เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,945
    ค่าพลัง:
    +4,262
    the third eye

    เอาเรื่องตาที่ 3 มาฝากครับ เดี๋ยวพี่นักเขียนคงมีมุมอธิบายที่น่าสนใจเช่นกัน

    ถ.กรุณาบอกข้าพเจ้าหรือสอนข้าพเจ้าเกี่ยวกับตาที่ 3
    อ.มันไม่ใช่เป็นตาจริง มันเป็นจุดศูนย์กลางของตาปัญญาความรอบรู้ทั้งหมด ความรักทั้งหมด และความเมตตาทั้งหมดเมื่อไรที่เธอได้เข้าสู่จุดศูนย์กลางนี้ เธอจะรอบรู้ทุกอย่างเธอจะมีทุกอย่างอยู่ในตัวเธอ ดังนั้นเธอจะรู้สึกพอใจมากและจะไม่เคยมีความรู้สึกที่ไม่เป็นสุขหรือไม่รู้สึกขาดอะไรในโลกนี้
    ถ.ท่านอาจารย์ ตาที่ 3 ของท่านเปิดเพื่อว่าท่านจะสามารถเห็นทั้งอนาคตและอดีตหรือ?
    อ.ใช่ผู้ประทับจิตของเราหลายคนมีตาปัญญาของพวกเขาเปิดอยู่ด้วย ถ้าท่านต้องการเช่นนั้นท่านสามารถร่วมกับเราได้ และตาของท่านจะถูกเปิดทันที แต่การจะเห็นอนาคตและอดีตเป็นเพียงส่วนเล็กนิดเดียวมากๆ ของความสามารถ ที่ท่านมีอยู่ในตัวท่านทั้งนี้ทั้งนั้น มันไม่มีอนาคต ไม่มีอดีต มีเพียงปัจจุบันกาลทุกสิ่งเกิดขึ้นในครั้งหนึ่ง มันเป็นเพราะความสามารถของเรา ที่จะเห็นสิ่งต่าง ๆเกิดขึ้น ที่เราสังเกตเห็นอะไรก็ตาม ที่เราเห็นเหมือนเช่นปัจจุบัน อดีต หรืออนาคต<O:p></O:p>
    ยังคงมีทางเลือก ถ้าเรารู้แจ้งเราสามารถเลือกสิ่งที่สนุกสบายหรือสิ่งที่ไม่ชื่นชอบใจเราสามารถเลือกจากทั้งภาพได้ว่า เราต้องการเห็นอะไร มันไม่มีอดีต ไม่มีอนาคตแต่ขณะที่เราอยู่ในโลกวัตถุนี้ เรามีสิ่งที่เรียกว่าเวลา ซึ่งเป็นกลไกที่สร้างขึ้นเพื่อว่าเราจะสามารถเห็นเพียงในมิติเดียวนี้ ด้วยเหตุนี้เอง โลกนี้จึงพาเราหลงผิดและความหลงผิดใหญ่หลวงมาก จนทำให้เราลืมโลกจริง แต่นั่นคือเป้าหมายเพื่อว่าเราจะสามารถพยายามและใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะหาโลกจริงอีกครั้ง<O:p></O:p>
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • n263-1.jpg
      n263-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.3 KB
      เปิดดู:
      246
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2008
  2. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ยินดีต้อนรับเข้าสู่ห้องวิทย์ค่ะคุณ kindred..(||) (||) (||)
    เรือโดยสารลำนี้ยิ่งใหญ่พอที่จะบรรจุลูกเรือได้อีกเยอะเลย..
    แถมยังมี อาหารนานาชาติ,ขนม และไวด์จากพี่นักเขียน
    พร้อมศิลปิน นักร้อง, นักวาด, นักทดลอง ฯลฯ
    เชิญด้านในเลยค่ะ กำลังสนุกเลย.. อิอิ..
     
  3. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ค่ะ...เพ่งเข้ามายังทำตัวไม่ค่อยถูก เคยพยายามหาคคนคุยเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ แต่ไม่มีครายเข้าใจเลย ซ้ำถูกมองแปลก ทำไมไม่ทราบค่ะ
    พอมาเจอเรื่องราวที่นี่ โห...สวรรค์โปรด มีคนเข้าใจข้าพเจ้าแล้ว
    เคยติดตามอ่านหนังสือ ของท่านอาจารย์ อนาลัย จนครบ 10 เล่มไปแล้ว ยอมรับค่ะว่ายังไม่เข้าใจถ่องแท้นัก ตอนนี้กำลังเริ่มรอบที่2 อยู่ แต่เล่มที่อ่านแล้วเข้าใจมากสุด คือ ธรรมชาติของชาติภพ อ่านไป 3 รอบแระ กะลังน๊อค รอบที่ 4 อยู่
    เรื่องราวของห้องวิทย์ ติดตามไล่อ่านมาตลอด ตั้งแต่หน้าแรก ผ่านมาหลายเดือน จนบัดนี้ อยากเข้ามาทักทายแล้วค่ะ แต่ขอแอบๆอยู่หลังห้องก่อน เดี๋ยวจะค่อยๆขยับขึ้นมาเรื่อยๆ รับรองเนียนค่ะ
    ดีใจมากค่ะ...ที่เข้ามาพบห้องนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2008
  4. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ตามอ่านมาตั้งแต่แรกเลยนะครับ
    แบบนี้ต้องเรียกว่าเป็นแฟนพันธ์แท้ซะแล้ว
    ถ้าหาเพื่อนคุยไม่ค่อยจะได้ก็มาคุยกันที่นี่ล่ะครับ
    ส่วนมากเค้ามองว่าแปลกลึกลับถ้าคุยเรื่องนี้ แต่จริงๆก็เป็นเรื่องน่ารู้ของเราทุกคนครับ

    ธรรมชาติของชาติภพ นี่ก็อ่านมา 2-3 รอบเหมือนกัน
    อ่านดูก็รู้สึกว่าบุคลิก+ภาษาของพี่นักเขียนน่าจะเป็นผู้ชาย..(เนียนมากๆครับไม่รู้คิดเหมือนกันรึป่าว?)
    ทำให้อดไม่ได้ที่จะออกตามหาพี่นักเขียน ตอนนั้นไปเจอเวปไซท์ที่เพิ่งเสร็จพอดี
    ก็มาเป็นห้องวิทย์อย่างที่เห็นนี่ล่ะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ

    note***
    ขอบคุณคุณวิกกี้กายด้วยครับ
    โมทนากับคุณเอ จินตวดีด้วย..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2008
  5. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    มาต้อนรับคุณ kindredสู่ห้องวิทย์ ร่วมค้นฟ้าคว้าความฝัน กันครับ




    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • animal013.gif
      animal013.gif
      ขนาดไฟล์:
      8.2 KB
      เปิดดู:
      200
    • L6489925-3.gif
      L6489925-3.gif
      ขนาดไฟล์:
      69.3 KB
      เปิดดู:
      225
  6. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765

    พูดถึงเรื่องนี้ก็เลยอยากเล่าให้ฟัง
    เมื่อ2อาทิตย์ที่แล้วไปทำธุระกับพี่สาวแถวเซ็นทรัลเวิลด์
    ทีนี้ก็เลยแวะไปไหว้พระพิคเณศกับพระตรีมูรติ
    รู้สึกมันปวดตรงหว่างคิ้วมาก ๆ อย่างไม่มีสาเหตุ ปวดจนเหมือนอะไรจะทะลุออกมา
    เพราะอาการนี้หายไปนานแล้วเพราะหลัง ๆ ไม่ค่อยได้ฝึกจักระเท่าไหร่
    อย่างว่าไปอยู่ตรง ณ ที่นั้น รู้สึกมีพลังแห่งความศรัทธามากมายเหลือเกิน
    พอขากลับก็ไปแวะวัดแขก สีลม ไม่เคยไปเลย ได้ไปแล้วดีใจจริง ๆ
    ปล.เพิ่งรู้ว่าถือถาดไหว้นี่หนักมาก ๆ ทั้งกล้วย มะพร้าว โห แขนแทบทรุด
     
  7. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    การทดลองที่คุณ zip คิดขึ้นมานี่น่าสนใจมาก น่าจะทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับภาวะจิตของเราได้มากขึ้นไม่น้อยว่า หากคนสองคนหรือมากกว่านั้น จดจ่อเพื่อขอรู้เห็นในเรื่องเดียวกันแล้ว อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อส่วนบุคคล จะทำให้เราแต่ละคนมองผ่านเครื่องพราง และรู้เห็นความเป็นจริงได้อย่างไร จากจุดยืนจำเพาะของเราแต่ละคน

    ใครจะร่วมทดลองกับคุณ zip ยกมือเลยค่ะ พี่นักเขียนขอยกมือคนนึงละค่ะ คุณ zip กำหนดหัวข้อให้พวกเราด้วยค่ะว่า จะให้เราฝันเพื่อรู้เห็นเกี่ยวกับอะไร ขอหัวข้อสั้นๆนะคะ เราจะได้จดจ่อได้ตรงจุดง่ายขึ้น เพราะเป็นการทดลองอันแรกของพวกเรา

    เพิ่งไปอ่านพบคำกล่าวของ Einstein ที่ว่า
    If you wanted your child to be bright, read him fairy tales.
    If you wanted your child to be brilliant, read him more fairy tales.


