากไปเสียก่อน ท่านจึงได้ช่วยมารดาทำนาเลี้ยงน้องๆโดยกู้เงินเขามาซื้อควาย เเล้วทำนาปลดหนี้กู้เขาจนหมด ในปีเดียว เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม อายุ 14 มารดาไปนำไปฝากเลี้ยงไว้ทีวัดเพื่อเรียนหนังสือ โดยนำไปฝากกับพระอาจารย์กลั่น วัดบ้านค่าย ซึ่งในสมัยนั้นไม่มีโรงเรียนเหมือนกับสมัยนี้ ใครจะเรียนหนังสือต้องไปเรียนทีวัด จังหวัดระยองในสมัยนั้นมีสภาพเป็นป่าเกือบทั้งจังหวัด ในตัวเมืองระยองก็มีบ้านอยู่ไม่กี่หลัง ถนนหนทางก็ไม่มี มีเเต่ทางเกวียน จะไปกรุงเทพฯ ต้องไปลงเรือที่ปากน้ำระยอง นั่งเรือกันหลายวันกว่าจะไปถึงกรุงเทพฯดังนั้นใครจะไปเรียนหนังสือจะต้องมีความมานะพยายามเป็นอย่างดี หนังสือที่เรียนก็เป็นหนังสือ ขอมไทย เเละหนังสือไทย ความประสงค์ของกุลบุตรที่เข้ามาเรียนในวัด ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการบวชเป็นสำคัญ เช่นเดียวกับหลวงพ่อเมื่ออายุครบบวชท่านจึงได้อุปสมบท ณ วัดบ้านค่าย ตรงกับเดือน 8 เเปดสองหน พ.ศ 2423 ขณะนั้นอายุ 24 ปีโดยมี หลวงปู่สังข์เฒ่า ที่มีอาคมเเก่กล้า เเละเป็นผู้สร้างวัดละหารไร่เป็นพระอุปชฌาย์ พระอาจารย์ดี วัดบ้านค่ายเป็นพระกรรมาจารย์ พระอาจารย์ห่วง วัดหนองกะบอกเป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อบวชเเล้วประมาณ 8 เดือนมีเหตุการณ์สำคัญอันหนึ่งที่ทำให้หลวงพ่อเศร้าโศรกมาก คือเหตุเกิดขึ้นคืนหนึ่งในเดือน 4 หลวงพ่อก่อนจำวัดได้จุดธูปเทียนตามปกติ เพื่อบูชาพระก่อนจำวัด ปรากฏว่าธูปหักกลางตกลงมาไหม้ผ้าครอง หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เขียนรำพันไว้ในประวัติของท่านว่า เมือตอนหลับ ธูปหักลงมาไหม้ผ้าครอง ร้องไห้อยู่หลายเวลา ผ้าครองเหมือนคู่บารมีเหมือนพระทีมีชีวิต เมื่อตายไปเเล้ววายปราณ ฉันจังหันเเลไปทำจิตที่พลุ่งพล่านที่หลงไหล เลยเข้ากอไผ่หมูลำมะลอก ตอนนี้ หากไม่ได้อาจารย์ดี พระกรรมาจารย์ของหลวงพ่อมาทำน้ำมนต์ 7 บาตรรดให้เเละหมอบผ้าครองใหม่ให้เเล้ว น่ากลัวว่าหลวงพ่อคงจะลาสิกขา จังหวัดระยองคงจะขาดอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษไปองค์หนึ่ง หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดบ้านค่าย จนถึงพรรษาที่ 10 ประมาณปี พศ 2433 พระอาจารย์ดี ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านค่ายได้มรณภาพลง พระยาศรีสมุทรโภคโชคชัยชิตสงคราม ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองในสมัยนั้น จึงมอบให้หลวงพ่อเป็นผู้รักษาวัดบ้านค่าย ต่อมา พระครูสมุทรสมานคุณเจ้าคณะจังหวัดระยองในสมัยนั้น ได้เเต่งตั้งให้ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เป็นเจ้าอธิการวัดบ้านค่าย มีอำนาจหน้าที่ในการปกครองวัดบ้านค่ายโดยสมบูรณ์ ในปีพศ 2446 หลวงพ่อวงศ์มีพรรษาได้ 24 พรรษา อายุ 46 ปี สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมัยดำรงค์สมณศักดิ์ เป็นที่ พระสุคุณคณาภรณ์ เจ้าคณะมณฑลจันทบุรี ได้นัดพระเถระผู้ใหญ่ รวม 20 วัดที่วัดเก๋ง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงพยาบาลระยอง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เพื่อเเต่งตั้งให้ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ดำรงตำเเหน่งเจ้าคณะเเขวงอำเภอ บ้านค่าย ในวันเเรก ท่านไม่ยอมรับ ท่านเจ้าคณะมณฑลจันทบุรี ก็ยังไม่ยอม ให้พระผู้ใหญ่ซึ่งมาประชุมในวันนั้นกลับไปก่อน เเละนัดให้มาประชุมใหม่ในวันรุ่งขึ้น
    วันรุ่งขึ้น ฉันเช้าเเล้ว ตีระฆังเข้าประชุมในโบสถ์วัดเก๋งพร้อมกันเเล้ว ท่านเจ้าคณะมณฑลจันทบุรี ได้ประกาศต่อหน้าที่ประชุมสงฆ์ทั้งหมดว่า ท่านวงศ์ ฉันให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ในสามอย่างคือ
    1 ให้รับ
    2 .ให้สึก
    3 ให้ไปเสียต่างเมือง
    เมื่อหลวงพ่อวงศ์ ระยอง ถูกยื่นคำขาดเช่นนี้ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมรับเมื่อหลวงพ่อยอมรับพระสงฆ์ทั้งหมด ซึ่งมาประชุมกัน ณ ที่นั้น ก็สวดชะยันโต เเละอนุโมทนาสาธุขึ้นพร้อมกัน เป็นอันเสร็จพิธีเเต่งตั้งเจ้าคณะเเขวงบ้านค่าย หรือ เจ้าคณะอำเภอบ้านค่ายปัจจุบัน นับว่า หลวงพ่อวงศ์เป็นเจ้าคณะเเขวงองค์เเรกของอำเภอบ้านค่าย มีวัดในเขตปกครองของอำเภอบ้านค่าย 16 วัด คือ
    1 วัดไชยชุมพล ตำบลบ้านค่าย ปัจจุบันเป็น วัดบ้านค่าย
    2 วัดสุกรวารี ตำบลบ้านหนองเข้าหมู ปัจจุบันเป็น วัดหนองคอกหมู
    3 วัดไชยพฤกธาราม ตำบลหวายกรอง ปัจจุบันเป็น วัดหวายกรอง
    4 วัดสังฆาราม ตำบลบ้านละหาร ปัจจุบันเป็น วัดละหารใหญ่
    5 วัดวารีสังฆาราม ตำบลบ้านละหาร ปัจจุบันเป็น วัดละหารไร่
    6 วัดหนองกรับ ตำบลหนองกรับ ปัจจุบันเป็น วัดหนองกรับ
    7 วัดสิลาล้อม ตำบลบ้านห้วงหิน ปัจจุบันเป็น วัดห้วงหิน
    8 วัดไผ่ล้อม ตำบลบ้านปากกอไผ่ ปัจจุบันเป็น วัดไผ่ล้อม
    9 วัดไชยพฤกภุมรา ตำบลบ้านปากน้ำลึก ปัจจุบันเป็น วัดกะบกขึ้นผึ้ง
    10 วัดราชธาราม ตำบลบ้านหนองละลอก ปัจจุบันเป็น วัดหนองกะบอก
    11 วัดอารัญญิกาวาศ ตำบลบ้านเกาะ ปัจจุบันเป็น วัดเกาะ
    12 วัดมรรคาวารินธาราม ตำบลบ้านหนองสะพาน ปัจจุบันเป็น วัดหนองสะพาน
    13 วัดทองธาราม ตำบลบ้านเก่า ปัจจุบันเป็น วัดบ้านเก่า
    14 วัดตรีชล ตำบลบ้านตาขัน ปัจจุบันเป็น วัดตาขัน
    15 วัดปากเเขก ตำบลบ้านปากเเขก ปัจจุบันเป็น วัดปากป่า
    16 วัดมาบข่า ตำบลบ้านมาบข่า ปัจจุบันเป็น วัดมาบข่า
    ต่อมาในปี พศ 2461 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ครั้นถึงปี พศ 2472 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์ เป็นที่ พระครูวิจิตรธรรมานุวัติ ดังสำเนาประกาศพระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์ ดังนี้
    พระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์
    วันที่ 6 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2472 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์ คือ ให้พระครูวงศ์ วัดบ้านค่าย เป็นพระครูวิจิตรธรรมานุวัติ

