เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามคุณ Vir ข้อ 3

    เราไม่จำเป็นต้องห้ามความคิดหรอกค่ะ เพราะตามธรรมชาติแล้วเราห้ามมันไม่ได้ แม้จะหมดลมหายใจและร่างกายเนื้อหนังไปแล้ว จิตวิญญาณก็ยังคงมีความคิดต่อไปไม่มีวันหยุดหรือจบสิ้น

    หากแต่ว่าเราจะต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมความคิดด้วยสติสัมปชัญญะ ที่พระพุทธองค์กล่าวว่า จิตมนุษย์เหมือนดั่งน้ำย่อมไหลลงจากที่สูง ไปสู่ที่ต่ำถ้าไม่รู้จักประคอง หมายถึงการใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิคิดที่ปราศจากสติ ซึ่งมักเป็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณา แต่ใช้ความเชื่อที่ก่อให้เกิดอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกในแง่ลบ ที่มาบดบังปัญญา

    พระพุทธองค์มักเปรียบปัญญา กับ ที่สูง
    เปรียบอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ขาดสติหรือการไม่ใช้ปัญญากับที่ต่ำ

    ซึ่งทำให้ผู้ที่ตีความหมายตื้นๆมันเข้าใจว่า อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด เป็นสิ่งที่ต่ำช้า หากใครจะพัฒนาไปสู่ภาวะที่สูงขึ้นได้ต้องปราศจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ซึ่งไม่ใช่เช่นนั้น แต่ในทางตรงกันข้าม เราจะยังคงต้องมีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด แต่รู้จักใช้สติ ใช้ปัญญาเพื่อควบคุมให้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดเป็นไปในทิศทางที่สร้างสรรค์

    สุดยอดของปัญญา หรือที่สูงก็คือการใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ควบคุมด้วยสติสัมปชัญญะ เพื่อให้้เกิดการสร้างสรรค์ที่เป็นไปตามปรารถนา ในทิศทางที่เป็นคุณแก่ตนเองและผู้อื่น

    หากเราฝึกที่จะมีสติสัมปชัญญะที่คมชัดตามที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้ถ่ายทอดบทฝึกฝนให้เรามากมาย ทั้งยามตื่น ยามฝัน เราจะพบว่า การฝึกฝนทั้งหมด เป็นไปเพื่อให้เราตระหนักได้ทุกขณะจิตว่า อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราในขณะปัจจุบันนั้นๆ เป็นไปในทิศทางใด มันกำลังสร้างสรรค์ชีวิตของเราในแง่บวกหรือในแง่ลบ เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขผู้อื่นได้ก็จริง แต่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเองย่อมส่งผลกระทบและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อทุกคนที่อยู่รอบตัวเราเสมอ

    นอกจากเราจะไม่ต้องห้ามความคิดของเราแล้ว การพัฒนาให้ตนเองมีความคิดในทางสร้างสรรค์ยิ่งๆขึ้นไป เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สติสัมปชัญญะของเราขยายตััว หรือเรียกได้ว่าได้รับการพัฒนา หากหยุดคิด สติสัมปชัญญะที่จำเป็นจะต้องได้รับการฝึกฝนให้คมชัดเพื่อสามารถติดตามรู้เห็น ขัดเกลาและควบคุมมีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ก็พลอยต้องหยุดไปด้วยทำให้พัฒนาไม่ได้ ซึ่งตามธรรมชาติแล้วเราหยุดคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรามีทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้นคือ ฝึกฝนให้ตนเองมีสติสัมปชัญญะที่จะสามารถควบคุมความคิดให้เป็นไปตามความรู้ ซึ่งจะก่อให้เกิดอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดในทางสร้างสรรค์ หรือปล่อยให้ความคิดนั้นเป็นไปตามความเชื่อซึ่งมักจะก่อให้เกิดอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดในทางไม่สร้างสรรค์
    (rose)(rose)(rose)
     
  2. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามคุณ Vir ข้อ 4

    เอ่ยถึง topic สมองซีกขวา ไม่ต่างไปจากเปิดกล่อง chocolate ของชอบมาแบ่งกันทานเลยค่ะ
    พี่นักเขียนได้รวบรวมการฝึกสมองซึกขวา ในทิศทางต่างไว้ใน website ฝึกสมาธิ
    http://www.novaanalai.com/novaanalai/20124617-2B10-11DC-A09E-000D932ED860.html
    ซึ่งประกอบด้วย :
    ฝึกสมาธิด้วยการวาดภาพ http://www.novaanalai.com/novaanalai/Drawing.html
    ฝึกสมาธิด้วยการเล่นดนตรี http://www.novaanalai.com/novaanalai/Piano.html
    ฝึกสมาธิด้วยการศึกษาจากธรรมชาติ http://www.novaanalai.com/novaanalai/AB78CE4A-0FDB-11DC-8314-000D932ED860.html

    ตัวพี่นักเขียนเองไม่ใช่ศิลปินที่วาดภาพหรือเล่นดนตรีจริงจังมาก่อน แต่เมื่อมาฝึกสมาธิบนเบาะสมาธิตามแนวพุทธแล้ว พบว่าเป็นการฝึกที่ทำให้สมองซึกขวาทำงาน หรือ take over สมองซึกซ้าย เพราะสมองซึกขวาเป็นซึกที่รับรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณ ในขณะที่สมองซึกซ้ายรับรู้ด้วยการคิดตามเหตุตามผลและกฏเกณฑ์ต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้น

    ฝึกสมาธิด้วยการวาดภาพ
    พี่นักเขียนหันมาฝึกฝนการใช้สมองซึกขวาอย่างจริงจังด้วยการฝึกวาดภาพเหมือน เหตุที่เลือกวาดภาพเหมือนเพราะว่า แม้ว่าการวาดภาพใน style ใดๆก็ตามจะเป็นการใช้สมองซึกขวา แต่การวาดภาพเหมือนนั้นเป็นการฝึกที่พิเศษกว่า เพราะนอกจากจะทำให้สมองซึกขวาเป็นอิสระจากการควบคุมด้วยสมองซึกซ้ายแล้ว ยังทำให้เรียนรู้ที่จะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ตามความเป็นจริง เพราะการที่เราจะวาดภาพคนได้เหมือนหรือไม่นั้น Dr. Betty Edwards ซึ่งเป็นผู้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการวาดภาพเหมือนด้วยการใช้สมองซีกขวา (Drawing on The Right Side of The Brain) ค้นพบว่า เราวาดภาพเหมือนได้มากน้อยเพียงใด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามือของเรามีทักษะในการลากเส้นอย่างไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าเรามีทักษะในการมองเห็นอย่างไร หากมองเห็นได้อย่างไร-มือของเราก็จะวาดตามไปอย่างนั้น

