เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    เปลี่ยนใหม่แล้วนะ ขยายรูปให้ใหญ่ขึ้น ไม่รู้เห็นมั๊ย ทำไมเครื่องผมเห็นล่ะ
     
  2. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    [​IMG] [​IMG]

    [b-wai][b-wai][b-wai]

    เห็นรูปแล้วครับพี่เฉลย
    มาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้จริงๆครับ พกปืนมาด้วยป่าว อิอิ
    ฟังเรื่องเก่าๆของพี่แล้วหนาวเลยครับ
     
  3. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    [​IMG]
    [​IMG]

    น้านงัย..พอจับไมค์ฉายแววเป็นประกายวับๆออกมาเลย
    น้องนกมีวีรกรรมแนว แก่น+สวย+ขำ รวมไว้อย่างลงตัวมาก
    โชคดีของพวกเราจริงๆ ที่น้องนกกล้าเอามาลงให้ดูคับ (อิอิอิ)
    อ้วนตรงไหนกัน พี่ว่าดูผอมไปหน่อยนะ+ทานเยอะๆสิคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2007
  4. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    (b-deejai)

    ค่อยๆอ่านไปครับนู๋ตา สงสัยอะไรถามนะครับ
    ไหนๆก็เข้ามาแล้ว ชวนนู๋ตาส่งการบ้านด้วยเลยครับ
    กลับไปดูรายละเอียดที่หน้าก่อนนี้จ้า +

    ขอบคุณคุณ Axzon ด้วยครับที่เอาเพลงเพราะๆมาฝากกัน

     
  5. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    เมื่อท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า
    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด
    จิตวิญญาณ-มีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นภาวะนั้นๆ
    พร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้น

    เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง

    ความคิดเป็นพลังงานที่เมื่อถูกส่งออกไปแล้ว เรียกกลับคืนมาไม่ได้
    มันก่อเกิดเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ขึ้น
    ในโลกแห่งความเป็นจริงโลกใดโลกหนึ่ง ชาติภพหนึ่ง หรือมิติหนึ่งเสมอ

    พวกเราจำนวนมากไม่อาจเข้าใจความเป็นจริงจากคำกล่าวของท่านได้อย่างถ่องแท้
    แต่ถ้าหากเราเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้เมื่อใด นอกจากชีวิตของเราจะกลายเป็นของง่ายแล้ว
    เราจะพบว่า เราอยู่เหนือความเป็นไปทั้งหลาย เพราะเราคือผู้ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราเป็นไป

    มันเป็นการยากมากที่เราจะตระหนักได้ว่า
    ภาวะจิตหรืออารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเรา-คือเหตุ
    และสถานการณ์ชีวิตที่คล้องจองกับอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเรา-คิือผล

    แม้ตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก เราจะมองเห็นว่า
    เหตุ-อันได้แก่-เศรษฐกิจตกต่ำ-เกิดขึ้นก่อน และ
    ผล-อันได้แก่ความเสียหายทางธุรกิจของเรา-เกิดขึ้นทีหลัง

    เหตุ-อันได้แก่ความอ้วนหรือรูปร่างไม่พึงปรารถนา-เกิดขึ้นก่อน และ
    ผล-อันได้แก่ความไม่พอใจในรูปร่างของเรา-เกิดขึ้นทีหลัง

    เหตุ-อันได้แก่โรคภัยไข้เจ็บ-เกิดขึ้นก่อน และ
    ผล-อันได้แก่ความไม่พอใจในสุขภาพ
    หรือความไม่เชื่อถือในสุขภาพร่างกายตามธรรมชาติของเรา-เกิดขึ้นทีหลัง

    เหตุ-อันได้แก่การคาดหวัง การทุ่มเททั้งทางกายทางใจ-เกิดขึ้นก่อน และ
    ผล-อันได้แก่-ความผิดหวัง-เกิดขึ้นทีหลัง

    แต่สิ่งที่เรามักจะมองไม่เห็นคือ มองไม่เห็นเหตุที่แท้จริงอันเป็นจินตภาพ
    ได้แก่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราในแง่ลบ
    ที่มี
    ต่อสภาพเศรษฐกิจ
    ต่อรูปลักษณ์ของตนเอง
    ต่อสุขภาพของตนเอง หรือ
    ต่อผลลัพธ์ของการคาดหวัง
    ซึึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าที่ผลอันเป็นกายภาพ
    คือสถานภาพทางเศรษฐกิจอันตกตำ-ไม่ว่าจะเป็นของส่วนรวมหรือส่วนตนที่เกิดขึ้นตามมา
    ความอ้วน ความผอม โรคภัยไข้เจ็บ ความผิดหวัง จะเป็นจริง

    ทุกครั้งที่เศรษฐกิจตกต่ำ การเมืองวุ่นวาย เกิดเหตุเภทภัยต่างๆขึ้น หรือมีโรคภัยไข้เจ็บ
    เราจะพบว่าก่อนหน้านั้นมีการคาดการณ์จากนักวิชาการ นักการเมือง สื่อมวลชน หรือแพทย์
    ผู้ให้ข้อมูลในแง่ลบแก่ประชาชน หรือแก่เราเป็นการส่วนตัว ทำให้คนจำนวนมากจดจ่อกับการคาดการณ์ในแง่ลบ
    แต่ก็แทบจะไม่มีผู้ใดตระหนักว่า ตนมีส่วนร่วมในการสร้างโลกแห่งความเป็นจริงนั้นๆขึ้นจากการจดจ่อในแง่ลบร่วมกันเสมอๆ
    โลกและความเป็นไปของโลกเกิดจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดในแง่ลบของคนจำนวนมากที่จดจ่อในแง่ลบร่วมกัน

    ในนัยนี้ พวกเราจำนวนไม่น้อยจะสงสัยว่า แม้ว่าเราไม่จดจ่อ แล้วคนจำนวนมากเขาจดจ่อ
    เราจะฝืนโลก และสร้างประสบการณ์ในแง่บวกให้กับตนเองได้อย่างไรอยู่เพียงคนเดียว
    เพราะโลกไม่ใช่โลกของเราคนเดียว.......นี่ละคือจุดอ่อนของเราที่เกิดจากความไม่รู้

    เมื่อท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง
    เราไม่ได้ตระหนักว่า โลกที่เราแต่ละคนกำลังดำเนินชีวิตอยู่นี้เป็นโลกส่วนตัวจริงๆ ซึ่งหมายความว่า
    ไม่ว่าเราจะแชร์โลกนี้กับคนจำนวนมากมายเพียงใดก็ตาม
    โลกที่เราแต่ละคนดำเนินชีวิตอยู่นี้ก็เป็นไปตามความเชื่อและความคาดหวังของเราแต่ละคน