    เจ้าคณะเเขวงจังหวัดระยอง เรียนวิชากับหลวงพ่อกง

    สำหรับมนต์คาถาเเละวิชาเเพทย์โบราณนั้น หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้รับการสอนประสาทวิชาจากพระภิกษุรูปหนึ่งคือ
    หลวงพ่อกง ซึ่งเป็นพระภิกษุชาวเขมรลูกผสมลาว ซึ่งท่านจำพรรษาอยู่ที่เมืองเขมร
    หลวงพ่อวงศ์ ระยอง สมัยเป็นพระภิกษุหนุ่ม ได้ออกเดินธุดงค์เเสวงหาครูบาอาจารย์ท่านผู้รู้วิชาทั้งหลาย ทั้งยังได้ฝึกปฏิบัติทางจิต ให้เกิดอำนาจเกิดพลัง เเต่การออกเดินธุดงค์กรรมฐานของหลวงพ่อวงค์นั้นท่านได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงพ่อกง พระชาวเขมรเข้าจึงเดินธุดงค์เข้าเมืองพนมเปญ เเละได้ไปพักอยู่ที่วัดของหลวงพ่อกง เพื่อขอศึกษาเล่าเรียนวิชาด้วยเป็นเวลานาน วิชาที่หลวงพ่อกงได้ประสิทธิ์ให้หลวงพ่อวงศ์ ระยอง นั้น เป็นวิชาทางโลกทั้งสิ้น
    1 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ เวทย์มนต์คาถา ที่ได้ปรากฎผลมาเเล้วอย่างหน้าอัศจรรย์
    2 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ การเล่นเเร่เเปรธาตุ การเรียนวิชานี้เเม้สำเร็จผลเเล้วสามารถดลสิ่งต่างๆเช่น โลหะให้กลายเป็นทองคำก็ได้ เสกน้ำธรรมดาๆ ให้เป็นทองคำเต็มขันได้ ให้ทองคำเต็มตุ่มก็ได้
    3 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ การทำน้ำพระพุทธมนต์ ซึ่งจะทำให้วันอันเป็นมงคล ซึ่งสุดเเต่ว่าจะเป็นงานอะไร รับรองว่าศักดิ์สิทธิ์นัก
    4 หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ วิชาเเพทย์เเผนโบราณ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ท่านได้ศึกษาตัวยาสมุนไพรในป่าจนเกิดความชำนาญ สามารถรู้จักรักษาเฉพาะโรคได้
    หลวงพ่อวงศ์อบรมวิญญาณ
    เมื่อได้อ่านประวัติของ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง กับวิญญาณเเล้วก็อยากเล่าเรื่องผีให้จบสิ้นไปเลย เอาตอนรักษาโดยเฉพาะจะได้ไม่ยืดยาวคือ
    ครั้งหนึ่ง มีชาวบ้านป่วยมาก ได้นำตัวไปรักษาพยาบาลภายในบ้านค่ายจนสถานที่คับเเคบไป นายเเพทย์สมัยนั้นไม่มี นอกจากตัวของหลวงพ่อวงศ์เอง เป็นทั้งหมอ เป็นทั้งพยาบาล เป็นทั้งผู้ปรุงยา
    ส่วนคนไข้อีกประเภทหนึ่ง พวกนี้ถูกผีป่า เจ้าเขา เข้าสิงร่าง สิงดวงใจ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ต้องอาศัย ธรรมะ เข้าอบรมวิญญาณนั้นให้มาพูดคุยด้วย จนรู้เหตุของการเข้าสิงเเล้ว ท่านจะขอบิณฑบาตไม่ให้จองเวรจองกรรมกันอีกต่อไป
    หลวงพ่อวงศ์ ระยอง อบรมด้วยอำนาจเเห่งจิตที่ทรงสมาธินั้นเเล้ว ท่านก็ทำพิธีกรรมอีกครั้ง คือ พรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ นับจากนั้น โรคภัยก็หายขาดไม่เกิดขึ้นอีกเลย
    เหตุที่เกิด การที่ผีหรือวิญญาณหรือปีศาจ อะไรก็ได้ที่จะเรียกกันทั้งนั้น ถ้าจะเข้าสิงใครต่อใครได้ ก็ย่อมมีเหตุหลายประการเช่น
    1 วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรที่เคยก่อเวร กันมาก่อนในชาติต่างๆ ได้ตามกระเเสของวิบาทกรรมนั้นมาถึงในชาตินี้ จึงเข้าสิงล้างเเค้น ทำให้ทุกร้อนด้วยกรณีต่างๆ
    2 เป็นบุคคลที่ก่อกรรมทำชั่วตลอดเวลา จิตใจเเสวงหาเเต่สิ่งชั่วช้า ลามก เที่ยวเบียดเบียนทำลายชีวิต ให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยตกล่วง เมื่อเพียรพยายามให้ทุกข์เเก่ท่าน ที่สุดทุกข์นั้นมาถึงตัว ก็ทำความเดือดร้อนอยู่กับที่ไม่ได้เหมือนไฟลุกลามให้เร่าร้อน วิญญาณเจ้ากรรมก็เข้าสิงกระทำสิ่งที่ตนเองไม่รู้ตัวเช่น ทำร้ายตัวเองให้บาดเจ็บ ทำอนาจารตนเองอย่างไม่รู้สึกตัว ทำลายทรัพย์สินที่ตนสร้างขึ้นให้หมดไป จนสิ้นหลักเเหล่ง ไปในที่สุด
    3 จิตเดิมของมนุษย์เป็นจิตที่บริสุทธิ์เป็นประภัสสร เเต่เนื่องจากกระเเสกิเลส ทำให้หลงใหลใฝ่ฝันตกหลุมพรางกิเลส ที่ไม่เคยนิยมให้คนทำความดี ตรงกันข้ามกลับนิยมชมชื่น ถ้าบุคคลทั้งปวงทำความชั่วช้าเลวทราม ยิ่งศีลธรรมด้วยเเล้ว เป็นอันหมดกันไม่มีติดดวงจิต ดวงใจเลย อัปมาดังเรือเดินทะเล ถ้าเปิดทางให้น้ำทะเลเข้ามาอยู่เสมอๆ มิช้ามินาน เรือลำนั้นจะต้องจมสู่ก้นทะเลลึกเเน่นอนฉันใด จิตใจมนุษย์ก็ฉันนั้น ถ้าไม่มีศีลธรรมภายในในดวงจิตเเล้ว ปากประตูใจถูกเปิด ก็ย่อมเป็นที่อาศัยของกิเลสทั้งหลายที่เข้ามาเเทรกสิง เพราะความชั่วก็เข้าได้ บาปกรรมก็เข้าได้ ยักษี ผีเปรตก็เข้าได้ ไม่ช้าจิตก็เต็มไปด้วยของเสีย ของเน่า ดังนั้นผีจะเข้าร่าง จิตใจของมนุษย์ได้เเล้ว ย่อมไม่มีสิ่งอื่นนอกจาก 3 ข้อนี้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้อบรมสั่งสอนว่า ให้ตรวจ ให้ดูจิตใจเราเอง เหตุที่จะเกิด มันเกิดที่ใจเท่านั้น ความชั่วมิได้เเทรกเข้าเนื้อเข้าหนัง ไม่ได้เเทรกเข้าที่อื่นเลย ปิดช่องเข้าเสียซิ ถ้าเข้าหูก็อุดหู เข้าตาก็อุดตา เข้าปากก็อุดปากงับมันเสีย เข้าจมูกก็อุดมันเสีย ลิ้นก็ถูกปากงับไว้เเล้ว เพราะประตูเหล่านี้ เเหละที่กิเลสผีร้ายเข้าสิงใจได้ ดังนั้นเหตุเกิดที่ใจ ก็ต้องดับเหตุที่ใจเช่นกัน ผีเปรตอะไรจะเข้ามาได้ละทีนี้
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (cont.)
    วิธีรักษา หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เป็นพระที่ทรงศีล เป็นพระที่ดีวิเศษธรรม มีจิตใจเมตตาเอื้อเฟื้อ ฉะนั้นใครก็ตามที่ถูกผีป่าเข้าสิง ท่านจะรักษาให้ด้วยดีเสมอมา การรักษาท่านมีวิธีการของท่านเเต่คงไม่พ้นหลักเมตตาเเละญานรู้เห็น หมายความว่า ก่อนทำการรักษา ท่านต้องกำหนดดูให้รู้เเจ้งว่า วิญญาณผีนั้น มีความสัมพันธ์กับคนป่วยหรือไม่อย่างไร เป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือเปล่า เเละดูถึงจุดประสงค์เเละวิบากกรรมเก่า
    1 เมื่อรู้ชัดเเล้ว ถ้าเเก้ไข้ได้ท่านจะเทศนาสั่งสอนดวงวิญญาณนั้นให้ละวางความพยาบาทเเละชี้ทางดีที่ควรให้ พร้อมทั้งเเผ่เมตตาด้วยกุศลเเห่งธรรม
    2 พื้นฐานจะให้วิญญาณหรือผี เชื่อได้นั้น ต้องเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ด้วยศีลเเละความดีงามอันมีอยู่ใน กาย วาจา ใจ ถ้าดีจริง มีศีลบริสุทธิ์จริง วิญญาณย่อมรู้เเละเชื่อฟังโดยดี
    3 อัปมาดังบุรุษสองคน มีเหตุวิวาทบาดหมางกัน เมื่อบุคคลมาห้ามปราม บุคคลนั้นจะเป็นที่เคารพเชื่อถือของบุรุษ ทั้งสองฝ่าย จะต้องเป็นบุคคลดี มีศีล มีธรรม น่านิยมเลื่อมใส จึงจะยุติได้เพราะเชื่อฟังด้วยผลของความดี
    หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เเห่งวัดบ้านค่าย ก็เช่นกัน ท่านเป็นพระภิกษุที่ทรงไว้ด้วยศีลาจารวัตร ไม่มีความด่างพร้อยอันใด การที่จะเอาผีร้ายออกจากจิตใจของคนป่วยนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องใช้กำลังหรือการบังคับขับไล่ด้วยเวทมนต์ เพียงเเต่อาศัยอำนาจความดีจริง มีพรหมวิหารธรรม เข้าต่อรองเท่านั้น ผีจะอนุโมทนาเข้าป่าหายไป (ป่ากิเลส)
    น้ำมนต์ดอกบัวบาน
    น้ำพระพุทธมนต์ที่ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้กระทำพิธีขึ้นนี้ เเม้ได้ยินชื่อก็ศรัทธาเสียเเล้วคือ พระเจ้า 5 พระองค์ หรือน้ำมนต์ดอกบัวบาน
    การที่หลวงพ่อวงศ์ ระยอง จะสร้างน้ำพระพุทธมนต์วิเศษนั้น มิใช่ว่าทำได้ทุกวันเหมือนอย่างสำนักต่างๆ เช่นในปัจจุบัน ที่เขาทำกัน เเล้วกรองใส่ขวดขายขวดละ 20-30 บาทนะ ท่านไม่เอาหรอกน้ำมนต์ของท่านนั้น ในช่วง 1 ปี ท่านจะทำเพียงครั้งเดียว คือวันบูชาครู เเละอุปัชฌาย์ อาจารย์ผู้ให้กำเนิด คือ