    และ

    Imagination is more important than knowledge.

    ความหมายของจินตนาการในที่นี้ เป็นความหมายตามคำนิยามของท่านอาจารย์อนาลัยที่ว่า
    จินตนาการเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง จินตนาการไม่ใช่สิ่งที่ไร้สาระ เพ้อฝัน แต่เป็นปัจจัยก่อเกิดทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา

    ดังนั้น ไม่ว่าเราจะรู้เห็นสิ่งใดในความฝัน หากเราเชื่อว่า มันเป็นจินตนาการของตนเอง ก็อย่าคิดว่ามันไร้สาระและไร้ความหมาย แต่ให้ศรัทธาว่าเราได้เข้าถึงปัจจัยที่ก่อเกิดความเป็นจริงทั้งหลายอันได้แก่ภาวะจิตของเรา หรือของผู้ที่เราจดจ่อ ให้เชื่อว่าเราได้เข้าไปสัมผัสแล้ว รู้เห็นแล้ว ตื่นมาให้จดบันทึกความฝันนั้นให้ละเอียดไว้ก่อนโดยไม่ต้องตีความ

    การถอดรหัสทำได้ง่ายกว่าที่คิด คือ ให้ใช้ความรู้สึก ไม่ใช่แปลสัญญลักษณ์ด้วยการทดแทนความหมายสิ่งต่างๆด้วยเหตุผล แต่ทดแทนหรือให้ความหมายด้วยความรู้สึกเสมอ อย่าลืมขีดเส้นใต้คำสำคัญๆที่จดไว้ก่อน โดยยังไม่ต้องตีความหมาย จนกว่าจะจดบันทึกเสร็จแล้วจึงค่อยทดแทนคำสำคัญเหล่านั้นด้วยสิ่งอื่นที่เรารู้สึกว่าเป็นสาระที่แท้จริงของสัญญลักษณ์เหล่านั้น

    ก่อนที่ Einstein ของเราจะเอาโจทย์มาให้ พี่นักเขียนจะนำตัวอย่างจากประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังไปพลางๆ เพื่อให้พวกเราเข้าใจการตั้งจิตเพื่อรู้เห็นในกระบวนการความฝันเพิ่มเติมขึ้นค่ะ(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2008
  8. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    case ธุรกิจ

    สตรีท่านหนึ่งชื่อ Paula (นามสมมุติ) ได้ขอให้พี่นักเขียนฝัน เพื่อรู้เห็นปัญหาที่แท้จริงที่กำลังเกิดขึ้นกับธุรกิจของสามี โดยให้ข้อมูลกับพี่นักเขียนว่า สามีของเธอทำธุรกิจเกี่ยวกับการติดตั้งระบบไฟฟ้าตามอาคารสำนักงานร่วมกับหุ้นส่วน หุ้นส่วนแจ้งว่ารอบปีที่ผ่านมานี้บริษัทขาดทุน และจะสรุปผลสำหรับอนาคตของบริษัทในสัปดาห์หน้า Paula บอกว่าสามีของเธอประหลาดใจว่าเขาขาดทุนได้อย่างไร ในเมื่องานส่วนที่เขาทำนั้น ได้ผลกำไรตามที่เขาคำนวณทุกชิ้น เธอและสามีจึงต้องการทราบเบื้องหลังความเป็นจริงทั้งหมด และอยากทราบว่า อนาคตของบริษัทหรือธุรกิจของสามีของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป

    พี่นักเขียนได้ตั้งจิตขอฝัน โดยกำหนดว่า
    ขอรู้เห็นปัญหาที่แท้จริงและความเป็นไปของบริษัท อันเกิดจากภาวะจิตของ Paula และสามีของเธอ


    พี่นักเขียนขอให้พวกเราสังเกตการตั้งจิตว่า พี่นักเขียนไม่ได้ขอรู้ปัญหาและความเป็นไปที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่ Paula ต้องการจะทราบ

    เหตุที่พี่นักเขียนตั้งจิตว่า ขอรู้เห็นปัญหาที่แท้จริงและความเป็นไปของบริษัท อันเกิดจากภาวะจิตของ Paula และสามีของเธอเพราะเหตุว่า การขอรู้เห็นอนาคต จะทำให้เรารู้เห็นเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันหลากหลาย-เส้นใดเส้นหนึ่ง แต่เราจะรู้ไม่ได้เลยว่า มันเป็นเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่เกิดจากการจดจ่อของบุคคลใด ของพี่นักเขียน ของหุ้นส่วน หรือของใคร? และมันเป็นเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใด? มันกำลังเป็นไปในชาติภพใด? มิติใด? มันจะมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นน้ีหรือไม่?

    การตั้งจิตขอรู้อนาคตเป็นการตั้งคำถามที่ open-end คือเปิดกว้างที่จะทำให้เรารู้เห็นความเป็นไปได้อันหลากหลาย ซึ่งอาจจะไม่มาสู่ความเป็นจริงในอนาคตในชาติภพนี้เลย หากเราไม่เชื่อและไม่จดจ่อกับมัน

    หากเราปรารถนาที่จะรู้อนาคตที่เจาะจงของผู้ใด เราจะต้องกำหนดว่า ขอรู้เห็นอนาคตบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ที่จะถูกเหนี่ยวนำมาสู่ความเป็นจริงในชาติภพนี้ อันเกิดจากภาวะจิตหรือการจดจ่อของสามีภรรยาคู่นี้ ณ ปัจจุบันนี้

    การกำหนดดังกล่าวช่วยตัดทอนความเป็นไปได้อื่นๆออกไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มันเหลือเพียงเส้นทางเดียวที่แน่นอนที่สุด เพราะถ้าหากภาวะจิตของสามีภรรยาคู่นี้เปลี่ยนไป คือมีความเชื่อเปลี่ยนไป มีความคิดเปลี่ยนไป ความเป็นไปได้นั้นๆย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วย

    ธรรมชาติความเป็นจริงของภาวะจิต การก่อเกิดเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ตลอดจนอนาคต เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้เสมอๆว่า เป็นสิ่งที่หลากหลาย-เป็นอนันต์-คาดการณ์ไม่ได้ พี่นักเขียนจึงมักปฏิเสธที่จะดูอนาคตอันยาวไกลให้ใครๆในความฝัน เพราะตระหนักดีว่า ความเชื่อของเขาอาจทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ ทำให้เส้นทางแห่งความเป็นไปได้นั้นๆปราศจากความหมายหรือความเป็นจริงไปโดยปริยาย

    แต่ในกรณีที่ผู้ขอกำลังประสพกับปัญหาหนักใจ และต้องการทราบความเป็นไปที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ เช่น สัปดาห์หน้า หรือเดือนหน้า โอกาสที่ความเชื่อและความคิดของเขาจะเปลี่ยนไปนั้น มีความเป็นไปได้น้อยกว่าเพราะเวลาสั้น จึงทำให้การรู้เห็นอนาคตเป็นสิ่งที่มีความแม่นยำได้มากขึ้น

    การตั้งจิตขอรู้เห็นอนาคต-อันเกิดจากภาวะจิตของผู้ใด เปรียบเสมือนสวมจิตวิญญาณของเขา รู้เห็นแบบพิมพ์เขียวที่จะก่อเกิดประสบการณ์ของเขาต่อไป

    พี่นักเขียนฝันเห็นหุ้นส่วนซึ่งทำธุรกิจประปา แทนที่จะเป็นไฟฟ้าดังที่ Paula บอก โดยเห็นแบบผังประปาในความฝัน และเห็นว่ามีนักออกแบบผังประปาคนหนึ่ง ทำแบบผิดพลาด ทำให้ลูกค้านอกจากไม่จ่ายค่าแบบแล้ว ยังฟ้องร้องค่าเสียหายจากบริษัทอีกสามเท่าตัว เพราะทำให้อาคารสำนักงานแห่งนั้นไม่สามารถเปิดทำการได้ตามกำหนด

    นอกจากนั้น พี่นักเขียนฝันเห็นการเป็นหุ้นส่วนทั้งหมด 5 ส่วนด้วยกัน 2 ส่วนกี่ยวกับไฟฟ้า อีก 3ส่วนเกี่่ยวกับประปา พวกประปามีพลังอำนาจในการแบ่งสันปันส่วน พวกเขาเอาเงินกองกลางไปชำระหนี้ที่เกิดจากปัญหางานออกแบบ ประปา ดังกล่าว ทำให้เงินในระบบกองกลางแทบจะไม่มีเหลือ จากนั้นพวกเขาก็แบ่งเงินกองกลางที่เหลือให้กับหุ้นส่วน 3 ส่วนที่ทำประปา โดยบอกกับหุ้นส่วนทีทำไฟฟ้าอีกสองส่วนว่า เขาจะคืนต้นทุนให้ 50% ก่อน และจะคืนอีก 50% ที่เหลือให้ภายหลังเมื่อเขา clear บัญชีบริษัทเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น พี่นักเขียนซึ่งเป็นผู้สังเกตการณ์ในความฝัน สัมผัสเบื้องหลังคำพูดของเขาว่า 50% นั้น แท้จริงแล้วจะมีเพียง 25% และจะไม่มีการชำระคืนอีก