    ซึ่งผลการวิจัยของ Dr.Edwards ได้ผ่านการทดลองมามากมาย ด้วยการเปิด course สอนวาดภาพด้วยสมองซึกขวา ผู้เข้าเรียนและทำการทดลองมีตั้งแต่อายุ 5 ขวบไปจนถึง 85 ปี ซึ่งพิสูจน์ได้ว่ากล้ามเนื้อมือและทักษะในการลากเส้นไม่ใช่ปัจจัยที่ควบคุมการวาดภาพให้เหมือนได้ แต่ปัจจัยที่แท้จริงคือการมองเห็น และรับรู้สิ่งที่มองเห็นด้วยสมองซึกขวา-ซึ่งเป็นซึกที่ปราศจากวิตกวิจารณ์ แต่รับรู้สิ่งต่างๆด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกโดยตรง ส่วนซีกซ้ายเต็มไปด้วยวิตกวิจารณ์ และรับรู้สิ่งต่างๆด้วยการพยายามใช้เหตุ-ผลไปตามความเชื่อส่วนบุคคล

    ผลลัพธ์ที่ปรากฏในภาพเหมือน จะสะท้อนให้เห็นว่า บุคคลผู้วาดภาพพัฒนาสมองซึกขวาและการรู้เห็นตามความเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใด ภาพเหมือนมากก็คือพัฒนาได้ดี ภาพยังเหมือนน้อย หรือไม่เหมือน ก็สะท้อนให้เห็นตรงๆว่า บุคคลนั้นๆยังมองดูภาพ(ตลอดจนสิ่งอื่นๆในชีวิต)ด้วยการใช้วิตกวิจารณ์ตามความเชื่อส่วนบุคคลมากน้อยเพียงใด พี่นักเขียนได้นำการวาดภาพด้วยสมองซีกขวา หรือฝึกสมาธิด้วยการวาดภาพมาใช้กับตนเอง และเปิด workshop บ้างเป็นครั้งคราวค่ะ
    ตามไปดูผลงานได้ที่ http://www.novaanalai.com/novaanalai/Portraits.html

    ฝึกสมาธิด้วยการเล่นดนตรี
    เป็นการฝึกส่วนตัว โดยใช้วิธีการคล้ายกันกับการวาดภาพ คือตนเองเรียนเปียโนมาด้วยการหัดอ่านโน๊ต-แล้วเล่นตามโน๊ตที่มองเห็น ซึ่งอ่านผิด-ก็เล่นผิด เมื่อมาฝึกวาดภาพด้วยสมองซึกขวาและวาดภาพเหมือนได้ดีขึ้นมาก จึงมีความคิดว่าน่าจะนำวิธีการเดียวกันมาใช้กับการเล่นดนตรีด้วย คือ เล่นด้วยหู แทนที่จะเล่นด้วยตาและนิ้วมือ แทนที่จะอ่านโน๊ต-ก็ใช้เปิดแผ่น CD ฟัง pro เล่นจนขึ้นใจ แล้วมาเปิดโน๊ตดูพอเป็น guideline จากนั้นก็เล่นตามไปตามความรู้สึก ได้ผลมากค่ะ ทำให้้เล่นเพลงที่โน๊ตยากๆได้เร็วโดยไม่ต้องเปิดโน็ต
    ตามไปฟัง piano ที่พี่นักเขียนเล่นได้ที่ http://www.novaanalai.com/novaanalai/Piano.html

    ฝึกสมาธิด้วยการศึกษาจากธรรมชาติ
    เป็นการฝึกส่วนตัวด้วยการถ่ายภาพ และเฝ้าดูความเป็นไปต่างๆในธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงของพืช สัตว์
    ทุกสิ่งที่เป็นไปในธรรมชาติสะท้อนให้เห็นความเป็นไปของจิตวิญญาณ ของโลกและจักรวาล ซึ่งเต็มไปด้วยความรักและการเกื้อกูลกันเสมอ

    นกบางชนิดเช่นนกกระจอก เมื่อมากินเมล็ดที่เราใส่ไว้ในภาชนะที่แขวนไว้กับต้นไม้ มันจะกินไปและตีปีกให้เมล็ดตกลงพื้นดินมากมายไปด้วย เพื่อให้กระต่ายที่นั่งแหงนหน้าคอยอยู่บนดินได้กินด้วย

    แม้บางครั้งเราอาจพบเห็นนกเหยี่ยวโฉบลงมากินแมลง หรือนกที่เล็กกว่า เราจะประหลาดใจที่เห็นว่า สัตว์ที่ตกเป็นเหยื่อแทบจะอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า เตรียมตัวถวายชีวิต บางตัวส่งเสียงร้องเพื่อให้ตัวอื่นๆบินหนีไป แล้วมันก็สะกดให้เหยี่ยวมากินมันเป็นอาหาร

    ตามไปเพลิดเพลินกับธรรมชาติได้ที่ http://www.novaanalai.com/novaanalai/AB78CE4A-0FDB-11DC-8314-000D932ED860.html

    ล่าสุดนี้ พี่นักเขียนกำลังมีกิจกรรมฝึกสมาธิด้วยการเต้นรำ (Ballroom) อยู่ค่ะ (พี่นักเขียนไม่ได้สอนเต้นรำนะคะ) กำลังเรียนไปพร้อมๆกันกับเพื่อนๆ
    ซึ่งก็เป็นกิจกรรมที่ต้องอาศัยสมองซึกขวาอีกเช่นกัน กิจกรรมที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นการฝึกสมาธินอกเบาะ และช่วยให้นักเรียนสมาธิ พัฒนาความรู้ความสามารถส่วนบุคคล และแสดงออกซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคนได้อย่างดีที่สุด ซึ่งกิจกรรมนี้ท้าทายมากกว่ากิจกรรมอื่นๆที่กล่าวมาข้างต้น เพราะกิจกรรมอื่นๆเป็นการฝึกที่เป็นส่วนตัว ผู้ฝึกจะสัมพันธ์อย่างมากก็กับผู้ชม ผู้ฟัง ซึ่ง passive

    แต่ Ballroom Dancing เป็นการฝึกที่ไม่เพียงแต่จะ Active แต่ว่า Interactive เพราะนอกจากจะต้องพัฒนาการเคลื่อนไหวอย่างมีสติหรือมีสมาธิด้วยตนเองเป็นการส่วนตนแล้ว ยังต้องสัมพันธ์กลมกลืนกับคู่เต้นของเราเอง และคู่อื่นๆบน Floor อีกด้วย เรียกได้ว่าหากฝึกไม่สำเร็จ ผลลัพธ์จะฟ้องได้มากกว่าภาพวาด ดนตรี หรือ ภาพถ่าย เพราะนอกจากจะเหยียบเท้าคู่เต้นแล้ว ยังมีการชน การกระแทก คู่เต้นอื่นๆบน Floor ผลลัพธ์ทางกายภาพที่ตามมาคือ เคล็ด ขัด ยอก ฟกช้ำดำเขียว เท้าพอง นักเรียนในห้องเรียนนี้มีทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่ 18-70 ปีค่ะ การฝึกสมาธิด้วยการเต้นรำนี้ เรียกได้ว่า เป็นการฝึกที่ใช้สมองซึกขวาอย่างเต็มภาพเลยก็ว่าได้ เพราะการสื่อสารระหว่างคู่เต้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการเคลื่อนไหวที่ต้องสัมพันธ์กันด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ที่เกิดจากการอยู่ร่วมกันในสภาพแวดล้อมของเสียงดนตรีและจังหวะเดียวกัน