    หากเราเชื่อและคาดหวังเกี่ยวกับสงคราม เราก็จะมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปในซึกโลกที่เผชิญกับสงคราม
    และหากเราเชื่อและคาดหวังในสันติภาพ เราก็จะมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปในซึกโลกที่เผชิญกับสันติภาพ
    แม้ว่ามันจะเป็นโลกใบเดียวกัน และสงครามกับสันติภาพก็เกิดขึ้นพร้อมกันเป็นปัจจุบ้น
    แต่เราก็จะเผชิญกับชะตากรรมหรือประสบการณ์ชีวิตที่เราจดจ่อ ซึ่งเป็นเสมือนโลกส่วนตัวจริงๆ

    ดังนั้นไม่ว่าเราจะรู้เห็น หรือได้ยินข่าวสารว่า เศรษฐกิจตกต่ำ ภัยพิบัติคุกคาม โรคระบาดรุกราน ฯลฯ
    หากเราไม่ได้จดจ่อกับสิ่งเหล่านี้ เราก็จะไม่ต้องเผชิญกับมันโดยตรง
    เช่นเดียวกับที่เราไม่ได้เผชิญกับสงครามโดยตรง แม้เราจะได้ยิน ได้เห็นจากข่าวสารว่า มีสงครามหรือภัยพิบ้ติเกิดขึ้นในโลก

    เมื่อเราไม่จดจ่อกับปัญหา เราจะไม่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา
    แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การที่ท่านอาจารย์อนาลัยสอนให้เราจดจ่อแต่สิ่งที่ดี จะทำให้เรากลายเป็นผู้ที่ไม่สัมพันธ์กับโลก
    แต่ทำให้เรากลายเป็นผู้ที่อยู่นอกปัญหา และสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในปัญหาได้เสมอ

    ความคิดทุกความคิดไม่ได้เป็นสิ่งที่ไร้ความหมายหรือเป็นเพียงเงา หรือ เป็นเพียงความในใจที่ไม่มีผล
    หากแต่เป็นพลังอำนาจที่จะทำให้อนาคตของเราเป็นไปได้เสมอ
    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า ทุกความคิดที่ยังไม่ได้มาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของเรา
    ก่อเกิดเส้นทางแห่งความเป็นได้เส้นใหม่ขึ้นเสมอทุกขณะจิต
    หากเราจดจ่อกับความคิดนั้นๆเมื่อใด มีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดที่คล้องจองกับความคิดนั้นๆเมื่อใด
    เราก็ทำให้มันมีพลังมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมันมาสู่เส้นทางแห่งความเป็นจริงของเราในที่สุด

    และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เรามักจะคิดไม่ถึงว่า ธรรมชาติของความเป็นจริงที่ว่า
    อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป-พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบันนั้น มีความสำคัญเพียงใด

    หากเราตระหนักได้ในธรรมชาติความเป็นจริงของกาลเวลาดังเช่นที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึง
    เราจะตระหนักได้ว่า ผลลัพธ์อันเกิดจากเหตุ - เช่นความคิดที่ว่า
    1. หากเศรษฐกิจตกต่ำ - 2. ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับธุรกิจของเรา
    1. หากเราอ้วนขผอมหรือมีรูปร่างไม่พึงปรารถนา- 2. ไม่พอใจในรูปร่างของเรา
    1. โรคภัยไข้เจ็บ- 2. ความไม่พอใจในสุขภาพ หรือความไม่เชื่อถือในสุขภาพร่างกายตามธรรมชาติของเรา
    1. หากลูกหนี้ไม่จ่ายเรา - 2. เราก็จะไม่จ่ายเจ้าหนี้ของเราด้วย
    ลำดับอันแท้จริงตามเส้นทางแห่งกาลเวลาของเหตุการณ์สองเหตุการณ์นี้-ไม่มีจริง

    เรามักจะเชื่อว่าเหตุการณ์ ข้อ 2. ซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้น และยังไม่เป็นความเป็นจริง
    อาจจะไม่เกิดขึ้น ถ้าหากเหตุการณ์ข้อ 1. ไม่เกิดขึ้นก่อน
    แต่ตามธรรมชาติความเป็นจริงแล้ว ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า
    ความคิดเป็นพลังงานที่ถูกส่งออกไปแล้ว ไม่มีวันเรียกกลับคืนมาได้
    มันก่อเกิดเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งหมายความว่า
    ทันทีที่เรามีความคิดว่า 1. หากลูกหนี้ไม่จ่ายฉัน - และ 2. ฉันก็จะไม่จ่ายเจ้าหนี้ของฉันด้วย
    เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ทั้งสองเส้นเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
    ไม่ว่าทั้งสองความคิดจะเกิดขึ้นห่างกันเป็นเวลายาวนานเท่่าไรก็ตาม

    ธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณปราศจากกาลเวลา ซึ่งหมายความว่า
    แค่คิดว่า ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับธุรกิจของเรา ก็เป็นเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ
    แค่คิดว่า เราไม่พอใจในรูปร่างของเรา ก็เป็นเหตุที่ทำให้เราอ้วน-ผอมหรือมีรูปร่างไม่พึงปรารถนา
    แค่คิดว่า เราไม่พอใจในสุขภาพ หรือความไม่เชื่อถือในสุขภาพร่างกายตามธรรมชาติของเรา ก็เป็นเหตุที่ทำให้เรามีโรคภัยไข้เจ็บ
    แค่คิดว่า เราจะไม่จ่ายเจ้าหนี้ของเรา ก็เป็นเหตุที่ทำให้ ลูกหนี้ไม่จ่ายเงินเรา

    ความคิดที่ดูเสมือนว่าเกิดขึ้นทีหลัง กลายเป็นเหตุที่ทำให้เราต้องเผชิญกับเหตุการณ์แรก
    หากภาวะจิตของเรามีแนวโน้มที่จะคาดการณ์ หรือคาดหวังเหตุร้ายที่จะตามมา
    เราย่อมเผชิญกับเหตุการณ์แรกที่นำมาสู่เหตุร้ายที่ตามมาเสมอ

    กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ธรรมชาติของความเป็นจริงที่ว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป-พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบันนั้น
    ความคิดของเราที่ดูเสมือนว่าเเป็นผลที่เกิดขึ้นตามมาทีหลัง เป็นเหตุให้ เกิดเหตุการณ์แรกที่เป็นเหตุขึ้น