    1 ครู ก็หมายถึง องค์พระศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้า (องค์สมณโคดมเจ้า)
    2 พระอุปัชฌาย์ หมายถึง ครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์สั่งสอนอบรมให้เกิดศีล ให้เกิดธรรม
    3 พระพรหมของบุตร คือ บิดาเเละมารดาผู้ให้กำเนิดซึ่งมือสอง ขาสอง ศรีษะหนึ่ง เป็นต้น เมื่อวันอันเป็นสิริมงคลมาถึง ท่านก็จะกระทำน้ำพระพุทธมนต์ เอาน้ำใส่โอ่งมังกร พร้อมทั้งนำเทียนไขมา เเล้วบริกรรมภาวนาจนจิตสงบเป็นสมาธิ ความอัศจรรย์นั้นคือน้ำตาเทียนที่หยดลงมานั้นจะเเตกเป็น 5 กลีบ มีลักษณะคล้ายดอกบัวบาน โดยในเเต่ละหยดของน้ำตาเทียนจะมีลักษณะเหมือนกันหมด มองดูเหมือนดอกบัวบานชูช่อ กลางสระน้ำฉันนั้น
    สรรพคุณ น้ำพระพุทธมนต์ชนิดนี้ ดีเด่นหลายประการ
    1 รดหรือ อาบ หรือ ประพรม ให้คนป่วยเป็นบ้าวิกลจริตเพ้อคลั่งจนดุร้าย หายดีนักเเล
    2 คนถูกภูตผีปีศาจ อาละวาดสิงสู่ หรือพื้นที่เเผ่นดินเกิดอาอรรพถ์ พี่น้องคดโกงประสงค์ร้ายกัน ให้ใช้ประพรม อบรมด้วยอธิฐานจิตใช้ได้ดีนักเเล
    3 ชายชาตรี สตรีองอาจ ให้อาบ รด ประพรม ให้อยู่คงกระพันเเคล้วคลาดปราดเปรื่องเรือง ปัญญาดีนักเเล หรือจะหลบ จะลี้ จะหลีก จะเลี่ยง ล้วนใช้ประโยชน์ได้ดีนักเเล
    มหาประสาน หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ท่านมีมนต์ขลังอยู่บทหนึ่ง ซึ่งสามารถเเปลออกมาเป็นวิชามหาประสาน สมัยที่หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ยังมีชีวิตอยู่นั้น เเม้ว่าใครก็ตาม มีความประสงค์จะให้ท่านลงนะ โดยการเเผ่เมตตาจิตลงยังธูปหอม เเล้วนำกลับไปบูชาพระพุทธรูปที่บ้าน หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง จะทำให้ด้วยความยินดี วิธีของท่านคือ นำธูปทั้งซองมาถวายท่าน ท่านรับเอาไปเเล้ว ก็เขียนตัว นะ เป็นภาษาขอม จากนั้นท่านก็ตบเบาๆ ปรากฏว่าภายในซองที่บรรจุธูปทุกดอกจะติดเป็นอักขระ นะ ทุกดอก ตอนนี้เเหละเป็นช่วงสำคัญ หลังจากจุดธูปบูชาพระเเล้ว ขี้นั้นเองเป็นยาวิเศษมหาประสานใครเป็นเเผลก็เอาขี้ธูปมาปิดบาดเเผลจะหายวันหายคืน ถ้าใครถูกมีดบาด เลือดไหลไม่หยุด ก็เอาขี้ธูปทาตรงบาดเเผลเข้าเลือดจะหยุดไหลทันที บุรุษใดหลงทาง เกิดโดนคมเเฝกของหนุ่มบ้านอื่นกลับมาชนิดชอกช้ำดำเขียวมาละก็ไม่ยากอะไรเลยเเค่เอาน้ำพระพุทธมนต์ของท่านเเละขี้ธูปนั่นเเหละผสมเข้ากันเเล้วก็ทาถูๆ เเก้ชอกช้ำได้ดีนักเเล
    ปีตกสิณ ความสามารถของ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง นั้น นับได้ว่าน่าทึ่ง น่าเลื่อมใสศรัทธา โดยเฉพาะหลวงพ่อวงศ์ ระยอง ท่านมีความสามารถยิ่งรูปหนึ่งในวงการพระสงฆ์ไทย ความชำนาญของหลวงพ่อวงศ์ ระยอง เท่าที่ศึกษามาทั้งหมด ดูเหมือนว่าท่านกระทำได้ทุกอย่าง เเละมีความชำนาญเสียด้วย ปีตกสิณ คือ การเพ่งสีเหลือง เเล้วอธิฐานจิตให้กลายสภาพเป็นอย่างอื่นนี้ ในประวัติของท่านได้กล่าวไว้ว่า คราวใดถ้ามีพระสหธรรมิก ผู้สนิทชื่นชอบกันเดินทางมาเยี่ยมเยือน หรือมาเพื่อเเลกเปลี่ยนวิชาความรู้กันนั้น หลวงพ่อวงศ์ ระยอง มักจะทำอะไรพิเศษๆให้ดู เเละโอกาสนี้บรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ปรนนิบัติก็พลอยเป็นบุญตาไปด้วย ดังคราวนี้ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ท่านได้หยิบใบพลูสดๆ สีเขียวมาจากเชี่ยนหมาก เเล้วก็วางไว้บน ขวามือ มืออีกข้างหนึ่งมาประกบไว้ ปากก็บริกรรมคาถา มือท่านก็ถูใบพลูไปมา ครู่เดียวเท่านั้นความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น คือใบพลูที่สีเขียวสดนั้นบัดนี้ได้กลายเป็นสีทองเหลืองอร่ามไปเสียเเล้ว ท่านส่งไปให้พระสหธรรมิกชม ส่งไปดูกันรอบๆ กลับมาถึง ท่านเเล้ว ท่านได้โยนลงกระโถนพร้อมพูดว่า นี่มันเป็นของไม่จริง เราสร้างขึ้นเอง อำนาจของปีตกสิณ สามารถกระทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ใจปราถนา นอกจากนี้บรรดาลูกศิษย์ทั้งพระเณรฆราวาส ก็ยังได้ดูของวิเศษหลายอย่างอีกด้วย เช่น หลวงพ่อวงศ์ท่านเอาผ้าเช็ดปาก เช็ดน้ำหมาก เพราะท่านฉันหมากพลู มาถือ บริกรรมชั่วครู่เดียวท่านก็โยนผ้าลงไป กลายเป็นตะขาบตัวเขื่อง คลานวนเวียนไปมา บางคราวท่านก็เอาผ้าอีกนั้นเเหละ เสกบริกรรมชั่วครู่เดียว กระต่ายสีขาววิ่งไปมาทั่วกุฏิของท่านเเละนี่คือความจริงที่หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ได้กระทำให้เกิดขึ้นมาเเล้วเเต่อดีต
    รู้มรณกาล มีเรื่องที่จะเล่าเเทรกไว้ในตอนนี้เกี่ยวกับ เรื่องมรณภาพของ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง คือ ก่อนมรณภาพดูหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ชรามาก เพราะเป็นผู้ที่บากบั่นทำการงานหนักมาเเต่อายุน้อย เเม้บวชเเล้วก็ทำงานในด้านพัฒนาวัด ทั้งเมื่อได้รับเเต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะเเขวงเเละพระอุปชฌาย์ ตลอดจนเมื่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ก็มีกิจนิมนต์ต่างๆ ทั้งในด้านบวชกุลบุตรซึ่งจะต้องเดินทางรอนเเรมไปในที่ต่างๆทั้งใกล้เเละไกล ประกอบกับการเดินทางในสมัยนั้นไม่มียานพาหนะที่จะอำนวยความสะดวกเช่นในปัจจุบันนี้ ต้องใช้เกวียนไปจึงเหน็ดเหนื่อยมาก ก่อนหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง จะมรณภาพไม่นาน ท่านจะพูดว่า ใบไม้เหลืองเเล้วก็ต้องร่วง ใบอ่อนก็ผลิเเตกขึ้นมาเเทน เป็นธรรมดาของโลก วันสองวันกูก็จะสบายเเล้ว มอบวัดให้คุณดิ่ง ครอง 2 วัดคือ วัดบ้านค่าย เเละ วัดไผ่ล้อม
    ดูหลวงพ่อวงศ์ ระยอง จะทราบมรณภาพของท่าน คือหลังจากได้ปรารถถึงความตายเเล้ว ท่านก็จัดการกับลูกศิษย์ของท่านชื่อ นายไหล ซึ่งมาอยู่วัดกับหลวงพ่อตั้งเเต่อายุ 5 ขวบ จนถึง 13 ขวบ โดยให้นายไหลไปอยู่กับหลวงพ่อทบ วัดกะบกขึ้นผึ้งเป็นการจัดการเรื่องของศิษย์ที่ท่านเป็นห่วงอยู่เป็นที่เรียบร้อย ในวันมรณภาพนั้น หลังจากฉันเช้าเเล้ว ท่านพูดพึมพำว่า ถึงเวลาเเล้วก็กลับไป เเล้วสั่งว่า ถ้าท่านมรภาพเวลาปลงศพให้ใส่เปลือกข่อยลงไปด้วย หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ถือพิมพ์ยา ไปกดพิมพ์เป็นลูกกลอน เมื่อกดพิมพ์ได้พอสมควรเเล้วก็มานั่งปั้นเป็นลูกกลอน ขณะที่ปั้นอยู่นั้นหลวงพ่อวงศ์ ระยอง นั่งตะเเคงมรณภาพด้วยอาการสงบ ตรงกับที่หลวงพ่อเคยปรารถไว้ทุกประการ ในการปลงศพของหลวงพ่อวงศ์ ระยอง นั้น เมื่อจุดไฟประชุมเพลิงปรากฎว่าจุดไฟไม่ติด ได้พยายามจุดกันหลายหนก็ไม่ติด จนนายไหลซึ่งเป็นศิษย์นึกถึงคำสั่งของหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ก่อนมรณภาพ จึงไปถากเปลือกข่อย มาสุมไฟจึงติดเเละประชุมเพลิงได้ ในขณะที่ไฟกำลังลุกอยู่นั้น บรรดาผู้ที่มาร่วมกันประชุมเพลิง ได้เห็นไก่ขาวบินจากทางทิศเหนือผ่านซุ้มประตู ข้ามเมรุ บินหายเข้าไปกุฏิหลวงพ่อ จากเหตุที่ไก่ขาวบินเข้าไปในกุฏิหลวงพ่อนั้นเป็นนิมิตทำนองบอกใบ้ไว้ว่า ถัดจากหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง จะมีอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษอีกท่านหนึ่งมาอยู่ที่วัดบ้านค่าย นั้นก็คือหลวงพ่อดิ่งนี่เอง ซึ่งเป็นศิษย์องค์เเรกที่หลวงพ่อวงศ์ ระยองอุปสมบทให้