    Ballroom Dance Floor ก็เสมือนสภาพแวดล้อมในชีวิตของคนเรา เราเคลื่อนไหวหรือใช้ชีวิตร่วมโลกกับคนหมู่มากได้หลายวิธีตามทางเลือกของเรา แต่วิธีที่สร้างสรรค์และให้คุณและสร้างความกลมกลืนสงบสุขที่สุด ก็คือการเคลื่อนไหวหรือใช้ชีวิตร่วมโลกกับคนหมู่มากด้วยการใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่เป็นหนึ่งเดียว และคล้องจองกับสภาพแวดล้อมอันเป็นธรรมชาติที่สุด

    มีหนังสือน่าสนใจเกี่ยวกับการวาดภาพด้วยสมองซึกขวา และที่รวบรวมการวิจัยเกี่ยวกับการทำสมาธิ-ผลกระทบทางชีววิทยาและกายภาพ ซึ่งเกี่ยวพันกับสมองและระบบอื่นๆในร่างกาย
    Drawing On The Right Side of The Brain by Dr. Betty Edwards
    The Mystical Mind : Probing The Biology of Religious Experience by Eugene d'Aquili and Andrew B. Newberg
    The Physical and Psychological Effects of Meditation by Michael Murphy & Steven Donovan

    (rose)(rose)(rose)(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2007
  3. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ตอบคำถามคุณ Vir ข้อ 5

    Black Hole เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลทางกายภาพ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของภาวะอันเป็นจินตภาพที่ฉายออกมาสู่โลกสามมิติอีกทีหนึ่ง แม้ว่าปรากฏการณ์ที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ เกี่ยวกับการถูกดูดหายเข้าไปของสสาร และการผุดออกมาของสสารจาก White Hole ก็เป็นภาพสะท้อนของภาวะอันเป็นจินตภาพไม่ต่างกัน ประตูสู่อีกมิติหนึ่งที่แท้จริง ปราศจากการเดินทาง ปราศจากกาลเวลา ปราศจากภาวะอันเป็นกายภาพ แต่มีภาวะเป็นจินตภาพ เรียกว่า จุดประสานมิติสมบูรณ์ ซึ่งเป็นจุดที่ตัดผ่านโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ

    จากหนังสืออมตะแห่งจิตวิญญาณ-ภาคต้น (บทที่ 4 จุดประสานมิติ กับ การก่อเกิดวัตถุธาตุด้วยจิตวิญญาณ หน้า 73) ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า
    จุดประสานมิติสมบูรณ์มีอยู่ทั้งหมด 4จุดด้วยกัน ซึ่งตัดผ่านโลกแห่งความเป็นจริงทุกโลก ตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เธอรู้จักกล่าวได้ว่า จุดประสานมิติเป็นต้นกำเนิดโบราณดั้งเดิมของพลังงานอันน่าอัศจรรย์ และเป็นต้นกำเนิดของจุดประสานมิติหลัก และ จุดประสานมิติรองอีกมากมายเหลือคณานับ

    จุดประสานมิติสมบูรณ์ทำหน้าที่เป็นช่องทางที่พลังงานหลั่งไหลไปสู่ระบบโลกแห่งความเป็นจริงทุกโลก และเป็นช่องทางล่องหนที่เชื่อมต่อโลกแห่งความเป็นจริงโลกหนึ่ง ไปสู่อีกโลกหนึ่ง

    จุดประสานมิติสมบูรณ์ ทำหน้าที่เป็นจุดแปลงหรือสับเปลี่ยนสัญญาณ ซึ่งเอื้ออำนวยให้พลังงานที่สร้างสรรค์หลั่งไหลไปสู่โลกหรือมิติหนึ่งๆได้อย่างต่อเนื่อง


    หากมนุษย์ค้นพบวิทยาการที่ทำให้เดินทางเข้า black hole ไปผุดออกที่ white hole ได้ สิ่งที่มนุษย์จะเผชิญคือ ไม่พบอะไรเลยในโลกอื่นๆ จักรวาลอื่นๆ มนุษย์จะพบแต่ความว่างเปล่า หรือความร้างของดาวนพเคราะห์อื่นๆหรือโลกอื่น ซึ่งดูเสมือนปราศจากสิ่งมีชีวิต เช่นเดียวกันกับที่มนุษย์ไปพบในดวงจันทร์และดาวอังคาร ความเป็นไปเหล่านี้เกิดจากการที่มนุษย์ คือจิตวิญญาณที่เป็นร่างกายเนื้อหนัง ที่อยู่ภายใต้เครื่องพรางของโลกอันเป็นกายภาพโลกนี้ และสามารถรู้เห็นภายใต้เครื่องพรางชนิดนี้เป็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า โลกทางกายภาพโลกอื่นๆ มีเครื่องพรางชนิดอื่่นๆที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นมนุษย์จะรับรู้โลกเหล่านั้นหรือมิติเหล่านั้นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าไม่ได้

    black hole หรือ white hole เป็นเพียงภาพสะท้อนของ จุดประสานมิติหลักของจักรวาล การเดินทางไปสู่มิติอื่นๆเป็นไปไม่ได้ด้วยการเดินทางทางกายภาพ เพราะด้วยภาวะอันเป็นกายภาพแล้วเราไม่อาจเอาชนะช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาได้ แต่การเดินทางไปสู่มิติอื่นๆเป็นไปได้ด้วยการก้าวล่วงผ่านจุดประสานมิติไป หรือก้าวข้ามช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาไปโดยสิ้นเชิง

    โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ไม่ได้อยู่ไกลโพ้น ไม่จำเป็นต้องเดินทางด้วยยานพาหนะทางกายภาพใดๆ โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติอยู่ในภาวะจิต ที่เดินทางไปถึงได้ด้วยการเดินทางภายในเท่านั้น ซึ่งหมายถึง การเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะ

    การเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่ภาวะอันเป็นจินตภาพ นำพาเราไปได้ไกลเพียงในระบบสุริยจักรวาลเท่านั้น และเป็นประสบการณ์ที่เมื่อไปแล้ว เราจะจดจำและถ่ายทอดได้ เพราะสามารถแปลงสภาวะเป็นข้อมูลที่เป็นกายภาพได้

    การเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่ภาวะอันเป็นจิตวิญญาณ นำพาเราไปได้ไกลนอกเหนือระบบสุริยจักรวาล และเป็นประสบการณ์ที่เมื่อไปแล้ว เราจะจดจำและถ่ายทอดไม่ได้ เพราะไม่สามารถแปลงสภาวะเป็นข้อมูลที่เป็นกายภาพได้
    (rose)(rose)(rose)(rose)(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2007
  4. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    Light Show - Life Show

    พวกเราไปดู video สนุกๆกันหน่อยคะ เป็น light show ความยาวประมาณ 4 นาที เพลงเพราะ (ระวังเสียงดังค่ะ)
    พี่นักเขียนเห็นว่า portray ตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ของเราได้ดีทีเดียว
    หากเราจะลองอุปมาอุปมัยรูปทรงที่กะพริบสว่างขึ้นมาแต่ละรูปทรงของแสงไฟว่า
    คือตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่จิตวิญญาณของเราเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่