    คำกล่าวเหล่านี้อาจจะฟังดูราวกับว่าปราศจากเหตุผลตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก
    แต่พี่นักเขียนก็กล้ายืนยันว่่า มันเป็นความจริงที่ไม่มีวันตาย
    ช่วงเวลาที่พี่นักเขียนกับสามีใช้ชีวิตทำงานอยู่เมืองไทย เราเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำปี 1997
    เราตั้งสัจจะไว้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับธุระกิจ เราจะไม่มีหนี้ คือ หากลูกหนี้ไม่จ่ายเรา เราจะไม่ล้มทับเจ้าหนี้ของเรา
    เราจะทำทุกวิถีทางที่จะจ่ายหนี้ของเราให้ได้ เพราะเราต้องการนอนหลับได้ทุกคืน
    ปรากฏว่าพี่นักเขียนกับสามีไม่ได้เคยพับฐานตามเศรษฐกิจและเพื่อนร่วมธุรกิจอื่นๆ
    เมื่อค่าเงินบาทตกต่ำ เราตัดสินใจย้ายมาอยู่อเมริกาเพื่อพาลูกๆที่เคยเรียนหนังสืออยู่โรงเรียนประจำในอังกฤษมาเรียนต่อที่อเมริกา
    พี่นักเขียนมักจะพูดกับลูกๆเสมอว่า " Our worst is someone else's dream."
    ซึ่งหมายถึงว่า ภาวะที่ตกต่ำหรือดูเสมือนย่ำแย่ที่สุดของเรา คือความใฝ่ฝันของบางคนด้วยซ้ำไป
    และสอนให้ลูกชื่นชมกับชีวิตและความเป็นไปทั้งหมดของเรา ซึ่งแม้ว่าจะมีการพลิกผันร้อนหนาวไปบ้าง ก็เป็นชีิวิตที่ได้รับพร
    เพราะมันทำให้เราแกร่งขึ้น เรียนรู้มากขึ้น และย่อมเป็นประสบการณ์ที่จะสนับสนุนให้ชีวิตในวันหน้าของเราประสพผลสำเร็จได้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

    พี่นักเขียนขอส่งกำลังใจ ความรักและพลังจิตทั้งหมดที่มีให้พวกเราทั้งหลายที่กำลังประสพกับปัญหาชีวิตในทุกทิิศทาง
    และขอพวกเราชาวห้องวิทย์ฯทุกคน ช่วยกันส่งพลังของเราสนับสนุนญาติมิตรทางจิตวิญญาณของเราให้พลิกผันไปในทิศทางที่สมความปรารถนา
    ผู้ที่กำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีสุขภาพที่ดี ก็ขอส่งพลังสุขภาพอันสมบูรณ์ให้กับผู้ที่กำลังเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ
    ผู้ที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ยังมีกำลังทรัพย์สุขสมบูรณ์อยู่ ก็ขอส่งพลังแห่งความมั่งคั่งให้กับผู้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาทางธุรกิจ
    ผู้ที่กำลังเผชิญกับความผิดหวัง แต่มีร่างกายที่พึงปรารถนา ก็ขอส่งพลังแห่งความสมความปรารถนาในร่างกายให้กับผู้ที่กำลังไม่พึงปรารถนา

    จิตวิญญาณประสานกันเป็นระบบเครือข่าย เมื่อเราพร่องในส่วนใด
    เราสามารถเติมเต็มได้ด้วยการระลึกถึงความสมบูรณ์พูนสุขของจิตวิญญาณส่วนอื่นๆที่สนับสนุนเรา และไม่เคยทอดทิ้งเรา
    จักรวาลเต็มไปด้วยความรัก การช่วยเหลือเกื้อกูลและความสมบูรณ์พูนสุข และเป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ

    จินตนาการเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความเป็นจริงทั้งหมด
    นับแต่วันนี้เป็นต้นไป พี่นักเขียนขอให้พวกเราจินตนาการแต่ชีวิตที่สดสวยและโลกที่สดใสตลอดไป(rose)
    โอ๋ ไม่ร้องไห้ขี้มูกโป่งนะคะ อุ้มแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2007
  6. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ yutkanlaya [​IMG]
    เอารูปลงยังไง??????????
    ช่วยอธิบายทีครับ ขอบคุณล่วงหน้า


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ leogirlw99 [​IMG]
    ไปที่เมนู Insert Imageค่ะ แล้วเราก็นำlinkของรูปภาพไปใส่ จากนั้นรูปก็จะขึ้นมา แต่ตอนนี้นกก็รอพี่ๆเค้ามาสอนวิธีทำรูปให้เป็นเล็กๆแล้วlinkได้อยู่น่ะค่ะ เพราะประหยัดเนื้อที่มากกว่าแล้วดูไม่เกะกะด้วย


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    วีธีแรก ต้องการเอารูปอยู่ใน Com มาใส่

    1.กดปุ่ม>>> <INPUT class=button id=qr_preview title="(Alt + X)" accessKey=x onclick="clickedelm = this.value" tabIndex=3 type=submit value=เลือกตอบเต็มรูปแบบ name=preview>

    2.กดปุ่ม>>><INPUT class=button id=manage_attachments_button title="Click here to add or edit files attached to this message" style="FONT-WEIGHT: normal" onclick="vB_Attachments.open_window('newattachment.php?t=86527&poststarttime=1191038608&posthash=3d02c903a812ea6856edec0cf5493bce', 480, 480, '')" tabIndex=1 type=button value="Upload และ บริหารไฟล์"> จะมีเมนูใหม่ขึ้นมา

    3.หารูปในเครื่องเรา ใส่ลงไปในช่องว่าง
    <TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=bottom><TD><INPUT class=bginput type=file size=30 name=attachment[]>

    4.เมื่อโหลดทั้งหมดสร็จแล้ว กด <INPUT class=button style="WIDTH: 70px" onclick="return verify_upload(this.form);" type=submit value=Upload name=upload>

    5. กดปุ่ม>>> <INPUT class=button id=vB_Editor_001_save accessKey=s tabIndex=1 type=submit value=ส่งข้อความ name=sbutton>








    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วีธีที่สอง ต้องการเอารูปจากเวปอื่นๆหรือเวปนี้มาใส่

    +ง่ายๆครับ แค่คลิกขวาบนรูปนั้น copy แล้วมา paste ในช่องตอบกระทู้ได้เลยครับ

    +หรือกดปุ่ม [​IMG] จะมีเมนูเล็กๆขึ้นมา แล้ว Copy address (URL) มาpaste ในช่องนี้ แล้วกดปุ่ม OK

    +++รู้วิธีแล้วก็เอารูปมาลงแบ่งปันกันดูนะครับ+++
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2007
  7. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085

    ต้องกราบขอบพระคุณพี่นักเขียน เป็นอย่างมาก
    พี่นักเขียน เป็นที่สุดของพี่ สำหรับน้องๆทุกคน
    ตอบทีเดียว ได้ทุกคำถาม เลย แม้บางครั้งคำถามนั้น
    เหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ในใจ พี่นักเขียนก็รู้ และช่วยไขให้กระจ่างได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • women.gif
      women.gif
      ขนาดไฟล์:
      15.5 KB
      เปิดดู:
      596
    • for27070550p1.jpg
      for27070550p1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.9 KB
      เปิดดู:
      588
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    [​IMG] [​IMG][​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ส่งการบ้านตามสัญญาครับ
    วัยเด็ก เล็กๆแม่บอกว่าไม่ซน ว่าง่าย ไม่เหนื่อย (ต่อหน้าเท่านั้น) ลับหลังลากโต๊ะ ดึงลิ้นชัก มาทำรถเมล์ ข้าวของเกลื่อนบ้านกระจัดกระจายทุกวัน พอตกเย็นก็เก็บเข้าที่เรียบร้อยก่อนแม่กลับบ้านทุกวัน มานั่งรอทานขนม (โดยเฉพาะข้าวเหนียวสังขยา)