    รวมสิริอายุของ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง หรือ ท่านพระครูวิจิตรธรรมานุวัติ เเห่งวัดบ้านค่าย ได้ 83 ปี รวมพรรษา 59 ปี
    หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ได้อำลาชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยลำเค็ญไปเเล้ว ฝากไว้เเต่ความดีมีอุปาระเเก่ญาติโยมได้ระลึกถึงอย่างไม่มีวันลืม

    ** อนุญาติให้ข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์ ทรูอมูเล็ต ดอทคอม สามารถ อ่าน คัดลอก ตัดแปลง ได้ตามที่ใจท่านต้องการ เพื่อความรู้และการศึกษา โดยไม่ต้องขออนุญาติ ข้อมูลทั้งหมดได้มาจากสื่อสาธารณะที่มีประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ ไม่ได้เสียเงินสักบาท และไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ให้คนเข้าเว็บเยอะ ๆ จะได้ขายของได้เยอะ ๆ มีโฆษณามาลงเยอะ ๆ และอีกอย่างหนึ่งเพราะว่าตายไปผมก็เอาไม่ได้ ถ้าหวงนักผมขอแนะนำว่าอย่านำมาลง ให้ปิดเว็บทิ้งไปเลยจะดีกว่าอย่าทำเลย
    :- http://www.trueamulet.com/profile/37_หลวงพ่อวงศ์-วัดบ้านค่าย
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย พระเกจิชื่อดังเมืองระยอง | Eager of Know

    Eager Of Know
    May 24, 2021
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    หลวงพ่อยืนยัน..จากแม่น้ำคงคามาถึงแม่น้ำโขง มีอุโมงค์ที่พญานาคใช้ลอดถึงกันได้// ปู่ดอน station

    ปู่ดอน station
    Nov 3, 2021
    หลวงพ่อกัสสปมุนี พระอริยสงฆ์แห่งวัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ได้เปิดเผยให้ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดฟังว่า ในชาติที่ท่านได้เกิดเป็นพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำคงคา ณ ประเทศอินเดียนั้น ท่านได้ว่ายน้ำลอดอุโมงค์มาเรื่อยๆจนมาถึงแม่นำ้โขงอันเป็นแม่น้ำซึ่งเป็นเขตกั้นระหว่างประเทศไทยและประเทศลาวได้ นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่ไทยและอินเดียสามารถเชื่อมถึงกันได้..
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    ๒๒๘ .ถ้ำยูง ปางยาง ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    Nov 2, 2021
    พระภิกษุหนุ่มจากเมืองไทยเดินทางไปช่วยเหลือเวมาณิกเปรตที่ถ้ำยูงเขตเวียงปางยางให้หลุดพ้นจากแรงกรรม


     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย พระอริยะผู้มีปฏิปทาดังไก่ป่า ซ่อนกายาดุจพญาช้างเผือก// ปู่ดอน station

    ปู่ดอน station
    Nov 7, 2021
    หลวงปู่วิไลย์ เขมืโย พระอริยสงฆ์ผู้เป็นศิษย์ทายาทธรรมขององค์หลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้ำกลองเพล ท่านเป็นพระผู้มีปฏิปทาเรียบง่าย สันโดษ ชอบซ่อนเร้นกายาตามป่าตามเขาตามถ้ำและเงื้อมผา ไม่ต้องการชื่อเสียงใดๆ

    หลวงตามหาบัวยกย่องท่านให้สานุศิษย์ฟังว่า.. “หลวงพ่อวิไลย์ ศิษย์หลวงปู่ขาว ท่านเหมือนช้างเผือกจริงๆ ท่านคือพระองค์สำคัญองค์หนึ่ง เป็นพระดี”
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    หลวงปู่วิไลย์-เขมิโย-วัดถ้ำพญาช้างเผือก-99-765x1024.jpg

    หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย วัดถ้ำพญาช้างเผือก ต.ห้วยยาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ
    ประวัติและปฏิปทา

    หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย
    หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย ท่านมีนามเดิมว่า วิไลย์ นามสกุล เตชะบุรมณ์ ถือกำเนิดเมื่อวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑ ปีระกา ตรงกับ วันศุกร์ที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๖ ณ บ้านดงบัง ต.ด่านช้าง อ.บัวใหญ่ (ปัจจุบันเป็น อ.ประทาย จ.นครราชสีมา)

    โยมบิดาชื่อ คุณพ่อสงค์ เตชะบุรมณ์ โยมมารดาชื่อ คุณแม่ทา เตชะบุรมณ์ มีพี่น้องร่วมบิดาและมารดาเดียวกันรวม ๙ คน เป็นผู้ชาย ๘ คน และผู้หญิง ๑ คน โดยหลวงปู่เป็นบุตรคนที่ ๕ และมีน้องต่างบิดา ๓ คน เป็นผู้หญิง ๑ คน (ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเล็ก) และผู้ชาย ๒ คน รวมจำนวนพี่น้องทั้งสิ้น ๑๒ คน
    หลวงปู่วิไลย์ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาลบ้านดงบัง จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ แล้วออกมาชวยเหลืองานของครอบครัว จนอายุได้ ๑๖ ปี จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ภายหลังท่านได้ลาสิกขากลับไปช่วยงานของครอบครัวอีก เมื่ออายุครบเกณฑ์ทหาร หลวงปู่ไปเป็นทหารเกณฑ์ ๒ ปี เมื่อปลดประจำการแล้วก็กลับมาประกอบอาชีพทำไร่ไถนาดังเดิม