    พี่นักเขียนติดตามบุคลิกภาพที่ตระหนักว่าเป็นสามีของ Paula พบภาวะจิตที่สงบนิ่งส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งคุกรุ่นพร้อมจะระเบิดเสมือนภูเขาไฟที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างฉับพลัน พี่นักเขียนเองสวมความโกรธ ความโมโห โทสะ และความเดือดดาลนั้นด้วยตนเอง แต่เมื่อก้าวออกจากการร่วมรู้สึกดังกล่าว ก็ตระหนักว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งคือ การทำให้ภูเขาไฟนั้นสงบ มิฉะนั้นแล้วมันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในอนาคตของเขา

    ในความฝันพี่นักเขียนนำ lotion ทามือออกมาทาเพื่อสมานรอยแตกบนนิ้วมือ สามีของ Paula เดินเข้ามาใกล้ ขอ lotion ไปทาใบหน้าของเขาบ้าง พี่นักเขียนเต็มใจแบ่งให้ แต่เมื่อยื่นขวด lotion ให้เขา เขากลับบอกปัดแล้วเดินจากไป พี่นักเขียนเข้าใจเจตนาของเขาได้อย่างเป็นอัตโนมัติว่า เขาต้องการความช่วยเหลือที่จะ"รักษาหน้า"ของเขา แต่ก็รู้สึกลำบากใจกับการที่จะต้องขอร้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือ แต่ในที่สุดเขาก็ยอมรับสภาพของเขา

    พี่นักเขียนเดินเข้าไปหา Paula ในความฝัน และบอกกับเธอว่า พี่นักเขียนได้ฝันเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดข้างต้น (โดยที่ยังไม่ตื่นขึ้นจริงๆ) และขอร้องเธอว่า ให้ช่วยบอกกับสามีของเธอว่า อย่าใช้ความโกรธหรือเคียดแค้นกับหุ้นส่วน แต่ให้เดินจากธุรกิจนี้ออกมาโดยปราศจากการกระทบกระทั่ง แม้ว่าจะได้เงินลงทุนคืนเพียง 25% ของทั้งหมดก็ตาม ต่อไปอนาคตของเขาจะราบรื่น และดำเนินธุรกิจต่อไปได้ด้วยตนเอง

    เมื่อพี่นักเขียนตื่นขึ้นจริงๆ ได้ติดต่อส่งข่าวไป ปรากฏว่าได้เฉลยความฝันมาดังนี้:
    บริษัทนี้มีหุ้นส่วนทั้งหมด 5 คนจริงๆ 3 คนเป็นพี่น้องกันและรับงานประปา ส่วนอีกสองคนคือสามีของ Paula กับเพื่อนของเขารับงานไฟฟ้า
    Paula บอกว่าพวกประปาได้ทำแบบให้กับอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง และเก็บค่าแบบไม่ได้โดยไม่ทราบเหตุผล พวกประปากุมบัญชีบริษัทและไม่เคยให้พวกไฟฟ้าซึ่งรวมถึงสามีของ Paula รู้เห็นตัวเลขใดๆของกิจการเลย

    Paula เผลอบอกกับพี่นักเขียนว่า "ก็ใช่น่ะสิ" หลายครั้งหลายหนที่พี่นักเขียนบอกข้อมูลส่วนที่เธอรู้อยู่แล้ว แต่พี่นักเขียนรู้ไม่ได้ด้วยวิธีการใดๆ เพราะพี่นักเขียนไม่ได้อยู่รัฐเดียวกับ Paula ไม่ได้ติดต่อกับเธอ และไม่ได้รู้จักสามีของเธอเลยด้วยซ้ำไป เธอวางสายไปโดยไม่รู้ว่าจะตอบพี่นักเขียนว่าอย่างไร เพราะดูเสมือนว่า เธอจะพูดได้เพียงว่า "ก็ใช่น่ะสิ"

    ตกค่ำวันนั้น Paula โทรกลับมาหาพี่นักเขียนเป็นเวลาดึกมากเกือบห้าทุ่ม เพื่อจะบอกว่า เธอเพิ่งจะตระหนักได้เมื่อตอนทุ่มเศษ ซึ่งเธอลงนั่งปรึกษากับสามีของเธอว่า สิ่งที่พี่นักเขียนบอกเธอนั้น เป็นข้อมูลที่เธอไม่ได้บอกกับพี่นักเขียนเลย ทำให้เธอเชื่อว่า ข้อมูลส่วนอื่นๆที่เธอยังไม่รู้ไม่เห็น อันได้แก่การขาดทุนอันเกิดจากฝ่ายประปา และการแบ่งหุ้นคืนเพียง 25% จะเป็นความจริง

    สองวันหลังจากนั้น เธอส่งข่าวมาว่า ฝ่ายประปาถูกฟ้องร้องให้ชดเชยค่าเสียหายเป็นสามเท่าของค่าแบบ-จริง และมีการเสนอแบ่งหุ้นคืน-จริง แต่เธอก็ไม่ได้บอกพี่นักเขียนว่า การแบ่งคืนนั้นจะเป็นสัดส่วนเท่าใด นอกจากบอกว่า สามีของเธอไม่มีเงินทุนเหลือพอที่จะตั้งต้นกิจการใหม่ได้ด้วยตนเอง

    สัปดาห์ต่อมา เธอส่งข่าวมาว่า เธอเองกลับได้งานกับบริษัทออกแบบระบบไฟฟ้าแห่งหนึ่ง และทำให้เธอต้องเปลี่ยนอาชีพจาก การเป็นแม่บ้าน กลับไปทำงานอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็นับว่าเป็นชีวิตที่ผกผันแต่ก็ทำให้ครอบครัวของเธออยู่รอดต่อไปได้ด้วยดี แม้สามีของเธอจะสูญเสียธุรกิจไปก็ตาม

    แรกๆเขารู้สึก "เสียหน้า"ที่ภรรยาของเขาต้องกลายเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัวแทนเขา แต่ Paula บอกว่าภายในเวลาไม่กี่วันเขาก็ทำใจได้และยอมรับสถานการณ์ด้วยดี ด้วยการดูแลรับส่งลูกและทำหน้าที่ต่างๆในบ้านแทนภรรยาของเขา

    พี่นักเขียนขอให้พวกเราลองศึกษาการตั้งจิตและการรับข้อมูลเหล่านี้ดู
    เมื่อคุณ zip นำโจทย์มาให้ พวกเราจะได้มีกรอบที่จะนำไปใช้ได้บ้างว่า เราจะตั้งจิตด้วยการขอรู้เห็นอะไร เพื่อให้จิตวิญญาณของเราเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสวมจิตวิญญาณของคุณ zip และรู้เห็นข้อมูลส่วนนั้นๆได้ ผ่านดวงตาของคุณ zip หรือผ่านความรู้สึกของคุณ zip

    การทดลองของคุณ zip เป็นสิ่งที่ท้าทาย น่าทดลอง และน่าจะให้ความรู้กับพวกเราได้ไม่น้อยเลย(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2008
  9. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ขอต้อนรับ คุณน้อง kindred สู่กลางดวงใจห้องวิทย์ฯค่ะ
    [​IMG]
     
  10. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พี่นักเขียนเคยคิดว่า ตาที่สาม คือ ตำแหน่งบนร่างกายทางกายภาพ
    เมื่อฝึกสมาธิไปนานๆเข้า เปลี่ยนความรู้สึกและความเข้าใจเป็นว่า ตาที่สามเป็นภาวะทางจินตภาพ พอหันมาฝึกฝัน รู้เห็นในความฝัน ตระหนักว่า ตาที่สามเป็นภาวะจิต
    อันได้แก่ภาวะที่การรู้เห็นทั้งหลายเป็นไปด้วยประสาทสัมผัสภายใน ซึ่งไม่ใช่มองเห็นด้วยตาในแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นไปด้วยประสาทสัมผัสภายในที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวถึงใน ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ บทที่ 4 ประสาทสัมผัสภายใน (หน้า 38)

    ประสาทสัมผัสภายในที่พี่นักเขียนคุ้นเคยที่สุดในความฝัน หรือตระหนักว่าใช้การได้ดีที่สุดในความฝันคือ การร่วมรู้สึก
    มันเป็นมากกว่าตาพิเศษหรือตาที่สาม เพราะภาวะจิตของการร่วมรู้สึก หมายถึง การมองเห็นโลกและความเป็นไปทั้งหลาย รวมทั้งชีวิตและบุคลิกภาพของบุคคลหนึ่งๆ ผ่านดวงตาของเขา ทัศนคติของเขา มุมมองของเขา เรียกได้ว่า เราเป็นเขา ภาวะดังกล่าวทำให้เรารู้เห็นได้ว่า ภาวะจิตของเขาจะเหนี่ยวนำประสบการณ์ชีวิตใดๆมาสู่อนาคตของเขา เสมือนการเข้าไปเห็นแบบพิมพ์เขียวที่เขาจะสร้างบ้าน อ่านแบบหรือถอดรหัสความฝันหรือสัญญลักษณ์ต่างๆที่ปรากฏนั้นได้ก็รู้ได้ว่า บ้านหลังนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไรเมื่อสร้างเสร็จในอนาคต


    ภาวะจิตเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งทั้งปวง ซึ่งจะสะท้อนออกมาสู่ความรู้สึกนึกคิดหรือภาวะอันเป็นจินตภาพ และฉายออกมาสู่ภาวะทางกายภาพอีกทอดหนึ่งเสมอ

    กล่าวได้ว่า ภาวะจิตของการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสภายใน หรือตาที่สาม เกิดขึ้นอยู่ตลอดวันเวลา เราจึงมีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด จากนั้นมันก็ฉายออกมาสู่โลกทางกายภาพ เป็นวัตถุธาตุ สิ่งของ บุคคล ประสบการณ์ ปรากฏการณ์ทั้งหลาย ให้เรารู้เห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าอีกครั้งหนึ่ง

    แต่จิตวิญญาณของเราทั้งหลายมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังมายาวนานตามที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวถึงไว้ใน ประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณ ว่า มันทำให้เราลืมเลือนต้นกำเนิดที่แท้จริงของปลายเหตุ อันได้แก่ภาวะทางกายภาพทั้งหมด จนกระทั่งเรารู้เห็นหรือมีความเชื่อกลับทิศว่า สรรพสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น-มีอยู่-เป็นไป เป็นเอกเทศ-อยู่ภายนอกตัวตนของเรา จากนั้นเรารู้เห็นมันด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า เราจึงเกิดอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด และจากนั้นมันจึงส่งผลกระทบที่ทำให้ภาวะจิตของเราเป็นไป

    การศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณ และตัวตนของเรา กระตุ้นให้เราเกิดความรู้ และตระหนักได้ว่า กระบวนการของการก่อเกิดทั้งหลายมีต้นกำเนิดมาจากภายใน

    เราต่างก็ได้ยินและได้รับข้อมูลเกี่ยวกับตาที่สามมาไม่มากก็น้อย อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราย่อมก่อเกิดประสบการณ์ที่คล้อยตามความเชื่อของเราเสมอ

    หากเราเชื่อว่า ตาที่สามเป็นภาวะทางกายภาพ เราก็ย่อมสัมผัสกับมันได้ในระดับกายภาพ
    หากเราเชื่อว่า ตาที่สามเป็นภาวะทางจินตภาพ เราก็ย่อมสัมผัสกับมันได้ในระดับจินตภาพ
    หากเราตระหนักได้ว่า ตาที่สามเป็นภาวะจิต เราก็จะใช้การมันได้ เพราะเราได้เข้าถึงกลไกของมัน

    การถ่ายทอดพลังงานทั้งหลาย ปราศจากกาลเวลาที่เป็นไปตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก พลังงานที่เราทั้งหลายรู้จักดี อันได้แก่ พลังงานจากดวงอาทิตย์ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ความจริงข้อนี้ได้เสมอ

    ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลก 93 ล้านไมล์ หรือ 26,000 ปีแสง แสงแดดที่ตกกระทบผิวโลกในแต่ละวัน จึงเป็นแสงที่ไม่ได้มาจากดวงอาทิตย์ ณ วินาทีนี้ แต่เป็นแสงที่เปล่งออกจากดวงอาทิตย์เมื่อ 8.32 นาทีที่แล้ว แสงอาทิตย์ใช้เวลาเดินทาง 86.282ไมล์ต่อวินาที หรือ 299,792,458 เมตรต่อวินาที ซึ่งหมายความว่าแสงอาทิตย์ใช้เวลา 8.32 นาทีที่จะเดินทางจากดวงอาทิตย์มาถึงผิวโลก เราจึงมองเห็นดวงอาทิตย์ ช้ากว่าภาวะจริงที่ดวงอาทิตย์กำลังเป็นไป 8.32 นาที

    นักฟิสิกส์คำนวณว่า หากนำสัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก ซึ่งได้แก่ cheetah หรือเสือดาว วิ่งจากดวงอาทิตย์มายังโลก ด้วยความเร็ว 70 ไมล์ต่อชั่วโมงโดยไม่มีวันหยุดเลย มันจะใช้เวลาวิ่ง 151 ปี

    แสงทั้งหลายเป็นพลังงาน แสงอาทิตย์อาจเป็นตัวอย่างที่ไม่โดดเด่นนักเพราะว่ามันอยู่ใกล้โลก
    และการเดินทาง 8.32 นาทีก็อาจจะไม่ได้ทำให้เราสนเท่ห์เกี่ยวกับคำว่า ปราศจากกาลเวลาเท่าไรนัก
    แต่เราก็มองเห็นดวงดาวอื่นๆ ช้ากว่าภาวะจริงที่มันกำลังเป็นไปได้หลายปี หรือแม้แต่หลายพันล้านปี
    แล้วแต่ระยะทางที่มันอยู่ห่างจากโลก ดังเช่นที่นักดาราศาสตร์กล่าวเสมอๆว่า "เรามองเห็นอดีตในท้องฟ้า"
    ดาวบางดวงบนท้องฟ้าอาจดับสลายหรือแปลงสภาวะเป็นอื่นไปแล้ว แต่ภาวะก่อนหน้านั้น อันได้แก่ภาวะเมื่อหลายล้านปีที่แล้วเพิ่งจะฉายแสงมาถึงพื้นโลก ทำให้เราเพิ่งจะมองเห็นมันในวันนี้


    การสัมผัสกับตาที่่สามในระดับกายภาพ หรือรู้สึกได้ในตำแหน่งใดๆบนร่างกายของเราในวันนี้ หรือวันใดวันหนึ่ง ไม่ต่างไปจากการที่เรามองเห็นดาวบนท้องฟ้า ภายหลังจากที่พลังงานของมันได้ออกเดินทางมาสู่โลก-หลายล้านปีมาแล้ว เพราะภาวะจิตของเราเป็นไป ดำเนินไป หลายล้านปีมาแล้ว ตั้งแต่ต้นกำเนิดของจิตวิญญาณ แต่กว่าที่เราจะตระหนักได้ว่า เรารู้เห็นความเป็นไปเหล่านั้นก็ต่อเมื่อมันมาสู่โลกทางกายภาพ หรือสัมผัสกับการกระตุกของกล้ามเนื้อ ณ ตำแหน่งที่เราเรียกมันว่าตาที่สาม

    ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ตำแหน่งของตาที่สามทางกายภาพปราศจากความหมาย ปราศจากความเป็นจริง เพราะเราสามารถอาศัยตำแหน่งทางกายภาพ เป็นจุดอ้างอิงที่จะย้อนกลับไปหาต้นกำเนิดของมันได้ เช่นเดียวกันกับที่นักดาราศาสตร์อาศัยตำแหน่งของดาวที่เขาแลเห็นบนท้องฟ้า เพื่อย้อนกลับไปคำนวณหาอายุ และต้นกำเนิดของมันได้(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2008
  11. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    คนใกล้ตัวที่รู้จักคุณพ่อของพี่นักเขียนเป็นการส่วนตัว และได้เคยอ่านงานเขียนของท่านมักจะออกปากว่า พี่นักเขียนเขียนหนังสือสำนวนเหมือนคุณพ่อ ซึ่งน่าจะเป็นจริง เพราะหัวหน้าและผู้อ่านจำนวนมากเขียนมาบอกพี่นักเขียนเหมือนๆกันว่า เข้าใจว่าพี่นักเขียนเป็นผู้ชาย

    คุณพ่อของพี่นักเขียนไม่ได้เป็นนักเขียนหรอกนะคะ แต่เป็นนักกฏหมาย (ทนายความ) และก่อนที่ท่านจะจากไป ท่านเคยปรารภว่าอยากจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับภาวะจิตและการฝึกสมาธิ แต่ท่านก็ไม่ทันได้เขียน พี่นักเขียนได้รับมรดกเป็นหนังสือที่คุณพ่อใช้งานเป็นประจำวันบนโต๊ะทำงานของท่าน เช่น dictionary, thesaurus, idiom, proverbs, synonym, antonyms, word origins, รวมถึงพระไตรปิฏก อริยสัจจ์จากพระโอษฐ์ และสวดมนต์คำแปล ฯลฯ มาใช้ต่อ รวมทั้งได้ upright Yamaha piano ตัวโปรดของคุณพ่อมาด้วยหนึ่งหลัง

    พี่นักเขียนไม่เคยชอบหรือนึกที่จะเขียนหนังสือมาก่อนเลย จนกระทั่งคุณพ่อเสีย และได้รับหนังสือเหล่านี้ตกทอดมา รู้สึกเหมือนว่านอกจากได้หนังสือมาแล้ว ยังได้รับแรงบันดาลใจและพลังมากมายมากับหนังสือด้วย ทำให้หันมาศึกษาเกี่่่ยวกับสมาธิและภาวะจิต และหันมาเขียนหนังสือในทีึ่สุด และกลับมาเล่น piano อีกหลังจากที่ทิ้งไปโดยไม่ได้เล่นเลยเกือบ 30 ปี แม้จะเป็นทนายความแต่คุณพ่อก็เป็นศิลปิน ชอบแต่งเพลง ชอบเต้นรำ พี่นักเขียนก็เพิ่งจะลุกขึ้นแต่งเพลงและเต้นรำเอาเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ทั้งที่ไม่เคยมีความสนใจมาก่อนเลย