    โตขึ้นมาหน่อยราว 8 ขวบทางโรงเรียนพาไปดู"ท้องฟ้าจำลอง" ชีวิตและความคิดจึงเริ่มเปลื่ยนไป เรี่มสนใจอวกาศ ดูดาว ทำยานอวกาศทุกลำที่ชอบ รวมทั้งกล้องดูดาว ชอบนั่งทำของเล่นเองอยู่เงียบๆ บนโต๊ะนั่งได้เป็นวันแทบไม่ลุกไปไหน ไม่พูดกับใครถ้าไม่จำเป็นจริงๆ นิ่งๆครุ่นคิดอยู่คนเดียวทำสิ่งประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้มากมาย จนกระทั่งเข้ามัธยม

    มัธยมเรียนวัดเบญจฯโรงเรียนที่มีชายล้วน เพื่อนชวนหัวหน้าห้องหนีเรียน ส่วนมากไปเล่นกีตาร์+ทานเหล้าอยู่ในกุฎิพระ แต่ผมทานโค๊ก บุหรี่ก็เคยลองครั้งเดียวจนทำให้เวียนหัวจนสลบไป จากนั้นก็ไม่สนใจมันอีกเลย สนใจกีฬากับการเที่ยว และการวาดรูปเพื่อประกวดมากกว่า และไปติวศิลป์เพื่อ En ตอนนั้นดูราบรื่นไปหมด คิดอะไรก็ได้อย่างที่คิด ไม่เคยผิดหวังอะไร


    ตอนอยู่มหาลัยศิลปากร ก็เข้าห้องสมุดลูกเดียว จีบสาวไม่เป็นกัน มีแต่เพื่อนสนิทผู้ชาย 2 คนจนเพื่อนล้อประจำ (ทุกวันนี้ยังสนิทและเจอกันอยู่บ่อยๆ เพื่อนหลายคนมีครอบครัวมีลูกไปแล้ว) เพราะชอบเรื่องแปลกๆเหมือนกัน ก็ยังค้นหาและเรียนรู้ไปเรื่อย อะไรที่ยิ่งหายากก็ยิ่งค้นหา สะสมสิ่งที่ชอบต่อมาเรื่อยๆ อย่างสนุกสนาน

    เผอิญมีเพื่อนสนิทที่ชอบเรื่องคล้ายๆกัน ได้แลกเปลื่ยนความคิดกันบ่อยๆ จบมาก็หาที่ทำงานใกล้กัน ตอนเที่ยงก็นัดทานข้าวกันทุกว้น ขาดกันไม่ได้(ยิ่งกว่าแฟน) วันหนึ่งได้ข่าวการโทรจิตติดต่อมนุษย์ต่างดาวที่ รร.สิงห์บุรี ก็พากันไปดูด้วยความสนใจ (กลุ่มเขากะลา) จนเกิดเหตุกล้อง vdo ที่เอาไปด้วยถ่ายติดวัตถุลึกลับ จนออกข่าวข่อง 7 สี

    [​IMG]

    จากนั้นจึงสนใจเรียนรู้เรื่องจิตวิญญาณมาตลอด 10 ปี ระหว่างนั้นก็รู้จักอาจารย์หลายท่าน ไปสำนักต่างๆหลายแห่งมาทั่ว จนมาพบหลักอนุตรธรรม+อาจารย์ปริญญา ที่ผมเข้าไปศึกษาจนเต็มที่ จึงรู้ว่าศาสตร์ทั้งหลายเป็นเรื่องเดียวกันนี่เอง จากนั้นก็มาเจอความรู้จากอาจารย์อนาลัยนี่ล่ะที่ต้องค้นคว้าอย่างจริงจังครับ กลายเป็นคนชอบหาคำตอบ+ความจริง โดยมีธรรมเป็นเครื่องมือครับ

    [​IMG]

    ไปเขากะลา ล่าสุด มาถึงก็มองท้องฟ้าเลย (ต้นปี 50)

    [​IMG]

    ในรูปนี้มี Falkman ด้วย ลองทายสิครับว่าคนไหน?

    ปัจจุบันทำงานไปด้วย ศึกษาเรียนรู้ไปด้วย ยิ่งมีงานที่น่าสนใจทำก็ยิ่งสนุก เคยช่วยทำ VCD จิตจักรวาล ชุดแรก ตอนนี้ กำลังช่วยกันทำชุดสองกับเพื่อนที่ชื่อ"จุ่น"ชลทิศ ตามไท (เด็กถาปัด รุ่นน้องพี่นักเขียนอยู่ครับ..) และมีเพื่อนสนิทอีกคนที่ช่วยกันออกแบบสร้างพระธาตุที่เพชรบูรณ์ หล่มเก่า รวมถึงโครงการปิรามิด Meditation Spa ที่จะได้เริ่ม พฤศจิกานี้ กับพี่เจ้าของมูลนิธิฯ (ใส่เสื้อขาว ยืนติดกันในรูป ) เรื่องเหล่านี้ก็โยงเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณทั้งนั้นเลย..ทำให้ฝันหนึ่งที่สำคัญในภพนี้ก็คือการสร้างปิรามิดขึ้นในประเทศไทยครับ หากฝันไม่จบคงเสียดายที่มาเกิดแล้วทำอะไรไม่ได้มาก ลุ้นต่อไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2007
  9. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    :d
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • E5176835-143.gif
      E5176835-143.gif
      ขนาดไฟล์:
      15.7 KB
      เปิดดู:
      574
    • clap.gif
      clap.gif
      ขนาดไฟล์:
      796 bytes
      เปิดดู:
      579
    • m-063.gif
      m-063.gif
      ขนาดไฟล์:
      42.8 KB
      เปิดดู:
      579
  10. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441

    ขอบคุณพี่นักเขียนมากครับกับคำตอบที่คนในยุคนี้ต้องรับฟัง
    พี่เม้าส์ สบายใจแล้วมาทำการบ้านต่อด้วยนะครับ

    (b-glass)
     
  11. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    น่าจะเป็นผู้หญิงที่ใส่เสื้อขาว นะครับคุณมีด(555)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2007
  12. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    XXXXX ผิดคนครับ...พี่เม้าส์ (เฉียดมาก!)
    Falkman ทำชื่อพรางไว้ ดูรูปเทียบครับ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2007
  13. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    คุณมีด ผมเผลอใส่ข้อความพรางไว้ ตอนนี้เอาออกแล้วครับ
    ไม่น่าผิดแล้วทีนี้ อิอิ
     
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขออภัยนะครับทุกๆท่าน พี่เม้า คุณ Mead และพี่นักเขียน
    ผมตอนนี้เหมือนคนเด๋อๆด๋าๆมาจากไหนไม่รู้ เปิดมาเจอหน้านี้
    ตอนนี้ ก็ชักงงๆเล็กน้อย ว่า..