    ชีวิตของแต่ละตัวตนเปรียบเสมือนท่วงทำนองของดนตรีทีคล้องจองกับการปรากฏของมัน
    บางช่วงที่ดนตรีสนุกครื้นเครง ตัวตนมากมายหลายตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้หลายเส้นทาง
    กำลังจดจ่อกับความสุข ความสนุกสนาน ความม่ังคั่ง ร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์อยู่

    บางช่วงที่ดนตรีเหงาหงอย เศร้าสร้อย
    หลายตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ก็กำลังจดจ่ออยู่กับความทุกข์
    ความยากไร้ ความเศร้า ความว้าเหว่ และร่างกายที่อ่อนแอ เจ็บป่วย

    ตัวตนหนึ่งๆ ไม่ได้กำลังรับกรรม หรือผลลัพธ์จากการกระทำของตัวตนอื่นๆ
    มันต่างก็กะพริบเกิด-ดับ สลับกันไปอย่างฉับพลัน และมันก็ส่งผลกระทบถึงกันหมด

    เมื่อตัวตนหนึ่งจดจ่อกับความคิดในแง่ลบ ความเชื่อในทางที่ผิด
    มีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ขุ่นมัว
    มันก็สร้างกระแสหรือท่วงทำนองแห่งความทุกข์ความเศร้าที่กระทบถึงตัวตนอื่นๆที่จดจ่อในทิศทางเดียวกัน
    ตัวตนเหล่านั้นมีพลัง แม้จะเป็นพลังลบ
    และเราก็นำมันมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของเรา หากการจดจ่อของเราคล้องจองกับมัน

    ในทางตรงกันข้ามหากเราจดจ่อในแง่บวก
    เราก็สร้างกระแสที่เสมือนการพลิกผันดนตรีให้ร่าเริง
    ที่ปลุกให้ตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆ
    พลิกผันอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดตามไปด้วย เกิดกระแสหนุนเนื่อง
    จนในที่สุดความเป็นไปได้บนเส้นทางเหล่านั้นก็มีพลังพอที่จะมาสู่ความเป็นจริง

    ชีวิตของตัวตนทุกตัวตนรวมกันบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันหลากหลายเป็นอนันต์ หรือหลาายชาติภพ รวมกันเป็นตัวตนรวม ภาพรวมทั้งหมดของการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิต จึงเปรียบเสมือนดนตรีที่สมบูรณ์ เมื่อมันบรรเลงเพลงแห่งชีวิตทุกรูปแบบที่เติมเติมช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตจนเต็มเปี่ยมแล้ว ดนตรีนี้ก็จบลง สิ่งที่จะดำเนินต่อไปในวงจรนอกเหนือชาติภพคือ คุณภาพอันเป็นอมตะ ที่ปรากฏในบุคลิกภาพอันลุ่มลึกของจิตวิญญาณซึ่งไม่มีวันสูญสลาย (rose)

    ไปชมกันเลยนะคะ
    เอา popcorn [​IMG]
    กับ pops ติดมือไปด้วย [​IMG]
    เลือกที่นั่งแถวหน้าเลยค่ะ มีเสียงเพลงดัง นะคะ
    ใครอยู่ที่ทำงาน อย่าลืมหรี่ Volume ก่อนใส่ headphone นะคะ
    http://www.youtube.com/watch?v=Y9wU2BhCc8k
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2007
  5. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พี่นักเขียนตอบการบ้านคุณ Mountain - โดย update ไว้ที่ http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=86527&page=101 รวมกับนายแบบสุดหล่อ และ นางแบบสุดสวยของห้องวิทย์ฯ

    ดีใจจังที่คุณ Mountain กลับมาสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่ยิ้มออกแล้ว ยิ้มบ่อยๆนะคะ จะได้ก้าวไปสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่หัวเราะดัวยิ่งกว่าเก่า ห้องวิทย์ฯขาดคุณเม้าไปหลายวัน เปลี่ยนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ตามกันไปหมดไม่รู้ตัวเลย

    พี่นักเขียนนำสารจากท่านอาจารย์อนาลัยมาถึงคุณเม้า และพวกเราทั้งหลายที่กำลังถูกเศรษฐกิจเล่นงานนะคะ

    ความสุข ความสำเร็จและความร่าเริงเบิกบานในชีวิตของเธอ ไม่ได้มาจากสิ่งที่อยู่ภายนอก และไม่ได้เป็นผลลัพธ์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ แต่มันเกิดจากเหตุการณ์ภายใน อันเป็นผลลัพธ์จากความเชื่อของเธอ

    จากอิสระแห่งความปรารถนา บทที่ 5 ความเชื่อส่วนบุคคล กับ โลกแห่งความเป็นจริง(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2007
  6. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    สวัสดีตอนเช้ากับอากาศสดชื่น ขอให้ทุกคนอารมณ์แจ่มใสทั้งวันนะจ๊ะ
    เอาเครื่องดื่ม ของว่างตอนเช้ามาฝาก แต่ของนกอ่ะต้องของหนักอย่างข้าวเท่านั้น 55
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    การนอนสมาธิ

    การนอนสมาธิที่พี่นักเขียนแนะนำไปนั้นเป็นศาสตร์ของโยคะซึ่งมีชื่อเรียกว่า โยคะนิทรา จุดต่างๆที่อยู่ในร่างกายที่อยู่ในเส้นทางของการจดจ่อในการนอนสมาธิ คือจุดที่ปรากฏในศาสตร์ของจักระ จะแตกต่างไปบ้างเพียงเล็กน้อย เช่นตำแหน่งจากปลายเท้าขึ้นมาจนถึงก้นกบ ก็เพียงเพราะท่าที่ปฏิบัตินั้นแตกต่างกัน เช่น ท่านั่งใช้จุดเริ่มต้นของการนำพลังเข้าสู่ร่างกายที่ฐานที่หนึ่ง คือก้นกบ แต่ท่านอนที่พี่นักเขียนใช้ปลายเท้าเป็นจุดเริ่มต้น เป็นต้น

    อาการชาของร่างกาย เกิดจากการหลับของร่างกาย ซึ่งเราไม่คุ้นเคยที่จะรู้เห็น เมื่อเรานอนสมาธิและกำหนดนับจากปลายเท้าขึ้นไปนั้น เราจะเรียกกระบวนการนี้ว่าการรับพลัง ตามธรรมชาติแล้ว-การนอนหลับทุกคืนตามปกติของเราก็คือการรับพลังจักรวาลอยู่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะในขณะที่เรานอนหลับ ภาวะต่างๆที่ขัดขวางการรับพลังจะถูกกำจัดไปโดยที่เราไม่รู้ตัว สิ่งที่ขวางกั้นการรับพลังในขณะที่เรากำลังตื่นอยู่ได้แก่ การตื่นตัวของประสาทสัมผัสทั้งห้า? ซึ่งก่อให้เกิดอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบ

    เมื่อร่างกายของเรานอนหลับ อย่างน้อยที่สุดเราก็ตัดเอาการตื่นตัวของประสาทสัมผัสทั้งห้าออกไปได้ตามธรรมชาติ ทำให้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบลดลง แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม ปัจจัยอื่นๆเท่าที่พี่นักเขียนทราบและได้ทดลองใช้เพื่อสนับสนุนการรับพลังธรรมชาติ มีหลายประการ? ซึ่งได้ให้รายละเอียดไว้ สำหรับการนอนสมาธิเพื่อฝึกฝัน ด้วยการมีสติอย่างคมชัดที่ http://www.novaanalai.com/novaanalai/dream_last.html

    เมื่อจิตเป็นสมาธิจนถึงระดับ ฌาน 4 เราจะละจากประสาทสัมผัสทั้งห้าได้เกือบหมด อาจเหลือแต่เพียงการได้ยินแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นการได้ยินในระดับที่แตกต่างไปจากระดับปกติ

    ตามธรรมชาติแล้วในขณะที่เรานอนหลับ หัวใจก็จะเต้นช้าลงกว่าปกติอยู่แล้ว เพราะมันไม่ต้องสูบฉีดโลหิตไปยังส่วนต่างๆของร่างกายมากเท่ายามตื่น ซึ่งร่างกายต้องเคลื่อนไหว ต้องย่อยอาหาร ฯลฯ เมื่อเรานอนหลับ เราไม่ได้รู้เห็นการเต้นของหัวใจที่เปลี่ยนแปลงไป และมันก็เปลี่่ยนจังหวะไปอย่างเป็นธรรมชาติ

    แต่เมื่อเราทำสมาธิ เรารู้เห็นการเปลี่ยนจังหวะที่เราไม่เคยรู้เห็นมาก่อน มันมักทำให้เรามีวิตกวิจารณ์ เพราะเรานำเอาภาวะที่หัวใจเปลี่ยนจังหวะไปเปรียบเทียบกับภาวะปกติ เมื่อเรารู้เห็นว่ามันเต้นช้าลงเรื่อยๆ เราก็คิดว่ามันอาจจะหยุดเต้น ซึ่งไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น แต่ความกลัวมักทำให้เราตกใจ ซึ่งส่งผลให้ร่างกายทำงานผิดจังหวะไปจากปกติ สิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับการผิดจังหวะที่เรารู้เห็นได้ทันทีก็คือการเต้นของหัวใจอีกเช่นกัน เพราะมันควบคุมร่างกายของเราทุกระบบ และการเปลี่ยนจังหวะอย่างกระทันหัน มักทำให้เรารู้สึกใจสั่น อึดอัดและรู้สึกไม่สบายยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการอื่นๆตามมาอีก เช่น หายใจไม่ออก หูอื้อ กล้ามเนื้อกระตุก เป็นต้น

    การนอนสมาธิตามหลักการที่พี่นักเขียนแนะนำไปนั้น เป็นการเหนี่ยวนำให้ร่างกายหลับ และในขณะเดียวกันการจดจ่อด้วยการนับทำให้จิตยังคงตื่นต่อไปได้ (ตราบใดที่เรายังนับได้ ไม่เผลอหลับไปเสียก่อน) หากคุณน้องขจรวรรณนับต่อจนถึงกลางอก จะรู้สึกอึดอัดเพราะการเปลี่ยนจังหวะการเต้นของหัวใจ และการเปลี่ยนจังหวะของลมหายใจด้วย หากรู้สึกอึดอัดมาก ให้นับผ่านช่วงอกเร็วขึ้นกว่าที่ผ่านมาแล้ว นับต่อไปจนถึงฐานคอและกลางหว่างคิ้ว แล้วค่อยย้อนกลับมาพิจารณาว่า อาการชาหรือการหลับของร่างกายว่าครอบคลุมไปถึงจุดใดแล้ว หากยังไม่ครอบคลุมไปถึงอก-คอและหว่างคิ้ว อย่างน้อยที่สุดความกลัวจะลดลงที่มองเห็นการผ่านของการกำหนดจิตของช่วงอก ซึ่งไม่ได้ทำให้หัวใจหยุดเต้นแต่ประการใด

    หากยังกลัวอยู่ก็ให้ย้อนกลับและนับผ่านช่วงอกซ้ำอีก แต่คราวนี้ให้ผ่านช้าลงกว่าครั้งแรก การฝึกเช่นนี้จะทำให้ความกลัวลดลงเรื่อยๆจนหายไปได้ และจะทำให้เราเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะนับผ่านหรือกำหนดจิตผ่านช่วงอกไปอีกกี่หน หัวใจมันก็ยังเต้นอยู่ แม้อาการชาจะยังไม่ครอบคลุม แต่ก็เป็นเสมือนการหยั่งดูภาวะที่ไม่คุ้นเคยก่อน เมื่อหยั่งดูบ่อยเข้า เกิดความคุ้นเคย ก็ให้นับชาลงเรื่อยๆ จนได้จังหวะเดียวกันกับที่นับผ่านจุดอื่นๆมาจนพบว่าร่างกายชา

    หากทำแล้วได้ผล นับขึ้นไปได้จนถึงหว่างคิ้ว จะรู้สึกเสมือนว่าเหลือแต่ศีรษะเท่านั้นที่ยังมีความรู้สึก ให้พิจารณาร่างกาย จะพบว่าอาการชาก็จะหายไปด้วย เสมือนไม่มีร่างกาย ไม่มีแขน ไม่มีขา ความวิตกวิจารณ์ว่าหัวใจจะหยุดเต้นก็จะหายไปโดยปริยาย เพราะเราจะหาหัวใจเต้นไม่พบ ลมหายใจก็หาไม่พบ เหลือแต่ความเบาสบายและความคิดเท่านั้น

    พี่นักเขียนเคยได้ยินผู้ที่ฝึกสมาธิกล่าวถึงการถอดจิตแล้วกลับมาไม่ได้บ้าง การฝึกจักระแล้วหัวใจหยุดเต้นบ้าง หรือการฝึกลมปรานแล้วหยุดหายใจบ้าง ทำให้ถึงความตายก่อนเวลาอันควร หากเราพิจารณาด้วยเหตุผลว่า การฝึกทั้งหลายเหล่านี้คือการฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัด และเราก็คงจะได้ยินมาไม่มากก็น้อยว่า ผู้ที่ฝึกสติสัมปชัญญะจนคมชัดแล้วนั้ันเช่นพระในลัทธิเซ็น สามารถเลือกที่จะตายในท่านั่งสมาธิ ในท่ายืนสมาธิ หรือในท่านอนสมาธิได้ บางรูปตายในท่าโยคะที่ใช้ศีรษะตั้งกับพื้นและปลายเท้าชี้ฟ้า

    พี่นักเขียนมีความเชื่อว่าการฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัด ย่อมไม่ทำให้ผู้ฝึกถึงแก่ความตายโดยไม่ได้เลือกที่จะตาย เพราะสติสัมปชัญญะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณ ยิ่งผู้ที่กลัวว่าอาจจะตายได้ในขณะที่ฝึก จิตวิญญาณของเขายิ่งจดจ่อกับภาวะทางกายภาพเป็นอันมาก เพราะไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่ภาวะอื่นๆ เช่นภาวะอันเป็นจินตภาพหรือภาวะอันเป็นจิตวิญญาณ จิตวิญญาณก็ย่อมมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นร่างกายเนื้อหนังต่อไปอย่างแน่นอน