    ที่คุณ Mead กล่าวว่า เมื่อจดจ้องกับวัตถุของ Egypt แล้วรู้สึกเสมือนว่าได้รับพลังบางอย่าง ทำให้พี่นักเขียนคิดว่า เราทุกคนสามารถรับพลังได้เสมอๆ

    การถ่ายทอดพลังดังกล่าว เป็นไปได้ด้วยความผูกพันธ์ หรือ ความรัก
    หัวหน้ามีความสนใจและได้รับแรงบันดาลใจมากมายเกี่ยวกับปิรามิด และวัตถุต่างๆของ Egypt หัวหน้าน่าจะมีความผูกพันธ์หรือความรัก กับบุคคลตลอดจนประสบการณ์และวัตถุสิ่งของมากมายใน Egypt มาก่อน จึงรับถ่ายทอดและสัมผัสได้ถึงพลังดังกล่าว เช่นเดียวกับที่พี่นักเขียนผูกพันธ์และรักคุณพ่อ จึงรับถ่ายทอดและสัมผัสได้ถึงพลังดังกล่าว หรือจะเรียกว่าถ่ายทอดข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพมาด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดก็คงไม่ผิด

    ทุกครั้งที่เราใช้คำว่า พลัง พลังงาน พลังอำนาจ หรือจิตวิญญาณ
    พี่นักเขียนขอให้เราลองนำคำจำกัดความที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้ให้ไว้มาใช้ดู
    ท่านกล่าวไว้ว่า :
    จิตวิญญาณคือพลังงาน
    พลังงานคือจิตวิญญาณ
    จิตวิญญาณมีคุณสมบ้ติเป็นประจุแม่เหล็กไฟฟ้า


    จิต คือ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด
    วิญญาณ คือ ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ

    จิตและวิญญาณไม่เคยแยกกันอยู่

    จิตวิญญาณคือ ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ที่ถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด


    เมื่อทดแทนคำว่า พลัง พลังงาน พลังอำนาจ หรือจิตวิญญาณ ด้วยคำจำกัดความนี้
    เมื่อเรารู้สึกว่า รับพลังมานั้น เรารับอะไรมา
    เมื่อเราสัมผัสกับจิตวิญญาณนั้น เราสัมผัสกับอะไร
    เมื่อเรากล่าวถึงการมีพลังอำนาจ เรามีอะไร

    เราจะเห็นได้ว่า ความลี้ลับบางอย่างสลายไป และเปิดเผยให้เราเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างได้ง่ายดายขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้เราตระหนักได้ว่า เรามีพลัง เรามีอำนาจด้วยกันทุกคน เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ลี้ลับ-เหนือมนุษย์ หรือเป็นไปได้สำหรับคนบางคนเท่านั้น แต่เป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติของจิตวิญญาณทั้งหลาย เพราะเราทุกคนมี-ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ที่ถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด-อย่างเป็นธรรมชาติ

    อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดใดเล่า จะรุนแรง ลุ่มลึกและจริงจังไปกว่า อารมณ์รัก จินตนาการด้วยความรัก และความรู้สึกนึกคิดที่เต็มไปด้วยความรัก?

    ผู้อ่านหลายท่านเขียนมาถามพี่นักเขียนว่า ทำอย่างไรจึงจะใช้พลังอำนาจของจิตวิญญาณได้ จะต้องเรียนรู้อะไรเป็นพิเศษ หรือฝึกปฏิบัติอย่างไรจึงจะนำความรู้ที่คิดว่าได้เรียนมามากมายแล้วมาใช้อย่างได้ผลอย่างพี่นักเขียนบ้าง

    หากเราตระหนักได้ว่า พลังอำนาจของจิตวิญญาณไม่ใช่ส่ิงลี้ลับและเป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องสะสมตลอดชีวิตหลายชาติภพกว่าจะใช้การได้ เราจะสามารถปลดเปลื้องสิ่งที่มาขวางกั้นความเป็นไปได้ของเราออกไป อันได้แก่ความเชื่อที่ว่า มันเป็นไปไม่ได้ มันยาก เรายังมีไม่พอ หรือเรายังไม่เติมเต็มออกไป ทำให้เราค้นพบว่า ความเป็นไปได้ ความง่าย ความพอเพียง และการเติมเต็มนั้น เป็นไปตลอดวันเวลาอย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ด้วยการรับถ่ายทอดพลังมาสู่จิตวิญญาณของเราทุกลมหายใจ เพราะเราแต่ละคนผ่านสัมพันธภาพและความรักมาแล้วหลายชาติภพ เราสามารถนำพลัง(จากข้อมูลความรู้)เหล่านั้นมาใช้งานได้เสมอ ด้วยความศรัทธาและความเชื่อถือที่มีต่อจิตวิญญาณของตนเอง

    เป้าหมายและเจตนาของการใช้พลังอำนาจตามธรรมชาติของจิตวิญญาณจะบรรลุผลได้ ก็ด้วยความรัก หากเราคาดหวังที่จะใช้พลังอำนาจนี้ด้วยความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดี ที่จะให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ หรือสมความปรารถนา มันย่อมสัมฤทธิ์ผล

    วันนี้เด็กๆมากดออดตามเคย สามีของพี่นักเขียนเป็นคนเปิดประตู พบสาวน้อยผมทองสองคน-กางร่มมาด้วย แทนที่จะขอขนมอย่างเคย กลับบอกกับสามีของพี่นักเขียนว่า เขามีเรื่องสำคัญมากจะบอกพี่นักเขียน พอสามีของพี่นักเขียนให้เข้ามาในบ้าน เขาก็ร้องด้วยความตื่นเต้นทั้งที่ยังเห็นพี่นักเขียนไม่เต็มตัว เพราะมองเห็นกันไกลๆ จากประตูบ้านผ่านเข้าไปในห้องอาหารว่า "We're going to have a severe weather! You must sleep in your basement tonight!" พูดจบฟ้าก็คำรามครืนๆสนั่นหวั่นไหว!

    หนูน้อยสองคนอายุเพียง 4 และ 5 ขวบสองคนพี่นัองแวะมาส่งข่าวเตือนภัย
    นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่เราอาจเรียกได้ว่า เป็นพลังอำนาจที่ทำให้พ้นภัย แม้มันจะมาจากเด็กน้อยตัวจ้อยๆ แต่มันก็เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ให้เขากล้าหาญพอที่จะเดินกางร่มมากดออดบ้านพี่นักเขียน เพียงเพื่อจะบอกข่าว แต่มันก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากความรัก ความผูกพันธ์ที่ทำให้ปรารถนาที่จะส่งข้อมูลความรู้ให้แก่ผู้ที่รัก เพื่อให้นำไปใช้ในการตัดสินใจ แต่คนจำนวนมากกลับรอคอยอำนาจประหลาดที่จะดลบันดาลให้สิ่งต่างๆเป็นไป โดยไม่ตระหนักว่า อำนาจประหลาดที่ว่านั้น ไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจากความรัก ความผูกพันธ์ที่ดลใจ หรือดลบันดาลให้บุคคลตัดสินใจทำในสิ่งที่เขาอาจจะไม่ทำ หรือทำให้เขาเปลี่ยนใจ เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือแคล้วคลาดจากภัยอันตราย หรือปัญหาต่างๆไปได้อย่างน่าอัศจรรย์

    พลังที่ทำให้หัวหน้าของเรามีความสนใจ และแรงบันดาลใจมากมายเกี่ยวกับปิรามิดนั้นคืออะไร หรือใครหนอ? ใช่พลังจากบุคลิกภาพนี้หรือเปล่าเอ่ย?
    [​IMG](rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2008
  12. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    ข้อความข้างต้นของพี่นักเขียน มีความคล้ายกับการส่งพลังไปบำบัดรักษาผู้ป่วย
    ผู้ส่งพลังจะได้รับความรู้สึกเจ็บป่วยบริเวณเดียวกับผู้ป่วย เหมือนกันครับ
    ผู้ที่เรียนพลังเอกภพยูเรอัส หรือพลังคอสมิก จะทราบได้ถึงอาการดังกล่าว
     
  13. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    จิตวิญญาณประสานกาย เป็น eBook แล้วครึ่งเล่ม (200 กว่าหน้า)
    เชิญอ่านไปพลางๆก่อนนะคะ อีกครึ่งหลังจะเสร็จสมบูรณ์ในเร็ววันนี้ค่ะ

    จิตวิญญาณประสานกาย เป็นหนังสือที่อธิบายถึงต้นกำเนิดของภาวะจิตที่ก่อให้เกิดภาวะต่างๆทางกายอันได้แก่โรคภัยไข้เจ็บ ภาวะทางใจที่ก่อให้เกิดโรคทางจิต ตลอดจนภาวะทางจิตวิญญาณที่ก่อเกิดประสบการณ์ชีวิต

    หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยบทฝึกฝนหลายบท ที่สามารถแก้ไขปัญหาสุขภาพกาย สุขภาพใจ และการพัฒนาจิตวิญญาณ เพื่อทำให้เราสามารถสร้างสรรค์สุขภาพร่างกาย สุขภาพใจ และประสบการณ์ชีวิตได้ในทิศทางที่พึงปรารถนา ไม่ว่าโรคร้ายที่เรากำลังเผชิญอยู่จะเป็นโรคที่เรียกว่า ไม่มีทางรักษา หรือสภาวะจิตที่เรากำลังเป็นอยู่ เป็นสิ่งที่เรียกว่ารักษาไม่ได้ หรือประสบการณ์ชีวิตที่กำลังเป็นไป เป็นสิ่งที่เรียกว่า แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้ให้บทฝึกฝนง่ายๆที่ท่านเรียกว่า การสะกดจิตตนเองได้อย่างสัมฤทธิ์ผล เพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ให้เป็นไปในทิศทางที่พึงปรารถนา บทฝึกฝนทั้งหมดเป็นบทฝึกฝนง่ายๆ ที่ทุกท่านสามารถฝึกฝนและทดสอบได้ด้วยตนเอง

    พี่นักเขียนหวังอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้ จะเป็นอีกเล่มหนึ่ง ที่นำประโยชน์สุขมาสู่ชีวิตของผู้อ่านทุกท่าน(rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 03cover.jpg
      03cover.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.5 KB
      เปิดดู:
      23
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2008
  14. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    สวัสดีค่ะ...ชาวห้องวิทย์
    มีเรื่องมารบกวนถาม คำว่า"จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์" เข้าใจในความหมายของร่วมวัตถุประสงค์ แต่ จิตวิญญาณนี้ ต่างอยู่ในแต่ละร่าง ในบางบทของหนังสือ กล่าวถึง จิตวิญญาณสามารถอยู่ในร่างกายเนื้อหนังได้เพียงทางเดียวคือโลกแห่งความเป็นจริง ที่เราจดจ่ออยู่
    แล้ว จิตวิญญาณที่อยู่ในร่างอื่นๆ ในโลกแห่งความเป็นจริง ที่เรียกกันว่าจิตวิญญาณต่างร่างแต่รวมวัตถุประสงค์ นี่ละค่ะ คือ จิตวิญญาณแบบไหน มีการแตกตัวออกไปเหมือนพลังงาน หรือ เป็นจิตวิญญาณของใครของมันกันค่ะ ไม่ค่อยเข้าใจนัก ซึ่งร่างแต่ละร่าง ก็มีการสัมพันธ์ ติดต่อสื่อสารกัน
    ที่ว่า จิตวิญญาณที่ร่วมวัตถุประสงค์กัน ก้จะมีความรู้สึกนึกคิดคล้ายกัน และจะดึงดูดกันเอง เพื่อเข้ามาร่วมสร้างสรร นโยบาย ให้บรรลุวัตถุประสงค์ ไปในแนวทางเดียวกัน
    จิตวิญญาณเหล่านี้ เป็นจิตวิญญาณเดียวกันแบบไหนค่ะ หรือจิตวิญญาณมีเพียงหนึ่ง แต่แตกตัวออกไป ตามวิถีการจดจ่อ และวัตถุประสงค์ ....สับสนค่ะ
    ขอประทานโทษ ถ้าตั้งคำถามงงๆ...เพราะคนถาม งง จริงๆ กว่าจะนึกเป็นภาษาเขียนได้ ตั้งนานนะค่ะ...แต่คิดว่าพี่นักเขียนน่าจะเข้าใจ เพราะพี่นักเขียนใช้จินตนาการ ซึ่งไม่จำเป็นต้องสื่อสารเป็นสัญญลักษณ์ใดๆ
    อีกคำถามหนึ่งค่ะ...เห็นคุยกันเรื่องตาที่สาม เวลาทำสมาธิ หรือจดจ่อกับสิ่งใดนานๆ พอเริ่มตั้งมั่น มันเหมือนมีกระแสไฟข๊อตอ่อนๆ เป็นระยะที่หว่างคิ้ว เดี๋ยวเบาเดี๋ยวหนัก เหมือนโนปลายเข็มจิ้มเป็นช่วงๆ บางครั้งแรงมากจนหนักร้าวไปทั้งศรีษระ มันเป็นอาการที่บ่งบอกถึงอะไรค่ะ คือว่า...ไม่แน่ใจ ว่าตัวเอง ทำอะไรผิดพลาดไปนะค่ะ...อันนี้รบกวน ท่านผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายแนะนำด้วยนะค่ะ คือ ยังอ่อนหัดมากนะค่ะ
    ถามครั้งแรก ก็ยาวซะแล้ว ขออภัยมาณ ที่นี้ด้วย ที่บังอาจ เอาเรื่องมากวนใจนะค่ะ
    ขอบพระคุณที่เมตตาต้อนรับค่ะ
     
  15. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nova_analai [​IMG]
    คนใกล้ตัวที่รู้จักคุณพ่อของพี่นักเขียนเป็นการส่วนตัว และได้เคยอ่านงานเขียนของท่านมักจะออกปากว่า พี่นักเขียนเขียนหนังสือสำนวนเหมือนคุณพ่อ ซึ่งน่าจะเป็นจริง เพราะหัวหน้าและผู้อ่านจำนวนมากเขียนมาบอกพี่นักเขียนเหมือนๆกันว่า เข้าใจว่าพี่นักเขียนเป็นผู้ชาย

    คุณพ่อของพี่นักเขียนไม่ได้เป็นนักเขียนหรอกนะคะ แต่เป็นนักกฏหมาย (ทนายความ) และก่อนที่ท่านจะจากไป ท่านเคยปรารภว่าอยากจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับภาวะจิตและการฝึกสมาธิ แต่ท่านก็ไม่ทันได้เขียน พี่นักเขียนได้รับมรดกเป็นหนังสือที่คุณพ่อใช้งานเป็นประจำวันบนโต๊ะทำงานของท่าน เช่น dictionary, thesaurus, idiom, proverbs, synonym, antonyms, word origins, รวมถึงพระไตรปิฏก อริยสัจจ์จากพระโอษฐ์ และสวดมนต์คำแปล ฯลฯ มาใช้ต่อ รวมทั้งได้ upright Yamaha piano ตัวโปรดของคุณพ่อมาด้วยหนึ่งหลัง

    พี่นักเขียนไม่เคยชอบหรือนึกที่จะเขียนหนังสือมาก่อนเลย จนกระทั่งคุณพ่อเสีย และได้รับหนังสือเหล่านี้ตกทอดมา รู้สึกเหมือนว่านอกจากได้หนังสือมาแล้ว ยังได้รับแรงบันดาลใจและพลังมากมายมากับหนังสือด้วย ทำให้หันมาศึกษาเกี่่่ยวกับสมาธิและภาวะจิต และหันมาเขียนหนังสือในทีึ่สุด และกลับมาเล่น piano อีกหลังจากที่ทิ้งไปโดยไม่ได้เล่นเลยเกือบ 30 ปี แม้จะเป็นทนายความแต่คุณพ่อก็เป็นศิลปิน ชอบแต่งเพลง ชอบเต้นรำ พี่นักเขียนก็เพิ่งจะลุกขึ้นแต่งเพลงและเต้นรำเอาเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ทั้งที่ไม่เคยมีความสนใจมาก่อนเลย

    ที่คุณ Mead กล่าวว่า เมื่อจดจ้องกับวัตถุของ Egypt แล้วรู้สึกเสมือนว่าได้รับพลังบางอย่าง ทำให้พี่นักเขียนคิดว่า เราทุกคนสามารถรับพลังได้เสมอๆ

    การถ่ายทอดพลังดังกล่าว เป็นไปได้ด้วยความผูกพันธ์ หรือ ความรัก
    หัวหน้ามีความสนใจและได้รับแรงบันดาลใจมากมายเกี่ยวกับปิรามิด และวัตถุต่างๆของ Egypt หัวหน้าน่าจะมีความผูกพันธ์หรือความรัก กับบุคคลตลอดจนประสบการณ์และวัตถุสิ่งของมากมายใน Egypt มาก่อน จึงรับถ่ายทอดและสัมผัสได้ถึงพลังดังกล่าว เช่นเดียวกับที่พี่นักเขียนผูกพันธ์และรักคุณพ่อ จึงรับถ่ายทอดและสัมผัสได้ถึงพลังดังกล่าว หรือจะเรียกว่าถ่ายทอดข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพมาด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดก็คงไม่ผิด

    ทุกครั้งที่เราใช้คำว่า พลัง พลังงาน พลังอำนาจ หรือจิตวิญญาณ
    พี่นักเขียนขอให้เราลองนำคำจำกัดความที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้ให้ไว้มาใช้ดู
    ท่านกล่าวไว้ว่า :
    จิตวิญญาณคือพลังงาน
    พลังงานคือจิตวิญญาณ
    จิตวิญญาณมีคุณสมบ้ติเป็นประจุแม่เหล็กไฟฟ้า


    จิต คือ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด
    วิญญาณ คือ ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ

    จิตและวิญญาณไม่เคยแยกกันอยู่

    จิตวิญญาณคือ ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ที่ถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    เมื่อทดแทนคำว่า พลัง พลังงาน พลังอำนาจ หรือจิตวิญญาณ ด้วยคำจำกัดความนี้
    เมื่อเรารู้สึกว่า รับพลังมานั้น เรารับอะไรมา
    เมื่อเราสัมผัสกับจิตวิญญาณนั้น เราสัมผัสกับอะไร
    เมื่อเรากล่าวถึงการมีพลังอำนาจ เรามีอะไร

    เราจะเห็นได้ว่า ความลี้ลับบางอย่างสลายไป และเปิดเผยให้เราเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างได้ง่ายดายขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้เราตระหนักได้ว่า เรามีพลัง เรามีอำนาจด้วยกันทุกคน เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ลี้ลับ-เหนือมนุษย์ หรือเป็นไปได้สำหรับคนบางคนเท่านั้น แต่เป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติของจิตวิญญาณทั้งหลาย เพราะเราทุกคนมี-ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ที่ถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด-อย่างเป็นธรรมชาติ

    อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดใดเล่า จะรุนแรง ลุ่มลึกและจริงจังไปกว่า อารมณ์รัก จินตนาการด้วยความรัก และความรู้สึกนึกคิดที่เต็มไปด้วยความรัก?