    เอ..เขากำลังรายงานตัวอะไรกันอยู่ไหมเนี่ย

    และก็ดูเลขหน้าแล้วก็ตกใจ !! 94 แล้วเหรอเนี่ย
    ไปไวจริงๆครับ..

    แต่..ในมุมเล็กๆส่วนตัวของผม ตอนนี้ผมก็กำลังอ่าน
    หนังสือของพี่นักเขียนอยู่ครับ
    ตอนนี้เป็นเล่ม "อมตะแห่งจิตวิญญาน-ภาคปลาย"

    แต่อ่านได้ช้ามากๆครับ..
    และ..ที่อ่านช้าไม่ใช่ไม่มีเวลาอ่านนะครับ..

    แต่..ผมจะอธิบายอย่างไรดีหละ..
    ผมอ่านไปก็มีข้อสงสัย..ข้อขัดแย้งขึ้นมากมาย
    จนต้องค่อยๆอ่าน..ค่อยๆปรับอารมณ์ไป..
    ทีละบท หรือทีละ 2-3 หน้า..ขนาดนั้นเลยหละครับ

    ผมเองก็เป็นนักอ่านคนหนึ่ง
    มีความสนใจคล้ายๆกับคุณ mead อยู่หลายเรื่อง

    เช่นได้รู้จักอนุตรธรรม
    ได้อ่านหนังสือของอาจารย์ปริญญาครบชุด
    และอื่นๆ ท้ายสุดนี่ก็กำลังอ่าน
    ชุด"โนวา อนาลัย" อยู่นี่แหละครับ อีก 4 เล่มก็จบแล้ว

    ประเด็นที่ผมอยากจะถามมีอยู่มากมาย
    ไม่รู้มีใครพูดถึงกันไปบ้างหรือยัง
    เพราะผมยังไม่ได้ไล่อ่านกระทู้นี้ทีละหน้าๆ
    เอาเป็นว่า คุณ mead เจ้าของกระทู้
    ช่วยตอบผมเป็นข้อๆหน่อยนะครับ
    ตอบแค่ว่า ข้อที่ผมถามถึงข้อไหน พี่นักเขียน
    ได้อธิบายหรือขยายความแล้ว เท่านั้นก็พอครับ
    แต่ถ้าบอกได้ว่าอยู่หน้าไหนด้วย ก็จะขอบคุณมากครับ

    มีต่อนะครับ..
    (b-flower)
     
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อสงสัยของผม เกี่ยวกับความรู้จากท่านอาจารย์โนวา อนาลัย
    ทำเอาผมเครียดไปหลาย ต่อ หลายตลบเลยหละครับ
    มาดูว่า "บางส่วน" ที่ผมข้องใจมีอะไรบ้าง..

    1. เป็นธรรมดาที่ผมจะนึกไม่ออกว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
    มีอยู่-เป็นอยู่-และดำเนินไปพร้อมๆกันหมด เป็นปัจจุบัน
    อันนี้นึกเทียบเคียงไม่ออกว่าเป็นอย่างไร

    2. มนุษย์ต่างดาว และจิตจักรวาลบอกว่า จักรวาลทางกายภาพนี้
    เกิดขึ้นจาก "พระผู้สร้าง" หรือ "พระเจ้า"
    แต่ท่านอาจารย์ฯบอกว่าเกิดจาก "สรรพสิ่งทั้งปวง" หาใช่ "พระเจ้า"
    ที่อยู่นอกจักรวาลนี้ไม่

    3. "ตัวตนรวม" ในความหมายของท่านอาจารย์
    จะสามารถเทียบเคียงได้กับคำว่า "พระเจ้า" ในนัยของ "จิตจัรวาล" หรือไม่
    เพราะดูๆความยิ่งใหญ่ของตัวตนรวมที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงแล้ว
    เหมือนจะเป็นผู้ก่อเกิด "ตัวตนย่อย" มากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งอันนี้
    จะคล้ายๆ "พระผู้สร้าง" ของจิตจักรวาล ที่ได้สร้างดวงจิตมากมาย

    4. ไม่แน่ใจว่ามนุษย์ต่างดาวได้กล่าวถึงนรก-สวรรค์ของมนุษย์
    ไว้มากน้อยเพียงใด แต่คลับคล้ายคลับคราว่าพวกเขา
    จะไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมากนักกับนรก-สวรรค์ของเรา
    และท่านอาจารย์กับจิตจักรวาลก็พูดไว้คล้ายๆกันว่า
    สิ่งเหล่านี้เกิดจากความเชื่อของเราเอง จนขังเราไว้ในนรก-สวรรค์
    เหล่านั้น
    แต่จิตจักรวาลได้อธิบายเพิ่มเติมไปว่า ก็เพราะว่าเมื่อมีจิตวิญญาณ
    ไปรวมๆกันอยู่ในนรก-สวรรค์มากมายขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องมีการ
    จัดคณะทำงานเข้าไปจัดการให้ จึงมียมฑูต-ยมบาลอะไรทำนองนี้

    5. ท่านอาจารย์ฯพูดถึงชีวิตหลังความตายไว้ แตกต่างจากพุทธ
    อย่างมาก จนผมต้องปรับความรู้สึกอยู่หลายวันทีเดียว
    กว่าจะมาอ่านต่อได้ เช่นที่ว่าพอตายไปแล้วจะมี "ผู้นำทาง"
    มาให้คำแนะนำกับจิตวิณญาณที่หลงทาง-หลงมิติหรือปรับตัวยังไม่ได้อยู่
    แต่ถึงแม้พวกเขาจะหลงไป เช่นไปลงนรก-สวรรค์ แต่พวกเขาก็จะ
    หลงอยู่ไม่นาน ไม่ถึงกับข้ามปีหรอก อะไรแบบนั้น
    แต่ในทางพุทธแล้ว ตกนรกที หรือขึ้นสวรรค์ทีอายุอย่างต่ำก็เป็นพันปีโน่นแหนะ

    6. บางประเด็นที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงความหลากหลายมิติ
    ของสรรพสิ่ง และได้บอกว่า การเข้าไปกระทำอะไรบางอย่างกับ
    ของสิ่งหนึ่ง ในมิติหนึ่งๆ ก็จะมีผลกระทบต่อของสิ่งนั้นในมิติอื่นๆด้วย
    อะไรทำนองนี้ใช่ไหมครับ
    ซึ่งอันนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงความสอดคล้องของคำพูดของ "เจ๊กิ้งก่า"
    "มนุษย์โลก อีกสายพันธุ์หนึ่ง" จากกระทู้ของคุณ Zipper
    และยังทำให้นึกถึง "วิชชาธรรมกาย" ของหลวงปู่สดด้วย
    ที่ท่านเดินวิชชาปัดลูกระเบิด ออกไปจากวัดท่านได้

    ...เดี๋ยวมีต่อนะครับ..จริงๆแล้ววันนี้ไม่ได้เตรียมตัวมาถามเท่าไหร่
    เพราะถ้าเตรียมตัวมาจริงๆ ก็คงจะอ้างอิงข้อความให้ด้วยครับ..
     