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้เสมอๆว่า
    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด
    จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นเป็นภาวะนั้น


    การฝึกสมาธิไม่เคยให้ผลเสียหรือผลร้าย ไม่มีคำว่าทำผิดวิธีแล้วจะให้ผลเสียถึงชีวิต แต่ผลเสียที่เป็นไปได้ก็คือ ทำผิดวิธีแล้วมักจะไม่สามารถจดจ่อได้อย่างคมชัด หรือทำให้ไม่ก้าวหน้าเพราะไปติดอยู่กับภาวะหนึ่งๆ

    การนอนสมาธิที่พี่นักเขียนมักแนะนำให้พวกเราฝึกปฏิบัติให้ผลหลายประการคือ :
    1. เหนี่ยวนำไปสู่การฝันอย่างมีสติคมชัด
    2. เหนี่ยวนำให้ร่างกายและจิตใจอยู่สภาวะที่ไม่ขัดขวางพลังงาน ทำให้พลังงานหลั่งไหลผ่านร่างกาย ทำให้รักษาโรคได้อย่างเป็นธรรมชาติ
    3. เหนี่ยวนำไปสู่การเป็นฌานได้เร็วกว่าการนั่งสมาธิ เนื่องจากไม่ต้องพะวงกับการพยุงกล้ามเนื้อในท่านั่ง ทำให้ผ่อนคลายและละประสาทสัมผัสทั้งห้าได้เร็ว


    ประสบการณ์ที่จะเกิดขึ้นในการทำสมาธิมักดำเนินต่อไปในความฝัน หรือการหลับที่หลับแต่ร่างกาย-แต่จิตตื่น ทำให้รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสภายในหรือประสาทสัมผัสที่หก

    แต่พี่นักเขียนก็ขอแนะนำว่า ผู้ที่ไม่เคยฝึกสมาธิมาก่อน เมื่อนอนสมาธิเป็นแล้วก็ควรฝึกนั่งสมาธิด้วย เพราะการนั่งสมาธิจะทำให้เรารู้จักเหนี่ยวนำสติสัมปชัญญะไปสู่การจดจ่อได้ในยามตื่น ที่ร่างกายของเราตื่นตัวมากกว่าเวลานอน ทักษะที่ได้จากการนั่งสมาธิจะมีประโยชน์กับชีวิตประจำวัน ซึ่งเราตื่นตัวในขณะเดินทาง ทำหน้าที่การงาน แต่ก็มีทักษะที่จะจดจ่อได้อย่างคมชัดด้วย

    การพุ่งออกไปนั้น คุณน้องขจรวรรณควรพิจารณาว่า เราพุ่งออกไปทำไม เราไปด้วยการควบคุมของสติสัมปชัญญะ ด้วยความปรารถนาที่จะท่องเที่ยว เดินทางเพื่อแสวงหาประสบการณ์หรือเปล่า เป้าหมายของเราคืออะไร เมื่อจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะ จิตวิญญาณมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วกว่าแสง

    วิญญาณคือผู้รู้ และวิญญาณประสานกับจิตเสมอ ไม่เคยอยู่แยกจากกัน
    จิตวิญญาณพุ่งไปหรือเคลื่อนที่ไปได้ด้วยความนึกคิด
    สติ เป็นปัจจัยกำหนดทิศทาง
    อารมณ์เป็นพลังสำคัญที่ผลักดันให้จิตวิญญาณไปสู่จุดหมาย


    การป้องกันไม่ให้เกิดการพุ่งไปโดยที่เราตั้งตัวไม่ติด ทำได้ด้วยการกำหนดเป้าหมายหรือจุดหมายปลายทางด้วยความคิด หากปราศจากการกำหนด จิตวิญญาณก็จะเคลื่อนไหวไปอย่างสะเปะสะปะ ไปสู่จุดหมายที่เรานึกคิดโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้การรู้เห็นเป็นไปไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะรู้ ไม่ได้ตั้งใจจะเห็น ไม่ต่างไปจากการเดินทางด้วยยานพาหนะใดๆที่แล่นไปอย่างรวดเร็วเช่นรถไฟฟ้า เมื่อมันแล่นผ่านสถานที่ต่างๆไป เราก็ตามรู้ตามเห็นไม่ทัน ต่อเมื่อเราตั้งเป้าหมายว่า เราจะจับตาดูอะไร เช่น กำหนดว่าเมื่อมันผ่านสถานที่จำเพาะหนึ่งๆ เราจะสังเกตดูว่ามันเป็นอย่างไร เป็นต้น เราก็จะรู้ได้เห็นได้ เพราะเมื่อถึง เมื่อผ่าน ก็รู้ว่าถึงแล้ว ผ่านแล้ว

    ปรากฏการณ์ทางจิตเป็นสิ่งที่กำหนดรู้กำหนดเห็นได้เช่นกัน แม้ว่าเราจะไม่คุ้นเคยกับเส้นทางของมันเหมือนกับการคุ้นเส้นทางที่รถไฟฟ้าวิ่งผ่านเป็นประจำ แต่การกำหนดว่าจะขอรู้อะไร เห็นอะไร ศึกษาอะไร ก็จะนำพาให้จิตวิญญาณพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่จุดหมายได้อย่างฉับพลัน

    คุณน้องขจรวรรณควรพิจารณาว่า อาการปวดหูนั้น ปวดในความรู้สึกหรือปวดที่ร่างกายอันเป็นกายภาพจริงๆ หากปวดด้วยความรู้สึก ควรกำหนดจิตพิจารณาให้เราตระหนักได้ว่า ร่างกายของเรากำลังอยู่ในภาวะที่ปราศจากประสาทสัมผัสทั้งห้า กำหนดรู้ จะพบความรู้สึกปราศจากแขนขา ร่างกาย และอาการปวดทั้งหลายจะหายไป แม้ว่าปวดอยู่จริงทางกาย เราก็จะพบว่า สติสัมปชัญญะของเราแยกออกจากการเป็นผู้ปวดหู กลายเป็นผู้สังเกตเห็นหรือรู้การปวดหู ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้สามารถรักษาอาการทางร่างกายทั้งหลายได้

    การฝึกสมาธิทำให้ตายไม่ได้แน่นอน เพราะหากเป็นการฝึกที่เป็นอันตรายเช่นนั้น ต้องถึงกับเอาชีวิตไปแลกกับความไม่รู้ ก็คงไม่มีวันได้ไปถึงความรู้ มันก็ย่อมไม่ใช่หนทางสู่ปัญญา
    (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2007
  8. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ขอบคุณ อาจารย์อนาลัย ที่ทำให้รู้สึกว่า ได้กลับบ้าน เหมือนกำลังรอคอยใครสักคน หรืออะไรสักอย่างมานาน หลายครั้งไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว ขอบคุณอาจารย์ที่กลับมาตามสัญญา
     
  9. ฟิล์มนรกภูมิ

    ฟิล์มนรกภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +669
    คุณพี่นักเขียนคะ


    นู๋ได้ไปอ่านในลิงก์ของพี่แล้ว ที่ว่าอ่านหนังสือด้วยการหลับน่ะคะ
    คือนู๋เคยนั่งฟังเล็คเชอร์ของอาจารย์แล้วตั้งใจจะไม่หลับ แล้วก็รู้สึก
    มันวูบไป ได้ยินเสียงอาจารย์เบาๆ เกือบไมได้ยินเลย แล้วก็ตื่นขึ้น
    ทันทีที่อาจารย์เล็กเชอร์จบโดยไม่ต้องปลุก


    พอมาอ่านหนังสือเพิ่มเพราะรู้ตัวว่าเผลอหลับ ปรากฏว่ารู้สึกเหมือน
    มันอ่านมาแล้ว หรือรู้มาแล้วเสียอย่างนั้นละค่ะ? งง ค่ะ เป็นอะไรเนี่ย?
     