    ผู้อ่านหลายท่านเขียนมาถามพี่นักเขียนว่า ทำอย่างไรจึงจะใช้พลังอำนาจของจิตวิญญาณได้ จะต้องเรียนรู้อะไรเป็นพิเศษ หรือฝึกปฏิบัติอย่างไรจึงจะนำความรู้ที่คิดว่าได้เรียนมามากมายแล้วมาใช้อย่างได้ผลอย่างพี่นักเขียนบ้าง

    หากเราตระหนักได้ว่า พลังอำนาจของจิตวิญญาณไม่ใช่ส่ิงลี้ลับและเป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องสะสมตลอดชีวิตหลายชาติภพกว่าจะใช้การได้ เราจะสามารถปลดเปลื้องสิ่งที่มาขวางกั้นความเป็นไปได้ของเราออกไป อันได้แก่ความเชื่อที่ว่า มันเป็นไปไม่ได้ มันยาก เรายังมีไม่พอ หรือเรายังไม่เติมเต็มออกไป ทำให้เราค้นพบว่า ความเป็นไปได้ ความง่าย ความพอเพียง และการเติมเต็มนั้น เป็นไปตลอดวันเวลาอย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ด้วยการรับถ่ายทอดพลังมาสู่จิตวิญญาณของเราทุกลมหายใจ เพราะเราแต่ละคนผ่านสัมพันธภาพและความรักมาแล้วหลายชาติภพ เราสามารถนำพลัง(จากข้อมูลความรู้)เหล่านั้นมาใช้งานได้เสมอ ด้วยความศรัทธาและความเชื่อถือที่มีต่อจิตวิญญาณของตนเอง

    เป้าหมายและเจตนาของการใช้พลังอำนาจตามธรรมชาติของจิตวิญญาณจะบรรลุผลได้ ก็ด้วยความรัก หากเราคาดหวังที่จะใช้พลังอำนาจนี้ด้วยความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดี ที่จะให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ หรือสมความปรารถนา มันย่อมสัมฤทธิ์ผล

    วันนี้เด็กๆมากดออดตามเคย สามีของพี่นักเขียนเป็นคนเปิดประตู พบสาวน้อยผมทองสองคน-กางร่มมาด้วย แทนที่จะขอขนมอย่างเคย กลับบอกกับสามีของพี่นักเขียนว่า เขามีเรื่องสำคัญมากจะบอกพี่นักเขียน พอสามีของพี่นักเขียนให้เข้ามาในบ้าน เขาก็ร้องด้วยความตื่นเต้นทั้งที่ยังเห็นพี่นักเขียนไม่เต็มตัว เพราะมองเห็นกันไกลๆ จากประตูบ้านผ่านเข้าไปในห้องอาหารว่า "We're going to have a severe weather! You must sleep in your basement tonight!" พูดจบฟ้าก็คำรามครืนๆสนั่นหวั่นไหว!

    หนูน้อยสองคนอายุเพียง 4 และ 5 ขวบสองคนพี่นัองแวะมาส่งข่าวเตือนภัย
    นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่เราอาจเรียกได้ว่า เป็นพลังอำนาจที่ทำให้พ้นภัย แม้มันจะมาจากเด็กน้อยตัวจ้อยๆ แต่มันก็เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ให้เขากล้าหาญพอที่จะเดินกางร่มมากดออดบ้านพี่นักเขียน เพียงเพื่อจะบอกข่าว แต่มันก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากความรัก ความผูกพันธ์ที่ทำให้ปรารถนาที่จะส่งข้อมูลความรู้ให้แก่ผู้ที่รัก เพื่อให้นำไปใช้ในการตัดสินใจ แต่คนจำนวนมากกลับรอคอยอำนาจประหลาดที่จะดลบันดาลให้สิ่งต่างๆเป็นไป โดยไม่ตระหนักว่า อำนาจประหลาดที่ว่านั้น ไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจากความรัก ความผูกพันธ์ที่ดลใจ หรือดลบันดาลให้บุคคลตัดสินใจทำในสิ่งที่เขาอาจจะไม่ทำ หรือทำให้เขาเปลี่ยนใจ เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือแคล้วคลาดจากภัยอันตราย หรือปัญหาต่างๆไปได้อย่างน่าอัศจรรย์

    พลังที่ทำให้หัวหน้าของเรามีความสนใจ และแรงบันดาลใจมากมายเกี่ยวกับปิรามิดนั้นคืออะไร หรือใครหนอ? ใช่พลังจากบุคลิกภาพนี้หรือเปล่าเอ่ย?

    (rose)




    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอบคุณพี่นักเขียนเป็นอย่างสูงครับ ให้สาระพันความรู้ทั้งในและนอกตำราอันหลายหลาย ห้องเรียนห้องนี้เสมือนเป็นที่นัดหมายของจิตวิญญาณผู้ใฝ่หาประสบการณ์และความรู้อันไร้ขีดจำกัดมาโดยตลอด ด้วยมุมมอง+ทัศนคติของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ พร้อมกับจินตนาการอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ทุกคนต้องมี เพื่อค้นหาบุคลิกภาพและตัวตนที่แท้จริง สำหรับการสร้างสรรค์อย่างสมบูรณ์ในทิศทางของตัวเราในที่สุด

    อยากจะบอกว่าพี่นักเขียนฯ เป็นตัวอย่างที่ดีให้พวกเราทางด้านทัศนะและความคิดจริงๆครับ เดี๋ยวนี้เวลามองเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งโลกนี้-นอกโลกและมิติอื่นๆ ก็มองอย่างเข้าใจขึ้น กระจ่างขึ้นเป็นลำดับ ยิ่งได้เห็นประสบการณ์และทัศนะของหลายๆคนทำให้ความรู้พุ่งเข้าหาใกล้เราขึ้นทุกขณะไปด้วย เป็นโลกแห่งการเรียนรู้ที่สนุกเต็มไปด้วยชีวิตชีวาจริงๆ เหนืออื่นใดสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากแรงบันดาลใจของความรักความผูกพันนะครับ

    [​IMG]

    ส่วนบุคลิกภาพของ Miss Egypt ที่พี่นักเขียนพูดถึง
    ก็น่าจะเป็นแรงบันดาลใจได้มากเหมือนกันครับ (อิอิ)
    เขื่อว่า ชีวิตแรกบนโลกใบนี้ คงจะสมบูรณ์งดงามไม่แพ้กันครับ?

    (||)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2008
  16. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ขออนุญาติตอบนะครับ
    เพื่อความเข้าใจอาจต้องโยงไปถึงต้นเหตุเลยนะครับว่า บนสนามพลังงานสากลอันเวิ้งว้างว่างเปล่ามีแต่พลังงานอันละเอียดอ่อน ได้ก่อกำเนิดจิตวิญญาณรวมที่อุบัติขึ้นเองตามเหตุแห่งธรรมชาติ จากศูนย์กลางเดียวกันนั้นก็เกิดการแบ่งคลื่นความถี่อันหลากหลายออกมา จากหนึ่งก็เป็นสองที่เชื่อมโยงกันด้วยความรักความเป็นหนึ่งเดียวกัน จากนั้นก็เกิดการแบ่งขยายออกมาเพื่อการสร้างสรรค์ และขยายออกไปเรื่อยๆหลากหลายทิศทาง (รวมถึงด้านที่เรานึกไม่ถึง) ในที่สุดก็มาเป็นส่วนขยายของจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่มีรูปกาย เช่นมนุษย์และสรรพสัตว์บนโลกที่ก่อกำเนิดขึ้นเพื่อการเรียนรู้หรือเรียกว่า"มหาวิทยาลัยของจิตวิญญาณ"ก็ได้ครับ