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ต่อนะครับ..

    7. ท่านอาจารย์ฯบอกว่า คนเราเกิดมาจะเป็นอย่างไร
    สูงต่ำดำขาว ยากดีมีจนอย่างไร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "กรรมเก่า"
    แต่ประการใดเลย เราทุกคนล้วนเลือกบทเรียน-บทละครในชาติภพ
    ของตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครเลือกเรา บังคับเรา
    อันนี้ขัดแย้งกับพุทธสุดๆครับ

    8. ท่านอาจารย์บอกว่า ถ้าเราเชื่อในอะไร เราก็จะเกาะเกี่ยว
    ผูกพันอยู่กับสิ่งนั้น เช่น ถ้าเราเชื่อในนรก-สวรรค์
    ตายไปเราก็จะได้ไปนรก-สวรรค์ตามความเชื่อของเรา
    แต่ถ้าเราไม่เชื่อแล้ว ตายไปเราก็จะไม่ได้เจอนรก-สวรรค์
    อันนี้ก็ชักจะต้องปรับอารมณ์อีกแล้วซิครับ

    9.ในเล่ม "อมตะแห่งจิตวิญญาณ-ภาคปลาย" นี้ยิ่งอ่านได้ยาก
    และอ่านได้ช้าสำหรับผมอย่างยิ่ง เพราะบางบทก็กล่าวถึง
    พระพุทธเจ้า-พระเยซูด้วย ซึ่งมีบทบาทเป็นเพียง 1 ใน "นักพูด"
    ซึ่งมีอยู่เป็นล้านคนแล้วในโลกใบนี้จากอดีตถึงปัจจุบัน
    "นักพูด" หมายถึง "ผู้ล่วงรู้โลกแห่งความเป็นจริงภายใน" นะครับ

    10. ท่านอาจารย์ บอกประมาณว่า คนก็คือคน สัตว์ก็คือสัตว์
    ไม่ได้เวียนว่ายตายเกิดสลับสับเปลี่ยนกันตามบุญ-บาปที่สร้าง
    เหมือนอย่างที่พุทธกล่าวถึง
    แต่จิตวิญญาณที่เกิดมาเป็นคน-สัตว์-ต้นไม้ต่างๆ เลือกหนทาง
    แห่งการเกิดเอาเอง เพราะจิตวิญญาณสามารถเป็นได้ทุกอย่าง
    เช่น ท่านใช้คำว่า "แม้แต่ลมหายใจของเธอ"

    11. ท่านอาจารย์เน้นอยู่เสมอๆว่าอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
    มีอยู่เป็นอยู่พร้อมกันหมด และเราสามารถแก้ไขอดีตได้
    จากการกระทำในปัจจุบัน..อันนี้ก็นึกไม่ค่อยออกครับ

    ...หลายครั้งหลายหน..ที่ความคิดผมแว็บไป..แว็บมา
    ..อยู่ระหว่างอารมณ์สงสัยว่า..

    A. นี่คือความรู้ใหม่ ที่เป็นความจริง ที่จริงแท้
    (ขอ Copy คำพูดของจิตจักรวาลที่ชอบใช้หน่อยนะครับ)
    จากท่านอาจารย์โนวา อนาลัย ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน
    เพราะพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงสอนไว้ ด้วยเหตุที่คนในยุกต์นั้น
    คงไม่เข้าใจถ้าจะพูดแบบนี้ให้ฟัง ก็เลยอิงนิยายปรัมปราเกี่ยวกับ
    เทพ พรหม ยักษ์ ที่คนในสมัยนั้นเชื่ออยู่ไปด้วยซะเลย

    B. เกิดอะไรขึ้นกับพระพุทธศาสนาของเรา
    หรือว่านี่คือบททดสอบ ที่กำลังทดสอบความเชื่อ
    ของตัวผม และชาวพุทธคนอื่นๆอยู่..

    มีอะไรเกี่ยวโยงไปถึง "มาร" ในพระพุทธศาสนาหรือไม่
    หรือย่างที่สายธรรมกายท่านเชื่อกันว่า "มีพญามาร"
    มีภาคดำ-ภาคขาว ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามกันอยู่
    และก็กำลังทำทุกวิถีทาง ที่จะเอาชนะกันอยู่ตลอดเวลา
    ไม่ว่างเว้นแม้แต่ขณะจิตเดียว

    และ..ท่านอาจารย์ท่านนี้ ท่านเป็นฝ่ายไหน (ถ้าแม้นว่ามีฝ่าย
    อย่างว่าจริงนะครับ) ถ้าเป็นฝ่ายนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร
    ที่ท่านจะเอาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเป็นไปจริงๆของสรรพสิ่ง
    ของจิตวิณญาณ-ของมนุษย์และของจักรวาล
    มาบอกเล่า-เปิดเผยให้พวกเรา ผู้กระหายใคร่รู้ได้รู้ ได้ทราบกัน
    แต่ไม่ทั้งหมด ท่านอาจจะแทรกธรรมมะของฝ่ายท่านให้เราไปด้วย

    ...อะไร ทำนองนั้น...


    ท่านผู้อ่าน..ที่เป็นนักปฏิบัติธรรมสายต่างๆอยู่
    เมื่ออ่านแล้ว...ผมขอถามท่านหน่อยนะครับ
    ว่า..ท่านรู้สึกใจกระเพื่อม..เหมือนมีพลัง 2 ฝ่ายตีกันอยู่
    ในจิตวิญญาณและความรู้สึกของท่าน เหมือนผมบ้างหรือไม่..


    จนผมอยากจะขอให้ผู้ทรงฌาน-ทรงญาณทั้งหลาย
    ไม่ว่าจะเป็นสายไหน โดยเฉพาะสายธรรมกาย

    ช่วยผมหน่อยครับ ช่วยตรวจสอบ "ฝ่าย"
    ของท่านอาจารย์ "โนวา อนาลัย" ผู้นี้ที
    ว่าท่าน "ดำ" หรือ "ขาว"


    หรือเป็นอย่างอื่น...
     