  10. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526
    อันสัมผัสแรกที่เกิด ผสานกับความประทับใจลุ่มลึก พร้อมกับมี สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ จิตเบาสบาย ไม่มีสิ่งกีดขวาง แบบไร้ขีดจำกัด และพรั่งพรูดว้ยจินตนาการหลากรูปแบบ ...อาจจะเป็นจุดเริ่มหา ความลุ่มลึก หรือตัวตนที่แท้จริงของเราได้ สิ่งที่ปรากฎคือความยิ่งใหญ่ ไม่จำกัด Memory ที่จะ Storage ข้อมูลมหาศาลจาก ทุกๆแหล่ง ไม่มี Over Load และ สุญหาย กลับก่อเกิดระดับมหาปัญญาที่ยิ่งใหญ่...และรายเรียงอย่างสมบรูณ์และสวยงามวิจิตรยิ่งนัก
     
  11. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    พี่นักเขียนคะ หลังจากที่ลองพิจารณารูปภาพตามที่พี่นักเขียนให้การบ้านมาแล้ว
    ทำให้ตัวเองเกิดความสับสนในบุคคลิกของตัวเองว่าสิ่งไหนที่เป็นเอกลักษณ์ของเราคะเนี่ย..

    ดูเหมือนว่าเป็นคนแก่กว่าวัย แต่ก็มีความเป็นเด็กกว่าวัย
    ดูเหมือนว่าเป็นคนร่าเริง แต่ก็เป็นคนเงียบขรึมในบางครั้ง
    ดูเหมือนว่าเป็นคนมีความมั่นใจในตนเอง แต่ก็แฝงไปด้วยความขี้อายเช่นกัน
    ดูเหมือนว่าเป็นคนกล้าหาญ แต่ก็แฝงไปด้วยความกลัว
    ดูเหมือนว่าเป็นคนซื่อ แต่บางครั้งก็มีความเจ้าเล่ห์อยู่ในตัว
    ดูเหมือนว่าเป็นคนมีเมตตา แต่บางครั้งก็ร้ายเหมือนกันแฮะ..
    โอ้ย.. กลุ้มจัง..
    (b-uh)
     
  12. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ดีแล้วค่ะน้องนก เมื่อครั้งที่พี่ไปฝึกสมาธิในแนววิปัสนากรรมฐานครั้งแรก จำได้ว่าหลวงพ่อสั่งห้ามผู้ที่เข้าฝึกสมาธิไม่ให้นำหนังสือธรรมะหรือหนังสือใด ๆ เข้าไปอ่านในช่วงที่ปฏิบัติธรรม ท่านให้เหตุผลว่าการฝึกสมาธิที่ดีเราจะต้องเริ่มจากการไม่รู้อะไรเลยแล้วปฏิบัติให้รู้ด้วยตัวเองเพราะไม่งั้นแล้วจะเป็นวิปัสนึก คือนึกคิดไปเองว่าจะเป็นอย่างโง้น อย่างงี้ แล้วจะไม่ได้ผล หากเราจะรับความรู้ใดก็รับรู้ด้วยประสาทภายในของเราเอง อย่างพี่ถึงแม้ว่าจะศึกษามาหลายทาง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะรับทุกอย่างมาทั้งหมดก็ต้องใช้สติสัมปชัญญะของเราพิจารณาก่อนว่าจะเชื่อสิ่งไหนดี ส่วนใหญ่แล้วถ้าพี่ไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเองก็จะฟังไว้เพื่อประดับความรู้ เหมือนเราดูละคร หรือดูหนังเอกชั่น บางสิ่งบางอย่างก็อาจจะไม่เป็นจริงตามนั้นก็ได้ค่ะ..
    (b-glass)
     
  13. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    สุดยอดของปัญญา คือการใช้อารมณ์ จินตนาการ และความรู้สึกนึกคิดที่ควบคุมด้วยสติสัมปะชัญญะ เพื่อให้เกิดความสร้างสรรค์ที่เป็นไปตามปรารถนา ในทิศทางที่เป็นคุณต่อตนเองและผู้อื่น
    ขอขอบคุณพี่นักเขียนเป็นพัน ๆ ครั้ง สำหรับคำตอบทุกคำตอบที่ตั้งใจมอบให้พวกเราชาวห้องวิทย์ค่ะ..
    [b-wai] [b-wai] [b-wai]
     
  14. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    นกก็เป็นเหมือนพี่ขจรวรรณมากๆเลยค่ะ บางทีรู้สึกว่าเรามีความขัดแย้งในตัวเอง เหมือนเป็นคน2บุคลิกที่ตรงกันข้ามมากๆ ซึ่งบางทีก็ยังอดงงกับตัวเองไม่ได้ หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่เคยรู้จักและได้มารู้จักเราจริงๆก็จะงงว่าไม่เห็นเหมือนที่เห็นเลย

    อย่างเป็นคนขี้โมโหฉุนเฉียวแต่จะไม่ชอบการทะเลาะกัน
    บางทีไม่กล้าแสดงออกแต่พอมีคนลากคนยุทีไรให้แสดงอะไรก็ทำ
    ชอบเล่นไพ่ กินเหล้า แต่ก็ชอบเข้าวัด ทำบุญ
    ไม่ชอบความวุ่นวายคนเยอะๆแต่เวลามีงานเลี้ยง งานสังสรรค์ไม่เคยพลาด

    นึกไปนึกมาก็แปลกตัวเองดีเหมือนกันนะเนี่ย พี่ขจรวรรณไม่ต้องกลุ้มไปหรอกจ้ามีนกช่วยงงเป็นเพื่อนด้วยอีกคน
     
  15. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765

    พี่meadช่วยไปตามมายด์ให้หน่อยสิ หายไปนานผิดปกติแล้วเนี่ย ไปซุ่มอ่านหนังสือหรือไปซุ่มจับใครกินตับก็ไม่รู้สิ อิอิ
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    สุดยอดแห่งปัญญา คือ อย่าไปพิจารณาอื่นไกล อย่าใช้จินตนาการ แต่ให้หันกลับมามอง วิถีชีวิตแบบเรียบง่าย ตามแบบมนุษย์ควรจะเป็น ให้หมั่นรู้ตัวว่าทำอะไร