    ส่วนเรื่อง "จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ" ซึ่งหมายถึง จิตวิญญาณรวมส่วนหนึ่งมาถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตนหลานคนหลายบุคลิกภาพเพื่อการบรรลุเป้าหมายร่วมกัน เช่น คนในครอบครัว ครู เพื่อน คนแปลกหน้าที่อาจดำเนินชิวิตแตกต่างกันโดยสินเชิงที่อยู่มีทั่วไปทุกมุมโลก เช่น เป็นเป็นศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ นักแต่งเพลง ฯลฯ แต่ร่วมอุดมการณ์เดียวกับเรา เช่นเพื่อนๆที่มาเจอกันตรงนี้ก็มีเป้าหมายที่จะเรียนรู้ สร้างสรรค์ทางความคิด ก่อเป็นชมรม สมาคม หรือกลุ่มที่ประสานแนวทางร่วมกัน เหมือนร่างกายของเราที่มีอวัยวะส่วนต่างๆที่ต้องอาศัยพึงพากันนั่นเอง หวังว่าจะเข้าใจและไม่สับสนนะครับ
    ยังมีที่เกี่ยวเนื่องกันในหนังสือ ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ อีก 2 เรื่อง ไปอ่านทวนกันครับ น่ารู้ทั้งนั้นเลย
    -จิตวิญญาณ (เสมือน) ร่วมร่างแต่ต่างมิติ ในอดีต-ปัจจุบัน- อนาคตชาติ
    -จิตวิญญาณ ต่างร่างแต่ร่วมมิติ ในอดีต-อนาคตชาติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2008
  17. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ zipper [​IMG]
    คุณ VeggieGuy เสียงดีมากๆ เลยครับเนี่ย ถ้าไม่บอกว่าใครคงต้องนึกว่าเป็นนักร้องแน่ๆ

    ช่วงนี้ดูเหมือนจะเข้าใจหน่อยๆ ว่า ที่พี่นักเขียนให้เพ่งความตั้งใจไปยังสิ่งที่เราจะเป็น แล้วจะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือจะเกิดกับความนึกคิดของเราใช่ไหมครับ

    แต่ก่อนเคยนึกว่า ถ้าตั้งใจว่าจะให้สุขภาพดีขึ้น สุขภาพเราก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเองเหมือนร่างกายมันฟื้นฟูเอง แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่เปลี่ยนคือ ความคิด, มุมมอง, การใช้ชีวิตของเราใช่หรือเปล่าครับ คือจะเปลี่ยนไปใช้ชีวิตในแนวที่จะให้ผลกับสิ่งนั้น คิอว่าอยากให้สุขภาพดี ก็อาจจะเกิดความรู้สึกอยากออกกำลังกาย เกิดความรู้สึกอยากดูแลสุขภาพตัวเอง แล้วมันก็เหมือนกับลูกโซ่ไปกระตุ้นให้ทำสิ่งอื่นๆ (อันที่จริงเรื่องนี้ไม่น่าจะเข้าใจยากนะเนี่ย)

    ส่วนอีกเรื่องนึง ตอนนี้มีความคิดว่า อยากจะฝึกฝันและตีความฝัน โดยที่คิดไว้คือ จะฝันถึงเรื่องๆ นึง แล้วก็จะขอให้พี่นักเขียนฝันถึงเรื่องเดียวกัน แล้วก็ลองเอามาตีความเทียบกันดู ดูว่าเหมือนหรือแตกต่างกันตรงไหน ถ้าตรงไหนเป็นเรื่องที่เราตีความผิด ก็จะรู้ด้วยว่ามันต้องตีความไปยังไง

    ก็มีเรื่องที่อยากจะรู้เหมือนกัน เอาไว้ถ้าฝันถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่แล้ว จะขอให้พี่นักเขียนฝันถึงเรื่องนี้ละกันนะ



    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    มายกมือเข้าสู่การทดลองด้วยครับ (||)คุณซิปฯได้โจทย์มารึยังเอ่ย ? (||)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2008
  18. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ขอบพระคุณค่ะคุณ mead (เก่งจังค่ะ เข้าใจที่ถามด้วย เพราะตั้งคำถามเองยัง งงๆ...)
    งั้น...พวกเราก็คือ พลังงานเดียวกันใช่มั๊ยค่ะ เพียงแต่กระจายจากศูนยกลาง เพื่อไปแสวงหา และผจญภัย ตามเจตนา และความรู้สึกนึกคิดต่างๆ...พอจะเข้าใจรางๆ แล้วค่ะ ขอบพระคุณอีกครั้ง
    จาก ความเห็นของคุณ zipper จนถึงพี่นักเขียน เรื่อง การทดลอง ยกมือสนับสนุนค่ะ เพราะทดลองกับตัวเองแล้ว เรื่องรักษาสุขภาพ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยมา 3 ปีแล้วค่ะ แข็งแรงมาก (พยายามรักษาศิล5 ค่ะ) คือเชื่อและศรัทธา ไปในแนวนั้น จนพอมาอ่าน จิตวิญญาณประสานกาย เลยถึงบางอ้อ ตอนแรกเพียงศรัทธา แต่ตอนนี้เชื่อเต็ม100 เลย ค่ะ ว่าเราสามารถ ดึงดูด สิ่งที่เราปรารถนามาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้ ไม่ได้ทำอะไรมากเลยค่ะ แค่ศรัทธาและเชื่อมั่น
    และได้แรงจูงใจจาก คุณเฉลย ตอนนี้ กำลังเลียนแบบ คุณเฉลย เรื่องการรักษา สายตา เพราะปรกติต้องใส่แว่นอ่านหนังสือ พอเห็น คุณเฉลย ทำได้ กำลังใจมาเพียบเลยค่ะ เริ่มทำมา4-5 วันแล้ว ครบ 21 วันเมื่อไหร่จะมารายงานผลค่ะ
    ยังมีเรื่อง การเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาตัวเองด้วยนะค่ะ (อันนี้ ได้e-mail ไปข้อคำยืนยัน จากพี่นักเขียนแล้ว) สนุกมากเลยค่ะ การทดลองแบบนี้...จะรอ โจทย์นะค่ะ
    ปล.อ้างอิง ข้อความไม่เป็นค่ะ เลยต้องใช้วิธีกล่าวถึง
    ด้วยความปรารถนาดีแด่ทุกท่านค่ะ
     
  19. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขจรวรรณเคยมีประสบการณ์นี้ค่ะ คือตอนที่พวกเราไปเรียนพลังเอกภพยูเรอัสซึ่งวันนั้นอาจารย์ให้ซึมซับรับพลังชีวิตด้วยการมองไปที่อังค์กัน ปรากฏว่าแต่ละคนก็รับรู้ความรู้สึกแตกต่างกันไป ทำให้ตระหนักรู้ถึงความเป็นจริงตามคำกล่าวของท่านอาจารย์อนาลัยที่ว่า

    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณ มีชีวิตอยู่ เป็นอยู่ ดำเนินไป เป็นภาวะนั้น

    เพราะแต่ละคนก็เล่าให้ฟังแตกต่างกัน เช่น
    บางคนจดจ่ออยู่กับภัยพิบัติ เค้าก็มองเห็นหรือสัมผัสกับภาวะของภัยพิบัติ
    บางคนจดจ่ออยู่กับชาติภพที่เป็นชาวอียิปต์ เค้าก็มองเห็นภาพของตัวเองที่อยู่ในยุคอียิปต์
    บางคนจดจ่ออยู่กับชาติภพของแอตแลนติส เค้าก็มีความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปสู่ภาวะของชาวแอตแลนตีส
    ส่วนขจรวรรณจดจ่ออยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน ก็เลยรับรู้เฉพาะความรู้สึกในภาวะปัจจุบัน แต่รับรู้ด้วยภาวะที่เป็นจินตภาพคือไม่รู้สึกว่าเป็นกายหยาบ

    พอคืนนั้นไม่รู้ยังงัยรู้สึกตัวในภาวะกายหลับจิตตื่น จิตบอกตัวเองว่าให้คิดว่าเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่รับรู้ถึงภาวะในชาติภพของชาวแอตแลนตีส ขจรวรรณก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นเค้า ก็รู้สึกตัวชา นิ่ง ๆ เย็น ๆ และสัมผัสกับกลิ่นอายของยุคแอตแลนตีสด้วยค่ะ เลยทำให้เข้าใจความรู้สึกที่เค้าเล่ามาให้ฟังอย่างดีเลย.. ( ไม่ได้โม้นะคะ.. ขอบอก.. อิอิ.. )
    (||)(||)(||)
     
  20. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขออนุญาตคุยในประเด็นนี้นะคะ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็มีอาการคล้ายกันน่ะค่ะ ของขจรวรรณนี่ถ้านั่งสมาธิจะปวดมาก ปวดจนเหมือนคนจะเป็นลมเลยค่ะ ไม่ทราบว่าคุณ kindred ฝึกสมาธิแบบไหนคะ? ของขจรวรรณเคยฝึกสติปัฏฐาน 4 มา ก็เคยถามอาจารย์มาเหมือนกันท่านบอกว่าจะต้องไม่จดจ่ออยู่ตรงหน้าผาก ให้ดึงความรู้สึกมาไว้ที่ท้อง ส่วนของพลังจักรวาลบอกว่าให้เอาไว้ที่กลางกระหม่อม.. สรุปแล้วคิดว่าน่าจะย้ายฐานการกำหนดจิตไปไว้ที่อื่นน่าจะดีนะคะ แต่ถ้ายังงัยรอพี่นักเขียนมาขยายความเพิ่มเติมดีกว่าค่ะ..:'(

    ปล. อย่าคิดว่าเป็นเรื่องกวนใจกันเลยนะคะ คิดซะว่าเรามาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันดีกว่าค่ะ.. ดีซะอีกจะได้ทำให้ความรู้ของพวกเราขยายออกไปอีกเยอะ ๆ เลย..;)
     

แชร์หน้านี้

Loading...