  17. จิตต์ปภัสสร

    จิตต์ปภัสสร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2007
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +4,545
    แอบเข้ามาอ่านเลยเจอ pm ของพี่เลขาส่งถึงน้องจิตต์ฯ ยินดีเป็นอย่างมากถึงแม้ว่าจะส่งการบ้านทีเดียวหลาย ๆ ข้อนะคะ

    คำถาม


    Re: สวัสดีค่ะ พี่เลขา

    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->น้องจิตต์ขา
    พี่นักเขียนอยากจะขอให้คุณน้องเอาคำถาม-คำตอบไป post ไว้ให้พวกเราได้ศึกษาร่วมกัน พี่นักเขียนมั่นใจว่าทุกคนจะได้คำตอบที่เขาไม่ยังไม่ได้ถาม ซึ่งคุณน้องมาถามแทนหลายๆคนค่ะ
    ห้องวิทย์ฯของเราเป็นห้องเปิดใจนะคะ มีแต่ญาติพี่น้องทางจิตวิญญาณ ไม่มีคนแปลกหน้าเลย
    พี่นักเขียน



    อ้างอิง:

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">
    แยกเป็นข้อ ๆ ให้แล้วนะคะ เข้าใจแล้วด้วยว่าทำไมพี่นักเขียนจึงอยากให้โพสบนกระทู้
    (อยากจะบอกทุก ๆ ท่านว่าสิ่งที่เราและท่าน ๆ ได้ประสบพบเจอ
    จะไม่เหมือนกัน แต่มีความคล้ายคลึงกัน ในช่วงที่เรายังไม่มีทุกข์คิดว่าเราเก่ง เราทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวเราเอง เราสำคัญที่สุด) ผลสุดท้ายคำตอบก็คือ นิ้วโป้งก็เก่ง นิ้วชี้ก็เลิศ นิ้วกลางโดดเด่น นิ้วนางเรียวงามนิ้วก้อยน้องเล็ก(ดีกันนะ) แต่ถ้าขาดนิ้วใดนิ้วหนึ่งโดนฟันธงว่าพิการแน่นอน เพราะฉะนั้นทุกคนมีหน้าที่ในสังคม ในโลกใบนี้ เราจะทำดีให้ดีที่สุดจะไม่หยุดทำดี และแก้ไขสิ่งที่เป็นข้อบกพร่องของตนเอง)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2007
  18. จิตต์ปภัสสร

    จิตต์ปภัสสร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2007
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +4,545
    ส่วนของคำตอบค่ะ

    Re: สวัสดีค่ะ พี่เลขา
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->คุณน้องจิตต์ที่รัก
    พี่นักเขียนจะพยายามตอบทีละข้อนะคะ หวังว่าคงจะไม่ตกหล่น ถ้าหล่นจะตามมาเก็บค่ะ ช่วยบอกด้วยนะคะ
    1.ในครั้งแรกที่ได้อ่านบทความของพี่เลขา และฟังเพลงเหมือนเดือน ในตอนกลางคืนฝันว่าได้เข้าไปให้ห้อง ๆ หนึ่งเหมือนท้องฟ้าจำแลง ตนเองแต่งกายแบบสุภาพ ถ้าภาษาของคนทั่ว ๆ ไป คือแต่งตัวเหมือนผู้ดีอังกฤษ มีเสียงบรรยายให้ทราบแต่จับใจความมิได้ทั้งหมด (ตื่นขึ้นมาก็ทบทวนความฝันนั้น ๆ
    โดยตนเองจะคิดว่าในวันนั้นเราได้ดูภาพหรือไม่ คิดเกี่ยวกับเรื่อง ๆ นั้นเกินไปหรือไม่ คือพยายามหาสมมุติฐานให้ตนเองก่อน จะได้ไม่หลอกตนเอง
    เข้าข้างตนเองว่าฝันแม่น)

    เมื่อแต่งเพลงเหมือนเดือน พี่นักเขียนได้ฝันว่าติดตามท่านอาจารย์อนาลัยออกไปในห้วงจักรวาลอันมืดมิด แต่สว่างไสวด้วยดวงดาวล้านดวง อารมณ์ได้รับในความฝัน กับอารมณ์ที่นำมาแต่งและบรรเลงเพลง เรียกได้ว่าเป็นอารมณ์เดียวกัน ซึ่งพี่นักเขียนเชื่อว่าผู้ฟังทั้งหลายที่มีความอ่อนไหวจะรับอารมณืนี้ได้ไม่มากก็น้อยด้วยกันทุกคน คุณจิตต์เป็นผู้มีอารมณ์อ่อนไหวย่อมจะสัมผัสกับอารมณ์นี้ได้ไม่ยากทั้งยามตื่น-ยามฝัน
     
  19. จิตต์ปภัสสร

    จิตต์ปภัสสร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2007
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +4,545
    2.ในเรื่องของซิกเซ้นท์ หลังจากมีทุกข์ดวงตาเลยเห็นธรรม มาประมาณ 2 ปีที่ได้ปฏิบัติธรรม คือเริ่มเข้าใจในสัจจะธรรมมากขึ้น พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ความคิดของตนเอง คือพื้นฐานเดิมจะเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรก็จะไม่แตะ ไม่ทำ บอกอย่าทำก็จะทำ ไม่ชอบคนออกคำสั่งจะต่อต้าน แต่ในปัจจุบัน ได้ละ ลด และดับความรู้สึกที่ผิด เราไม่สามารถเปลี่ยนบุคคลอื่นได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนตนเองได้ (จิตต์ไม่ได้แย่ไปทุกเรื่องนะคะ) เกริ่นยาวไปนิดนึง สนทนากับบางท่าน ในขณะท่สนทนาได้พูดบางประโยคซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วของท่าน ๆ นั้น โดยที่ท่าน ๆ นั้นไม่เคยรู้จักเรามาก่อน เป็นเหตุการณ์ทั้งดีและไม่ดี
    คำกล่าวที่ว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนบุคคลอื่นได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนตนเองได้ นั้น มีคนจำนวนมากที่เข้าใจไปในทิศทางที่ว่า เราสามารถทำให้จิตวิญญาณของเราดีขึ้นพัฒนาขึ้นได้ แต่เราไม่อาจพัฒนาจิตวิญญาณของผู้ใดได้ ซึ่งความเข้าใจในทิศทางนี้ มักก่อให้เกิดการแบ่งแยก เมื่อผู้ที่มีความเชื่อและความเข้าใจผิดในทิศทางนี้ได้ศึกษาหรือฝึกปฏิบัติ หรือสัมผัสกับการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสที่หก มักทำให้รู้สึกว่าตนเองแปลกแยก เพราะความเชื่อที่ว่าเราเปลี่ยนตนเองได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนผู้อื่นได้ มันทำให้เราเชื่อต่อไปอีกว่า เมื่อเราเปลี่ยนหรือก้าวหน้า ผู้อื่นยังคงอยู่ ณ จุดเดิม ทำให้ช่องว่างระหว่างเรากับเขากว้างยิ่งไปกว่าเดิม

    ความหมายอันลึกซึ้งที่แท้จริงของคำกล่าวที่ว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนบุคคลอื่นได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนตนเองได้ นั้น จึงหมายความว่า การเปลี่ยนตนเอง ย่อมส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อผู้อื่นเสมอ เพราะจิตวิญญาณประสานกันเป็นระบบเครือข่าย ไม่มีจิตวิญญาณหน่วยใดสกัดกั้นการใฝ่รู้หรือพัฒนาของจิตวิญญาณหน่วยอื่น และการพัฒนาของจิตวิญญาณหน่วยหนึ่ง จะถ่ายทอดไปสู่จิตวิญญาณหน่วยอื่นๆเสมออย่างแบ่งแยกไม่ได้ เสมือนหยดน้ำทุกหยดในมหาสมุทรที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว น้ำฝนอันจืดสนิทและใสบริสุทธิ์ที่ตกลงสู่ท้องทะเล ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งของน้ำทะเลเสมอ มันไม่อาจแตกแยกไปเป็นน้ำทะเลจีดท่ามกลางมหาสมุทรแห่งจิตวิญญาณได้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น น้ำเค็มไม่ได้เลวหรือไร้ประโยชน์กว่าน้ำจืด และในขณะเดียวกันน้ำฝนอันใสบริสุทธิ์และจืดสนิท ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากน้ำทะเลที่เค็มสนิทมากมายมหาศาล