    โนวา อนาลัย กำลังคิดเกินไป อันเป็นการใช้ สังขารในการปรุงแต่ง และจะไม่มีวันสิ้นสุด
    ธรรมะ คือ การย่นย่อ ปรากฎการณ์ต่างๆ ให้เหลือฟังกชันที่ง่ายที่สุดและสามารถ อธิบายได้ทุกอย่าง

    องค์ปัญญา คือ การมองปัจจุบันธรรม อย่างเดียว อย่าไปให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันเยิ่นเย้อ
     
  17. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ขอบคุณคุณขันธ์ครับ
    เรากำลังสนทนาเรื่องธรรมชาติของจิตครับ ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลยแต่มันลุ่มลึก แต่ก็มีหลายคนจะบอกว่าอ่านแล้วมักจำไม่ค่อยได้ เพราะสมองมนุษย์ไม่ค่อยชินเท่าไหร่เป็นนามธรรมไปหมด แต่เชื่อมั๊ยครับว่าพอเราไปเจอเรื่องยากๆที่ไม่เข้าใจน่ะกลับกลายเป็นว่าเราอ่านเร็วขึ้น เข้าใจง่ายขึ้นได้กว่าแต่ก่อนมาก สมองซีกขวาเริ่มชำนาญครับ แถมพกพาความเข้าใจไปถึงเรื่องมิติ ภพภูมิที่เรามักสงสัยกันอยู่บ่อยๆ ความรู้มีหลายรูปแบบให้เลือกหยิบมาอ่าน และมีความหลากหลายตามบุคลิกภาพของจิตวิญญาณนั้นๆครับ ว่างก็ขอเชิญคุณขันธ์มาพูดคุยด้วยกันนะครับ ห้องนี้สบายๆกันทุกคน ยินดีมากครับ

    (b-glass)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2007
  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    นั่นสินะ ป่านนี้น้องมายด์คงไปซุ่มกินตับคนออกข้อสอบแล้ว
    ให้จุดธูปเรียกก็กลัวควันเยอะรบกวนคนอื่นจัง
    เอาไงดี ส่งลูกน้องไปตามหาแล้วกัน ..
    มายด์เข้ามาหน่อยดิ...เพื่อนๆคิดถึง !!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2007
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ก็เรื่องของจิต นี้ มันก็ จะให้มันเป็นอะไรก็ได้ ซึ่งสิ่งที่เป็นอะไรก็ได้ นั้นไม่ใช่ข้อสรุป ที่จะอธิบายได้ว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

    ทีนี้ ต้องถามไปเป็นข้อๆ ว่า จะพูดอธิบายปรากฎการณ์อะไร
    ยกตัวอย่าง นรก สวรรค์
    อันนี้ ก็ต้องอย่าไปพิพากษาว่า นรก สวรรค์ ต้องเป็นสภาวะอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะมันไม่เป็นธรรม เป็นกาลิโก คือ ขึ้นอยู่กับปัจจัย ตามเวลา
    เช่นว่า คุก ในปัจจุบันนี้ มีสภาวะเช่นนั้นเช่นนี้ แต่เมื่อ 20 ปีก่อนมันก็ต่างกัน การลงโทษก็ต่างกัน เมื่อ 100 ปีก่อน เราก็มีจารีต ประเพณี ที่มีการบีบขมับ อะไรต่างๆ ร้อยแปด
    คุกในฝรั่งก็ไม่เหมือนกับ ไทย

    ต่อมา เช่น ปรากฎการณ์ ของ จิตต่างๆ มนุษย์ต่างดาว อันนี้ ก็ต้อง บอกว่ามันเป็น กาลิโก คือ ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ไม่เป็นข้อธรรม ทีนี้การจะอธิบายสภาวะ เช่นนั้นเช่นนี้ มันก็ต้องให้ชัดเจน
    ยกตัวอย่างเช่น
    มนุษย์ต่างดาวมันคุยกันว่า มนุษย์หน้าตาเป็นอย่างไร ไอ้คนหนึ่งไปเห็น คนสมัยเมื่อ ล้านปีก่อน มันก็บอกว่าเหมือนลิงเลย อีกคนมันไปเห็นคน ฝรั่ง คนหนึ่งไปเห็นคนญี่ปุ่น คนหนึ่งไปเห็น แขก
    พวกนี้มันก็ มาคุยต่างกัน ทีนี้ ภพภูมิต่างๆ นี้ มันแปลเปลี่ยนไปตามเวลา

    ผมไม่เข้าใจว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้ว จานบินหน้าตามันเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้มันก็หน้าตาแบบนั้น ไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่มันไม่มีวิวิฒนาการกันเลยหรือไง หรือว่า หน้าตามันเป็นอย่างไร มันก็เป็นอย่างนั้น มันไม่มีเผ่าพัน อื่นๆ เลยหรือไง

    ส่วน ความฝัน นี่ก็เหมือนกัน

    ให้รู้จักแยกก็แล้วกัน ว่า อันไหนยึดเป็นธรรม อันเป็น อกาลิโกได้ อันไหน เป็น กาลิโก คือ ขึ้นกับเวลา แล้วอธิบายสภาวะอันนั้น ให้มันตรงกับ ความเป็นจริง ตามปัจจุบัน โดยต้องวิเคราะห์ว่า อยู่ในธรรม อกาลิโก ข้อใด ไม่ใช่กล่าวเลื่อนลอย อันทำให้เกิด ความฟั่นเฟือนตามมา เพราะหา ฟังก์ชันที่ครอบคลุมไม่เจอ เนื่องจากว่า มันอยู่ใน กาลิโก
     
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    นี่ล่ะครับที่ผมว่าสนุก ที่จะเรียนรู้ มีอีกหลายสิ่งที่เราคิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ จริงๆแล้วกลับกลายเป็นว่ามีความหลายหลายและมิติที่ทับซ้อนกันทั้งมีรูปและไร้รูป วิวัฒนาการแบบกลับทิศที่เราคาดไม่ถึงก็ยังมีอีกมากมาย..ยายอวกาศก็สลับซับซ้อนยิ่งกว่าที่เราเห็นไม่ได้เป็นทรงจานกลมๆนี้เสมอไป โดยมี"เครื่องพราง" คือระยะทาง ช่องว่างและกาลเวลา เป็นกฎธรรมชาติที่ไม่วัตถุหยาบๆไม่อาจล่วงล้ำ..นอกจากระบบของจิตวิญญาณเท่านั้นที่เข้าออกผ่านได้ทุกๆมิติ ถึงบอกว่าการสนทนาแบบนี้มีประโยชน์ครับ เรื่องน่าค้นคว้าน่าและสนุกมีอีกเยอะเยอะมากมาย ยิ่งค้นเอาจากในจิตวิญญาณของเราขณะ กายหลับ- จิตตื่น Search หาความรู้จาก"ความฝัน"ก็มีทริกอีก ส่วนอันนี้เป็นเรื่อง ธรรมชาติของภพภูมิ น่าศึกษามากครับ ว่างๆลองเข้าไปอ่านดูนะครับ..แบ่งปันกันอ่าน

    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=19213
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...