    พ.ศ.๒๕๐๑ ขณะอายุได้ ๒๕ ปี หลวงปู่ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย อย่างไรก็ตาม ในช่วงก่อนเข้าพรรษาของปีเดียวกันนั้น ท่านได้แปรญัตติมาเป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกาย โดยประกอบพิธีอุปสมบทใหม่ เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ เวลา ๑๙.๑๐ น. ณ วัดศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมีพระวินัยสุนทรเมธี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาศรี ขันตยาคโม เป็นพระกรรมวาจารย์ พระมหาเขียน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “เขมิโย

    พรรษาที่ ๑ (พ.ศ.๒๕๐๑)
    พรรษาแรกนี้หลวงปู่วิไลย์ จำพรรษากับหลวงปู่บึ้ง ที่เสนาสนะป่าในละแวกบ้านที่อ.บัวใหญ่ เนื่องจากอยู่ใกล้กับโยมบิดา มารดา หลังจากออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ออกเดินทางเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ มาจนถึง จ.อุดรธานี และได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ขาว อนาลโย ณ วัดถ้ำกลองเพล ซึ่งหลวงปู่ขาวเพิ่งมาตั้งวัดถ้ำกลองเพล เป็นปีแรก

    พรรษาที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๐๒)
    จำพรรษาที่วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร กับหลวงปู่จันทา ถาวโร หลวงปู่ขาน ฐานวโร รวมพระเณรทั้งสิ้น ๗ รูป ตามความประสงค์ของหลวงปู่ขาว อนาลโย เนื่องจากหลวงปู่ขาวจำพรรษาที่นั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ และได้ย้ายมาตั้งวัดถ้ำกลองเพล เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๑ ทำให้วัดร้างไป ไม่มีพระอยู่จำพรรษา ชาวบ้านชุมพล จึงเดินทางมากราบเรียนขอพระจากหลวงปู่ขาวไปจำพรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วพระ เณรทั้งหมด ก็เดินทางกลับมาวัดถ้ำกลองเพล
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (cont.)
    พรรษาที่ ๓ – ๑๑ (พ.ศ.๒๕๐๓ – ๒๕๑๑)
    จำพรรษาที่วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี (ปัจจุบันเป็นอ.เมือง จ.หนองบัวลำภู) เพื่ออุปัฏฐากรับใช้ ศึกษาธรรม และปฏิบัติจิตภาวนากับหลวงปู่ขาว อนาลโย อย่างใกล้ชิดเป็นเวลา ๑๑ ปี ในระหว่างนั้น หลวงปู่วิไลย์ มีโอกาสได้พบและฟังธรรมะจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายองค์ ที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนหลวงปู่ขาว อาทิ หลวงปู่หลุย จันทสาโร และหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นต้น นอกจากนี้ หลวงปู่มีโอกาสเดินทางไปตามสถานที่ตางๆ ด้วย อาทิเช่น พ.ศ.๒๕๐๓ หลวงปู่เดินทางเข้ากรุงเทพฯโดยพักที่วัดพระศรีมหาธาตุ และได้พบกับพระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่เมตตาหลวง) ซึ่งเคยอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพลเช่นกัน จากนั้นได้ไปวัดอโศการาม โดยขนะนั้นท่านพ่อลี ธัมมธโร ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเดินทางต่อไปจังหวัดจันทบุรี และพักอยู่ที่วัดเนินเขาแก้วกับหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ในระหว่างนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จมาบำเพ็ญพระกุศลที่วัดแห่งนี้ด้วย เนื่องจากอยู่ใกล้กับวังสวนบ้านแก้วของพระองค์


    พ.ศ.๒๕๐๘ หลวงปู่เที่ยววิเวกไปทางจังหวัดอุดรธานี และ สกลนครโดยได้กราบนมัสการหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าอุดมสมพร และพักอยู่ที่นั้นประมาณ ๑๕ วัน จากนั้นได้ไปที่วัดป่าบ้านหนองผือ ซึ่งเป็นวัดเก่าของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


    ก่อนเข้าพรรษา พ.ศ.๒๕๑๒ หลวงปู่กราบลาหลวงปู่ขาว เดินทางออกจากวัดถ้ำกลองเพล โดยตั้งใจจะไปออกหาประสบกาณ์ที่แตกต่างออกไป อย่างไรก็ตาม แม้หลวงปู่จะไม่ได้จำพรรษาที่วัดถ้ำกลองเพลอีกเลย แต่ก็ได้มากราบนมัสการ และศึกษาธรรมะจากหลวงปู่ขาวอย่างสม่ำเสมอ หลวงปู่วิไลย์ ท่านออกธุดงค์รอนแรมอยู่ตามป่าเขาแลเงื้อมถ้ำเพียงลำพังจนมาปักหลักอยู่ที่วัดถ้ำพญาช้างเผือกตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๘ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๕๖๐


    -เขมิโย-วัดถ้ำพญาช้างเผือก-00.jpg
    หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย

    ประวัติหลวงปู่วิไลย์ เขมิโย องค์ท่านบันทึกด้วยลายมือ


    ขอกราบนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม และคุณพระสงฆ์ (เกล้า) ขอโอกาสจากประวัติความเป็นมาของชีวิตพอคร่าวๆ จำได้และจำไม่ได้บ้างเป็นของธรรมดา ไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะจำได้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด ถ้ามีคนจำได้ไปให้อาตมากราบแทบเท้าด้วย
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (cont.)
    ประวัติของพ่อแม่นั้น ท่านเป็นคนมีถิ่นฐานอยู่อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันแยกออกเป็นอำเภอประทาย พ่ออยู่บ้านหนองค่าย แม่อยู่บ้านทุ่งมน ตำบลดูเหมือนจะเป็นตลาดไซอะไรจำไม่ได้ตะวันออกอำเภอประทายใกล้ๆ บ้านตลาดไซแถวนั้นนั่นแหละ อาตมาเกิดอยู่บ้านแม่นั้นแหละ ครอบครัวได้ถูกย้ายไปย้ายมา เหมือนพระกรรมฐานนี้แหละ พ่อตายจากไปตั้งแต่อาตมาอายุประมาณ ๓-๔ ขวบ สมัยก่อนนุ่งผ้าบ้างไม่นุ่งผ้าบ้าง จำได้ว่าพ่อตายด้วยโรคเพชร หมอแผนปัจจุบันเขาก็จะว่าโรคบาดทะยักอะไรทำนองนั้นแหละ พี่ชายไม่มีใครจำได้ ส่วนอาตมาหัวดีหน่อยก็เลยจำได้ เดี๋ยวนี้หัวดีก็เลยล้านไปเลย พอพ่อตายแล้ว ญาติพี่น้องก็ไปรับไม่อยู่บ้านหนองขามเตี้ย ซึ่งใกล้ๆหมู่บ้านดงบัง บ้านห้วยค้อ บ้านหญ้าคา บ้านห้วยยาง บ้านสาครก บ้านเก่างิ้ว บ้านหญ้าปล้อง เข้าสี่แยกโคกสี(เกล็ดลิ้น) แต่ก่อนขึ้นตำบลด่านช้าง ปัจจุบันแยกเป็นตำบลห้วยยาง ได้มาเติบใหญ่อยู่ที่บ้านขามเตี้ย


    ต่อมาแม่ก็แต่งงานใหม่กับพ่อใหม่ที่อยู่บ้านดงบัง ตะวันตกหมู่บ้านขามเตี้ยประมาณ ๒-๓ กิโล ก็เลยได้ย้ายไปอยู่กับพ่อใหม่ที่บ้านดงบัง หมู่ที่ ๑๑ เหลือเท่าไหร่จำไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่บ้าน อยู่วัด ตำบลห้วยยาง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นที่อยู่ปัจจุบัน พ่อกับแม่ของอาตมามีผลผลิตถึง ๑๒ คนเลยทีเดียว พี่ชาย ๔ คน อาตมาเป็นคนที่ ๕ คนที่ ๖ น้องสาวมีชีวิตอยู่บ้านดงบัง คนที่ ๗ ๘ ๙ เป็นผู้ชาย คนที่ ๑๐ เป็นผู้หญิงตายตั้งแต่เด็ก คนที่ ๑๑ ชาย ๑๒ ชายรวมเป็นชาย ๑๐ คนหญิง ๒ คนหญิงเหลือ ๑ คนคนที่ ๒ ตายแต่เด็กๆ พ่อเก่ากับแม่ได้ผลผลิตแก้วคนแม่กับพ่อใหม่ได้หญิง ๑ คน ชาย ๒ คน


    ชีวิตความเป็นอยู่ต้องพูดถึงถ้าไม่พูดก็ไม่รู้เพราะไม่ใช่ปะละหารเขาว่า แต่บางหันก็ไม่รู้เหมือนกันแหละ ทั้งเป็นกำพร้าทั้งเป็นกัมพลอย มันไม่ใช่ “เป็นกำพร้าพ่อแม่ยังเบิด เป็นกัมพลอยลูกเมียมีพร้อม” บรรดาลูก ๑๒ คน อาตมารู้สึกว่าอาตมามีความทุกข์มากกว่าทุกคน ลำบากกว่าทุกคน จนเป็นเยื่อใยมาถึงทุกวันนี้แหละ อาตมาไม่เคยลืมมันเลย คิดถึงความทุกข์ที่พ่อแม่พาอยู่พากินหายากพาลำบากลำบน อาตมาเหมือนเอามากินกับข้าวทุกคำเลยทีเดียว สมน้ำหน้าตัวเอง อยากเกิดมาทำไม ขอให้ทุกข์ยิ่งๆ กว่านี้ด้วยเถอะ