    หากคุณน้องจิตต์สามารถเปลี่ยนความเชื่อเกี่ยวกับการแบ่งแยกออกไปได้ คุณน้องจะพบว่า ยิ่งเราศึกษาหาความรู้ให้กับจิตวิญญาณมากเพียงใด และสามารถใช้ประสาทสัมผัสของเราได้มากขึ้นเพียงใด ความแปลกแยกระหว่างเรา-เขาหรือบุคคลอื่นๆจะจางหายไปมากเท่านั้น ความรู้สึกโดดเดี่ยวก็จะหายไปด้วย แต่กลับรู้สึกว่า เราต่างก็เป็นเสมือนศูนย์กลางของโลกด้วยกันทุกคน เพราะทุกคนมีความหมาย มีความสำคัญสำหรับเราเสมอ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ทุกคนที่เราพบเห็นในชีวิต คือครูบาอาจารย์ที่ให้ความรู้กับเราในทิศทางต่างๆกันเสมอ
     
  20. จิตต์ปภัสสร

    จิตต์ปภัสสร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2007
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +4,545
    3.ในเรื่องของความฝัน ประมาณ 2 ปีนี้ฝันแทบจะทุกวัน แรก ๆ ก็รู้สึกสนุกฝันแม่นดีแฮะ หลัง ๆ รู้สึกว่าความฝันบางครั้งเป็นภพเก่า บางครั้งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดในอีก 1 ช.ม.หรือ 1 สัปดาห์ เหตุการณ์ที่เคยเจอนะคะ คือ ได้เดินทางไปจังหวัดพิษณุโลกเพื่อไปทำบุญกับหน่วยงาน ระหว่างการเดินทางก็นอนหลับไปตลอด ถึงตัวจังหวัดพิษณุโลกเพื่อนก็บอกว่าจะนอนทำไมอีกนอนมาเยอะแล้ว ตัวเองก็มีความรู้สึกว่าพักสายตามากพอแล้ว อยากจะมองสองข้างทางเพื่อจำทางไว้เพื่อมีโอกาสได้มาอีก แต่มีความรู้สึกอยากหลับตามากพอหลับตาก็ฝันไปว่า มีศาลเหมือนกับศาลเจ้าที่แต่มีขนาดใหญ่กว่าสร้างด้วยไม้ กระเบื้องสีนี้ ทรงแบบนี้ และอีกหลายสิ่งที่เราคุ้นเคย
    สรุปก็คือ บริเวณนั้นหลวงพ่อท่านธุดงค์มาและได้สร้างเป็นสำนักสงฆ์ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก
    ศาลนั้นคือศาลกระดูกมนุษย์โบราณ (จิตต์ได้ถ่ายรูปมาด้วยแต่ไม่ทราบจะส่งทาง PM ได้หรือไม่ถ้าพี่นักเขียนสนใจ จะโพสให้ชมบนกระทู้ค่ะ)
    ซึ่งเคยเป็นข่าวดังทางหน้าหนังสือพิมพ์ขึ้นหน้า 1
    แต่ข้าพเจ้าไม่เคยทราบมาก่อน จากประวัติและโครงกระดูกที่ขุดได้ สรุปว่าเป็นโครงกระดูกของมนุษย์ในสมัยก่อน มีอายุหลายร้อยปี บางชิ้นเป็นพันปี
    ในสมัยพระนเรศวรเป็นสถานที่พักทัพ พักช้างศึก ม้าศึกและเป็นสนามรบที่มีจิตวิญญาณที่ยังตกค้างอยู่เยอะ ช่วงหลัง ๆ แต่ละสถานที่ที่ได้ไปจะมีความรู้สึกค้นเคย เหมือนเคยมา เหมือนรู้จัก บางครั้งขนลุก
    น้ำตาไหล หาวบ่อยมาก บางครั้งเรามองด้วยตาเนื้อจะเดินไปทางซ้าย แต่มีเหตุให้ไปทางขวาหรือว่าต้องเดินไปอีกมีคนรออยู่
    ประสาทสัมผัสภายในทำหน้าที่นอกเหนือช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ทำให้เรารู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า รู้เห็นสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏให้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า หากเราเรียนรู้ที่จะเชื่อถือประสาทสัมผัสภายใน เรามักตอบสนองกับประสบการณ์ต่างๆตามสัญชาติญาณมากกว่าที่จะตอบสนองตามเหตุผล เช่นการเปลี่ยนทิศทางที่จะไป การเปลี่ยนใจทำในสิ่งที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล แต่กลับทำให้ได้ผลที่เกิดความคาดหวังต่างๆเป็นต้น ความฝันเป็นเสมือนแบบพิมพ์เขียวที่เราสร้างขึ้นก่อนหน้าที่เราจะสร้างสรรค์ประสบการณ์ยามตื่น อาจกล่าวได้ว่า เราสร้างความฝ้น ก่อนที่เราจะสร้างโลกแห่งความเป็นจริงยามตื่นก็ไม่ผิด ผู้ที่จดจำความฝันได้แม่นยำจึงมักจะพบว่าตนเองฝันแม่น แต่ความฝันแม่นนั้น ไม่ได้เป็นไปเพราะเหตุว่า เหตุการณ์ในอนาคตถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า-เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และเราไปรู้เห็นล่วงหน้า หากแต่ตามธรรมชาติแห่งความเป็นจริงแล้ว เราสร้างโลกแห่งความเป็นจริง หรือประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของเราจากความเชื่อ ความคาดหวัง อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดที่คล้อยตามความเชือ เมื่อเราจดจำความฝัันได้แม่นยำ ม้นเปรียบเสมือนแบบพิมพ์เขียวอันคมชัดที่เราสรัางขึ้นไว้เป็นจินตภาพและพร้อมที่จะมาสู่ความเป็นจริง แต่แบบพิมพ์เขียวที่ปรากฏในความฝันนั้นก็เกิดขึ้นหรือเป็นไปนอกเหนือช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ซึ่งหมายถึงว่า เหตุการณ์บางเหตุการณ์ไม่ใช่สิ่งที่จะปรากฏในอนาคตตามนั้น แต่พลิกผันอนาคตได้ เพราะการสร้างอดีตใหม่ หรือ การแก้ไขอนาคตเกิดขึ้นได้เสมอในความฝัน
    เอารูปมา post ให้พวกเราห้องวิทย์ฯได้ชมด้วยกันก็จะดีค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...