    อาตมาออกบวชเป็นพระได้อยู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ เอาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไว้เบิ่งเกศเกศามาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๐๑ ซึ่งพ้นจากการเป็นทหารเกณฑ์มาแล้ว ๒ ปี เมื่ออายุ ๒๕ ปีเต็ม เขาว่าอายุอะไรนะ อายุย่างเข้าเบญจเพศ ว่าตามเขา เพราะบวชมาปีที่ ๑ ก็พรรษาอยู่ที่บ้าน เพราะออกพรรษาคิดอยากจะออกแสวงหาครูบาอาจารย์ ก็คิดดำริในใจว่าครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกว่าครูบาอาจารย์ที่อยู่ปัจจุบันจะมีไหมหนอ


    ในคืนคืนหนึ่งก็เลยฝัน ฝันว่าเราเป็นพระได้ไปเที่ยวๆ ไปๆ เดินทางไปทางทิศเหนือเขาเรียกว่าทิศอุดรเดินไปๆ ไปเจอวัดๆ หนึ่ง ในบริเวณวัดมองเข้าไปเห็นเป็นธาตุที่เขาใส่กระดูกอยู่ตามกำแพงวัด เราเดินเข้าประตูทางทิศเหนือไปเจอกุฏิหลังหนึ่งดูเป็นเชิงกุฏิคอนกรีตไม่ยกพื้น เพราะเข้าไปในกุฏิมองเห็นผ้าขาวนั่งอยู่ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นข้างบนเหมือนเราส่องไฟฉายขึ้นข้างบนสว่างเป็นช่อขึ้น ตาผ้าขาวเราเรียกว่าพ่อขาว พ่อขาวก็บอกว่าเสี่ยงทายดูวาสนา แต่เราไม่รู้ว่าวาสนาของใครที่เรามองเห็นนั้นสว่างไสวดี แล้วพวกเขาก็บอกว่าจะเสี่ยงดูวาสนาให้เรา แต่ปรากฏว่ามีแสงสว่างเหมือนกันแต่ไม่มากเหมือนอันก่อน แล้วก็รู้สึกตัวตื่นนอนขึ้น
    พ่ออยู่ต่อมาก็เดินทางขึ้นไปทางจังหวัดอุดรธานีนั่นแหละ เดินทางไปเรื่อยๆ ออกจากบ้านบัวใหญ่ไปพักเมืองพล บ้านแฮด บ้านไผ่ ถึงอุดรธานีประมาณเดือนอ้าย เดือนธันวาคม ปี พ.ศ.๒๕๐๑ ไปถึงวัดถ้ำกลองเพล แต่ก่อนขึ้นจังหวัดอุดรธานีเดี๋ยวนี้แยกเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งหลวงปู่ขาว อนาลโยอยู่ที่นั่น ซึ่งท่านก็พึ่งมาอยู่ใหม่ในปีนั้นเอง พุทธศักราช ๒๕๐๑ อาตมาก็บวชในปีนั้นเอง ตอนนั้นอายุหลวงปู่ขาวประมาณ ๖๐ กว่าๆ ไปถึงวัดถ้ำกลองเพลในหน้าหนาวชาวนาเก็บข้าวเสร็จใหม่ๆ ให้ท่านผู้อ่านคิดถึงคำฝันกับตอนมาถึงวัดถ้ำกลองเพลดูจะเป็นยังไง


    เพราะอาตมามาถึงวัดถ้ำกลองเพลแล้วก็เข้ามอบตัวกราบไหว้หลวงปู่ขาว อนาลโยด้วยความเคารพได้มอบกายถวายชีวิตในหลวงปู่ เป็นลูกศิษย์ลูกหาเป็นลูกเป็นเต้าของหลวงปู่ ฝึกหัดข้อวัตรปฏิบัติอุปัฏฐากด้วยหมู่ด้วยคณะเป็นเวลาหลายปี วิสัยหลวงปู่ขาว ท่านชอบสงบมาก ตอนเราเข้าไปอยู่ใหม่ๆ เวลานั่งฉันเป็นแถว ท่านนั่งอยู่ เวลาเราจะถามหรือพูดกันต้องกระซิบเบาๆ ไม่ให้มีเสียงต้องมีสติระวังตัวอยู่ทุกเมื่อ เวลาเราทำผิดเนื่องจาก “ฮื้อ” คำเดียวเท่านั้นแหละเหมือนเตือนให้เรามีสติ


    เราเคารพท่านมาก เรารักท่านมาก เราถือเหมือนพ่อของเราจริงๆ ท่านให้ความเมตตาให้ความสงสารให้ทุกสิ่งทุกอย่างในความรู้ในธรรมคำสอน จนท่านพูดว่า “ถ้ามรรคผลที่เราทำมาเอาให้ได้ เราก็จะเอาให้เจ้าทุกคนแหละ” เราถือท่านเสมือนพ่อ เราสงสัยดูอะไรในธรรมข้อไหนลึกตื้นอย่างไร ท่านยินดีตอบยินดีแนะนำตลอด ให้ความรู้ให้ความเห็น ให้อุบาย ให้การแก้ไข จิตใจของเราคิดอย่างไรปรุงแต่งอย่างไร แล้วนำไปเล่าให้ท่านฟัง เราไม่ต้องอายขายหน้ามันเลย มันคิดเข้าบ้านเรื่องของกิเลส ตัณหา ต้องทำแบบนั้น ต้องคิดแบบนั้น ต้องปฏิบัติแบบนั้น เราไม่ต้องอาย บางทีเรายกปัญหาขึ้นมาพูด แต่พูดไม่ให้มันถูก เรียกว่าพูดเป็นอุบาย เหมือนเราต้องการไข่มดแดง เราเอาไม้ไปแหย่แหย่ทั้งนั้นแหละ ไข่มดแดงก็จะร่วงลงมาให้เราได้กินเลย ฉันนั้นก็เหมือนกัน บางทีเราหวังจะแกล้งถามท่านให้ติด ท่านก็ไม่ติด ถามท่านหมดมรรคผลสวรรค์นิพพาน หลวงปู่ขาวเป็นคนโบราณหนังสือไม่ได้เรียน ท่านเขียนหนังสือไม่ได้ แต่อ่านออกท่านอ่านสวดได้หมด เราสู้ท่านไม่ได้ทุกอย่างเลย เรายอมท่านอย่างราบคาบเลย


    อาตมาอยู่กับหลวงปู่ตั้งแต่ปี ๒๕๐๑ ถึงปี ๒๕๑๒ อาตมาจึงออกจากท่านไป เป็นเวลาที่อยู่กับท่าน ๑๑ ปี คำพูดที่ท่านพูดเป็นคำดุ (ด่า) (อีตาอันนี้) มีคำเท่านี้ที่ว่าเรา คำอื่นไม่มี ท่านมีธรรมคือเมตตามากจึงรู้สึกเย็นอยู่ตลอดเวลา บางครั้งไปวิเวกจิตใจเดือดร้อน พอกลับมาหันหน้าเข้าหาวัดถ้ำกลองเพลเท่านั้น รู้สึกจิตใจเย็นวาบเลย ที่อยู่กับท่าน ได้ยินได้ฟัง ได้รู้จักครูบาอาจารย์หมู่พวกคณะมากมาย ทั้งท่านมรณภาพไปแล้วก็มาก ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มาก ก็เป็นอานิสงส์อีกอย่างหนึ่ง ดีกว่าที่เราไม่ได้อยู่กับครูบาอาจารย์เลย
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (cont.)
    วันหนึ่งเราเดินเพลินๆ ก็คิดขึ้นมาว่าครูบาอาจารย์และเพื่อนฝูงองค์นั้นไปอยู่วัดป่าบ้านนั้น รูปนี้ไปอยู่ภูนั้น รูปนั้นไปอยู่ถ้ำนั้นที่ภูนั้น ที่อยู่ภูนั้นหรือถ้ำนั้นมีศักดิ์ศรีกว่าสมฐานะกว่า มันบอกว่าฐานะศักดิ์ศรีของลูกศิษย์พระกรรมฐานจะต้องอยู่ภูหรืออยู่ถ้ำ อาตมาก็เลยอยู่ภูมาหลายภู อยู่ถ้ำมาหลายถ้ำ ปัจจุบันก็เลยมาตกค้างอยู่วัดถ้ำพญาช้างเผือก บ้านปากช่อง ตำบลห้วยยาง อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ จนถึงขณะนี้ หัวคิดอันนี้มันคิดขึ้นมาเองไม่มีใครแนะนำพร่ำสอน
    อาตมาได้ออกจากวัดถ้ำกลองเพลตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ พรรษา ๑๒ ก็ได้เที่ยววิเวกไปในที่ต่างๆ หลายแห่งหลายหนหลายภูหลายเขา ไม่อาจจะนำมาเขียนลงในที่นี้ได้ ปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ มาจำพรรษาอยู่เขตอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ๕-๖ ปี ไปอยู่ภูเก้า เขตอำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี ๕ ปี ไปอยู่วัดพระพุทธบาทภูพานคำ วัดพระใหญ่ เขื่อนอุบลรัตน์ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ๓ ปี อยู่จังหวัดเพชรบูรณ์ ๒ ครั้ง ครั้งละ ๑ พรรษา พรรษาสุดท้ายก็เลยมาอยู่ถ้ำพญาช้างเผือกนี่แหละในวันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


    ประวัติวัดถ้ำพญาช้างเผือก
    อาตมามาองค์เดียว ถ้าจะพูดเล่นๆ ก็ว่า พระเอก พระเอโก พระรูปเดียว อาตมามาอยู่เป็นพระเอกอยู่ในถ้ำนี้ถึง ๓ ตอนมาอยู่ใหม่ๆอยู่ในถ้ำ มีร้านอยู่ข้างในพอนอนได้สูงแค่เอว ปูด้วยไม้ไผ่ฟากที่สับเป็นแผ่นปูพื้นเก่าๆขึ้นราดำตึ๊ดตื๋อ ทั้งฝุ่นตั้งขี้เยี่ยวค้างคาวกลางวันจะไปที่พักต้องส่องไฟพักอยู่ ๒-๓ นาทีก็ค่อยๆ สว่างออกๆ ดีไหม อยู่ ๑๔ วัน ๑๔ คืน เสื่อจะปูนอนก็ไม่มี หมอนจะหนุนก็ไม่มี เอาผ้าอาบน้ำและผ้าอื่นๆ ปูนอน เอาห่อผ้าครองห่อผ้าไตรเป็นหมอน ของใช้อื่นไม่ต้องพูดถึง ๑๔ วัน ๑๔ คืน หาคนๆ หนึ่งมาเยี่ยมมาหามาถามว่าหลวงพ่อมาจากไหนอยู่ที่ไหนไปยังไงมายังไงไม่มีเลย ช่างดีจริงๆ เวลาออกบิณฑบาต ข้าวพอมีแต่กับไม่ค่อยมี จึงค่อยอดๆ อยากๆ วันไหนบังเอิญได้ปลาร้าบองเท่าหัวแม่มือ ให้โยมปิ้งไฟ เอามาฉันกับข้าวรู้สึกเอร็ดอร่อยมีรสชาติ มีชีวิตชีวาเสียเหลือเกิน ในชีวิตนี้ในชาตินี้จัดว่าเป็นอาหารทิพย์ได้เลย เพราะว่าความหิวของธาตุขันธ์


    ข้างถ้ำเป็นหน้าผามีต้นมะละกอขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง สูงประมาณยื่นมือถึง มีลูกๆ หนึ่งสุกเหลืองกลมๆ เท่าสองกำปั้น ไปยืนมองใจก็คิดว่าน่าจะหวานน่าจะอร่อย เหมือนเสือหิว จะเอามากินเองไม่ได้ผิดอาบัติของพระ ได้แต่มองอยู่เฉยๆสมน้ำหน้าตัวเองตามปกติมะละกอลูกกลมๆ ก้านไม่มีใบไม่มีถึงเราจะเอามากินมันก็ไม่หวานหรอก เราคิดว่ามันจะหวานเพราะความหิวของเรา พออยู่มาได้ ๑๔ วัน ๑๔ คืน ก็ตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไปดี ใจหนึ่งก็ว่าอยู่อย่างนั้นแหละสบายดี เยือกเย็นใจสบายใจ อีกใจหนึ่งก็บอกว่าจะอยู่อย่างไรอาหารการฉันก็เป็นอย่างนี้ ชาวบ้านญาติโยมก็เป็นอย่างนี้ ใจมันก็เกิดเถียงกัน ใจเย็นใจสบายก็บอกว่าอาหารญาติโยมช่างเขาเถอะ ใจหนึ่งก็ถามว่าเราจะทำอย่างไร ใจหนึ่งก็บอกว่าเราต้องพึ่งตัวเอง ใจหนึ่งมันก็ซักไซ้ว่าพึ่งตัวเองอย่างไร ใจหนึ่งมันก็มองไปถึงญาติโยมบ้านอื่นบ้านไกลบ้านที่เราเคยอยู่อาศัยที่ผ่านมาทุกที่ทุกแห่ง


    อาตมาเคยสร้างวัดมาหลายแห่ง ปฏิสังขรณ์ก่อสร้างตามวัดที่เคยอยู่มาเป็นอันมาก ด้วยเดชะผลการกระทำนั้นให้ผลตลอดมา อาทิ หมู่บ้านต่างๆ เช่น บ้านหนองพลอง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น บ้านสร้างเสี้ยน อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู บ้านกุดดู่ อำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลำภู ตลาดเขื่อนอุบลรัตน์ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ตลาดเช้าอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น และอื่นๆ ทั่วไป ที่มีความเคารพนับถือ ได้ข่าวว่าอาตมาไปอยู่ที่ใด เขาจะตามไปดูไปสืบไปหาว่าอยู่อย่างไรกิน อย่างไรสุขทุกข์อย่างไร เขาจะห่วงใยอยู่ตลอด อาตมาก็ชื่นใจปลื้มใจมีกำลังใจ และขอบคุณในน้ำใจอันดีอันประเสริฐไว้ ณ ที่นี้ด้วย


    อาตมามองเห็นผลดังที่กล่าวมานี้แหละ จึงได้บอกใจตัวเองตกลงใจตัวเองว่าพึ่งตัวเอง ก็หมายความว่าเราจะต้องบอกแก่ญาติโยมของเรา จะได้มาช่วยมาช่วย ก็เป็นไปตามความคาดหมายทุกประการตลอดถึงทุกวันนี้ ส่วนความคิดที่มันบอกว่าอยู่ที่นี่สบายดีแล้ว หมายถึงใจมีความสุขสงบ ทุกข์กายแต่สุขใจมีกำไรในชีวิต สุขกายทุกข์ใจขาดทุนชีวิต เข้าทำนองคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก อาตมาอยู่ในลักษณะพึ่งตัวเองเราสร้างอะไร เราจะทำอะไรขึ้นก็จะคิดว่าเราจะสร้างได้ไหมหนอ เราพร้อมหรือยัง เราจะเดือดร้อนไหม ไม่คิดอาศัยคนอื่น โดยไม่คิดว่าญาติโยมเขาจะมาช่วยเท่าไรแค่ไหนอย่างไร อย่างดีก็บอกเพราะเขาได้รู้ เขาจะช่วยมากน้อยแล้วแต่กำลัง ช่วยก็ช่วยไม่ช่วยก็แล้วไป ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเดือดร้อนทั้งสองฝ่ายนี่คืออานิสงส์พึ่งตนเอง


    อาตมาเราเป็นคนขี้เกรงใจ ไม่ถามก็จะไม่บอก ไม่ขออะไรแล้วแต่จะได้แล้วแต่จะให้ ให้ก็เอาไม่ให้ก็ไม่เอา มีก็กินไม่มีก็ไม่เป็นไร มันคิดสมมุติว่าเรายื่นซองผ้าป่าหรือกฐินให้เขาคนหนึ่งต่อหน้าเรา ถ้าเขาไม่รักก็ไม่งาม รับไปแล้วเขาไม่มีเงินไปเขาก็ทุกข์ใจ บางทีมีเงินที่จะใช้เฉพาะกิจ จะใส่ซองมันก็ขาด ก็ขาดอย่างนี้ก็ทุกข์ใจ เวลาไม่มีจริงๆ มันก็ยิ่งทุกข์ใหญ่ไปอีก อาตมาเกรงใจตรงนี้สมัยหนึ่งอาตมาไปอยู่บนภูเก้า ปัจจัยบาทเดียวก็ไม่มีคิดว่าถ้าเราเป็นไข้ปวดหัวจะเอาอะไรไปซื้อยาทันใจมากิน เวลามันไม่มีถึงจะจับขาขึ้นเขย่า มันไม่มีอะไรจะตกออกเลย ก็เลยปลงเอาแต่บุญแต่กรรม ใครทำก็ทำ ใครไม่ทำก็แล้วแต่ เราก็ไม่เดือดร้อน เขาก็ไม่เดือดร้อน
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    (cont.)
    อาตมาเกิดมาเป็นคนอาภัพวาสนา เกิดวันจันทร์ พุทธศักราช ๒๔๗๖ ปีระกาไก่ เดือนอ้าย อัฐมาดูตัวเองเหมือนไก่เถื่อน ไก่เถื่อนก็คือไก่ป่า ไก่ไม่มีเจ้าของ ไม่มีคนเลี้ยงดูอุปถัมภ์ค้ำชู มันเหมือนไก่ตื่นเช้ากระโดดลงจากที่นอนก็คุ้ยเขี่ยหาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตลอดทั้งวันจนขาจะขาด ค่ำมืดแล้วก็เข้านอน อาตมาก็มีความเป็นอยู่เช่นเดียวกันการกระทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของชีวิตคนมองเผินๆ ดูเหมือนว่าเป็นคนขยันแต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ทำด้วยความทุกข์ยาก ทำด้วยความจำเป็น ทำด้วยการบรรเทาทุกข์เท่านั้น


    บางครั้งก็มีผู้มาถามอยู่หลายครั้งหลายคนว่าท่านเป็นลูกศิษย์ของใคร เราไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไรดี ตอบได้แต่คำว่าอาตมาแต่ก่อนเคยอยู่กับหลวงปู่ขาว เราไม่อาจจะตอบว่าเป็นลูกศิษย์เพราะคิดว่า คำว่าศิษย์มันหมายความว่าอย่างไร เพราะเราเคารพนับถือท่านมาก ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากมายจนหาที่ตำหนิไม่ได้ ท่านขาวสะอาดจริงๆ ไม่ใช่ขาวแต่ชื่อ ท่านขาวกระทั่ง กาย วาจา ใจ อยู่กับคำว่า “เกลี้ยงทางใน ใส่ทั้งกระดูก เกลี้ยงทำข้าวปลูกทั้งข้าวปัดลาน ไม่ใช่เกลี้ยงแต่นอกทาง ในเป็นหมากเดื่อบี๋ เบิ่งแล้วแมงมีซ้อนอยู่ใน”


    ถ้าเราจะตอบว่าเราเป็นศิษย์ของท่าน เราทำได้อย่างท่านไหม ตรงนี้แหละเป็นสิ่งน่าละอายใจเป็นอย่างยิ่ง อาตมาไม่กล้าพูดว่าเป็นศิษย์อาจารย์มาเคยรู้เคยเห็น บางท่านบางคนบอกว่าฉันเป็นลูกศิษย์คนนั้นคนนี้ ลูกคนนั้นหลานคนนั้นมันเป็นศิษย์ ลูกหลานสมมติหรือเป็นจริงๆ เขานี่แหละควรคิดคำว่าลูกศิษย์ตถาคต พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใครก็ตาม เป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างมากๆ เลยทีเดียวอย่าให้เป็นผีแลกหน้าพร้าแลกคม มันจริงจะสมกับคำว่า “คนก็ให้เป็นคนแท้ๆ อย่าเป็นคนตั้งแต่ชื่อ คนให้ฮวดก้นหม้อเหนียวตุ้ยจริงแม่นคน” เอาไว้แค่นี้ก่อน


    จะย้อนกล่าวถึงการตั้งชื่อถ้ำ ถ้ามีชาวบ้านในเขตนั้นเขาเรียกว่าถ้ำเถ้า เวลาเราเดินไปในพื้นที่ถ้ำ ดินจะปุยขึ้นมาเหมือนเราเหยียบลงไปในขี้เถ้าไฟ สันนิษฐานว่าสมัยก่อนนายพรานไพรคงเคยมาพักอาศัยก่อไฟหุงข้าวทำกิน ย่างเนื้อหลายครั้งหลายหน ก็เลยมีขี้เถ้าเพิ่มมากขึ้น อาตมาตรวจตราดูหิน มองไปมองมาเห็นสภาพหินย้อย แต่ก่อนตรงนั้นจะเป็นช่องเป็นรู เวลาฝนตกน้ำจะไหลออกมาจากรูนั้นจนเป็นคราบหินปูนจับกันเป็นก้อน จนกลายเป็นเหมือนรูปช้างเผือกทั้งตัวอย่างเด่นชัด เป็นรูปหัวช้าง มีตา มีหู มีขาหน้าขาหลัง เป็นรูปสัตว์ช้างทั้งหมด ปัจจุบันอาตมาเอาพระประธานตั้งไว้ใต้ท้องช้างเวลาขึ้นไปบนถ้ำพระที่หนึ่ง มองเห็นพระประธานบอลคอกพระประธานนั้นและเป็นรูปช้างเผือกอาตมามองไปเห็นก่อนใครใครทั้งหมดก็คิดจะตั้งชื่อเท่าเสียใหม่ถ้าจะให้ชื่อเอราวัณก็จะไปทับถ้ำเอราวัณ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ถ้าจะตั้งชื่อถ้ำช้างเผือกเฉยๆ ก็ไม่ใหญ่ไม่สมศักดิ์ศรี ก็เลยเอาพยานำหน้าก็เลยได้ชื่อว่าวัดถ้ำพญาช้างเผือกตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้แลฯ


    ครั้งแรกอาตมามาอยู่ในถ้ำมีรูปเดียวอยู่ ๓ ปีเต็ม ทั้งแล้งทั้งฝน ฉันจังหันเสร็จก็ทำงานตลอดวัน อาตมาฉันคนเดียวเป็นวัตร ปรับพื้นที่ภายในพื้นขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ หารถน้ำมาขนดินขนหินอยู่คนเดียวตลอด ๓ ปี จึงดูพออยู่ได้ ในเวลาทำอยู่นั้นมีก้อนหินก้อนหนึ่งใหญ่ประมาณเท่าช้าง ๓ ตัว มันปิดบังแสงสว่างที่ส่องเข้ามาทางปากถ้ำ ทำให้มืดต้องพยายามจะเอาหินก้อนนั้นออก บังเอิญหินก้อนนั้นเป็นหินก้อนที่หล่นลงมาจากแถวนั้น เราคนเดียวก็กดเข้าไปได้ก้อนหินให้เป็นโพรงที่ตรงกลางก้อนหินพอก่อไฟได้ ปิดไฟแล้วก็ไปเที่ยวหาแบกฟืนไม้แห้งขนาดใหญ่พอแบบไหวมาใส่ เขาอยู่อย่างนั้นทั้งกลางวันกลางคืนอยู่สองสามวันทางจิตใจก็ลำบากหนักใจว่า ทำอย่างไรหนอฉันจะออกให้คิดแล้วลองเอาค้อน ๘ ปอนด์ไปทุบไปตีก้อนหิน ก้อนหินเมื่อถูกไฟเผามันก็ร้อน เราก็เอาค้อนไปตีด้วยความไม่มั่นใจเพราะมันก้อนใหญ่ที่อยู่อย่างนั้นแหละเหมือนกลับไปจั๊กจี้ช้าง ตุ๊บๆ ตุ๊บๆ ตุ๊บๆ เหมือนกับมีอภินิหารหรือมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาช่วย ถ้าคนธรรมดาก็จะว่ามีเทวดามาช่วย อาตมาไม่ใช่คนธรรมดาอาตมาเป็นพระ แล้วก็มองไม่เห็นเทวดาด้วย ก้อนหินก้อนใหญ่นั้นแตกแบ่งออกกึ่งกลางก้อนเลยน่าอัศจรรย์จริงๆ น่าอัศจรรย์ใจ เข้าสารในโอเงยคอตอดไก่ รู้สึกดีใจอยู่คนเดียว แล้วก็มาขุดโพรงเผาก้อนที่แตกออกอีกเผาอีก เอาค้อนปอนด์ตีอีกแตกอีกอัศจรรย์อีก ทำไปเรื่อยๆ จนก้อนหินก้อนนั้นหมดไม่มีเหลือ ขนใส่รถน้ำนำมาทำเขื่อน กั้นดินบ้าง กั้นเขื่อนกั้นถนนบ้าง แสงสว่างก็ส่องได้ตลอดถ้ำ


    ถ้าเราเปรียบเทียบกับธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว ก็คงจะอยู่ในหมวดการทำความเพียรที่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นเข้ากับคำว่า ฝนทั่งให้เป็นเข็ม จริงไหมท่าน อาตมาชอบเป็นคนจัญไรตีนจัญไรมือ ก่อปูนเองฉาบปูนเอง จะไปจ้างเขาค่าจ้างก็ไม่มี มีก็เล็กๆ น้อยๆ พอเป็นค่าอุปการะเท่านั้น ใจมันบอกว่าช่างมันเอาอะไรทำ เอามือทำ เรามีมือไหม มันเลยเกิดมาเป็นคนจัญไรไม่ได้อยู่เป็นสุข บางครั้งทำงาน ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่มก็มี อัปรีย์มาก พอครบ ๓ ปีก็พอดูได้พออยู่ได้ ก็เลยหยุดทำความเพียรอย่างตั้งใจจริงๆ ปูนซีเมนต์เหลือค้างอยู่ ๑ ถุง ถ้าทำงานก็ประมาณ ๒-๓ วันก็หมด ไม่ทำ หยุดแต่วันนั้นเป็นเวลา ๒ ปีเต็ม พอมีกำลังจิตกำลังใจแล้วก็กลับมาทำงานต่อไป ดูปูนถุงนั้นเหมือนก้อนหินมันแข็งก็ไม่ทิ้ง เอามาบดให้ละเอียดเหมือนเดิม ใช้ผสมกับปูนใหม่ใช้ได้เหมือนเดิม เริ่มสร้างภายนอกถ้ำ มีศาลา โรงครัว ที่พัก กุฏิ ห้องน้ำ เสริมมาเรื่อยๆ ภายในถ้ำขณะนี้จะทำให้เป็นอุโบสถ (โบสถ์) เพื่อเป็นที่ทำสังฆกรรมในพระพุทธศาสนาต่อไปเท่านานแสนนาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...